ร่างของสัตว์อสูรในเตาหลอมโอสถหลังจากได้ถูกเปลวเพลิงเข้าถาโถมโรมรันแผดเผาจึงเริ่มละลายกลายเป็นก้อนพลังงานบริสุทธิ์ประกายแพรวพราวระยิบระยับงดงาม เช่นเดียวกับไขกระดูกและโลหิตที่ถูกรีดเค้นจนไร้ซึ่งมลทินแล้วยามนี้ หนึ่งชั่วยามให้หลังหนิงอ้ายใช้พลังจิตวิญญาณบีบอัดแก้ไขกลุ่มก้อนพลังงานบริสุทธิ์จากร่างของสัตว์อสูรให้หลอมรวมกับแก่นปราณอสูรอย่างไม่รอช้า กลิ่นอายความลึกล้ำพิสดารได้ปะทุสาดซัดไปทั่วทั้งบริเวณ เปลวเพลิงสีแดงทองประกายรุ้งยังคงเร่งแผดเผาเชื่อมประสานไม่หยุดยั้ง“องค์รัชทายาทเฉิงรุ่ยท่านพร้อมแล้วใช่หรือไม่ขอรับ การดูดกลืนโอสถปลุกสายเลือดคงทำให้ท่านรู้สึกเจ็บปวดทรมาน อย่างไรข้าจะช่วยโคจรพลังลมปราณให้ท่านเจ็บปวดน้อยที่สุด...” หนิงอ้ายกล่าวกับชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับนำขวดหยกโอสถออกมา“รบกวนปรมจารย์โอสถหนิงอ้ายแล้ว” องค์รัชทายาทหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น จากนั้นหนิงอ้ายจึงได้ป้อนโอสถปลุกสายเลือดให้กับองค์รัชทายาทเฉิงรุ่ย ไม่นานนักอีกฝ่ายจึงได้เข้าสมาธิสงบจิตใจพร้อมกับโคจรพลังลมปราณในร่างกายเพื่อชักนำฤทธิ์โอสถวิเศษดังกล่าวร่างกายขององค์รัชทายาทพลันกระตุกเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาฉายชัดถึงความเ
“ขออภัยองค์รัชทายาทฟานหลิงและปรมาจารย์โอสถหนิงอ้ายที่ทางอาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสงให้การต้อนรับบกพร่อง ทำให้ต้องขายหน้าแล้ว...” บุรุษบนบัลลังก์กล่าวขึ้นพร้อมกับประสานมือคำนับเล็กน้อย“พวกข้าทั้งสองต้องขออภัยองค์ราชันเช่นกันที่ละเมิดกฎธรรมเนียมปฏิบัติ เพียงแต่ว่าการเดินทางมายังอาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสงครั้งนี้น้องชายของข้าได้สารบางอย่างจากเทพโอสถบรรพกาลเสวี่ยจิงแจ้งแก่ท่านขอรับ...” บุรุษผู้เป็นองค์ราชันปกครองอาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสงกำลังอ่านข้อความบางอย่างในจดหมายเวทย์ที่ได้รับ คราแรกนั้นสีหน้าของอีกฝ่ายได้เผยความเคร่งเคียดเล็กน้อย ทว่าเพียงครู่เดียวก็ระบายยิ้มออกมาจึงทำให้ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงนี้คลายกังวล“ปรมาจารย์โอสถหนิงอ้ายและองค์รัชทายาทฟานหลิง พวกท่านทั้งสองไม่ต้องกังวล ระยะเวลาอีกหกเดือนให้หลังนี้ทางอาณาจักรของเราจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อสนับสนุนอย่างเต็มที่ เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงตระเตรียมเปิดแดนลับสุวรรณอัคคีเมฆาครามให้เรียบร้อย อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดโดยเด็ดขาด!!”“หลังจากนี้ต้องรบกวนองค์ราชันด้วยนะขอรับ...” หนิงอ้ายเห็นอีกฝ่ายตอบรับอย่างง่ายดายจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านอาจารย์
