หวังเฟยหลงยอมรับว่าเขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นคุณชายหนิงอ้ายในครั้งแรก ด้วยเพราะสถานการณ์ทางฝั่งของเขานั้นย่ำแย่ถึงขีดสุด หากคุณชายเป็นฝั่งเดียวกันกับศัตรูแล้วเขาคงพลาดท่าตกตายไปในที่สุด ทว่าหลังจากที่อีกฝ่ายได้จัดการฝ่ายศัตรูอย่างเฉียบขาดอีกทั้งยังมอบโอสถระดับหกถึงสองเม็ดง่ายดายถึงเพียงนี้ย่อมพอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายเป็นแน่แม้จะยังไม่กระจ่างถึงความเป็นมาแต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะกินโอสถรักษาที่ได้รับมาแต่โดยดี หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเค่อ เสียงของฝีเท้าที่เหยียบย่ำด้วยวิชาตัวเบาได้เข้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่กลับเป็นกลิ่นอายที่คุ้นเคยดังนั้นหวังเฟยหลงจึงไม่กังวลใจเท่าไหร่นัก"คุณชายรองท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?" เสียงขององครักษ์ผู้หนึ่งดังขึ้นก่อนที่ด้านหลังนั้นจะตามมาด้วยผู้ติดตามอีกนับสิบกว่าคน"ข้าโชคดีที่มีสุดยอดฝีมือท่านหนึ่งเข้ามาช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นข้าคงถูกสังหารไปแล้วเช่นกัน..." หวังเฟยหลงตอบกลับไป"แล้วนี่...""พวกมันล้วนตกตายกันหมดสิ้นเหลือแต่เพียงคุณชายฟางผู้นั้น อย่างไรเมื่อกลับตระกูลหวังข้าจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้ง พวกเรารีบกลับเสียเถอะ" ยาม
ม่านพิภพตระกูลหวัง มหานครจูเชว่ ดินแดนพิภพระดับสูงท่ามกลางความเงียบสงบภายในหอบรรพชนตระกูลหวัง ปรากฎร่างของบุรุษวัยกลางคนยังคงถ่ายเทพลังลมปราณเข้าสู่สมบัติวิเศษระดับต้นกำเนิดที่ถูกเรียกขานนามว่าตะเกียงสามขาผสานวิญญาณส่องพิภพสวรรค์อันเป็นสมบัติวิเศษตกทอดมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งตระกูลเมื่อหลายพันปีก่อน โดยเชื่อกันว่าขุมพลังลี้ลับบางประการที่ไหลเวียนอยู่จะสามารถชักนำกายเนื้อและจิตวิญญาณให้หวนคืนจากความตายได้แม้จะแตกสลายไปแล้วก็ตามถึงในอดีตเองจะเคยมีการเปิดใช้งานสมบัติวิเศษดังกล่าวแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจฟื้นคืนชีพคนผู้นั้นได้อย่างแท้จริง ถึงอย่างไรหวังจิ่งหลงยังคงเชื่อมั่นด้วยศรัทธาที่แรงกล้าถึงขีดสุด ต่อให้สิ่งนี้เป็นเพียงความหวังเดียวที่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ก็ตามปัจจุบันหวังจิ่งหลงรับตำแหน่งผู้นำตระกูลหวังทั้งยังขึ้นเป็นผู้ปกครองมหานครจูเชว่แห่งนี้ก็นับเป็นเวลาสิบปีแล้ว หลังจากสิ้นสุดศึกใหญ่ที่เขาได้นำกองกำลังพันธมิตรไปทำลายตำหนักเทพมารทมิฬให้หายไปจากหน้ามหาพิภพในครั้งนั้น แม้เวลาจะผันผ่านหมุนเวียนเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ทว่าการจากไปของหนิงอ้ายกล่าวว่ายังไม่อาจยอมรับได้เพียงนิดช่วงแ
