หนิงอ้ายยังคงควบคุมเขตแดนที่ปรากฏเป็นม่านพลังโปร่งแสงสีทองนี้อย่างไม่หยุดยั้ง เช่นเดียวกับค้างคาวโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยังคงพุ่งเข้าโจมตีต่อเนื่อง หากพวกมันก้าวล้ำเข้าสู้เขตแดนดังกล่าวต่างล้วนหยุดชะงักงัน สถานการณ์ยามนี้ดูเหมือนว่าทางฝั่งของเฟยหลงกับหนิงอ้ายจะช่วงชิงความได้เปรียบอยู่ไม่น้อย ทว่าการควบคุมพลังลมปราณเพื่อสร้างเขตแดนในพื้นที่พิเศษอย่างเส้นทางนรกนี้ได้ส่งให้หนิงอ้ายต้องแบกรับสภาวะที่กดดันอย่างมหาศาลเช่นกันเห็นได้ชัดว่าค้างคาวโลหิตเหล่านี้มีสัญชาติญาณที่เหนือล้ำกว่าเผ่าพันธุ์เดียวกันหลายเท่า หลังจากผ่านไปไม่กี่เค่อพวกมันต่างไม่เข้าใกล้เขตแดนของหนิงอ้ายเลยสักนิด ถึงอย่างนั้นพวกมันยังคงปักหลักอยู่โดยรอบไม่ได้จากไป พร้อมกับวนเวียนอยู่รอบนอกรัศมีเพื่อสังเกตการณ์และส่งกระแสเสียงโจมตีเข้ามาเป็นบางครั้ง“เจ้าไหวหรือไม่ การฝืนร่ายเวทย์เขตแดนยาวนานถึงเพียงนี้ข้าว่า...” เฟยหลงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าครึ่งถึงของอีกฝ่ายแม้จะถูกปกปิดอยู่ทว่าเขาก็สังเกตเห็นความเหนื่อยล้าที่เริ่มฉายชัดออกมาบ้างแล้ว“การตั้งรับเมื่อครู่ทำให้พวกมันล่าถอยออกไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น พวกเราควรรีบเร่งไป
ดูเหมือนว่าจุดรวบรวมพลังปราณของอสรพิษมัจจุราชเพลิงมรกตนี้จะเป็นจุดกึ่งกลางที่ปรากฎเป็นอัญมณีสีมรกตเลือดที่เปล่งประกายแสงวูบวาบ หนิงอ้ายกับเฟยหลงลอบสบตาก่อนจะพยักหน้าให้กันอย่างมีความนัย ขณะที่มันกำลังห่วงพะวงกับการหลุดรอดไปจากพันธนาการพวกเขาจะต้องช่วงชิงหรือทำลายอัญมณีให้ได้ ทั้งสองต่างปราดท่าร่างวิชาตัวเบาไปอย่างรวดเร็วก่อนที่กริชสั้นในมือของเฟยหลงจะทอประกายแสงสีเข้ม พร้อมกับกระบี่ในมือของหนิงอ้ายได้อาบย้อมไปด้วยปราณทิวาธาตุอันเข้มข้นอสรพิษมัจจุราชเพลิงมรกตคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ยิ่งมันขยับร่างกายมากเท่าใดพันธนาการอันน่าชังนี้ยิ่งผูกมัดแน่นขึ้นและสร้างความเจ็บปวดเกินกว่าจะทนรับได้ มากไปกว่านั้นจิตวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารจากการดูดซับตลอดช่วงเวลาหลายหมื่นปีมานี้พลันอ่อนจางไปส่วนหนึ่ง ไม่คาดคิดว่าวิชายุทธ์ของมนุษย์ผู้ฝึกตนตรงหน้าจะมีความร้ายกาจได้มากถึงเพียงนี้ดวงตาสีแดงของอสรพิษมัจจุราชเพลิงมรกตสว่างวาบด้วยความตื่นตระหนก ไม่คาดคิดว่าพวกมนุษย์ทั้งสองจะไม่ได้รับผลประทบจากหมอกควันพิษเหล่านี้สักเพียงนิด ฉับพลันนั้นอัญมณีตรงกึ่งกลางหน้าผากได้ทอแสงหลังจากได้รับการกระตุ้นถึงขีดสุด เก
ผ่านไปแล้วเจ็ดวันหลังจากออกเดินทางผ่านพ้นเมืองแห่งการสังหาร ทว่าหนิงอ้ายยังคงแบกรับบาดแผลทางใจที่ฝังลึกในจิตวิญญาณอยู่ทุกขณะ ดวงตาเรียวงามที่เคยเปล่งประกายความมีชีวิตชีวาและความอยากรู้อยากเห็นนั้นบัดนี้กลับมืดมัวลงเต็มไปด้วยความเฉยชาอาฆาตสังหาร รอยยิ้มที่เคยสดใสได้จางหายพร้อมถูกแทนที่ด้วยริมฝีปากที่เม้มแน่นและใบหน้าที่แสดงออกถึงความเคร่งเครียดและจะปรากฎขึ้นเสมอยามไม่รู้สึกตัวแม้ร่างกายจะได้รับการฟื้นฟูด้วยฤทธิ์ของโอสถวิเศษรวมไปถึงการดูดซับลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์เข้ามาทดแทนไหลเวียนเพื่อขับไอพิษร้ายที่ได้รับในตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา ทว่าสภาพของจิตใจของหนิงอ้ายยังไม่อาจฟื้นตัวและถอดถอนตัวตนจากบรรยากาศที่ต้องอยู่เอาตัวรอดท่ามกลางความเป็นตายที่ไม่อาจคาดเดาได้โดยง่ายสิ่งเหล่านี้จึงส่งผลทำให้หนิงอ้ายยังไม่อาจปล่อยวางละทิ้งสัญชาตญาณดิบเถื่อนในการระแวดระวังสิ่งรอบกาย จนเกิดเป็นห้วงสภาวะอารมณ์ฟุ้งซ่านที่คอยตามหลอกหลอนทั้งในยามนอนหรือยามตื่นคงไม่เกินจริงไปนัก เขารู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นผลกระทบที่ยังตกค้างไม่อาจปรับเปลี่ยนให้หายเป็นปกติได้โดยฉับพลัน อย่างไรก็ตามหนิงอ้ายก็ได้รับคำแนะนำจากม่อเหยียนอยู
ฉับพลันนั้นพื้นที่โดยรอบพลันปรากฎเป็นเงาร่างของกระบี่เพลิงนับร้อยที่กระจายอยู่โดยรอบทิศทาง ทว่ากลับไม่อาจบัญชาการได้อย่างดั่งใจนึก มากไปกว่านั้นคล้ายกับว่าไอสังหารที่เคลือบทับกระบี่เหล่านั้นต่างสูญสลายไปทีละส่วนชวนให้ประหลาดใจ แน่นอนว่าความผิดปกติดังกล่าวขันทีฝู ที่เชี่ยวชาญในการใช้เวทย์โจมตีนี้สามารถมองเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้ได้ภายในเวลาไม่นานนัก ดูเหมือนว่าไอสังหารและพลังปราณธาตุไฟที่เคลือบทับบรรดากระบี่เพลิงเหล่านี้ได้ถูกตัดขาดจากการบัญชาการของเขาไปชั่วขณะหนึ่ง เช่นเดียวกันกับพลังปราณจากวงแหวนเวทย์ด้านหลังที่ค่อยอ่อนจางลงไปจนเห็นได้ชัด สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่กี่จิบชาเท่านั้นนัยน์ตาสีดำสนิทของหนิงอ้ายประกายด้วยความชอบใจ วิญญาณยุทธ์ของชายชราตรงหน้านั้น เป็นวิญญาณยุทธ์สายโจมตี ประเภทศัตราวุธที่สามารถผันแปรไปตามอาวุธและแร่โลหะวิเศษที่ได้ดูดซับเข้าไป กล่าวว่าหากชายชราผู้นี้ต้องปะทะรับมือกับผู้อื่นคงสามารถช่วงชิงความได้เปรียบได้อย่างไม่ยากนัก ทว่ากับเขานั้นจะปล่อยให้ตนเองเสียเปรียบได้อย่างไรกัน"วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟสายโจมตี ประเภทศัตราวุธสามารถทำได้เพียงแต่นี้อย่าง