แน่นอนว่าแต่ละอาณาจักรทั้งเก้านั้นย่อมมีความเห็นแก่ตัวเป็นของตัวเอง ดังนั้นเส้นชีพจรปราณอัคคีเข้มข้นที่มีแดนลับแห่งนี้เป็นจุดศูนย์กลางนั้นได้ถูกกระจายออกไปโดยรอบ ด้วยเพราะสรรพสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตในมหาพิภพย่อมมีกระแสพลังปราณไหลเวียนอยู่ ดังนั้นจึงส่งผลให้ดินแดนบางส่วนที่ไม่ได้รับปราณอัคคีเพลิงสายนี้จึงมีสภาวะแห้งแล้งไม่สมบูรณ์ขุมพลังปราณอันมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ทั่วทั้งบริเวณ หนิงอ้ายย่อมไม่อาจชักนำเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งหมด ดังนั้นภายใต้ขอบเขตรัศมีการรับรู้จากวิชามหาจักษุสวรรค์อนันตมายา เขาจึงสร้างเส้นสายชีพจรปราณอัคคีสายย่อยไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในเวลาหลังจากนั้นไม่กี่เดือน พื้นที่ดังกล่าวนั้นได้กลับมาฟื้นตัวอุดมสมบูรณ์ดังที่ควรจะเป็น แม้ว่าสิ่งนี้จะส่งผลให้ความเข้มข้นบริสุทธิ์ของเส้นชีพจรปราณสายหลักที่คอยหล่อเลี้ยงอาณาจักรทั้งเก้าเข้มข้นลงเล็กน้อย แต่ว่าด้วยฐานะและเบื้องหลังสนับสนุนที่หนิงอ้ายมี บรรดาองค์ราชันผู้ปกครองอาณาจักรทั้งเก้าไม่อาจกล่าวห้ามหรือเอ่ยวาจาขัดขวางตำหนิการกระทำนี้แต่อย่างใดแน่นอนว่าองค์ราชันผู้ปกครองอาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสงได้กระทำตามที่กล่าวไว้ ตลอดระยะเวลาหลัง
หนิงอ้ายยังคงเดินตามม่อหยียน ก้าวข้ามผ่านทางเดินที่ข้าวทางเต็มไปด้วยซากศพมากมายที่เริ่มเหม็นเน่าจนถึงกับต้องกลั้นหายใจ ความเงียบวังเวงแทบจะไร้ผู้คนทำให้หมู่บ้านแห่งนี้เงียบสงบจนน่าขนลุก ทว่าสองเท้ายังคงก้าวเดินไปตามแผ่นหลังอันแข็งแกร่งของบิดาบุญธรรม จนกระทั่งมาถึงโรงเตี๊ยมหลังเก่าที่ด้านหน้ามียามเฝ้าประตูรูปร่างสูงใหญ่ประกบอยู่ด้านข้างชวนให้รู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย มือหนาของทั้งสองได้ผลักประตูต้อนรับผู้มาเยือนทั้งสอง กลิ่นอับด้านในที่โชยออกมาไม่ทำให้ม่อเหยียนหวั่นไหวแต่อย่างใดและยังคงก้าวเดินอย่างมั่นคงไปยังโตะที่ยังว่างอยู่ เสียงฝีเท้าไม่หนักไม่เบาจากสองผู้มาเยือนส่งผลให้ทุกคนภายในร้านต่างจ้องมองมาด้วยความสนใจ“จะสั่งอะไร!!!” ชายร่างเล็กด้านหลังเอ่ยด้วยเสียงกระด้างแข็ง“เอาเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อของที่นี่มาสองแก้ว” เสียงเข้มของม่อเหยียนสั่งไปอย่างเรียบเฉย“รับเป็นอาหารเพิ่มด้วยหรือไม่ วันนี้ทางร้านได้เนื้อของ...” ชายคนเดิมเอ่ยแนะนำอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งสองคนที่นั่งตรงหน้าให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยนั่นจึงหมายความว่าพึ่งเคยเดินทางมายังที่นี่ ทว่าทันทีที่ได้มองสายตาเย็นชาของม่อเหยียนจึงสงบปากแ
หนิงอ้ายเรียกใช้ทักษะวิญญาณยุทธ์ออกมาเพื่อตั้งรับการโจมตีของผู้อาวุโสตรงหน้า ทว่ากลับไม่ปรากฏสิ่งใดขึ้นทั้งสิ้น ชั่วไปขณะนั้นเขาก็ได้เข้าใจในที่สุด ภายในเขตแดนพื้นที่ของเมืองแห่งการสังหารดูเหมือนว่าความสามารถในการบัญชาการเรียกใช้ทักษะวิญญาณยุทธ์อันเกิดจากการดูดซับกระดูกวิญญาณย่อมไม่อาจเรียกใช้ได้ทั้งสิ้น แม้จะรับรู้ถึงความจริงในข้อนี้แต่ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นหาได้ปรากฎร่องรอยของความตื่นตระหนกแต่อย่างใดยามนี้เขาเข้าใจแล้วว่า เหตุใดตั้งแต่เริ่มเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ ม่อเหยียนถึงได้เน้นย้ำให้ฝึกฝนวิชาเชิงยุทธ์และอาวุธต่าง ๆ รวมไปถึงรู้จักการควบคุมพลังลมปราณในร่างกายโดยปิดผนึกความสามารถทางทักษะวิญญาณยุทธ์ นั่นคงเป็นเพราะเมืองแห่งการสังหารนี้ได้มีกฎเกณฑ์พิเศษดังกล่าว สิ่งที่ผู้ฝึกตนสามารถกระทำได้นั่นคือการเอาตัวรอดด้วยทักษะฝีมือและวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดเพียงเท่านั้นเปลวเพลิงสีแดงทองประกายรุ้งได้ปรากฏขึ้นในมือของหนิงอ้ายอีกครั้ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ผลึกแก้วที่มีเปลวเพลิงหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน เพียงตวัดต้านรับกระบี่ของผู้อาวุโสไปเพียงครั้ง เสียงปะทะระเบิดได้ดังขึ้นสะเทือนไปทั้งโถงถ้ำ
เมืองแห่งการสังหารนี้มีพื้นที่ครอบคลุมมากกว่าที่หนิงอ้ายจินตนาการไว้หลายเท่า หลังจากเดินทางโดยใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยามแล้วจึงข้ามพ้นหลังกำแพงเข้าสู่เขตของพื้นที่ส่วนด้านใน สิ่งที่หนิงอ้ายได้รับรู้เพิ่มเติมนั่นคือเมืองนี้นอกจากจะมีผู้ฝึกตนมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาแล้ว ยังประกอบไปด้วยผู้ที่ได้รับโทษเป็นตาย หรือเศษเดนผู้ฝึกตนที่กระทำชั่วช้าร้ายแรงในมหาพิภพ กล่าวได้ว่าเมืองนี้เป็นสถานที่ที่ไม่ต่างไปจากที่คุมขังที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันสังหารคงไม่เกินจริงไปนักหากพื้นที่ส่วนนอกกล่าวได้ว่าเป็นมหานครที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการใช้ชีวิตแล้ว เขตพื้นที่ส่วนด้านในนี้สามารถเปรียบได้ว่ามีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วที่เต็มไปด้วยความร้อนแรงบ้าคลั่ง แสงสลัวจากไฟเวทย์หลากสีสันได้ถูกจุดขึ้นสว่างไสวไปทั่วทั้งเมือง ทุกพื้นที่ต่างอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ทว่ากลับไม่มีผู้ใดสนใจกันทั้งสิ้นภายใต้หน้ากากที่ปกปิดส่วนหน้าครึ่งบนของแต่คนนั้นเผยให้เห็นถึงแววตาที่ฉายชัดถึงความวิปลาสเกินมนุษย์ แน่นอนว่าตลอดทางเดินยังคงแว่วยินเสียงอ้อนวอนร้องขอมีชีวิตที่แสดงถึงความหวาดกลัวสุดท้ายก่อนที่เสียงนั้นจ