เส้นทางของผู้ฝึกตนในโลกยุทธภพแห่งนี้กล่าวว่าการดิ้นรนต่อสู้นั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ถือเป็นกฎเกณฑ์ที่แม้ไม่ถูกระบุด้วยลายลักษณ์อักษร ทว่าย่อมกระจ่างใจแก่บรรดาผู้ฝึกตนทุกคน กันทั้งสิ้น พวกเขาทั้งหลายล้วนต้องฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามมากมายเพื่อเอาชีวิตรอดและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ที่สำคัญคือ โลกยุทธภพนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การประลองฝีมือบนสังเวียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการชิงไหวพริบอันซับซ้อนมีชั้นเชิงที่เหล่าผู้ฝึกตนต้องใช้ทั้งพละกำลังและสติปัญญาเพื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดเหนือผู้ใดแน่นอนว่าเส้นทางนี้ย่อมเป็นการเดินทางที่โหดร้ายหาใช่โรยด้วยกลีบกุหลาบ พวกเขาทั้งหลายย่อมต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด ความสูญเสียและความสิ้นหวังอย่างนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันบนเส้นทางเดินนี้ก็สามารถพบเจอกับมิตรภาพเพื่อนำทางไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือการต่อสู้ในโลกยุทธภพนี้ไม่ใช่เพียงเป็นการเอาชีวิตรอด การดิ้นรนหนีต่อสู้ในโลกยุทธภพจึงเป็นการเดินทางที่ทั้งโหดร้ายบ้างก็งดงาม อย่างไรย่อมถือเป็นการทดสอบขีดจำกัดของมนุษย์และเปิดเผยความกล้าหาญ ความเมตตารวมไปถึงความมุ่งมั่นที่ซ่อนอยู่ในจิต
กลิ่นหอมจากสมุนไพรหลากหลายชนิดเมื่อผสานเข้ากับกลิ่นของกำยานที่ถูกจุดในกระถางตอนนี้ได้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว ทั้งตำหนัก เมื่อประตูถูกเปิดออกให้เข้าสู่ด้านในแล้วจึงพบว่ามีร่างของบุรุษที่มีอายุมากน้อยลดหลั่นกันไปนับเกือบสิบคนที่นอนพักรักษาอยู่บนเตียงโดยรอบ แต่สิ่งหนึ่งของอาการที่ทุกคนเป็นเหมือนกันนั่นคือ ผิวหนังภายนอกร่มผ้าปรากฎเป็นรอยจ้ำสีเขียวคล้ำ ริมฝีปากต่างซีดเซียว ราวกับกระดาษ กระแสพลังลมปราณในร่างกายต่างถูกดึงกระชากออกจากร่างกายจนเห็นด้วยตาเปล่าโดยที่โอสถวิเศษรวมไปถึงกระถางกำยานที่ถูกจุดขึ้นนี้ ทำได้เพียงชะลออัตราความเร็วให้ลดลงเท่านั้น"คำนับท่านประมุข คุณชายรองและคุณชายท่านนี้ขอรับ..." หมอชราเผยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะประสานมือคำนับเล็กน้อย"อย่าได้มากพิธีไปถึงเพียงนั้น ท่านหมอชุนหลี่ตอนนี้อาการของท่านพ่อและผู้อาวุโสท่านอื่นเป็นอย่างไรบ้าง?" หวังจิ่งหลงถามไปด้วยความกังวล"ยามนี้เราผู้เฒ่ายังไม่อาจระบุได้ว่าพิษร้ายที่ท่านประมุขคนเก่ารวมไปถึงผู้อาวุโสท่านอื่นได้รับเป็นพิษชนิดใด แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือแม้จะเรียกใช้สมบัติวิเศษระดับสูงที่มีคุณสมบัติต่อต้านพิษร้าย โอสถแก้พิษระดับหก