หนึ่งปีผ่านไปสำหรับช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้หากจะกล่าวว่าผ่านพ้นได้อย่างง่ายดายก็คงไม่ใช่ถึงเพียงนั้น เขายังจดจำได้ดีว่าในวันแรกที่เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์แห่งการดนตรี เขาได้ปลดปล่อยเขตแดนเทพสังหารออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวจนสร้างความพรั่นพรึงแก่ทุกคนที่อยู่ภายในตำหนักกุ้ยหลินแห่งนี้ ยังดีที่ก่อนหน้าซูเซียวได้ให้สุดยอดฝีมือลงสลักกำกับค่ายกลโดยรอบให้มีความแน่นหนาขึ้น ส่งที่เกิดขึ้นนั้นผู้อื่นจึงไม่อาจรับรู้ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็สามารถควบคุมและฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ได้ในท้ายที่สุด ทุกค่ำคืนเขาพยายามศึกษาตำรา เคล็ดวิชา รวมไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งให้ได้มากที่สุด อีกทั้งยังคงนั่งดูดซับปราณฟ้าดินอย่างสม่ำเสมอเช่นกันองศ์หญิงซูเซียว ผู้มีศักดิ์เป็นน้าของเขามีสมญานามว่าเทพธิดาเพลงพิณสังหาร เนื่องจากนางนั้นใช้พิณเจ็ดสายเป็นอาวุธประจำตัวโดยประสานเข้ากับศาสตร์แห่งเสียง กล่าวว่าพิณเจ็ดสายสามารถสร้างสรรค์บทเพลงที่ไพเราะเช่นนี้ได้นับว่าอัศจรรย์ยิ่ง ท่วงทำนองของบทเพลงโจมตีสังหารที่ถือครองอยู่นั้นจะผันแปรไปตามห้วงอารมณ์ ณ ขณะนั้น โดยเรียกขานบทเพลงแห่งการสังหารนี้ว่า เพลงพิณดอกเหมยลู
หลังจากนั้นห่าวหรานได้มีบัญชาการให้เหล่าราชันผู้ปกครองดินแดนที่จงรักภักดีได้ตระเตรียมสถานที่ทำพิธีสำคัญนั่นคือการส่งตัวเขากลับคืนสู่ดินแดนเดิม สถานที่ดังกล่าวนั้นเป็นยอดเขาลูกหนึ่งมีภูเขาน้อยใหญ่ล้อมรอบอาบย้อมด้วยสุดยอดพลังปราณเข้มข้นบริสุทธิ์ถึงขีดสุด ตรงลานกว้างใจกลางของปะรำพิธีนั้นมีแท่นศิลาแกร่งที่สลักด้วยลาดลายงดงามแปลกตาประสานเข้ากับอักขระเวทย์มหาพิภพชุดหนึ่งกำกับอยู่ที่คอยชักชำกระแสพลังปราณเหล่านี้หลั่งไหลเสริมความแข็งแกร่งของมหาค่ายกลที่กำลังจะถูกบัญชาการหลังจากนี้“มหาค่ายกลนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น กล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดของศาสตร์แห่งค่ายกลอย่างแท้จริง ยิ่งได้รับแรงสนับสนุนจากราชทินนามมหาอัครพรหมยุทธ์วิญญาณเสริมความแข็งแกร่งแล้ว พลานุภาพทำลายล้างสามารถบดขยี้ห้วงมิติหนึ่งได้อย่างง่ายดายคงไม่เกินจริงไปนัก...” ฟานหลิงเอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชม สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้กล่าวว่าเป็นสุดยอดอักขระวิถีที่ไม่อาจพบเจอได้โดยง่าย กลวิธีแห่งศาสตร์แห่งค่ายกลนั้นหาใช้เป็นสิ่งที่ศึกษาหรือบัญชาการได้โดยง่ายไปเสียเมื่อไหร่ ความสามารถเช่นนี้แม้กระทั่งราชทินนามมหาอัครพรหมยุทธ์วิญญาณทั่วไปที่ไม่มี
