ลู่ไจ่เย่หันกลับมาทันทีหลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็เกาหลังหูและเงยหน้าขึ้นมองเหวินเหยียนโจว “พี่โจว พี่คืนดีกับเลขาโหลวแล้วเหรอ? ”เหวินเหยียนโจวถือแก้วไว้ในมือ โดยให้ก้นถ้วยวางอยู่บนฝ่ามืออีกข้างแล้วพูด “อืม” อย่างใจเย็นลู่ไจ่เย่ “แล้วทำไมพี่ถึง...... ”ดวงตาของเหวินเหยียนโจวแข็งค้างทันทีลู่ไจ่เย่หยุดพูดหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนเขาจะเข้าใจ เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ “ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาบอกว่าความเจ็บปวดเป็นครูที่ดีที่สุด...... โอเค ผมเข้าใจแล้ว ไว้ผมจะนำไปใช้บ้างนะ”รูมเซอร์วิสมาส่งอาหาร ลู่ไจ่เย่กำลังจะดูว่าอะไรอร่อย แต่เหวินเหยียนโจวก็ชิงตัดบทก่อน “ฉันไม่ได้เตรียมส่วนของนายไว้”ลู่ไจ่เย่หัวเราะและต่อว่าขำ ๆ “ก็ได้! ผมมันก็เป็นแค่วัวตัวหนึ่ง สั่งให้ทำงานแต่กลับไม่ให้ข้าวกิน ผมออกไปหาอะไรกินเองก็ได้”เหวินเหยียนโจวหยิบกุญแจรถที่เขาโยนไว้บนโต๊ะตั้งแต่ตอนที่เข้ามาในห้อง แล้วโยนให้ลู่ไจ่เย่ “ระวังตัวด้วย”ลู่ไจ่เย่โบกมือเพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจและเดินออกไป เมื่อเขาปิดประตูเขาก็เหลือบมองไปทางห้องนอนอีกครั้งทันทีที่ประตูปิด ความรู้สึกไม่พอใจของเขาก็ลดน้อย
โหลวฉางเยว่ตกตะลึงความคิดที่ยุ่งวุ่นวายแต่เดิมก็ถูกจัดการในทันที เธอนั่งที่โต๊ะอาหารและยืดตัวขึ้น มองดูชายคนนั้น “ประธานเหวินคะ คุณจำผิดอะไรหรือเปล่า เมื่อคืนฉันยังไม่ได้เห็นด้วยอะไรกับคุณเลยนะคะ”เหวินเหยียนโจวมองด้วยสายตาที่เฉียบคม และเมื่อมองแวบเดียว กลิ่นอายของประธานเหวินก็กลับมา “คุณไม่เห็นด้วยกับผมอย่างงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูถังขยะในห้องนอนสิ”เป็นของที่พวกเขาเพิ่งใช้ไปเมื่อคืนนี้......เขากำลังเตือนเธอถึงสิ่งที่พวกเขาทำเรื่องถึงขั้นนี้แล้ว ยังบอกว่าไม่เห็นด้วยอีกงั้นเหรอ?ใบหน้าของโหลวฉางเยว่ดูไม่เป็นธรรมชาติก่อนอื่นเธอหยิบเค้กชิ้นเล็ก ๆ ขึ้นมากินรองท้อง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่ใช่ว่าประธานเหวินเป็นแบบนี้ตลอดหรอกเหรอคะ? เกิดเรื่องก็ส่วนเกิดเรื่อง สถานะก็ส่วนสถานะ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วแต่ไม่ให้สถานะ ก็เป็นเรื่องปกติหนิคะ”ตลอดระยะเวลาสามปีที่เธออยู่กับเขา เธอไม่มีสถานะอะไรเลยโหลวฉางเยว่เงยหน้าขึ้น และมองกลับมาที่เขาด้วยสีหน้าเย็นชา “ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าประธานเหวินเคยให้สถานะกับไป๋โหยวด้วยเหมือนกัน เธอและคุณเองไม่ใช่ว่าก็ทำมาหลายครั้งแล้วเหรอคะ? ”เตา