สองวันหลังจากครบกำหนดในฐานะของพลเมืองชั่วคราว ยามนี้หนิงอ้ายถือเป็นประชากรของเมืองแห่งการสังหารอย่างเป็นทางการแล้ว ตราบใดที่ไม่อาจเก็บแต้มชัยชนะครบหนึ่งร้อยครั้ง กล่าวว่าชั่วชีวิตไม่อาจหลีกหนีออกจากเมืองนี้ได้ทั้งสิ้น หนิงอ้ายไม่เพียงต้องชนะเท่านั้นในการประลองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขายังต้องคอยรักษาชีวิตนอกสนามต่อสู้ในทุกวันอีกด้วย ทว่าความเป็นจริงที่ต้องเผชิญนี้หาได้สร้างความหวาดหวั่นหรือความกดดันแต่อย่างใดไม่ความน่าหวาดกลัวที่แท้จริงของสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่คู่ประลองที่เป็นศัตรูในสนามประลองสังหาร แต่เป็นการซุ่มโจมตีอย่างต่อเนื่องหลังจากจบการแข่งขันซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด นี่แสดงให้เห็นว่าทางฝั่งของเฟยหลงสามารถเก็บแต้มได้มากกว่าสี่สิบกว่าครั้งในช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีมานี้หาใช่เป็นเรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้น แน่นอนว่าจากนี้หนิงอ้ายต้องระมัดระวังและเพิ่มความรอบคอบมากยิ่งขึ้นเช่นกันสามเดือนต่อมาแต้มคะแนนชนะของหนิงอ้ายที่สามารถเก็บสะสมได้เป็นจำนวนสิบแปดครั้งแล้ว แน่นอนว่าจำนวนของผู้ส่งสารท้าประลองรวมไปถึงผู้ลอบโจมตีก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากเรื่อย ๆ และหลังจากผ่านไปอีกหกเดือนให้หลัง ไอสัง
เข็มเงินทั้งเก้าถูกเคลือบไปด้วยไอสังหารของหนิงอ้าย พร้อมกับพลังลมปราณอันเข้มข้นของราชทินนามราชันวิญญาณขั้นสูงได้ระเบิดพวยพุ่ง ส่งผลให้ห้วงบริเวณดังกล่าวถึงกับบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ ความกระหายชัยชนะถูกปล่อยออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง ในที่สุดเขาก็สามารถทำตามเงื่อนไขของบิดาบุญธรรมได้สำเร็จ ท่ามกลางร่างไร้วิญญาณจำนวนไม่น้อยกว่าครึ่งร้อยที่กระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ของเทพธิดาพิโรธให้มีความน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง ทันทีที่ลมหายใจสุดท้ายของคู่ประลองฝ่ายตรงข้ามหมดลง โดยรอบสนามประลองต่างเงียบสงัดก่อนจะกระหึ่มด้วยเสียงร้องตะโกดังก้องที่ส่งผลให้หัวใจเต้นระรัวอย่างถึงที่สุดภายในเวลาสองปีที่เด็กหนุ่มผู้นี้ได้ก้าวเข้าสู่เมืองแห่งการสังหาร ไม่คาดคิดว่าในวันนี้อีกฝ่ายจะสามารถหยัดยืนเป็นผู้ท้าทายและเก็บแต้มชนะได้ครบหนึ่งร้อยสนามประลองได้เช่นนี้ พวกเขาต่างคิดเห็นตรงกันว่าภายใต้รูปร่างบอบบางราวกับสตรีเป็นเพียงกับดักลวงตาเท่านั้น ยามที่อีกฝ่ายสามารถสังหารเข่นฆ่า รอยยิ้มงามภายใต้หน้ากากที่ปกปิดได้ถูกเปิดเผยขึ้นอย่างงดงาม ไม่ว่าผู้ใดต่างคิดเห็นตรงกันว่ายามนี้เขาเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ไม่ว่าจะผู้ใดก็
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย