“ตอนที่พ่อเจ้าพบกับอี้เฟยก็อายุประมาณเจ้านี่แหละ แต่ช่วงนั้นลุงไปร่ำเรียนต่างเมือง” อี้ถังเอ่ยขึ้นมาเหมือนรำลึกความหลัง “จริงๆ ท่านตากับท่านยายของเจ้าไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอกนะ เพียงแค่อยากให้ลูกสาวคนเดียวได้พบคู่ครองที่ดี พวกท่านไม่ได้แค่หวังให้พ่อของเจ้าอยู่ที่ร้านยากวงแซเท่านั้น แต่อยากให้อี้เฟยอยู่ใกล้ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะแอบหนีตามกันไปจนหายไปนานนับสิบปีขนาดนี้” “ท่านพ่อเองก็รู้สึกผิดมาตลอดจึงไม่กล้าพาหลานกลับมาคารวะท่านตากับท่านยาย” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ “แต่ต่อไปนี้เราสองคนพ่อลูกจะหาโอกาสแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ” “เจ้ากับพ่อจะพักอยู่กับพวกเราก็ได้” มู่ฟางเหนียงส่ายหน้าไปมา “มาเมืองหลวงครั้งนี้เพราะต้องการมาคารวะท่านตากับท่านยาย และท่านพ่อต้องไปพบคหบดีหนันกง เสร็จธุระแล้ว พวกเราก็จะเดินทางกลับ” “พวกเจ้าจะกลับไปไหนกันเล่า” คราวนี้เป็นมู่ฟางเหนียงที่ไม่อาจเอ่ยตอบได้ รู้แต่... ที่นี่ไม่ใช่ที่ของนาง “ท่านลุง ข้าอยากเดินเล่นสักหน่อย ท่านกลับไปก่อนเถิด” นางเอ่ยบอก อยากเดินคิดอะไรสักหน่อยค่อยกลั
หลังจากสูญเสียภรรยาไป มู่หยางซัวก็พาบุตรสาวเพียงคนเดียวที่ภรรยาทิ้งไว้เป็นดั่งสมบัติล้ำค่าออกเดินทางรอนแรมเร่ร่อนไร้จุดหมาย เพียงเพื่อใช้วิชาแพทย์ของตนรักษาผู้อื่น มู่ฟางเหนียงไม่เคยนึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของตนเอง กลับเรียนรู้วิชาแพทย์จากบิดาและช่วยเหลือเป็นดั่งมือขวา ไม่เพียงแค่เรื่องการรักษา นางยังต้องทำหน้าที่ของลูกสาวที่ต้องดูแลปรนนิบัติบิดาด้วย จนกระทั่งสองปีก่อนบิดาได้ข่าวว่าทางชายแดนมีสงคราม ชาวบ้านเดือดร้อนหนักหนา มู่ฟางเหนียงติดตามบิดาไปโดยไม่คัดค้าน เมื่อไปถึงนางกับบิดาก็โชคดีได้รู้จักกับเศรษฐีใจบุญ เมื่อรู้เจตนาของบิดาจึงให้เรือนไม้หลังเก่าเป็นที่พักอาศัยและเป็นโรงหมอสำหรับรักษาคนเจ็บคนป่วย แต่เนื่องจากสองพ่อลูกไม่ได้ทรัพย์สินอะไรติดตัวมากนัก ก็ได้ท่านเศรษฐีช่วยดูแลแบ่งปันอาหารมาให้ ชาวบ้านยากจนซ้ำอยู่ในสภาวะสงคราม ยาจึงเป็นสิ่งสูงค่า นางตัดสินใจเข้าไปหาสมุนไพรเพื่อให้บิดาได้ใช้เป็นยารักษาคนเจ็บ ทว่า...นางกลับหลงป่าอยู่สามวัน ในขณะที่กำลังสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็พบหญิงสาวท่าทางโผงผาง แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มสดใส “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” “ข้า...ข้า ข้าหลงทาง” นา
หญิงสาวมองผู้เป็นพ่อกินอาหารมื้อเย็นด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าบิดากินอาหารได้มากนางก็พลอยเบิกบาน เพราะนี่เป็นหน้าที่ของลูกสาวอย่างนางที่ต้องดูแลปรนนิบัติผู้ให้กำเนิดอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง “นั่งมองพ่อกินแล้วเจ้าจะอิ่มหรือไม่” “เห็นท่านพ่อกินข้าวได้มาก ลูกก็พลอยอิ่มไปด้วย” “เจ้าทำอะไร พ่อก็กินทั้งนั้นละ” ผู้เป็นบิดาส่ายหน้าไปมา แต่ลูกสาวทำหน้าโอดครวญ “ท่านพ่อนี่ขี้เหนียวจริง จะชมฝีมือการทำอาหารของลูกสักคำมิได้หรือไร” “เจ้าก็ย่อมรู้อยู่ว่าฝีมือทำอาหารของเจ้าไม่ธรรมดา” ผู้เป็นพ่อพูดน้ำเสียงเนิบช้า แต่ลอบมองบุตรสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู “หลายปีมานี่ ลำบากเจ้าจริงๆ” “ลูกบ่นลำบากรึ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “ลูกโชคดีที่มีท่านพ่อเช่นท่าน” “พูดจาเอาใจพ่ออย่างนี้ จะเอาอะไรจากพ่อเล่า” “ท่านพ่อ ไยท่านคิดเช่นนั้นเล่า ลูกก็แค่เป็นห่วงท่านพ่อ วันทั้งวันต้องเคี่ยวยา ไหนจะต้องตรวจคนเจ็บป่วยอีก ลูกก็อยากให้ท่านพ่อได้พักผ่อน กินข้าวอิ่มท้องก็เท่านั้นเอง” “เอาละ ยังไงเรื่องอาหารการกินของพ่อก็อ
รถม้าจอดสนิทแล้ว สองพ่อลูกค่อยๆ ลงจากรถโดยมีคนรับใช้มาคอยช่วยถือสัมภาระให้ด้วยกิริยานอบน้อม หมอไม่ใช่อาชีพที่คนทั่วไปนับถือนัก แต่เมื่อเห็นกิริยาของคนรับใช้จวนแม่ทัพแล้ว แสดงว่าได้รับการอบรมมาดี มู่ฟางเหนียงเดินตามแผ่นหลังของบิดา คฤหาสน์หลังงามหรือแม้แต่บ้านไร้หลังคานางล้วนผ่านมาหมดแล้วจึงไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นออกไป มีเพียงท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เดินตามทางที่พ่อบ้านเดินนำไปถึงห้องพัก นางก็ได้ยินเสียงกลั้นสะอื้นของหญิงวัยกลางคน มู่ฟางเหนียงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความเข้าใจความรู้สึกนี้ คนบนเตียงนั้นคงเป็นที่รักของคนที่รายล้อมอยู่ หมอมู่หยางซัวยกมือประสานคารวะแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง แม่ทัพเพียงผงกศีรษะรับ “เป็นข้าที่ต้องขอบคุณที่ท่านมากลางดึกเช่นนี้” “คนเจ็บคนป่วยล้วนรอไม่ได้ ท่านแม่ทัพอย่าได้เกรงใจไปเลย” หมอมู่หยางซัวเดินเข้าไปใกล้เตียงของคนเจ็บ เพราะอาการสาหัสจึงไม่มีม่านโปร่งบังตามธรรมเนียม ทว่าเพียงเห็นใบหน้าซีดเซียวของคนที่นอนหายใจรวยรินก็ต้องสะดุ้ง อาการตื่นตกใจของท่านหมอมู่ทำให้ท่านแม่ทัพขมวดคิ้วด้วยเข้าใจว่าอาการของลูกสาวบุญธ
พูดว่าหลงทาง นางก็ยิ้มฝืนไปทันที ข้อด้อยที่สุดของนางคือนิสัยหลงทิศและจำทางไม่ได้นี่แหละตอนที่ยังเด็กกว่านี้ นางมักหลงทางอยู่บ่อยๆ แม้จะพยายามจดจำแค่ไหน ระยะทางใกล้หรือไกลนางก็หลงอยู่เสมอ พ่อจะถักสร้อยร้อยกระพรวนใส่ข้อมือให้ อย่างน้อยก็ได้ยินเสียงเวลาที่นางเดินไปไหนมาไหน นางฝึกฝนท่องตำรายาและจดจำการกดจุดฝังเข็มได้อย่างแม่นยำ ทว่ากลับหลงทางง่ายยิ่งกว่าเด็กเจ็ดแปดขวบเสียอีก ยิ่งพยายามก็รู้สึกว่ายิ่งทำให้แย่ลง แอบบำรุงตัวเองด้วยสมุนไพรแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หลงทิศน้อยลงสักนิด นานวันเข้าก็เริ่มถอดใจ นางจึงเลี่ยงที่จะไม่ไปไหนคนเดียว แม้หัวใจของนางจะโบยบินไปในท้องฟ้าแล้วก็ตามยาเคี่ยวได้ที่แล้ว แต่ยังไม่มีคนมารับนาง หัวคิ้วขมวดยุ่ง เอาอย่างไรดี ยาควรดื่มตอนที่ยังร้อนอยู่ เอาเถอะ ถือออกไปก่อน คนในจวนมีเยอะแยะ นางถามทางกับใครก็ได้ เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ประคองชามยาออกไป อาจเพราะว่าดึกแล้ว ในจวนถึงเงียบนัก เงียบไม่เท่าไหร่แต่นางไม่เห็นใครที่จะถามทางได้สักคนใจเย็นหน่อยฟางเหนียง เมื่อครู่เดินผ่านอะไรมาบ้างนะ ค่อยๆ นึกและเดินตามทางเดิมซิหญิงสาวสงบใจแล้วเดินตามทางที่ตัวเองคิดว่าเดินผ่านมาเมื่อครู่ ขณะ
มู่ฟางเหนียงค่อยๆ ลงจากบันไดแล้วยืนเท้าเอวจ้องหน้าบิดาก่อนจะเปิดรอยยิ้มสดใสออกมา “เห็นท่านพ่อจ้องลูกตั้งนานแล้ว ท่านจะพูดอะไรก็พูดมาเถิด” หญิงสาวหัวเราะออกมา นางมักยิ้มและหัวเราะง่ายเช่นนี้ ผิดกับบิดาที่มักมีสีหน้าเรียบนิ่งและดูสงบเยือกเย็น “เจ้านี่นะ พ่อยังไม่ทันพูดก็มารู้ความคิดพ่อเสียแล้ว” บิดาถอนหายใจเบาๆ และคลี่ยิ้มที่มุมปาก “ลูกไม่รู้ว่าท่านพ่อคิดอะไร” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “รู้แค่ว่าท่านมีเรื่องอยู่ในใจแต่ปากหนักมิกล้าเอ่ย” “หน้าตาพ่อดูออกขนาดนั้นเลยรึ” ผู้เป็นพ่อหัวเราะขึ้นมา “ถ้าเป็นคนป่วยก็เห็นอาการชัดเลยละเจ้าค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส การที่ในโรงหมอไม่มีผู้อื่น ทำให้นางไม่ต้องคอยระวังรักษากิริยาตัวเองให้เรียบร้อยนัก “ว่าแต่ท่านพ่อมีเรื่องอันใดเจ้าคะ อย่าให้ลูกเดาอยู่เลย” มู่หยางซัวถอนหายใจแล้วยกมือดึงเอาเศษใบไม้บนศีรษะของลูกสาวออกอย่างเบามือ “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วเหนียงเอ๋อร์” “ท่านพ่อแก่ขนาดหลงลืมอายุลูกสาวคนเดียวได้อย่างไรกัน” นางเบ้ปากน้อยๆ “ใช่ๆ พ่
“อืม” หมอมู่พยักหน้ารับแล้วหันไปทางลูกสาว นางเดินผลุบหายไปหยิบล่วมยาส่งให้บิดา “เจ้าอยู่บ้านดีๆ ล่ะ” “เจ้าค่ะ” นางรับคำแล้วมองบิดาออกไปกับคนกลุ่มนั้น ใบหน้าหวานระบายยิ้ม ท่านพ่อนี่ก็พูดเหมือนนางจะออกไปที่ไหนได้ หญิงสาวเดินวนกลับเข้าไปในครัว หลังจากไปรักษาเคอหลิ่งหลินที่จวนแม่ทัพจ้าว นอกจากจะได้ค่ารักษามาแล้ว ฮูหยินอี้ซิ่วยังจิตใจดี แบ่งปันแป้งข้าวโพดและแป้งสาลีมาให้นางไว้ทำอาหาร คงเพราะได้ยินมาว่าสองพ่อลูกรักษาผู้คนไม่รับเงินแต่ก็ไม่มีรายได้ จึงแบ่งปันของกินของใช้มาให้ นางไม่แปลกใจเลยที่เคอหลิ่งหลินเป็นคนจิตใจงามเพราะดูจากฮูหยินและท่านแม่ทัพแล้วก็ล้วนเป็นผู้มีเมตตามีแต่บุรุษผู้นั้น นางได้เจอเขาเพียงครั้งเดียวในวันแรกที่ได้เข้าจวนแม่ทัพจ้าว แล้วก็ไม่ได้พบเขาอีก ใบหน้าหล่อเหลาคมคายแบบที่สังหารสตรีได้เพียงยิ้มเดียว ทว่าหนึ่งในนั้นไม่ใช่นางอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่รบกวนนางก็คือสายตาของเขายามจ้องมองเคอหลิ่งหลินที่บาดเจ็บสาหัส แววตามีความห่วงหาอาทรปนปวดร้าวแจ่มชัด นางไม่กล้าเอ่ยปากถามว่าเขาเป็นใคร ดูจากที่เขารำเพลงกระบี่ระบายโทสะนั้นแล้วคงเป็นทหารคนหนึ่งแต่นางก็ไม่กล้