ยามนี้บรรดาผู้ที่ได้รับพิษร้ายทั้งสิบคนต่างฟื้นคืนสติกันแล้วทั้งสิ้นท่ามกลางความดีใจของทุกคน จากนั้นหวังจิ่งหลงจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้แก่บิดาและผู้อาวุโสทุกคนอย่างละเอียด ยามที่พวกเขารู้ว่าพิษร้ายที่พวกเขาได้รับนั้นเป็นถึงพิษของสัตว์อสูรระดับมายาขั้นสูงถึงสองชนิดรวมไปถึงโอสถสลายวิญญาณที่ถูกละลายลงในน้ำชาที่พวกเขาได้ยกดื่มไป เพียงเท่านี้กล่าวได้ว่าชีวิตของพวกเขาได้ก้าวย่างเข้าสู่ความตายไปมากกว่าครึ่งเสียด้วยซ้ำแต่เพราะความช่วยเหลือจากหลานชายของเขาที่ได้ตกตายไปเมื่อสิบปีก่อน พวกเขาทุกคนจึงรอดจากวิกฤตนี้ได้ในที่สุด ผู้อาวุโส บางท่านนั้นถึงกับเอ่ยขอโทษหวังจิ่งหลงพร้อมสารภาพตามตรงว่าพวกเขาหลายคนเคยคิดว่าการกระทำของเขานั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นจริงได้ ด้วยเพราะไม่คาดคิดว่าสมบัติวิเศษระดับต้นกำเนิดตะเกียงสามขาผสานวิญญาณส่องพิภพสวรรค์จะสามารถชักนำกายเนื้อและจิตวิญญาณของอีกฝ่ายให้หวนคืนสู่มหาพิภพเช่นนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งหมอชราชุนหลี่ยังได้บอกกับทุกคนในที่นี้อย่างไม่ปิดบังว่า ด้วยญาณสัมผัสอันลึกล้ำของนักปรุงโอสถระดับหกที่ถูกเรียนขานสมญานามอัครราจารย์โอสถของเขา ยังไม่อาจ
เรื่องราวความขัดแย้งของตระกูลหวังกับตระกูลฮั่นเป็นเสมือนกับระเบิดเวลานับถอยหลังส่งผลให้ผู้คนที่อาศัยในมหานครจูเชว่ต่างหวั่นวิตกถึงผลลัพธ์ที่อาจจะเป็นไปได้มากมายหลายทาง ด้วยเพราะทางฝั่งของตระกูลหวังนั้นถือเป็นตระกูลเก่าแก่ที่ปกครองมหานครแห่งนี้ ส่วนทางตระกูลฮั่นอย่างไรก็เป็นถึงหนึ่งในห้าตระกูลชั้นสูงที่มีอิทธิพลไม่ธรรมดาเช่นกัน ทุกสายตาต่างจับจ้องการเคลื่อนไหวของทั้งสองตระกูลอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไรย่อมส่งผลที่ยากจะคาดเดาได้ต่อมหานครนี้รวมไปถึงดินแดนจูเชว่ทั้งหมดคงไม่เกินจริงไปนักยิ่งมีการพูดถึงจากผู้พบเห็นเหตุการณ์ขณะที่มีผู้บุกรุกกำลังออกมาจากม่านพิภพตระกูลหวังก่อนจะหลบหนีไปได้ สิ่งนี้นับเป็นการตอกย้ำแน่ชัดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งของทั้งสองตระกูลคงยากที่จะหันหน้าพูดคุยกัน เพราะการที่ทางตระกูลฮั่นถึงกับใจกล้ากระทำอุกอาจนั้นคงมั่นใจในไพ่ลับที่อยู่ในมือตนไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าลงมือเปิดเผยไม่เกรงกลัวจริงอยู่ที่ว่าก่อนหน้านี้เรื่องราวความขัดแย้งของทั้งสองตระกูลอาจยังเป็นที่รับรู้เฉพาะบรรดาตระกูลใหญ่และกลุ่มอิทธิพลในดินแดนจูเชว่บางกลุ่ม ทว่ายามนี้เรื่องราวกับลุกลามไปทั่วราวก
เหนือบริเวณยอดเขาเขียวอันเป็นชัยภูมิที่ตั้งของม่านพิภพตระกูลฮั่น ท้องนภาที่แผ่ปกคลุมกว้างใหญ่ไพศาลนั้นได้สั่นสะเทือนสะท้อนไปทั่ว ห้วงอากาศส่วนนั้นถึงกับบิดเบี้ยวผันผวนด้วยแรงบีบอัดอันมหาศาลก่อเป็นรูปร่างของกระจกโบราณขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์โบราณอหังการยิ่ง ก่อนจะปรากฏเงาจำนวนสามร่างทะลุออกมาจากม่านกระจกอันพิสดารนี้ ตรงด้านหน้าสุดนั้นเป็นชายวัยกลางคนอายุราว ๆ สี่สิบห้าสิบปีที่มีใบหน้าหล่อเหลาน่าเกรงขามดวงตาคมกล้าสีดำสนิทจ้องมองไปเบื้องหน้าด้วยความเข้มแข็งดุดันพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างท่วมท้น ตรงด้านหลังยังปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีแดงเข้มซ้อนกันสองชั้น อันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกตนราชทินนามเทพยุทธ์ขั้นกลางผู้หนึ่ง ถือเป็นหนึ่งในตัวตนระดับสูงเพียงไม่กี่คนในแคว้นจูเชว่ที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัตินี้ตรงด้านข้างซ้ายขวานั้นได้ถูกประกบด้วยชายชราผมสีขาวโพลนทั้งสอง จากรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาคล้ายกับอยู่ในช่วงวัยหกสิบเจ็ดสิบปี ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากวงแหวนเวทย์สีแดงหนึ่งชั้นที่ครอบครองอยู่ย่อมไม่อาจดูเบาได้เพียงนิด ราชินนามเทพยุทธ์ขั้นต้นย่างก้าวที่ลึกล้ำโดดเด่น เพี
เสียงปะทะดังสะท้านทั่วทั้งม่านพิภพตระกูลฮั่น วิชายุทธ์พิฆาตที่ผสานไปด้วยวิญญาณยุทธ์อันหลากหลายได้สร้างความเสียหายอย่างหนักเป็นวงกว้างส่งผลให้อาคารบ้านเรือน สิ่งก่อสร้างโดยรอบรัศมีล้วนถูกทำลายไปจนสิ้น ยิ่งสนามต่อสู้ของสุดยอดฝีมือของทั้งสองฝ่ายแล้วล้วนเต็มไปด้วยจิตสังหารที่สร้างแรงคุกคามต่อผู้ฝึกต้นที่อ่อนด้อยในพลังลมปราณจนไม่อาจย่างก้าวเข้ามายุ่งย่ามบริเวณส่วนนี้ได้“ไม่คิดว่าผู้อาวุโสลู่แห่งตระกูลหวังจะมากไปด้วยฝีมือเช่นนี้...” บุรุษวัยกลางคนที่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสำนักเทพมารที่ถูกส่งตัวมาได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้มมุมปาก“สวะเช่นพวกเจ้าที่ละทิ้งเผ่าพันธ์ไปเข้าร่วมกับพวกมารปีศาจอย่าได้ทะนงว่าตนแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น วันนี้ตาเฒ่าผู้นี้จะสั่งสอนเจ้าเอง!!”"ช่างไม่กลัวความตายเสียจริง!!!"พริบตาเดียวนั้นกรงเล็บที่ห่อหุ้มด้วยปราณมารก็บรรลุถึงเบื้องหน้าของลู่หลาน แรงสะกดข่มของพลังปราณที่ถูกเสริมแกร่งด้วยค่ายกลดวงตามารได้สร้างความกดดันเพิ่มขึ้นหลายเท่า เผชิญหน้ากับกระแสพลังขั้วตรงข้ามของฝ่ายมากเช่นนี้ทำให้ยากที่จะขยับตัวได้ดั่งใจนึก อย่างไรก็ตามกระบี่ในมือยังคงถูกยกขึ้นต้านรับกรงเล็บมารนี้ได้
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย