โหลวฉางเยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา ไป๋โหยวสารภาพกับเขาแล้วเหรอเสิ่นซู่ชินไม่เข้าใจดังนั้นจึงถามว่า: "ภาพตื่นเต้นอะไรกัน"โหลวฉางเยว่พูดอย่างใจเย็น: "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน"“เธออย่ารู้เลยจะดีกว่า” เหวินเหยียนโจววางหนังสือพิมพ์ไว้ข้างๆ “หลังการประชุมเมื่อวาน ผมโทรหาคุณ ทำไมคุณถึงไม่รับ”โหลวฉางเยว่หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาและทำหน้าสับสน:"ดูเหมือน ฉันจะไม่ได้ดูเลยว่าใครโทรมาประธานเหวินโทรหาฉันตอนไหนคะ ฉันขอเช็ดดูก่อน"เธออยากรู้ว่าเขากล้าที่จะพูดสองทุ่มหรือเปล่าตามที่คาดไว้ เหวินเหยียนโจวแค่มองดูเธอซิ่วอวี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาค่อนข้างละเอียดอ่อน เขาจึงช่วยเปลี่ยนหัวข้อและพูดเสียงดังขึ้นว่า: "คุณซูเป็นคนสุดท้าย"“แต่ผมซื้อชานมให้ทุกคนนะ ทุกคนรู้จักร้านชานมชื่อดังในสตาร์ซิตี้มั้ย ผมขับรถไปสนามบินเมืองเซินเฉิง ผ่านไปเห็นก็เลยต่อแถว”ซูซูดูเหมือนจะชอบสีแดงมาก เธอสวมชุดถักสีแดงคอวีซึ่งดูเป็นผู้ใหญ่และเซ็กซี่ เธอไม่รู้สึกหนาวเช่นกัน เธอสวมเพียงเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวนวลเท่านั้นโหลวฉางเยว่ติดตามเสิ่นซู่ชินและก้าวออกไปซูซูวางชานมลงบนโต๊ะเล็กแล้วมอบ
ซูซูกล่าวว่า:"เมื่อวานคุณพาคุณไป๋ไปที่ออฟฟิศเพื่อตามหาฉันและประธานเหวิน และมันก็เกือบจะจบลงอย่างเลวร้าย"ใบหน้าด้านข้างของโหลวฉางเยว่อ่อนโยนและเธอก็ยื่นมือออกเพื่อดึงแผงบังแสงลงซูซูยังคงยิ้ม: "ฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นบนเรือและคุณโหลวไม่อยู่ที่ปี๋หยุนอีกต่อไป คุณยังคงมีความปรารถนาที่จะครอบครองประธานเหวินอย่างแรงกล้าอยู่สินะคะ ฉันได้รำลึกความหลังกับเขา คุณอยากจะทำลายพวกเรา”ทำลายงั้นเหรอ?สองชั่วโมงก็ไม่เพียงพอให้พวกเขาเสร็จกิจหรอกเหรอโหลวฉางเยว่คิดว่าถ้าไป๋โหยวไปที่นั่นในเวลานั้นเขาคงทำได้เจอเข้ากับที่เกิดเหตุ เป็นไปได้ไหมว่าเขาขัดขวางเหตุการณ์?เธอคิดถึงภาพนั้นแล้วขมวดคิ้ว“ขอน้ำมะนาวครึ่งแก้วให้ฉันหน่อย ขอบใจนะ” เธอรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อยแอร์โฮสเตสยื่นมันให้เธอ และโหลวฉางเยว่ก็ดื่มหมดเสียงของซูซูนุ่มนวลกว่าเสียงของแอร์โฮสเตส: "คุณโหลว คุณสนใจความสัมพันธ์ของฉันกับประธานเหวินจริงๆ หรือว่าคุณอาจจะแค่อิจฉาคะ?"โหลวฉางเยว่ถอดผ้าปิดตาแบบใช้แล้วทิ้งที่เตรียมไว้ให้ในที่นั่งชั้นธุรกิจ และหันมาหาเธอในที่สุดแล้วพูดว่า "ขอโทษค่ะ ฉันง่วงนิดหน่อยและอยากนอนละ"