“จริงด้วย ช่วงนี้ข้านอนไม่ค่อยหลับ ซ้ำยังเจ็บคออีกด้วย”“ข้าน้อยจะเขียนเทียบยาให้ เป็นยาบำรุงสุขภาพเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานใสเอ่ยอย่างสงบ ชวนให้คนฟังสบายใจ “ส่วนท่านหญิง ข้าน้อยจะปรับยาบำรุงให้”“เสียงของเจ้านี่ทำให้คนฟังสงบใจลงได้มาก เอาละ...ข้าเห็นเจ้าอยู่ก็สบายใจ ใจจริงอยากเชิญเจ้ากับพ่อของเจ้ามาอยู่เสียด้วยกันจนกว่าหลิ่งหลินจะฟื้น แต่สามีข้าก็เตือนสติว่าพวกเจ้าเป็นหมอ ชาวบ้านเดือดร้อนเจ็บป่วยจะไปหาใคร หากท่านหมอมู่ว่าไม่เป็นอะไร ข้าก็ย่อมต้องเชื่อใจผู้เป็นหมอ”“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”“เอาละ ข้าจะไปพักผ่อนเสียหน่อย ขาดเหลืออะไรเจ้าก็บอกชุนเอ๋อร์หรือพ่อบ้านได้”“ข้าน้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ”จ้าวฮูหยินตบหลังมือของมู่ฟางเหนียงเบาๆ และมองใบหน้าอ่อนหวานอย่างเอ็นดู แม้หญิงสาวตรงหน้าจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบและสีซีดจางจากการซักหลายต่อหลายครั้ง แต่ดวงตาที่เป็นประกายและกิริยาอ่อนหวานนี้เป็นที่น่าประทับใจเสียจริง“อ่อ! ได้ยินว่าเจ้าชอบอ่านหนังสือ ในห้องตำรามีหนังสือมากมายนัก เจ้าจะหยิบยืมไปอ่านที่บ้านก็ได้ แต่ต้องเอากลับมาคืนนะ”“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างดีใจ แล้วก็นึกว่าได้ว่าแสดงอาการ
“ตอนที่พ่อเจ้าพบกับอี้เฟยก็อายุประมาณเจ้านี่แหละ แต่ช่วงนั้นลุงไปร่ำเรียนต่างเมือง” อี้ถังเอ่ยขึ้นมาเหมือนรำลึกความหลัง “จริงๆ ท่านตากับท่านยายของเจ้าไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอกนะ เพียงแค่อยากให้ลูกสาวคนเดียวได้พบคู่ครองที่ดี พวกท่านไม่ได้แค่หวังให้พ่อของเจ้าอยู่ที่ร้านยากวงแซเท่านั้น แต่อยากให้อี้เฟยอยู่ใกล้ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะแอบหนีตามกันไปจนหายไปนานนับสิบปีขนาดนี้” “ท่านพ่อเองก็รู้สึกผิดมาตลอดจึงไม่กล้าพาหลานกลับมาคารวะท่านตากับท่านยาย” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ “แต่ต่อไปนี้เราสองคนพ่อลูกจะหาโอกาสแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ” “เจ้ากับพ่อจะพักอยู่กับพวกเราก็ได้” มู่ฟางเหนียงส่ายหน้าไปมา “มาเมืองหลวงครั้งนี้เพราะต้องการมาคารวะท่านตากับท่านยาย และท่านพ่อต้องไปพบคหบดีหนันกง เสร็จธุระแล้ว พวกเราก็จะเดินทางกลับ” “พวกเจ้าจะกลับไปไหนกันเล่า” คราวนี้เป็นมู่ฟางเหนียงที่ไม่อาจเอ่ยตอบได้ รู้แต่... ที่นี่ไม่ใช่ที่ของนาง “ท่านลุง ข้าอยากเดินเล่นสักหน่อย ท่านกลับไปก่อนเถิด” นางเอ่ยบอก อยากเดินคิดอะไรสักหน่อยค่อยกลั
“ท่านรับแน่.. ข้ารู้” เคอหลิ่งหลินย่นจมูกแล้วเดินผิวปากออกไปอย่างสบายอารมณ์ พอเดินกลับมาห้องที่ปล่อยให้มู่ฟางเหนียงอยู่ลำพัง ก็พบว่าหญิงสาวผล็อยหลับไปทั้งน้ำตา นางยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้ม นางรู้และเข้าใจดี ทุกข์ใดจะหนักหนาเท่าทุกข์ในห้วงรัก“รออีกนิดนะฟางเหนียง อดทนเพื่อตัวเจ้าเองและคนที่เจ้ารักอีกนิดเถิด” เคอหลิ่งหลินกระซิบคำปลอบโยน เดินไปหยิบผ้าห่มมาคลุมไหล่บาง ให้นางได้หลับสักนิด ประเดี๋ยวตื่นมาคงดีขึ้น แล้วนางจะไปส่งมู่ฟางเหนียงกลับบ้านเอง เคอหลิ่งหลินสรุปให้ตัวเองแล้วเดินลงไปชั้นล่าง ตรวจดูความเรียบร้อยทั่วไปของโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผา คนที่นี่ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของนาง ซึ่งนางก็หวังเช่นนั้น แล้วจู่ๆ นางก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นหมอมู่หยางซัวก้าวเข้ามาในโรงเตี๊ยมมู่หยางซัวเห็นเคอหลิ่งหลินและท่าทีตกใจของนางก็ขมวดคิ้ว ต่อให้รู้ว่าหญิงผู้นี้เป็นพระชายาขององค์ชายไท่หยาง แต่เขาก็ไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้น เคอหลิ่งหลินรีบคลี่ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วเข้าไปต้อนรับ“ไม่ได้เจอเสียนานท่านหมอมู่”“ใช่รึ ข้าคิดไปว่าเห็นเจ้าอยู่บ่อยๆ” มู่หยางซัวโคลงศีรษะไปมา “ฟางเหนียงล่ะ”“เอ่อ...” จะให้พูดอย่าง
“ฟางเหนียง ใจเย็นก่อน เจ้าคิดมากไปแล้ว” เคอหลิ่งหลินเข้าไปโอบไหล่น้อยๆ ที่สั่นเพราะกำลังร้องไห้ แต่ไหนแต่ไร นางไม่เคยเห็นมู่ฟางเหนียงอ่อนแอเปราะบางเช่นนี้ นางออกจะเป็นคนที่อยู่ด้วยเหตุด้วยผลมาเสมอ แม้นางจะอายุยังน้อยแต่ก็เติบโตเกินวัยด้วยซ้ำไป“ข้า... ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าอยากไปจากที่นี่” “ฟางเหนียง” เคอหลิ่งหลินตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ดึงหญิงสาวมากอดไว้ ปล่อยให้นางร้องไห้ออกมา “ก็ได้ๆ ข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้ เจ้าน้องชายผู้นั้นอย่าได้ไปเอ่ยถึงเขาอีก แต่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าหน่อยเถิด นอกจากเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่ไว้ใจจะปรึกษาเรื่องนี้กับใคร”ถึงจะโกรธชายผู้นั้นมากเพียงใด แต่สำหรับนางแล้ว เคอหลิ่งหลินเสมือนพี่สาวแท้ๆ ของนาง เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ต้องการความช่วยเหลือ นางก็กลั้นสะอื้นแล้วปาดน้ำตาราวกับเด็กน้อย มองหน้าเคอหลิ่งหลินที่ยิ้มเศร้าๆ“ครึ่งปีแล้ว ข้ายังไม่มีวี่แววจะตั้งครรภ์เลย แม้องค์ชายไท่หยางจะไม่เอ่ยอะไร แต่ข้าก็ร้อนใจอยากมีทายาทให้เขา”“พี่หลิ่งหลิน ท่านเคยได้รับพิษมา ร่างกายอาจยังขับพิษออกไม่หมด อย่างไรข้าตรวจดูท่านอย่างละเอียดแล้วปรับยาบำรุงให้ท่าน”“ข้าขอโทษที่พูดเรื่องนี้ตอนนี้นะ” เ
จ้าวจิ่นสือวิ่งตามออกมา แต่ราวกับคลาดกันเพียงแวบเดียว เขาหยุดยืนหน้าหอสราญใจแล้วหันซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่พบคนที่ต้องการ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ข่มความกังวลใจที่เกิดขึ้นแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นส่งสัญญาณ เพียงครู่เดียวผู้อารักขาลับก็ปรากฏเบื้องหน้า “นางอยู่ที่ใด” ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้ว่าเขาหมายถึงใคร “เมื่อครู่พระชายาหลิ่งหลินผ่านมา จึงรับตัวนางไปที่โรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาแล้วขอรับ” ผู้อารักขาลับที่ปลอบตัวเป็นชายขอทานเอ่ยตอบ “เข้าใจแล้ว คอยดูนางไว้” “ขอรับท่านรองแม่ทัพ” ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง นางเข้าใจผิดจนได้ อุตส่าห์เก็บเป็นความลับมาได้ตั้งนาน เคอหลิ่งหลินหลบออกมานอกวังอีกแล้วรึ เบื้องหน้านางคือพระชายาผู้แสนจะเรียบร้อย แทบไม่เคยย่างเท้าออกจากตำหนักขององค์ชายไท่หยางเลย แต่เบื้องหลัง... ฮึ! เขาทำเสียงเยาะในลำคอ มีรึเขาจะไม่รู้ว่าพี่สาวต่างสายเลือดผู้นั้นมีชีวิตโลดโผนปานใด ไม่เช่นนั้นคงไม่พบรักกับองค์ชายไท่หยางได้หรอก เขารีบเร่งเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จ้าวจ
“เอาละๆ เมื่อข้ารู้ปัญหาของเจ้าแล้ว เราก็วางเรื่องเหล่านั้นแล้วหาความสำราญกันเถิด ข้าจะเรียกสาวๆ มาปรนนิบัติเจ้าดีไหม”“ไม่ละ ข้าไม่ชอบ” จ้าวจิ่นสือโบกมือห้ามแล้วลุกขึ้นยืน“มีผู้ใดไม่ชมชอบหญิงงามกันเล่า เจ้ามาเยือนหอสราญใจทั้งที ไม่คิดจะเสพสุขบ้างหรือไร” เหวินเฮ่าหลันหัวเราะอย่างเบิกบานที่สามารถล่วงรู้ปัญหาของสหายผู้นี้ได้“ข้ามีนางในดวงใจแล้ว ไม่คิดข้องแวะกับหญิงใดอีก” แม้จะเป็นนางคณิกาเขาก็ไม่ปรารถนา หลายเดือนมานี้เขาต้องแวะเวียนเข้าออกหอนางโลมเพื่อสืบข่าวหัตถ์เทวะ ได้พบหญิงงามหลากหลายแต่ไม่อาจสั่นคลอนเขาได้ มีเพียงผู้เดียวที่เขาปรารถนาจะชิดใกล้ รอเพียงจัดการภารกิจนี้เสร็จ เขาจะได้... รับนางมาเป็นภรรยาเสียที“อะไรกัน! เรื่องสำคัญขนาดนี้ ข้าเป็นสหายเจ้ากลับไม่ยักรู้” คราวนี้เหวินเฮ่าหลันตกใจจริงๆ “หญิงที่ได้ครอบครองดวงใจเจ้าเป็นใครกัน”“ก็เป็นหญิงธรรมดาๆ นี่แหละ” เขายิ้มอย่างไม่รู้ตัว ไม่หรอก นางไม่ธรรมดาเลยสักนิด ไม่เคยมีเลย ไม่มีใครทำให้เขาทุกข์ทรมานใจได้ยามไกลห่าง อิ่มเอมใจได้ยามชิดใกล้เห็นสีหน้าของสหายแล้วก็แหงนหน้าหัวเราะ จ้าวจิ่นสือเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้ดีว่าเหวินเฮ่าหลันร
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม