มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
“เอาละๆ เมื่อข้ารู้ปัญหาของเจ้าแล้ว เราก็วางเรื่องเหล่านั้นแล้วหาความสำราญกันเถิด ข้าจะเรียกสาวๆ มาปรนนิบัติเจ้าดีไหม”“ไม่ละ ข้าไม่ชอบ” จ้าวจิ่นสือโบกมือห้ามแล้วลุกขึ้นยืน“มีผู้ใดไม่ชมชอบหญิงงามกันเล่า เจ้ามาเยือนหอสราญใจทั้งที ไม่คิดจะเสพสุขบ้างหรือไร” เหวินเฮ่าหลันหัวเราะอย่างเบิกบานที่สามารถล่วงรู้ปัญหาของสหายผู้นี้ได้“ข้ามีนางในดวงใจแล้ว ไม่คิดข้องแวะกับหญิงใดอีก” แม้จะเป็นนางคณิกาเขาก็ไม่ปรารถนา หลายเดือนมานี้เขาต้องแวะเวียนเข้าออกหอนางโลมเพื่อสืบข่าวหัตถ์เทวะ ได้พบหญิงงามหลากหลายแต่ไม่อาจสั่นคลอนเขาได้ มีเพียงผู้เดียวที่เขาปรารถนาจะชิดใกล้ รอเพียงจัดการภารกิจนี้เสร็จ เขาจะได้... รับนางมาเป็นภรรยาเสียที“อะไรกัน! เรื่องสำคัญขนาดนี้ ข้าเป็นสหายเจ้ากลับไม่ยักรู้” คราวนี้เหวินเฮ่าหลันตกใจจริงๆ “หญิงที่ได้ครอบครองดวงใจเจ้าเป็นใครกัน”“ก็เป็นหญิงธรรมดาๆ นี่แหละ” เขายิ้มอย่างไม่รู้ตัว ไม่หรอก นางไม่ธรรมดาเลยสักนิด ไม่เคยมีเลย ไม่มีใครทำให้เขาทุกข์ทรมานใจได้ยามไกลห่าง อิ่มเอมใจได้ยามชิดใกล้เห็นสีหน้าของสหายแล้วก็แหงนหน้าหัวเราะ จ้าวจิ่นสือเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้ดีว่าเหวินเฮ่าหลันร
จ้าวจิ่นสือวิ่งตามออกมา แต่ราวกับคลาดกันเพียงแวบเดียว เขาหยุดยืนหน้าหอสราญใจแล้วหันซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่พบคนที่ต้องการ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ข่มความกังวลใจที่เกิดขึ้นแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นส่งสัญญาณ เพียงครู่เดียวผู้อารักขาลับก็ปรากฏเบื้องหน้า “นางอยู่ที่ใด” ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้ว่าเขาหมายถึงใคร “เมื่อครู่พระชายาหลิ่งหลินผ่านมา จึงรับตัวนางไปที่โรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาแล้วขอรับ” ผู้อารักขาลับที่ปลอบตัวเป็นชายขอทานเอ่ยตอบ “เข้าใจแล้ว คอยดูนางไว้” “ขอรับท่านรองแม่ทัพ” ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง นางเข้าใจผิดจนได้ อุตส่าห์เก็บเป็นความลับมาได้ตั้งนาน เคอหลิ่งหลินหลบออกมานอกวังอีกแล้วรึ เบื้องหน้านางคือพระชายาผู้แสนจะเรียบร้อย แทบไม่เคยย่างเท้าออกจากตำหนักขององค์ชายไท่หยางเลย แต่เบื้องหลัง... ฮึ! เขาทำเสียงเยาะในลำคอ มีรึเขาจะไม่รู้ว่าพี่สาวต่างสายเลือดผู้นั้นมีชีวิตโลดโผนปานใด ไม่เช่นนั้นคงไม่พบรักกับองค์ชายไท่หยางได้หรอก เขารีบเร่งเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จ้าวจ
“ฟางเหนียง ใจเย็นก่อน เจ้าคิดมากไปแล้ว” เคอหลิ่งหลินเข้าไปโอบไหล่น้อยๆ ที่สั่นเพราะกำลังร้องไห้ แต่ไหนแต่ไร นางไม่เคยเห็นมู่ฟางเหนียงอ่อนแอเปราะบางเช่นนี้ นางออกจะเป็นคนที่อยู่ด้วยเหตุด้วยผลมาเสมอ แม้นางจะอายุยังน้อยแต่ก็เติบโตเกินวัยด้วยซ้ำไป“ข้า... ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าอยากไปจากที่นี่” “ฟางเหนียง” เคอหลิ่งหลินตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ดึงหญิงสาวมากอดไว้ ปล่อยให้นางร้องไห้ออกมา “ก็ได้ๆ ข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้ เจ้าน้องชายผู้นั้นอย่าได้ไปเอ่ยถึงเขาอีก แต่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าหน่อยเถิด นอกจากเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่ไว้ใจจะปรึกษาเรื่องนี้กับใคร”ถึงจะโกรธชายผู้นั้นมากเพียงใด แต่สำหรับนางแล้ว เคอหลิ่งหลินเสมือนพี่สาวแท้ๆ ของนาง เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ต้องการความช่วยเหลือ นางก็กลั้นสะอื้นแล้วปาดน้ำตาราวกับเด็กน้อย มองหน้าเคอหลิ่งหลินที่ยิ้มเศร้าๆ“ครึ่งปีแล้ว ข้ายังไม่มีวี่แววจะตั้งครรภ์เลย แม้องค์ชายไท่หยางจะไม่เอ่ยอะไร แต่ข้าก็ร้อนใจอยากมีทายาทให้เขา”“พี่หลิ่งหลิน ท่านเคยได้รับพิษมา ร่างกายอาจยังขับพิษออกไม่หมด อย่างไรข้าตรวจดูท่านอย่างละเอียดแล้วปรับยาบำรุงให้ท่าน”“ข้าขอโทษที่พูดเรื่องนี้ตอนนี้นะ” เ
“ท่านรับแน่.. ข้ารู้” เคอหลิ่งหลินย่นจมูกแล้วเดินผิวปากออกไปอย่างสบายอารมณ์ พอเดินกลับมาห้องที่ปล่อยให้มู่ฟางเหนียงอยู่ลำพัง ก็พบว่าหญิงสาวผล็อยหลับไปทั้งน้ำตา นางยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้ม นางรู้และเข้าใจดี ทุกข์ใดจะหนักหนาเท่าทุกข์ในห้วงรัก“รออีกนิดนะฟางเหนียง อดทนเพื่อตัวเจ้าเองและคนที่เจ้ารักอีกนิดเถิด” เคอหลิ่งหลินกระซิบคำปลอบโยน เดินไปหยิบผ้าห่มมาคลุมไหล่บาง ให้นางได้หลับสักนิด ประเดี๋ยวตื่นมาคงดีขึ้น แล้วนางจะไปส่งมู่ฟางเหนียงกลับบ้านเอง เคอหลิ่งหลินสรุปให้ตัวเองแล้วเดินลงไปชั้นล่าง ตรวจดูความเรียบร้อยทั่วไปของโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผา คนที่นี่ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของนาง ซึ่งนางก็หวังเช่นนั้น แล้วจู่ๆ นางก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นหมอมู่หยางซัวก้าวเข้ามาในโรงเตี๊ยมมู่หยางซัวเห็นเคอหลิ่งหลินและท่าทีตกใจของนางก็ขมวดคิ้ว ต่อให้รู้ว่าหญิงผู้นี้เป็นพระชายาขององค์ชายไท่หยาง แต่เขาก็ไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้น เคอหลิ่งหลินรีบคลี่ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วเข้าไปต้อนรับ“ไม่ได้เจอเสียนานท่านหมอมู่”“ใช่รึ ข้าคิดไปว่าเห็นเจ้าอยู่บ่อยๆ” มู่หยางซัวโคลงศีรษะไปมา “ฟางเหนียงล่ะ”“เอ่อ...” จะให้พูดอย่าง
“ตอนที่พ่อเจ้าพบกับอี้เฟยก็อายุประมาณเจ้านี่แหละ แต่ช่วงนั้นลุงไปร่ำเรียนต่างเมือง” อี้ถังเอ่ยขึ้นมาเหมือนรำลึกความหลัง “จริงๆ ท่านตากับท่านยายของเจ้าไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอกนะ เพียงแค่อยากให้ลูกสาวคนเดียวได้พบคู่ครองที่ดี พวกท่านไม่ได้แค่หวังให้พ่อของเจ้าอยู่ที่ร้านยากวงแซเท่านั้น แต่อยากให้อี้เฟยอยู่ใกล้ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะแอบหนีตามกันไปจนหายไปนานนับสิบปีขนาดนี้” “ท่านพ่อเองก็รู้สึกผิดมาตลอดจึงไม่กล้าพาหลานกลับมาคารวะท่านตากับท่านยาย” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ “แต่ต่อไปนี้เราสองคนพ่อลูกจะหาโอกาสแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ” “เจ้ากับพ่อจะพักอยู่กับพวกเราก็ได้” มู่ฟางเหนียงส่ายหน้าไปมา “มาเมืองหลวงครั้งนี้เพราะต้องการมาคารวะท่านตากับท่านยาย และท่านพ่อต้องไปพบคหบดีหนันกง เสร็จธุระแล้ว พวกเราก็จะเดินทางกลับ” “พวกเจ้าจะกลับไปไหนกันเล่า” คราวนี้เป็นมู่ฟางเหนียงที่ไม่อาจเอ่ยตอบได้ รู้แต่... ที่นี่ไม่ใช่ที่ของนาง “ท่านลุง ข้าอยากเดินเล่นสักหน่อย ท่านกลับไปก่อนเถิด” นางเอ่ยบอก อยากเดินคิดอะไรสักหน่อยค่อยกลั
“เจ้าเปิดหนังสือของเขาจนช้ำแล้วยังไม่คิดจะซื้ออีก” เขาแสร้งทำเป็นดุและพูดเสียงดังจนผู้อื่นหันมามอง มู่ฟางเหนียงสะดุ้งที่ถูกสายตาหลายคู่จ้องมองมา นางคิดจะซื้อหนังสือจริงๆ ถ้าไม่ถูกชายผู้นี้หาเรื่องเอาเสียก่อน จ้าวจิ่นสือไม่รอให้นางได้มีเวลาคิดหาคำปฏิเสธอีก เขาจำเล่มที่นางพลิกอ่านอย่างสนใจได้ ก็เอื้อมมือหยิบหนังสือห้าหกเล่มนั้นส่งให้พ่อค้าจัดการห่อและคิดเงินให้เขา “ท่าน!” นางกัดริมฝีปากอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี “ให้คนไปส่งที่โรงเตี๊ยมหมื่นบุปผา บอกว่าของแม่นางมู่” “ขอรับคุณชาย” จ้าวจิ่นสือปรายตามองขอทานผู้นั้นที่ดูท่าทางจะจัดการชายสี่คนนั้นได้ไม่ยาก หากเขาลงมือเองเกรงว่าจะหักแขนหักขาคนพวกนั้นคนละสี่ห้าท่อนเป็นแน่ นางหันไปทางชายขอทานอีกครั้ง อย่างไรคนผู้นั้นจะตั้งใจหรือไม่ เขาก็ถือได้ว่าช่วยนางจากการถูกลวนลาม นางจึงแตะแขนของจ้าวจิ่นสือเบาๆ เขาหันมามองด้วยสายตามีคำถาม “ข้าจะไปดูคนผู้นั้นก่อน” จ้าวจิ่นสือไม่ได้เอ่ยปากถามเพิ่มก็เข้าใจว่านางหมายถึงเรื่องอะไร เขาโคลงศีรษะไปมาแล้วคว้าข้อมือให้นางเดิน
องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น
ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั
“ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา
หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั
“ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน
“เจ้าจะรีบไปไหนกัน!” “ข้าหายดีแล้ว จะไปหาฟางเหนียง” เขาควรรีบไปอธิบายกับนาง เมื่อวานส่งจดหมายแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องภารกิจลับเรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางกลับพร้อมรับมู่ฟางเหนียงไปด้วยเลย โธ่! ยังมิทันไรก็เป็นพวก ‘เกรงใจภรรยา’ เสียแล้ว เหวินเฮ่าหลันได้แต่คลี่พัดโบกไปมา ปกปิดสีหน้าระอาใจ เป็นบุรุษองอาจ ไฉนต้องมาพะวักพะวนกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ “เจ้ารออยู่นี่แหละ เดี๋ยวนางก็มาแล้ว” “เฮ่ย!” “เจ้าจะร้องอะไร” เหวินเฮ่าหลันเห็นอาการของสหายแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะไปมา ได้ยินมาจากเคอหลิ่งหลินว่าจ้าวจิ่นสือบาดเจ็บแต่ไม่ให้เรียกมู่ฟางเหนียงมาทำแผลเพราะเกรงใจที่เป็นเวลาพักผ่อนของนางแล้ว อย่างไรนางก็จะเป็นภรรยาอยู่แล้ว หน้าที่ภรรยาดูแลสามีก็ถูกแล้ว จะค่ำหรือสว่างจะเป็นไรไป เดือดร้อนต้องไปตามหมอผู้อื่นมารักษาให้ แม้จะไม่ใช่บาดแผลสาหัสก็เถอะ “ข้ายังไม่ได้อธิบายกับนาง นางมาเจอข้าแบบนี้...” “เจ้านี่! เป็นถึงรองแม่ทัพ! อย่ามาทำตัวกลัวเมียให้เสียชื่อหน่อยเลย!” เหวินเฮ่าหลันกดเสียงต่ำ เรื่องแบบนี้พ
เคอหลิ่งหลินก็เห็นหญิงสาวในชุดแดงหน้าตาซีดเซียว นางมาไม่ทันจึงไม่รู้ว่าหญิงนางนี้มีเรื่องแค้นใดกับจ้าวจิ่นสือ แต่ด้วยความสงสารในท่าทีสับสนและดูเคว้งคว้างของนางจึงเดินเข้าไปใกล้ หมายจะปลอบประโลมให้สงบใจ“แม่นาง อย่างไรแล้วค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถิด เจ้ามีบาดแผล ให้ข้าดูหน่อยจะเป็นไร” เคอหลิ่งหลินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทำให้ร่างของหญิงสาวในชุดแดงแข็งทื่อ กวาดตาจ้องมองคนทั้งหมด คนพวกนี้พูดคุยเหมือนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน แต่นางนั้นเล่า ไร้ผู้ใดไม่มีใครอีกแล้ว ความเศร้าหมองและหดหู่กัดกินจิตใจ มือบางกำด้ามกริชแน่นขึ้น หมายมั่นจะเอาชีวิตของจ้าวจิ่นสือให้ได้ นางพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดหวาดกลัวและไม่สนใจว่านางอาจถูกฝ่ามือซัดกลับจนถึงแก่ชีวิตช่างปะไร นางจะได้ไม่ต้องเดียวดายอีกแล้ว“จิ่นสือ!” เป็นเสียงเคอหลิ่งหลินที่หวีดร้องอย่างตกใจ น้องชายนางกลับไม่หลบยืนนิ่งปล่อยให้หญิงนางนั้นแทงกริชเข้าชายโครงด้านซ้ายของเขา เพราะคิดว่าจ้าวจิ่นสือจะหลบหลีกหรือตอบโต้ได้ จึงไม่มีใครขวางหรือเข้าไปช่วย ทุกคนจึงตื่นตะลึง แม้แต่หญิงผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า! ไยไม่หลบข้า!” หญิงสาวในชุดแดงปล
แต่กระนั้นอีกฝ่ายกลับไม่ลดความพยายาม เตรียมพุ่งกริชเล่มเดิมนั้นใส่จ้าวจิ่นสืออีก นั่นหมายความว่าเขาคือคนที่นางต้องการชีวิต ร่างบางง้างมือขึ้นแต่ยังไม่ทันไร แสงวาบหนึ่งก็พุ่งผ่านเฉียดมือนางไปเล็กน้อย แต่ก็กรีดผิวเรียกเลือดสีเข้มกระเซ็นออกมา หญิงสาวหวีดร้องอย่างตกใจแต่ไม่ยอมทิ้งกริชเพียงแค่ยกมือกุมบาดแผลแล้วมองมีดสั้นที่ปักบนผนังห้องก่อนจะตวัดสายตามองไปทางหน้าต่าง ผู้มาใหม่กระโจนเข้ามา ใบหน้ามีหน้ากากอสูรปกปิดครึ่งหน้าด้านบน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่เห็นนาง คราวนี้จ้าวจิ่นสือจับกระบี่ขึ้นมา แต่หัตถ์เทวะกลับยกมือโบกไปมาคล้ายไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แล้วเดินวนเวียนรอบกายหญิงสาว ดวงตาคู่งามนั้นไร้แววหวาดกลัวแต่กลับวาวโรจน์ดุจแมวป่า ‘ช่างน่าสนใจนัก!’ “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เป็นจ้าวจิ่นสือที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เห็นชัดว่าชายผู้นั้นไม่ได้รู้จักหญิงสาวในชุดสีแดง “เป็นข้าควรถามเจ้ามากกว่า” หัตถ์เทวะหันมาทางจ้าวจิ่นสือ “ข้านึกว่าเรามีเรื่องสนทนากันตามลำพัง” “เจ้าไม่ได้ส่งนางผู้นี้มาทำร้ายข้าหรอกหรือ” ฝีมืออย่างนาง... จ