เมื่อพวกเขามาถึงเมืองสุ่ยเฉิง โหลวฉางเยว่พบว่าอุณหภูมิที่นี่เย็นกว่าที่เมืองเซินเฉิงมาก เสื้อผ้าที่เธอนำมาไม่อุ่นพอ เธอจึงคิดจะไปห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ เพื่อซื้อเสื้อขนเป็ดบังเอิญเธอพบกับเสิ่นซู่ชินที่ล็อบบี้ของโรงแรม หลังจากคุยกัน เธอพบว่าเขาไม่ได้นำเสื้อผ้ามาเพียงพอเช่นกัน ทั้งสองล้อเลียนกันและไปห้างสรรพสินค้าด้วยกันโหลวฉางเยว่เลือกเสื้อขนเป็ดสีเบจ ในขณะที่ เสิ่นซู่ชินก็ซื้อสไตล์เดียวกันแต่เป็นสีดำโหลวฉางเยว่กลัวว่าเสิ่นซู่ชินจะต้องจ่ายเงินให้เธอในภายหลัง ดังนั้นในขณะที่เขากำลังจะดูของอื่น เธอจึงไปจ่ายค่าเสื้อผ้าก่อน“ฉางเยว่”เสิ่นซู่ชินเรียกเธอจากด้านหลังโหลวฉางเยว่หันศีรษะแล้วสวมผ้าพันคอรอบคอเธอ: "การเพิ่มผ้าพันคอจะทำให้เธออุ่นขึ้น"เขาช่วยเธอสวมผ้าพันคอ โหลวฉางเยว่รู้สึกว่าผมของเธอหลวมเล็กน้อยจึงปลดหนังยางแล้วมัดใหม่อีกครั้ง เธอไม่ได้สังเกตเลยสักวินาทีที่ทั้งสองมีพฤติกรรมเช่นนี้ ความใกล้ชิดอย่างเป็นธรรมชาตินี้เหมือนกันคู่รักหนุ่มสาวอย่างไรอย่างนั้นฉากนี้บังเอิญเห็นโดยเหวินเหยียนโจวและซูซูซึ่งมาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของด้วยทั้งสองมองหน้ากันสักพักก่อนที่ซูซูจะพูดด้ว
“ไม่อย่างนั้น คุณคิดว่าผมเป็นใครกัน?” เหวินเหยียนโจวขมวดคิ้ว “ถ้าผมยืนอยู่ที่นี่และส่งข้อความ มันจะขัดขวางผู้ช่วยของอาจารย์โหลวหรือเปล่า”“……”ไม่ใช่ซิ่วอวี้และเลขานุการของเขาอยู่บนชั้น20 เหวินเหยียนโจวและเหอชิง เลขานุการของเขาและซูซู อยู่บนชั้น19 และเธอกับเสิ่นซู่ชินอยู่บนชั้น 17ทำไมเขาถึงมาที่ชั้น 17?เขามาหาเสิ่นซู่ชินเองเหรอไม่ใช่มาหาเธอหรอกมั้งดวงตาของโหลวฉางเยว่กระพริบเล็กน้อย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญในขณะนี้ เธอตระหนักว่าท่าทางระหว่างคนทั้งสองนั้นไม่เหมาะสมในขณะนี้และเธอก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์รุนแรงติดตัวเขาด้วยหลังกลับจากห้างแล้วก็ออกไปดื่มเหล้าเหรอโหลวฉางเยว่พูดทันที: "ประธานเหวินปล่อยฉันไปเถอะ"เหวินเหยียนโจวมองดูผ้าพันคอรอบคอของเธอซึ่งเป็นผ้าพันคอที่เสิ่นซู่ชินช่วยเธอสวมใส่ดวงตาของเขาเย็นลงเรื่อยๆในขณะที่เขานึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอและ เสิ่นซู่ชินในช่วงเวลานี้เขามองลงไปที่พื้นอีกครั้งกระเป๋าที่เธอถืออยู่ตอนนี้ล้มลงกับพื้นเสื้อผ้าทั้งหมดก็หลุดออกมาสิ่งของชิ้นบนคือเสื้อชั้นในสีชมพูมีขอบลูกไม้เหวินเหยียนโจวมองย้อนกลับไปที่ใบหน้าของเธอ:"อายุก็ไม่น้อยแ