“……”เรื่องแบบนั้น ควรจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีอย่างที่ไหนมาแจ้งให้คนเตรียมตัวก่อนกันล่ะ?!เนื่องจากคำพูดนั้นของเขา โหลวฉางเยว่จึงสับสนตลอดเวลาที่ทานอาหาร หลังจากทานเสร็จเธอก็รีบโทรไปขอให้ใครสักคนช่วยเอาเสื้อผ้าของเธอมาให้เหวินเหยียนโจวเข้ามาจากด้านหลังทันที อุ้มเธอขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “จ่ายรางวัลมาก่อน”โหลวฉางเยว่ไม่คิดว่าเขาจะพูดจริงจัง ดังนั้นเธอจึงพยายามปฏิเสธ เตะขาและพยายามกระโดดลง “เหวินเหยียนโจว ปล่อยฉันลงนะ! คุณทำไม่ได้...... คุณจะ...... เดี๋ยวสิ! ”คำพูดที่เหลือถูกปิดกั้นเมื่อประตูห้องนอนถูกปิดลงแม้ว่าประธานเหวินจะไม่ชอบคุณภาพของโรงแรมนี้เท่าไหร่ แต่ห้องระดับสูงก็คือห้องระดับสูง และอย่างน้อยฉนวนกันเสียงก็ดีมากตะโกนดังแค่ไหน เสียงก็ผ่านออกไปไม่ได้……หลังจากที่ลู่ไจ่เย่ลงไปที่ชั้นล่าง เขาก็นั่งในรถของเขา เขาเริ่มโทรศัพท์ก่อน บอกคนของเขาถึงสิ่งที่เหวินเหยียนโจวขอให้เขาทำ จากนั้นเขาก็จุดบุหรี่ในรถอีกมวนเขาชอบสูบบุหรี่ที่แรงกว่าปกติที่คนทั่วไปสูบ ปล่อยให้นิโคตินไหลเวียนในปอด แล้วค่อย ๆ พ่นควันออกช้า ๆ อาการระคายเคืองที่แสบร้อนจากปอดไปจนถึงคอ
เป็นเวลาหลังช่วงบ่ายแล้วที่โหลวฉางเยว่ลุกขึ้น หลังจากที่เพิ่งถูกพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเหยียนโจวไป ตอนนี้ฟ้าก็มืดอีกครั้งห้องสวีทนี้ดีมากจริง ๆ ด้านหน้าไม่มีตึกสูงมาบดบัง จากหน้าต่างบานใหญ่สามารถเห็นดวงจันทร์ที่ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเหนือเมฆอย่างช้า ๆโหลวฉางเยว่ห่อผ้าห่ม กึ่งหลับกึ่งตื่น เหวินเหยียนโจวเปลี่ยนเสื้อผ้า คุกเข่าข้างขอบเตียงด้วยเข่าข้างเดียวเพื่อดึงเธอขึ้นโหลวฉางเยว่คิดว่าเขาจะทำมันอีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ ซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เธอเริ่มเสียใจที่ได้พูดคุยเรื่องสถานะกับเขาในช่วงบ่ายแล้วเขาไม่พอใจเธอ เมื่อเขาต้องการจะจัดการกับเธอ จงใจบดขยี้เธอจนถึงจุดวิกฤติ บังคับให้เธอบอกว่าเธอจะไม่กล่าวหาว่าเขามีผู้หญิงคนอื่นอย่างไม่ยุติธรรมอีก ต่อไปก็จะต้องไม่พูดถึงเรื่องติดค้างน้ำใจและการชดใช้คืนนี่อีกขณะที่เธอกำลังร้องขอความเมตตาบอกว่าไม่ต้องการอยู่นั้น เขาก็บีบเอวเธอ แล้วพูดต่อว่า ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อว่าเขาโสดมานานแล้วหรอกเหรอ ตอนนี้เขาจะมอบมันทั้งหมดให้กับเธอ......ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อว่าเขาโสดมานานแล้ว แต่เธอแค่ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของเขากับไป๋โหยวก็เท่านั้นแต
ชาที่หอผิงถานมอบให้คือเที่ยกวนอิน รสชาติตอนไหลผ่านคอนั้นหวานและฝาด โหลวฉางเยว่เม้มริมฝีปาก "เหวินเหยียนโจว คุณ... "“คุณไม่ได้เรียกผมว่าอาเหยียนเหรอ” เหวินเหยียนโจวถามด้วยเสียงแผ่วเบา มือของโหลวฉางเยว่ที่ถือถ้วยสั่นเล็กน้อย น้ำชาสองสามหยดจึงกระเด็นออกมาตกลงบนโต๊ะ ทิ้งร่องรอยของน้ำไว้ ชื่อที่เธอตะโกนเมื่อคืน เขาได้ยินแน่นอน เหวินเหยียนโจวมองดูเธอ "คุณไม่เคยเรียกผมแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?" โหลวฉางเยว่เช็ดชาด้วยผ้าขี้ริ้ว แต่ยังมีร่องรอยของน้ำเหลืออยู่บนโต๊ะ เหวินเหยียนโจวยังมองดูเธอ พี่น้องส่วนใหญ่เรียกเขาว่า "โจวเอ๋อร์" และ "พี่โจว" นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนเรียกเขาว่า "อาเหยียน" ฟังแล้ว ดูสนิทสนมมากกว่า "โจวเอ๋อร์" “เพิ่งช่วงไม่กี่วันมานี้เหรอ?” เขาคิดว่าเวลาสั้น ๆ ที่เขาอยู่กับเธอ ท่าทีของเธอที่มีต่อเขาก็อ่อนลง ถึงได้รับฉายานี้ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ชื่อนี้อยู่ในใจเธอมานานแล้ว หลังจากที่เธอตกหลุมรักเขา เธอก็คิดว่าจะเรียกเขาว่าอย่างไรดี? "ประธานเหวิน" ปกติก็เรียกอยู่แล้ว "เหวินเหยียนโจว" ดูแข็งทื่อเกินไป และ "โจวเอ๋อร์" ไม่พิเศษเลย “อาโจว”? อื้ม หรือ "อาเหยียน" ไม่เค
“…” โหลวฉางเยว่กดปุ่มชั้นแทนเขา แม้เขาจะยังอยู่ แต่เธอก็มุ่งความสนใจไปที่การจัดการเขาแทน ทำให้ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องของเนี่ยเหลียนอี้ การมีอยู่ของเขา ทำให้เธอรู้สึกสบายใจมาก แต่พอนึกว่าต้องนอนเตียงเดียวกับเขาทั้งคืน เธอก็รู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นในช่วงสามปี หรือสองสามครั้งมานี้ พวกเขาก็ไม่เคยนอนบนเตียงเดียวกันสักครั้ง โหลวฉางเยว่นึกแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ เหวินเหยียนโจวจ้องมองเธออีกครั้ง ไม่เคยมีผู้ชายอยู่ในสายตาของเธอมาก่อน และตอนนี้เขาก็ไม่เคยละสายตาจากเธอ โหลวฉางเยว่เม้มริมฝีปาก "ประธานเหวิน แบบนี้ค่อนข้างจะเหมาะสมกว่า" เหวินเหยียนโจวเหอะเบา ๆเมื่อถึงชั้น 12 โหลวฉางเยว่ก็เดินออกไปก่อน "ราตรีสวัสดิ์นะคะ ประธานเหวิน..."ประโยคสุดท้ายยังไม่ทันได้เอ่ยออกไป เหวินเหยียนโจวก็คว้าแขนเธอ ดึงเธอมา ก้มศีรษะลง และจูบริมฝีปากเธอ! โหลวฉางเยว่ตกตะลึงประตูลิฟต์ปิดช้า ๆ เหวินเหยียนโจวบดริมฝีปากของเธอด้วยความเร็วดุจสายฟ้า แล้วปล่อยเธอไป ก่อนที่ประตูลิฟต์จะแตะโดนร่างของโหลวฉางเยว่ ทันใดนั้นน้ำเสียงของเขาก็ฟังดูหวาดระแวง "ชาเย็นแล้ว ต้องอุ่นใหม่นะ!"โหลวฉางเยว่ก้าวถอยหลั
อะไรนะ?! โหลวฉางเยว่ยืดตัวขึ้น "จริงเหรอ?"เหวินเหยียนโจวโยนโทรศัพท์ของเธอลงบนผ้าห่มว่าให้เธอดู เป็นสายจากหลี่ซิงรั่วโหลวฉางเยว่รับสายอย่างรวดเร็ว "ซิงรั่ว?"หลี่ซิงรั่วได้ยินเสียงของเธอ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ในที่สุดก็รับสาย สองวันมานี้ไปไหนมา? ไม่ได้ข่าวคราวจากคุณเลย โทรไปก็ไม่รับ ผมไปหาคุณที่โรงแรมก็หาไม่เจอ คิดว่าคุณโดนตระกูลเนี่ย...คิดว่าถ้าวันนี้ยังติดต่อคุณไม่ได้ ผมจะไปแจ้งความแล้ว "โหลวฉางเยว่กระพริบตา นั่นเป็นเพราะ สองวันมานี้เธออยู่กับเหวินเหยียนโจว โทรศัพท์ของเธอก็อยู่ในกระเป๋าตลอด ทิ้งไว้ที่ ชั้นบนสุด และเธอก็ไม่คิดที่จะหามัน "ฉันไม่เป็นไร" “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว จริงสิ ผมจะบอกคุณว่า การจำกัดสิทธิห้ามออกจากซีเฉิงของคุณถูกยกเลิกแล้ว คุณเป็นอิสระแล้วนะ” โหลวฉางเยว่ถาม "ทำไมจู่ๆ ถึงถูกยกเลิก?" “หลังจากผู้ชายสองคนนั้นถูกตำรวจสอบปากคำหลายครั้ง ในที่สุดก็ทนไม่ไหว จึงเปลี่ยนคำสารภาพ บอกว่าเนี่ยเหลียนอี้กำชับมา เนี่ยเหลียนอี้บอกว่าถ้าทำได้ดี เธอจะให้พวกเขาสองแสน ตำรวจพาเนี่ยเหลียนอี้ออกไปแล้ว และพ่อแม่ตระกูลเนี่ยกำลังหาทนายความทุกที่ เพื่อประกันตัวเธอออกไป” "..."โหลว
ซีเฉิงอยู่ห่างจากเซินเฉิง ขับรถขึ้นทางด่วนใช้เวลาสี่ชั่วโมงโหลวฉางเยว่วางหินก้อนใหญ่เกี่ยวกับเนี่ยเหลียนอี้ลง ในใจของเธอไม่กังวลอะไรอีกต่อไป จิตใจผ่อนคลาย ตอบกลับข้อความที่ไม่ได้ตอบในช่วงสองวันที่ผ่านมาหลังจากที่ "หายตัวไป" จากนั้นก็เริ่มง่วงสาเหตุหลักมาจากอบเชยในรถ ซึ่งนำบรรยากาศในฤดูหนาวที่อบอุ่นมา ทำให้ถูกสะกดจิตทั่วทั้งร่าง เธอพิงศีรษะกับหน้าต่างรถ แล้ว ค่อยๆ หลับตาลง เธอไม่ได้หลับสนิท แต่ตื่นขึ้นมาตอนเหวินเหยียนโจวยื่นมือของเขาวางลงบนหัวของเธอผ่านกระจกโหลวฉางเยว่ยกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย เห็นเหวินเหยียนโจวอ่านอีเมลในแท็บเล็ตอยู่ ส่วนมืออีกข้างทำหน้าที่เป็นเบาะรองระหว่างเธอกับกระจก เพื่อกันไม่ให้รถสั่นและกระทบเธอตอนผ่านถนนที่ขรุขระ การเคลื่อนไหวของเขาเป็นธรรมชาติมาก ราวกับว่ามันเป็นอย่างที่ควรจะเป็น มิน่าล่ะที่ผู้คนพูดว่า ตอนผู้ชายมีใจหรือไม่มีใจ จะเปลี่ยนไปอย่างกับเป็นคนละคน เลนข้างหน้าเริ่มเบี่ยงออก รถของพวกเขาเลี้ยวโค้ง โหลวฉางเยว่แกล้งทำเป็นเพิ่งตื่น เอาศีรษะออกจากฝ่ามือเขา แล้วลืมตาขึ้น เหวินเหยียนโจวหันไปมองเธอ "ไม่นอนแล้วเหรอ?"โหลวฉางเยว่เปลี่ยนท่านั่ง "อืม เกือบถึงแล้
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