แคว้นจูเชว่ ดินแดนพิภพระดับสูงสายลมแรงพัดโหมกระหน่ำไปทั่วท่ามกลางความมืดมิดที่โอบล้อมทั้งผืนป่า ความสงบสุขสุดท้ายได้ถูกทำลายลงในที่สุด ยามนี้ค่ายกลเขตแดนป้องกันก็ได้สูญสลายไปสิ้นส่งผลให้กลุ่มคนชุดดำจำนวนนับไม่ถ้วนต่างถาโถมเข้ามาราวกับมดแตกรังคงไม่เกินจริงไปนัก แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้จะวุ่นวายมากเพียงใด ทว่าเหล่าผู้คุ้มกันยังคงร่วมปกป้องนายของตนอย่างเต็มที่แม้จะมีบางส่วนที่เพลี่ยงพล้ำตกตายไปก็ตาม“คุณชายรองหวังเฟยหลง อย่าคิดว่าท่านจะหนีพ้นไปได้ในวันนี้!!!” ชายกำยำตะโกนออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนจะดีดตัวทะยานขึ้นฟ้าตามไปอย่างไม่ลดละ แม้ในยามปกติวิชาตัวเบาของอีกฝ่ายจะล้ำเลิศเป็นอันดับต้น ๆ ก็จริง แต่พิษร้ายที่ได้รับคงออกฤทธิ์ทั่วร่างกายไปไม่น้อยแล้วจึงส่งผลให้สามารถตามได้อย่างไม่ห่างไปเท่าไหร่นัก“ไม่ว่าใครที่เข้ามาขัดขวางสังหารได้ทันที!!!” ร่างของชายกำยำที่สวมใส่ด้วยเสื้อผ้าและผ้าคลุมสีดำสนิททำให้ไม่อาจระบุตัวตนได้สิ่งที่ปรากฏให้เห็นยามนี้มีเพียงดวงตาที่ดุดันและประกายแววอาฆาตสังหารอย่างปิดไม่มิดคมกระบี่และอาวุธต่าง ๆ ที่บรรดาคนชุดดำใช้นั้นมีหลากหลายรูปแบบ พลังปราณและจิตสังหารที
หวังเฟยหลงยอมรับว่าเขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นคุณชายหนิงอ้ายในครั้งแรก ด้วยเพราะสถานการณ์ทางฝั่งของเขานั้นย่ำแย่ถึงขีดสุด หากคุณชายเป็นฝั่งเดียวกันกับศัตรูแล้วเขาคงพลาดท่าตกตายไปในที่สุด ทว่าหลังจากที่อีกฝ่ายได้จัดการฝ่ายศัตรูอย่างเฉียบขาดอีกทั้งยังมอบโอสถระดับหกถึงสองเม็ดง่ายดายถึงเพียงนี้ย่อมพอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายเป็นแน่แม้จะยังไม่กระจ่างถึงความเป็นมาแต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะกินโอสถรักษาที่ได้รับมาแต่โดยดี หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเค่อ เสียงของฝีเท้าที่เหยียบย่ำด้วยวิชาตัวเบาได้เข้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่กลับเป็นกลิ่นอายที่คุ้นเคยดังนั้นหวังเฟยหลงจึงไม่กังวลใจเท่าไหร่นัก"คุณชายรองท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?" เสียงขององครักษ์ผู้หนึ่งดังขึ้นก่อนที่ด้านหลังนั้นจะตามมาด้วยผู้ติดตามอีกนับสิบกว่าคน"ข้าโชคดีที่มีสุดยอดฝีมือท่านหนึ่งเข้ามาช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นข้าคงถูกสังหารไปแล้วเช่นกัน..." หวังเฟยหลงตอบกลับไป"แล้วนี่...""พวกมันล้วนตกตายกันหมดสิ้นเหลือแต่เพียงคุณชายฟางผู้นั้น อย่างไรเมื่อกลับตระกูลหวังข้าจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้ง พวกเรารีบกลับเสียเถอะ" ยาม
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย