“ครานั้นที่เคยพบกัน ท่านช่างแตกต่างจากตอนนี้มาก” “ชาติก่อนมีคำว่าสหายของคู่หมั้นค้ำคออยู่พี่จึงมิอาจหยอกเย้าเจ้าเช่นนี้ได้” และกับสตรีที่รังเกียจเขาผู้นั้นก็ไม่เคยได้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา “ท่านทราบได้อย่างไรว่าข้าหวนคืนมาเช่นเดียวกับท่าน และท่านสงสัยตั้งแต่เมื่อใด” “พี่เพียงรู้สึกว่าเจ้าแปลกไป จึงคอยจับตามองและก็ได้เห็นว่าเจ้ามักจะตอบโต้หม่าลี่อิน มิได้นิ่งเฉยปล่อยให้นางเอาเปรียบเช่นทุกครั้ง แต่ที่ทำให้พี่มั่นใจเห็นจะเป็นการโต้เถียงกลางตลาดที่ทำให้สตรีผู้นั้นถูกเล่าลือเสียหาย ชื่อเสียงดีงามที่เพียรพยายามสร้างโดยใช้เจ้าเป็นเครื่องมือพังทลายลงภายในระยะเวลาไม่นาน” “ท่านช่างสังเกตเสียจริง” “หากพี่ไม่รักเจ้า พี่จะเฝ้าสังเกตเจ้าหรือ” วาจาหวานของเขาทำให้ดวงหน้าหวานแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาดำจ้องมองนางด้วยแววตาหวานซึ้งปะปนหวงแหน เขาขอบคุณสวรรค์หลายต่อหลายครั้งที่มอบโอกาสให้หวนคืนกลับมาเจอนาง ภายในจวนของอู่จั้วของกรมอาญามีเสียงกรีดร้องสลับกับเสียงข้าวของตกแตกหลายชิ้น “กรี๊ด เห
15บุรุษมากเล่ห์ และก็เป็นเช่นที่หยางซีซวนคาดการณ์ไว้เมื่ออดีตสหายชั่วช้าที่ยังไม่บรรลุความต้องการมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนพร้อมกับทำขนมมาให้หวังจะขอโทษขอโพย “หนิงเซียนเรื่องราวในวันนั้นข้าขอโทษได้หรือไม่” “...” แท้จริงแล้วนางมิได้อยากพบเจอสตรีผู้นี้อีก หากไม่ใช่เพราะคำกล่าวของหยางซีซวนที่บอกว่า อดีตสหายชั่วยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการคงไม่มีทางเลิกยุ่งเกี่ยวกับนางเป็นแน่ อย่างไรก็ควรแสร้งให้อภัยเพื่อหลอกล่อให้อีกฝ่ายรีบลงมือ “เป็นข้าเองที่กล่าวหาเจ้าเพราะเข้าใจผิด จึงอยากไถ่โทษด้วยการทำขนมหนวดมังกรที่เจ้าชอบกินมาให้” “...” ซูหนิงเซียนแสร้งปรายตามองขนมเพียงเล็กน้อยราวกับสนใจ “มาขอพบเจ้าหลายครั้ง เจ้าก็ไม่อยู่จวน เมื่อได้เจอในตลาดข้าจึงร้อนใจอยากเอ่ยถามถึงเรื่องราวทั้งหมด จนได้ทราบว่าแท้จริงเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด” “คงเป็นความผิดข้าที่ไม่อยู่จวนเช่นที่เจ้ากล่าว” มาขอโทษนางถึงจวน ยังกล่าววาจาโยนความผิดให้ผู้อื่นอีก “ข้าทำให้เจ้าไม่พอใจอีกแล้ว ข้าเพียงแค่อยากชี้แจงให้เจ้าฟังว่าเหตุใดจึงต้องเอ่ยถามเ
“ข้าควรจะสงสารหม่าลี่อินหรือไม่” บิดาไม่รัก มารดาก็สอนแต่เรื่องแย่ๆให้ “แม้ชีวิตจะย่ำแย่เพียงใด ก็ไม่ควรจะนำความโกรธแค้นเหล่านั้นไปลงกับผู้อื่น ดังนั้นหม่าลี่อินไม่ควรได้รับความเวทนาปรานีจากเจ้า” “ที่ท่านกล่าวก็ไม่ผิด ขอบคุณนะเจ้าคะที่ท่านสืบข่าวมาให้ข้า” “พี่บอกแล้วอย่างไร เพื่อเจ้าพี่ยินยอมทำทุกอย่าง” นัยน์ตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นจ้องมองนางอย่างหวานซึ้ง ‘เขาช่างเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วยิ่ง’ บุรุษมากเล่ห์มากมารยา “พี่ทำดีถึงเพียงนี้ เจ้าควรจะมีรางวัลให้พี่มิใช่หรือ” “ที่แท้ท่านก็ทำไปเพื่อหวังสิ่งตอบแทน” “พี่ยอมรับได้อย่างไม่อายปาก ว่าหวังสิ่งตอบแทนจากเจ้า” “ท่านอยากให้ข้าตอบแทนเช่นไร เป็นตำลึงหรือว่า...” “จุมพิตพี่ตรงนี้ทั้งสองข้างพี่ก็พึงพอใจแล้ว” หยางซีซวนกล่าวพลางชี้ที่แก้มทั้งสองข้างของตน ตัวเขาเป็นพ่อค้า คิดทำการค้าก็ต้องได้กำไร ไม่ใช่ขาดทุน “ค่าตอบแทนของท่านช่างมากมายนัก” ดวงหน้าหวานซับสีระเรื่อด้วยความเขินอาย “เพราะเป็นเจ้าพี่ถึ
“เมื่อเรื่องจบลง ข้าจะต้องแต่งงานกับนางเป็นแน่” หากไม่ใช่เพราะหนิงเซียนขอจัดการแก้แค้นด้วยตัวเอง เขาคงส่งคนไปลากตัวชายชั่วสตรีโฉดไปทรมานครั้งแล้วครั้งเล่ายามที่ทั้งสองทำให้นางลำบากใจ เมื่อเช้าก่อนออกจากจวนท่านพ่อบ่นอยากกินหม่าโผวโต้วฟุ นางจึงเข้าครัวตั้งแต่ยามเซิน(15.00-16.59)เพื่อเตรียมอาหารและขนมรอท่านพ่อกลับจวน “ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว” “มีอันใดจะอ้อนขอหรือ ถึงได้มารอรับพ่อถึงหน้าจวนเช่นนี้” ซูฉือกล่าววาจาหยอกเย้าหลังจากลงจากรถม้าแล้วพบว่าบุตรสาวมายืนรอต้อนรับหน้าประตูจวน “ลูกเพียงแต่ได้ยินว่าท่านพ่ออยากกินหม่าโผวโต้วฟุ ลูกจึงเข้าครัวทำให้ เมื่อเสร็จแล้วจึงมายืนดักรอเพื่อให้ท่านพ่อไปรับข้าวด้วยกันก่อน แล้วค่อยไปทำงานในห้องหนังสือเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นหากพ่อพาคนมาร่วมรับมื้อเย็นด้วยเจ้าจะว่าอันใดหรือไม่” สิ้นเสียงกล่าวของเจ้ากรมอาญา บุรุษผู้หนึ่งก็เดินตรงเข้ามาในจวนซู “คารวะเจ้ากรมอาญา คารวะคุณหนูซู” กวางเหลียงอี้แสดงความเคารพผู้ที่มีฐานะสูงกว่า สายตาที่จ้องมองซูหนิงเซียนมีประกายปรารถนาอยากครอบครองพาดผ่าน
เสียงเล่าลือว่าที่ว่าบุตรชายคนเล็กของท่านแม่ทัพใหญ่กำลังเกี้ยวพาคุณหนูซูคล้ายจะเป็นความจริง พรึ่บ การมาของบุรุษผู้หนึ่งไม่ได้ทำให้นางตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย อาจจะเพราะคาดเดาได้ว่าคนของเขาที่คอยดูแลอยู่รอบตัวนางต้องรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณชายของพวกเขาทราบ “...” ชายผู้มาเยือนไม่ได้กล่าวอันใด เขาทรุดตัวลงนั่งก่อนจะหงายจอกแล้วรินชาให้ตนเองเสร็จสรรพ “...” เมื่อเขาไม่กล่าวอันใด นางก็ไม่กล่าวเช่นกัน ดวงตาดอกท้อจ้องมองผู้บุกรุกยามวิกาลตาเขม็ง สุดท้ายบุรุษผู้มีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่ยอมแพ้ก่อนจะเอ่ยวาจาออกมา “หนิงเซียน เหตุใดบุรุษผู้นั้นถึงมากินข้าวร่วมโต๊ะที่จวนเจ้า” เขาเอ่ยถามเสียงเบา ในดวงตาของเขาฉายแววน้อยใจชัดเจน ตั้งแต่เด็กจนโตเขามักจะได้ยินมารดากล่าวว่าสตรีที่ทำตัวน่าสงสารมักจะถูกใจบุรุษ เช่นนั้นเขาควรทำตัวราวกับดอกสาลี่ต้องฝน นางจะได้เอ็นดูเขาให้มาก “ข้ายอมรับว่าตกใจไม่น้อยที่เห็นกวางเหลียงอี้มาที่จวน” “เขาคงอยากพบเจอเจ้า” น้ำเสียงที่กล่าวนั้นแผ่วเบา นางแสร้งไม่สนใจ
16เจ้ามารยา หลายวันมานี้แม้จะรู้สึกรำคาญใจแต่ทว่านางก็ต้องแสร้งยิ้มตอบรับและนั่งสนทนากับหม่าลี่อินที่มาหาถึงจวนทุกวัน “เจ้าอยู่แต่ในจวนเช่นนี้ ไม่เบื่อหน่ายบ้างหรือไร” คำกล่าวของหม่าลี่อินทำให้มุมปากนางยกยิ้มเล็กน้อย “ข้าจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมีเจ้า อยู่สนทนาด้วยทุกวัน” แท้จริงหากสตรีผู้นี้ไม่มารบกวนทุกวัน นางคงนั่งอ่านตำราที่หมิงอี้เฉินนำมาให้ยืมมากมาย ช่างเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ไม่น้อย “ช่วงนี้เจ้าได้เจอคุณชายเล็ก ตระกูลหยางบ้างหรือไม่” “เขาคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจการที่มีมากมายทั่วแคว้น ในบางคราข้ายังอดสงสัยไม่ได้ว่าจวนหยางไม่ได้มอบเบี้ยหวัดรายเดือนให้กับเขาหรืออย่างไร เหตุใดเขาถึงได้เปิดร้านค้ามากมายเพียงนั้น” กล่าวจบนางก็ปรายตามองอดีตสหาย และก็ไม่ผิดหวังเมื่อนางได้เห็นประกายยินดีพาดผ่านในดวงตาคู่นั้นยามได้ยินนางกล่าวถึงความร่ำรวยของหยางซีซวน “เจ้าอยากรู้ เหตุใดถึงไม่เอ่ยปากถามเขา” “เรื่องเช่นนี้ข้าจะกล้าถามได้อย่างไร ยังไม่ได้คบหาดูใจกัน เรื่องเงินๆ ทองๆ ของเขาข้าไม่อยากก้าว
มิได้! คนเช่นหม่าลี่อินจะไม่ยอมถูกบุรุษเมินเด็ดขาด นางต้องโดดเด่นเหนือซูหนิงเซียน “แต่ข้าว่ามันจืดชืด” “เจ้าไม่ชอบโดดเด่นจนสะดุดตาผู้อื่นมิใช่หรือ” “เจ้ากล่าวถูกแล้ว แต่ข้ารับปากกับท่านพ่อไว้ว่ายามออกไปนอกจวนจะต้องแต่งกายให้ดี มิเช่นนั้นจะขายหน้าท่านพ่อ อย่างไรข้าขอไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้เพียงครู่เดียว” “อืม” หม่าลี่อินรับคำพลางเก็บสีหน้าไม่ชอบใจ ซูหนิงเซียนหายไปไม่นานก็เดินกลับมาหาอดีตสหาย นางยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นประกายริษยาพาดผ่านในดวงตาของสหาย ‘ริษยาข้ามากหรือไม่’ อาภรณ์ชุดนี้บุรุษมากเล่ห์ให้คนนำมาส่งให้นางตั้งแต่ปลายยามเหม่า (05.00-07.00) กล่าวว่านางต้องงดงามยามสวมใส่ “เจ้าได้อาภรณ์ชุดนี้มาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้าถึงไม่ทราบ” “คุณชายหยางมอบให้ข้ายามที่เขาเกี้ยวพาข้า เห็นว่าเป็นอาภรณ์ที่ตัดจากผ้าเนื้อดี สีของอาภรณ์จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เช่นหากวันนี้อากาศเย็น อาภรณ์ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้า แต่หากวันนี้อากาศร้อนมันจะกลายเป็นสีเหลืองกึ่งส้ม แต่หากวันไหนอากาศสบายม
“พี่เหลียงอี้ ท่านมาทำอันใดแถวนี้เจ้าคะ” คำกล่าวคล้ายจะเป็นความบังเอิญ แต่นางที่รู้จักคนทั้งสองมาถึงสองชาติเหตุใดจะมองแผนการตื้นเขินนี้ไม่ออก “พี่มาเดินตรวจแถวนี้ เจ้ากับคุณหนูซูจะไปที่ใดกันหรือ” “หนิงเซียนจะพาข้าไปร้านขายอาภรณ์เจ้าค่ะ ท่านไปช่วยพวกข้าเลือกอาภรณ์ได้หรือไม่” คำกล่าวของสหายชั่วทำให้นางก้มหน้าซ่อนแววตาเย้ยหยัน ‘ข้าบอกเจ้าว่าจะมาเดินเล่นนอกจวนมิใช่หรือ ร้านอาภรณ์อันใดข้ามิเคยกล่าวถึง’ “ได้สิ พี่ยินดี” กล่าวจบมือปราบหนุ่มก็จ้องมองคุณหนูซูอย่างไม่วางตา จนหม่าลี่อินชักสีหน้าไม่พอใจ ต่อให้ตนไม่คิดแต่งกับบุรุษฐานะต่ำต้อยอย่างกวางเหลียงอี้ แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้สตรีอื่นได้ใจเขาไป “ลี่อิน เจ้าได้พบเจอคู่หมั้นแล้ว หากเจ้าอยากไปร้านอาภรณ์ให้มือปราบกวางพาไปดีหรือไม่” “แต่ข้าอยากให้เจ้าไปด้วย” เขาหรือจะสามารถจ่ายตำลึงซื้ออาภรณ์ล้ำค่าให้ตนได้ “ลี่อิน คุณหนูซูอาจจะไม่อยากไปร้านขายอาภรณ์ เจ้าอย่าได้เอาแต่ใจให้มากนัก” กล่าวจบก็หันมาจ้องมองนางด้วยแววตาหวานซึ้ง หวานซึ้งอันใดกัน ข
“เรื่องนั้นท่านอย่าได้ห่วงเลยเจ้าค่ะ พี่เหลียงอี้ เขาไปลาดตระเวนตรวจตราที่บริเวณจวนของนางอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นนางปลอดภัยไม่มีอันตรายแน่นอน” ‘สตรีโง่ ข้าอยากจะบอกเจ้าเหลือเกินว่า คู่หมั้นข้านางผู้นั้นมีของล้ำค่ามากกว่าปิ่นที่เจ้าจะซื้อให้อีก’ ยิ่งได้เห็นความใสซื่อของซูหนิงเซียน ความสนใจในตัวคู่หมั้นก็เริ่มลดลง หากไม่ติดที่ว่ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขาก็คงไม่คิดสนใจไยดีแล้ว น่าแปลกที่เขาเชื่อวาจาที่ซูหนิงเซียนบอกกล่าวออกมามากกว่าที่ได้รับฟังจากหม่าลี่อิน “ข้าเลือกชิ้นนี้เจ้าค่ะ ลี่อินนางชอบไข่มุก ข้าว่านางต้องดีใจมากแน่นอนเจ้าค่ะที่ได้ปิ่นนี้” “อืม” รอยยิ้มจริงใจของคุณหนูซูทำให้เขาเอ่ยวาจาไม่ออก “คุณหนูซูท่านช่างโชคดีเหลือเกินขอรับ วันนี้นายท่านของร้านเราใจดี สั่งลดราคาเครื่องประดับให้กับลูกค้าคนที่สิบเก้า ซึ่งคือท่าน” “ลดราคาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “ใช่ขอรับ เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่ม้าตัวโปรดของนายท่านคลอดลูกม้า นายท่านสั่งลดราคาเครื่องประดับให้ลูกค้าคนที่สิบเก้าครึ่งราคา นั่นเท่ากับว่าวันนี้คุณหน
ดวงหน้าหวานที่โผล่ออกมาจากรถม้าทำให้ใจของเขาสั่นไหว เมื่อนางเผยรอยยิ้มเขาแทบจะกระโดดลงจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมเพื่อไปหานาง “แม่นางหนิงเซียน” เสียงทุ้มของบุรุษที่ดังขึ้นดึงความสนใจของซูหนิงเซียนให้หันไปมอง “คารวะคุณชายซวนเจ้าค่ะ” ยามเห็นหน้ากากจึงจดจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่หมั้นของสหาย “ท่านมาคนเดียวหรือ” “เจ้าค่ะ วันนี้ข้าจะมาหาซื้อผ้าไปตัดชุดให้สาวใช้คนสนิท จึงตั้งใจมาด้วยตัวเองไม่ได้ชวนลี่อินมาด้วย” นางเข้าใจว่าเขาถามหาสตรีในดวงใจ “ข้ามีความรู้เรื่องผ้าไม่น้อย ให้ข้าช่วยเลือกดีหรือไม่ ไม่แน่เจ้าอาจจะได้ผ้าเนื้อดีที่ราคาถูก” “หากมิรบกวนคุณชายซวนเกินไป…” ซูหนิงเซียนยังกล่าวไม่ทันจบเขาก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นก่อน “เรื่องนี้มิได้เหลือบ่ากว่าแรง จะถือว่ารบกวนข้าได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” นางตอบรับแล้วยกยิ้มเล็กน้อย บุรุษสวมหน้ากากช่วยนางเลือกผ้าได้หลายพับ แต่เมื่อจ่ายเงินนางกลับพบว่านางได้ของดีแต่ราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ “ท่านหลงจู๊ ลองคิดเงินใหม่อีกครั้งดีหรือไม่
ในกาลก่อนที่ข้ารักเจ้า บริเวณชั้นบนของโรงเตี๊ยมเลี่ยงจิน บุรุษสวมหน้ากากจ้องมองคู่หมั้นของตนที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ดวงหน้าหวานแต่งแต้มรอยยิ้มสดใสพาลทำให้บุรุษรอบตัวต่างหันมามอง แต่เขากลับถูกสตรีนางหนึ่งดึงดูดสายตาให้จ้องมอง สตรีนางนั้นคล้ายจะเป็นสหายของคุณหนูหม่า แม้ดวงหน้านางจะแต่งแต้มรอยยิ้มบาง แต่ทว่ากลับดึงดูดเขาได้อย่างน่าประหลาด และดูเหมือนว่าแท้จริงบุรุษเหล่านั้นจะจ้องมองนางเสียมากกว่า พลันในอกรู้สึกไม่ชอบใจอย่างประหลาด ความรู้สึกหวงแหนก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างไม่รู้ตัว เหตุใดกับคู่หมั้นตน เขาถึงไม่รู้สึกเช่นนี้ พรึ่บ ไวกว่าความคิดร่างสูงโปร่งของบุรุษรูปงามก็ปรากฏตัวด้านหลังสตรีทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยทักทาย “ลี่อินเจ้ามาเดินเที่ยวเล่นหรือ” เขาทราบว่ามันเป็นคำถามที่ดูโง่งม แต่เขาไม่รู้จะเอ่ยถามอันใดออกไป “คารวะคุณชายซวนเจ๋อเจ้าค่ะ” สายตาที่มีประกายรังเกียจพาดผ่านทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่คู่หมั้นจะแสดงความเคารพเขา หลายครั้งที่นางมองเขาเช่นนี้ คงเพราะหวาดกลัวหน้ากากที่ปกปิดบนใบหน้าเขา การเป
“คนของเจ้าสืบได้ละเอียดถึงเพียงนั้น” หมิงอี้เฉินหรี่ตามองอย่างจับผิด “เรื่องที่คิดกำจัดนางกับท่านพ่อตา คนของข้าได้ยินหม่าลี่อินวาดฝันกับกวางเหลียงอี้ เมื่อเห็นว่าเป็นภัยต่อนาง คนของข้าจึงนำมารายงานข้าด้วย” “...” “เบื้องต้นข้ามีหลักฐานที่กลุ่มนักเลงพวกนั้นสารภาพ เจ้าอยากดูหรือไม่” “อืม” เขายกชามสุราขึ้นจิบก่อนจะตอบรับ “นี่คือจดหมายรับสารภาพของนักเลงที่ดักปล้นรถม้าแต่ถูกข้าซ้อนแผนจับเป็นทั้งหมด ก่อนจะนำมาทรมานเพื่อเค้นความจริง” หยางซีซวนยื่นจดหมายที่เพิ่งนำออกมาจากอกเสื้อให้เขา “หม่าลี่อินชั่วช้ายิ่งนัก คิดจะให้พวกนักเลงข่มเหงนาง” จากคำสารภาพของนักเลง กวางเหลียงอี้เพียงแต่ตั้งใจทำให้นางตกใจ แต่หม่าลี่อินกลับซ้อนแผนให้นักเลงพวกนั้นข่มเหงนางก่อนที่กวางเหลียงอี้จะไปช่วย คงกลัวว่าหากเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของตนได้พบเจอนางจะเปลี่ยนใจ จึงสร้างมลทินให้ซูหนิงเซียน “เพราะเหตุนี้ข้าจึงแสร้งสติฟั่นเฟือนเพื่อจะได้อยู่ในจวนตระกูลซูต่อไป เพื่อจะได้ปกป้องนางและบิดาด้วยตนเอง” “เรื่องนี้เจ้าสามารถใช้ผ
คุณชายหมิงอี้เฉิน เมื่อได้รับข่าวว่าสหายในวัยเด็กเดินทางกลับมาจากเมืองซานโจวแล้ว เขาจึงรีบไปหา แต่ใครจะคิดเล่าว่าการพบเจอครั้งนี้จะพ่วงบุรุษผู้นั้นมาด้วย ชายที่มองอย่างไรก็ไม่คล้ายคนสติฟั่นเฟือน ท่าทางออดอ้อนนั้นแลดูเหมือนบุรุษเจ้ามารยาเสียมากกว่า คุณชายหมิงเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วยืนนิ่งราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง “คุณชายขอรับ นี่ก็เป็นปลายยามไฮ่ (21.00-22.59) แล้ว น้ำค้างก็ลงมากแล้วอย่างไร...” บ่าวรับใช้คนสนิทยังกล่าวไม่ทันจบ คุณชายเจ้าของจวนก็เอ่ยวาจาแทรกขึ้นก่อน “เจ้าไปนอนก่อนเถิด ข้าจะยืนชมดาวอีกสักหน่อยก็จะไปนอนแล้ว” “ขอรับ” เมื่อคุณชายกล่าวเช่นนั้น บ่าวรับใช้คนสนิทก็ได้แต่เดินจากไป พรึ่บ บุรุษชุดดำกระโดดลงมาตรงหน้าเขาหลังจากบ่าวรับใช้เดินหายไปไม่นาน “มาแล้วหรือ” คุณชายหมิงเอ่ยวาจาทักทายผู้มาเยือน “เจ้าอยากพบข้าด้วยเหตุใด” หากบุรุษผู้นี้ไม่ค้นพบการมีตัวตนของผู้ติดตาม เขาก็คงคิดว่า ซือเย่ผู้นี้เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนปวกเปียกที่ไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่ “ท่านควรแจ้งถึงจุดประสงค์ในก
“พี่ไม่ได้รังแกเจ้า พี่มอบความโปรดปรานให้เจ้า” “หน้าอกท่านแน่นเสียจริง” “หากเจ้าอยากลูบไล้ยามไร้อาภรณ์ ก็จงรีบกลับจวนกับพี่” “ไม่เอา ข้ายังไม่อยากกลับ กว่าจะได้ออกมาเที่ยวเช่นนี้ไม่ง่ายเลย ต้องขอบคุณท่านแม่นะเจ้าคะ ที่เมตตาข้า” “มิเป็นไรๆ เจ้าอยู่สนุกกับเหล่าชายงามต่อเถิด แม่ต้องกลับไปรับโทษ...ไม่ใช่ แม่ต้องรีบกลับแล้ว” กล่าวจบหยางฮูหยินก็หันไปมองใบหน้าบึ้งตึงของสามี ‘ครั้งนี้นางคงหยอกเย้าบุตรชายมากเกินไป จึงทำให้ฟูจวิน ของนางโกรธขึ้นมาจริงๆ’ ต่อจากนี้คงต้องทนปวดเอวเพื่อง้อท่านแม่ทัพใหญ่หลายคืนอีกแล้ว “ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะสนุกกับพี่ชายคนงามแทนท่านแม่เองเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินโซซัดโซเซไปหากลุ่มชายงาม แต่กลับโดนสามีโอบรั้งเอวคอดกิ่วเอาไว้ “พี่ชายคนงามพวกนี้ อยากกลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าอย่าได้รบกวนพวกเขาเลย” น้ำเสียงที่เอ่ยกับฮูหยินตนช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ต่างจากสายตาที่จ้องมองคล้ายจะเข้าขย้ำเหยื่อตรงหน้าของราชสีห์ “จริงหรือเจ้าคะพี่ชาย” “จริงขอรับ”
“ท่านพ่อ คราวนี้ท่านแม่ทำเกินไปขอรับ” เขารีบฟ้องบิดาในทันที มารดาพาฮูหยินของเขามาเที่ยวหอชายงามเช่นนี้ เกิดนางติดใจเข้าจะทำเช่นไร “อย่าได้ห่วง พ่อจะจัดการลงโทษนางตามกฎของพ่อ เข้าไปด้านในกันเถิด” เพียงแค่คิดถึงบทลงโทษที่จะได้ใช้กับฮูหยินตนแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่ก็คล้ายจะอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอจะก้าวเท้าเข้าหอชายงาม ผู้ติดตามที่ถูกสั่งให้กีดกันคุณชายก็โผล่ออกมาขัดขวางตามคำสั่งของหยางฮูหยิน “พวกเจ้ากล้าขัดขวางข้าหรือ” น้ำเสียงที่ไม่คล้ายจะพอใจทำให้ผู้ติดตามของหยางฮูหยินรีบคุกเข่า “มิได้ขอรับ แต่พวกข้าน้อยถูกสั่งให้ขัดขวางคุณชายไม่ให้เข้าไปในที่แห่งนี้ขอรับ” กลิ่นอายสังหารของท่านแม่ทัพใหญ่ทำให้บุรุษชุดดำทั้งหมดหวั่นเกรงยิ่งนัก “พวกเจ้ากล้าขัดขวางบุตรชายข้าหรือ นายที่แท้จริงของพวกเจ้าคือใครจำได้หรือไม่” “ท่านแม่ทัพขอรับ” บรรดาผู้ติดตามพร้อมใจกันตอบรับ หากเทียบกันแล้วหยางฮูหยินนั้นรับมือง่ายกว่าท่านแม่ทัพมากนัก ‘ต้องขออภัยฮูหยินแล้วขอรับที่พวกข้าต้องเลือกฝั่งท่านแม่ทัพใหญ่’ บรรดาผู้ติดตามได้แต่แสร้
ท่านแม่กำลังไปตามหาน้องให้ สิ่งแรกที่เขามักจะมองหาเมื่อกลับถึงจวนคือฮูหยินของเขาที่มักจะมายืนส่งยิ้มให้ แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น นัยน์ตาดำกวาดมองไปทั่วบริเวณ จึงพบเด็กชายตัวน้อยกำลังนั่งเล่นตัวต่อไม้โดยมีแม่นมและสาวใช้คอยดูแลอยู่ ไร้เงาของผู้เป็นมารดา “หนิงเฉิง กำลังเล่นอันใดอยู่หรือลูก” เขาโบกมือไล่แม่นมและสาวใช้ออกไป ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงสนทนากับบุตรชายวัยสามขวบที่คล้ายฉลาดเกินวัย “ตัวต่อไม้ขอรับท่านพ่อ” “นี่คืออันใด” หยางซีซวนชี้ไปยังตัวต่อที่ถูกต่อขึ้นมาคล้ายเรือนหลังเล็ก “เรือนของน้องชายขอรับ” “เรือนของหนิงเฉินหรือ น่าอยู่ไม่น้อย” เพราะบุตรชายคนเล็กอายุเพียงเจ็ดเดือน จึงต้องอยู่กับแม่นมไม่สามารถมาเล่นกับพี่ชายได้ “อืม...หรือเก็บไว้ให้น้องสาวดี” เด็กน้อยทำท่าครุ่นคิด “จะน้องชายหรือน้องสาว ก็เป็นน้องของเจ้าทั้งนั้น อย่าได้ลำเอียง เข้าใจหรือไม่” “ขอรับท่านพ่อ” “ท่านแม่ของเจ้าไปไหน เหตุใดพ่อจึงไม่เห็น” “ทะ ท่านแม่หรือขะ ขอรับ น่าจะนอนอยู่ระ เรือนนะขอรั
ยามอยู่ในงานเลี้ยงองค์ชายห้าเกาะติดนางไม่ห่าง ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก “เจ้ากินเซาปิ่งมากถึงเพียงนี้ ระวังจะกินอาหารเลิศรสจานอื่นไม่ได้” “เซาปิ่งของจวนเสิ่นอร่อยถูกปากข้ามากเลยเจ้าค่ะ” ท่าทางกินของนางทำให้มุมปากหยักของเขายกยิ้มอย่างเอ็นดู “พี่ไม่แย่งเจ้าหรอก ค่อยๆ กินประเดี๋ยวติดคอ” “ข้า...” เซาปิ่งที่เซียวอ้ายช่างจับอยู่ตกลงบนพื้น สองมือของนางกุมอกเอาไว้ ท่าทางคล้ายจะขาดใจตายของนางทำให้เขาร้อนรน “อ้ายช่าง อ้ายช่างเจ้าเป็นอันใด เซาปิ่งติดคอใช่หรือไม่” หวงหลี่จื้อช่วยตบหลังให้นาง “ลี่จึ...ในเซาปิ่งมี อึกๆ” ท่าทางทุรนทุรายของคุณหนูเซียวและสีหน้าตื่นตระหนกขององค์ชายห้า ทำให้ผู้นำตระกูลเสิ่นรีบเข้ามาดูนางพร้อมกับเสิ่นฮูหยิน “เจ้าพยายามกินยานี้เข้าไปเร็วเข้า” “อึกๆ อึก” เพราะหายใจไม่ออก นางจึงดิ้นทุรนทุราย หวงหลี่จื้อเห็นท่าไม่ดี จึงเอายาใส่ปากแล้วป้อนให้นางด้วยปาก เขาบังคับให้นางกลืนยาลงไป การกระทำขององค์ชายคล้ายจะทำให้เกิดเสียงฮือฮา แต่มีหรือเขาจะสนใจ การช่วยช