เหวินเหยียนโจววางสายไปทันที ในขณะเดียวกันเขาก็หลบร่างกายของเธอที่ถาโถมเข้ามาเมื่อรูดผ้าม่านปิดในห้องถึงได้ไม่มีแสงสว่าง โหลวฉางเยว่กระโจนเข้าไปในความมืดก่อนที่เธอจะสะดุดล้มมุมพรมที่กระดกขึ้นมาแล้วโซเซไปเล็กน้อยในขณะที่ยังไม่ทันได้ยืนดี ๆ เหวินเหยียนโจวก็เข้ามาดับร่างของเธอจากด้านหลังอีกครั้ง เขาผลักเธอเข้ากับกำแพง โดยให้ใบหน้าหันเข้ากับกำแพงเขาเล่นกับเธออย่างชำนาญราวกับว่าเขากำลังเล่นกับแมวไม่มีผิด!มือทั้งสองข้างของโหลวฉางเยว่ถูกเขาควบคุมเอาไว้ด้านหลัง เธอโมโหจนหายใจไม่เป็นจังหวะ แล้วอดไม่ได้ที่จะกดด่าขึ้นมา “เหวินเหยียนโจว! คุณออกไปจากห้องของฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไม่อย่างนั้น——”“ไม่อย่างนั้น?”อารมณ์ของเหวินเหยียนโจวดูเหมือนจะชาไปแล้วด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เขาทั้งเย็นชาและแข็งกระด้าง “ไม่อย่างนั้นจะทำไม? ถ้าผมทำอะไรจริง ๆ คุณจะกล้าโวยวายเหรอ?”โหลวฉางเยว่ตัวสั่นไปหมด!“ให้ผมเดานะ เสิ่นไหชินสัญญาว่าจะให้อะไรกับคุณสินะ? เสิ่นซู่ชินเข้าร่วมโปรเจกต์เพื่อช่วยตระกูลเสิ่นกระจายชื่อเสียง ผลประโยชน์ที่จะให้หลังจากจบโปรเจกต์ ก็คือคุณสามารถเข้าทำงานที่เสิ่นซื่อกรุ๊ป ได้ใช่หรือเปล่าล่ะ?”
เพียะ——เสียงดังฟังชัด!ภายในห้องอันว่างเปล่าและมืดสนิท เสียงนั้นช่างชัดเจนเหวินเหยียนโจวใช้ชีวิตมายี่สิบสองปี น่าจะเป็นครั้งแรกที่โดนตบ อ่อ ไม่สิ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเขาก็โดนเธอตบไปแล้วครั้งหนึ่งในครั้งนั้นเขาพูดว่า เขาก็แค่ “ใช้อุปกรณ์” เท่านั้นแต่ว่า การตบเขาครั้งนี้ โหลวฉางเยว่ตบแรงกว่านั้นมากโหลวฉางนอนลงบนโซฟา ความโกรธภายในใจเดือดปะทุไม่หยุด ทั้งสองคนมองตากันท่ามกลางความมืดความสามารถในการบังแสงของผ้าม่านดีจริง ๆ มันมืดมากเสียจนมองไม่เห็นอะไรเลย รวมถึงตอนนี้สีหน้าของเหวินเหยียนโจวเป็นยังไง โหลวฉางเยว่ก็มองไม่เห็นเช่นกันต่อให้พวกเขาห่างกันไม่ถึงหนึ่งฟุตก็เถอะลมหายใจของเหวินเหยียนโจวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ การหายใจแต่ละครั้งปล่อยลมเย็นออกมาเป็นระลอกพวกเขาเหมือนอสูรสองตัวในกรง ไม่มีใครยอมถอยให้กันแม้แต่ก้าวเดียว ราวกับจะสู้กันให้ตายไปข้างทันใดนั้น เสียงติ๊ดติ๊ดของกลไกประตูก็ดังขึ้น มีคนกำลังรูดบัตรเพื่อเปิดประตูโหลวฉางเยว่ผลักตัวเหวินเหยียนโจวออกไปโดยไม่ลังเลก่อนจะลุกขึ้นนั่งในทันที แล้วจัดระเบียบเสื้อผ้าบนตัวพร้อมความสงสัยในใจ ใครกัน?ห้องนี้มีเธอคนเดียวที่พักอยู่
ยังดีที่โหลวฉางเยว่คนนี้สันโดษจนเคยชิน เธอไม่ต้องการให้มีใครมาคอยปลอบใจเธอ ไม่ว่าจะแตกสลายราวกับน้ำที่สาดกระจายมากแค่ไหน แต่เมื่อกระจายออกไปหมดแล้วมันก็สิ้นสุดเธอผ่อนลมหายใจออกมา และเริ่มสงบสติอารมณ์ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ เธอจะลองดูอีกสักตั้ง เธอจะต้องทำได้แน่ ……เหวินเหยียนโจวไม่อยากกลับไปที่ห้อง เขาอยากจะลงไปชั้นล่าง เขาจึงกดปุ่มลงลิฟต์ลงมาจากชั้นบน ประตูเปิดออก และซิ่วอวี้ก็ยืนอยู่ข้างในลิฟต์ซิ่วอวี้สังเกตเห็นรอยแดงบนใบหน้าของเขาได้อย่างรวดเร็ว และก็เห็ยชั้นที่เขาอยู่ตอนนี้ เขาจึงเลิกคิ้วอันหล่อเหลาขึ้นก่อนจะพูดว่า “คุณมาหาเลขาโหลวเหรอ?”เหวินเหยียนโจวเรียกโหลวฉางเยว่ว่า "ผู้ช่วยโหลว" เพื่อเป็นการเยาะเย้ย ในขณะที่ซิ่วอวี้เรียกเธอว่า "เลขาโหลว" จนติดเป็นนิสัยทำไมถึงติดนิสัยนี้น่ะเหรอ?เพราะโหลวฉางเยว่อยู่กับเหวินเหยียนโจวเป็นเวลาสามปีแล้วยังไงล่ะเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเหวินเหยียนโจวก็เริ่มเคร่งขรึมขึ้น จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในลิฟต์ซิ่วอวี้สมกับที่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาจริง ๆ เข้าใจเขาดีเหลือเกิน "ทะเลาะกันจนหงุดหงิดเหรอ? รอบถูกตบนั่นเลขาโหลวทำไว้สินะ?"
ผู้จัดการลังเล “เรื่องนั้น...ผมเกรงว่าจะไม่สะดวกครับ ยังไงซะก็มีแขกคนอื่น ๆ บนชั้นนั้น สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของพวกเขา ผมไม่สามารถตัดสินใจได้ ผมอาจต้องขอคำสั่งจากเบื้องบนครับ”“คุณไปขอคำสั่งได้ แต่ต้องรู้ด้วยนะคะว่าฉันโทรหาตำรวจได้ทุกเมื่อ ยังไงซะคนที่โดนตามและรังควานก็คือฉัน ถ้าตำรวจมาก็มีอำนาจเอาคลิปได้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ?” โหลวฉางเยว่กล่าวอย่างใจเย็นผู้จัดการเองก็เป็นผู้มีประสบการณ์มาโชกโชนเหมือนกัน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณไม่ได้รับอันตรายนี่ การถูกตามเป็นเพียงการคาดเดาของคุณเองทั้งนั้น ตำรวจมาแล้วอาจจะไม่ลงบันทึกให้คุณด้วยซ้ำ หากไม่มีหมายสอบสวน เราก็มีสิทธิที่จะไม่ให้ดูกล้องวงจรปิดได้เหมือนกัน”โหลวฉางเยว่ “อ่อ งั้นสินะคะ แต่เมื่อวานประธานเหวินจากชั้น 19 ก็อยู่บนชั้น 17 ด้วยเหมือนกัน และเขาเกือบจะได้รับบาดเจ็บจากสตอล์กเกอร์โดยไม่ได้ตั้งใจด้วยนะคะ”เมื่อได้ยินชื่อของเหวินเหยียนโจวสีหน้าของผู้จัดการก็เปลี่ยนไป เขาก็หันไปหาพนักงานเสิร์ฟอีกครั้งเพื่อยืนยันพนักงานเสิร์ฟพูดอะไรบางอย่างข้างหูของเขา สีหน้าของผู้จัดการเริ่มจริงจังขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ขอให้โหลวฉางเยว่รอส
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