โหลวฉางเยว่ไม่ได้พยายามที่จะไกล่เกลี่ยเหมือนเมื่อก่อน ทำตัวเหมือนเป็นแค่แขกธรรมดาทั่วไป เมื่อเจ้าบ้านทะเลาะกัน ก็เลือกที่จะทำเหมือนตัวเองไม่มีตัวตนและสงบปากสงบคำคุณผู้หญิงเหวินรีบลุกขึ้นมาขวางเหวินเหยียนโจวไว้ “ทำไมถึงเอะอะก็ทะเลาะกันอีกแล้ว เหยียนโจว ลูกยังไม่กินข้าวเลย กินสักหน่อยเถอะนะ ไม่อย่างนั้นตอนบ่ายเกิดลูกยุ่งขึ้นมาไม่มีเวลากินอะไร โรคกระเพาะจะกำเริบเอานะ”เหวินเหยียนโจวที่ถูกขวางทางไว้ สีหน้าของเขาเย็นชาคุณผู้หญิงเหวินทำได้แค่เรียกพ่อเหวิน “คุณเหวิน”พ่อเหวินหน้าบึ้งอยู่ไม่กี่วินาที ในที่สุดก็ยอมถอยไปก่อนหนึ่งก้าว “ฉันอยากจะถามแกว่า การเปลี่ยนสมัยผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทตอนสิ้นปี กรรมการฉีและกรรมการอัน แกไม่คิดที่จะเก็บเขาเอาไว้ใช่ไหม”เหวินเหยียนโจวนั่งลงอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้กินข้าวอีกแล้ว“ครับ”พ่อเหวินขมวดคิ้ว “พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้อาวุโสของบริษัท”เหวินเหยียนโจวเมินเฉย “ดังนั้นพวกเขาก็เลยอาศัยความเป็นผู้อาวุโสเที่ยวรังแกคนอื่นไปทั่วสินะครับ”“พวกเขาล้วนเสียหยาดเหงื่อแรงกายทำเพื่อปี๋้หยุน มันก็เป็นธรรมดาที่จะถือว่าตัวเองสูงส่ง”“ผมได้ส่งเหตุผลที่พวกเขาไม่เหมา
โหลวฉางเยว่นึกขมวดคิ้วอยู่ในใจ ก็ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของเธอ หรือว่าความตั้งใจของพ่อเหวินกันแน่หัวข้อการสนทนานี้อันตรายเกินไป ดวงตาของโหลวฉางเยว่เปลี่ยนไป “คุณป้าคะ หนูไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคุณป้า แต่หนูรู้สึกว่าคนเราสามารถเปลี่ยนกันได้ค่ะ หนูก็อยากออกไปเผชิญโลกภายนอก คุณป้ากับคุณลุงปฏิบัติกับหนูเป็นลูกสาว เมื่อลูกนกได้โตขึ้น ก็ต้องจากพ่อแม่ไปสร้างรังของตัวเองข้างนอก คุณป้าว่าจริงไหมคะ”เธอแสดงอารมณ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และเธอก็ยังทำมันต่อไป เธอต้องเอาชนะในการผ่านหัวข้อการสนทนานี้ไปให้ได้ แม้จะด้วยความสามารถอันน้อยนิดก็ตามเมื่อเธอพูดมาขนาดนี้ คุณผู้หญิงเหวินที่เข้มงวดกวดขันจึงพูดออกมาแค่ประโยคเดียว “ดื่มชาเถอะ” และไม่เอ่ยอะไรอีกต่อไปโหลวฉางเยว่รู้สึกว่าไม่ควรที่จะอยู่นานกว่านี้ เธอดื่มชาที่อยู่ในมือจนหมด แล้ววางแก้วลง “นี่ก็สายแล้ว คุณป้าต้องนอนพักกลางวัน หนูขอตัวก่อนนะคะ”คุณผู้หญิงเหวินเอ่ยขึ้น “คุณเหวินอยู่ห้องหนังสือชั้นสอง หนูขึ้นไปบอกลาเขาสิ ลูกนกน้อยตัวนี้ ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะบินกลับมาเยี่ยมเขาเมื่อไหร่”มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นโหลวฉางเยว่ถามขึ้น “ห้องหนังสือคือห้อ
โหลวฉางเยว่เม้มริมฝีปาก สุดท้ายจึงยกมือขึ้นช่วยเขาใส่กระดุมแขนเสื้อโทนสีแดงทับทิมเข้มนั้น ยิ่งเสริมเข้ากันกับเสื้อของเขาเหวินเหยียนโจวเหลือบมองเธอ เมื่อก่อนเธอช่วยเขาผูกเนกไท ติดกระดุมแขนเสื้อ ปรับสายรัดแขนเสื้อ ทำได้อย่างคุ้นเคยคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติ แต่ตอนนี้กลับมีท่าทางกล้ำกลืนความอัปยศมุมปากของเขากระตุกกระดุมข้อมือค่อนข้างเล็ก ใส่ไม่ง่ายเลย โหลวฉางเยว่จึงพยายามทำให้เร็วที่สุด “ประธานเหวินพูดว่าอะไรนะคะ หัวใจเทียมเหรอคะ”เธอยังระมัดระวังว่าเขาจะหลอกเธอเหวินเหยียนโจวเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “เทคโนโลยีนี้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมากในต่างประเทศ ภายในประเทศก็ได้มีการเริ่มลงทุนเกี่ยวกับการตรวจรักษาทางแพทย์มาได้ไม่กี่ปี เพียงแต่พูดกันตามตรง ก็ยังไม่ได้มีการขยายขนาดใหญ่ขึ้น”หัวใจนะไม่ใช่ลูกมะม่วง เป็นไปได้เหรอที่อยู่ดีๆ จะโตออกมาจากต้นได้เมื่อเทียบกับผู้บริจาค การค้นคว้าและวิจัยเครื่องจักรในลักษณะนี้เห็นได้ชัดว่าสะดวกและรวดเร็ว อย่างนั้นแล้วทำไมถึงไม่มีการขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นเมื่อโหลวฉางเยว่ถาม เหวินเหยียนโจวก็บอกเธอ “แพงมาก การติดเชื้อค่อนข้างสูง และด้วยอายุขัยของหัวใจเทียมน
ตั้งแต่ที่ออกมาจากบ้านตระกูลเหวิน โหลวฉางเยว่ก็ได้เรียกรถไปที่มหาวิทยาลัยเซินเฉิง ในขณะเดียวกันเธอก็ค้นหาการทำหัวใจเทียมในอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์เมื่อถึงปลายทาง เธอก็เข้าใจก้าวแรกของการทำหัวใจเทียมเธอเก็บโทรศัพท์มือถือของเธอลงไป หยิบบัตรประจำตัวพนักงานออกมาเปิดประตูควบคุมโรงเรียน และก้าวเร็วๆ เข้าไปในตึกอาจารย์สองเดือนที่ผ่านมาโหลวฉางเยว่ไม่ได้ทำงานเลย แต่ว่าเธอทำงานพาร์ทไทม์กับเสิ่นซู่ชินที่นี่ เป็นผู้ช่วยของเขาตอนแรกเสิ่นซู่ชินขอให้เธอมาช่วยเขา และให้เงินเดือนกับเธอ โหลวฉางเยว่รู้สึกจริงๆ ว่า เขาเห็นว่าเธอไม่ได้ทำงานแถมเครียดเพราะเงินขาดมือ เพื่อที่จะช่วยเธอ เลยหาเหตุผลที่จะให้เงินเธอแต่ว่าเสิ่นซู่ชินบอกว่าเขาไม่ได้ทำแบบนั้น เป็นเพราะปลายเทอมแล้ว นอกจากเขาจะทำงานเป็นศาสตราจารย์แล้ว ยังมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องทำ เจียดเวลาไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อล่ะก็ เธอสามารถลองทำก่อนได้สองวันหลังจากที่โหลวฉางเยว่ได้มาลองทำดูสองวัน เธอก็เชื่อแล้ว ว่าเขาต้องการผู้ช่วยทำงานหนึ่งคนจริงๆเมื่อก่อนเธอไม่เคยรู้เลยว่า งานของศาสตราจารย์จะเยอะขนาดนี้ด้วยเหตุนี้จึงได้ผ่านมาถึงสองเดือนแน่นอนว่า
แน่นอนว่าโหลวฉางเยว่ไม่ได้สังเกตเอกสารของเขาทั้งหมดเธอก็เป็นคนจัดการเธอเงยหน้าขึ้น “เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพราะว่าศาสตราจารย์ไม่ต้องการให้ฉันไปทำงานที่นั่น แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าฉันไม่อยากที่จะเจอกับคนของปี๋้หยุนใช่ไหมคะ”เสิ่นซู่ชินยิ้ม “คุณพูดแบบนี้เหมือนว่าผมทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเลย”แล้วไม่ใช่เหรอโหลวฉางเยว่ยังไม่เคยเจอเจ้านายที่ใส่ใจความรู้สึกของพนักงานมาก่อน ยอมเพื่องานของตัวเอง“ศาสตราจารย์เสิ่นคิดมากไปแล้วค่ะ ฉันไม่มีอะไรเลยค่ะ รอให้คุณเสร็จงานตรงนี้ ฉันก็ยังต้องหางานทำ วงการใหญ่ขนาดนี้ ตอนทำงานก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงพบเจอคนของปี๋้หยุน หรือว่า ทุกครั้งที่ฉันเจอก็ต้องหลีกหนีอย่างนั้นเหรอคะ”โหลวฉางเยว่พูดขึ้นเบาๆ “สำหรับฉันตอนนี้ ปี๋้หยุนไม่มีความหมายอะไรเลยค่ะ”เห็นเธอดีใจขนาดนี้ เสิ่นซู่ชินเองก็ไม่กังวลแล้ว ตอนเย็นพวกเขาจึงไปทานอาหารเย็นด้วยกัน.ในสถานการณ์มีคนไม่น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นคนในของเสิ่นซู่ชินกลุ่มการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ทั้งนำทางไปด้วยและพูดคุยเฮฮาไปด้วย ผลักประตูของที่นั่งพิเศษให้เปิดออก โหลวฉางเยว่เงยหน้าขึ้น เธอมองเห็นชายที่โดดเด่นเป็นที่สนใจกรูเข้ามา สีหน้า
หลังเดินออกจากร้านอาหาร เสิ่นซู่ชินหันกลับไปมองที่โหลวฉางเยว่ สีหน้าของเธอยังคงอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรกินที่อื่นกันดีมั้ย? หม้อไฟล่ะเป็นไง?”เขาทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นโหลวฉางเยว่ อดไม่ได้ที่จะพูดออกไปว่า “พวกเราออกมากันดื้อๆแบบนี้ จะไม่เป็นไรจริงๆเหรอคะ?”เสิ่นซู่ชินขยับแว่นตาของเขาขึ้น “ได้สิ ทำไมจะทำแบบนั้นไม่ได้ล่ะ?”“ฉันช่วยคุณเตรียมตัวสำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์นี้มาตั้งสองเดือน เรื่องสำคัญขนาดนั้น แค่คุณพูดว่าไม่ก็ไม่อย่างงั้นเลยเหรอคะ คุณนี่มัน……”“ผมน่ารักเกินไปใช่มั้ยล่ะ?” เสิ่นซู่ชินพูดต่อประโยคของเธอพร้อมรอยยิ้มโหลวฉางเยว่เม้มริมฝีปากล่างของเธอและพูดออกไปตรงๆ “นับตั้งแต่ฉันรู้ว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของคุณจะร่วมมือกับปี๋หยุน ฉันก็นึกเอาไว้แล้วล่ะค่ะ ว่าวันนี้จะต้องมาถึง เหวินเหยียนโจวเดิมทีก็ไม่คิดที่จะปล่อยฉันไปอยู่แล้ว อย่างไงก็ตาม ทุกอย่างก็เตรียมการไว้เรียบร้อยหมดแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องให้ฉันช่วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นอีก ฉันจากออกมาตอนนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้วล่ะค่ะ”“คุณอย่าทิ้งสิ่งที่คุณและทีมของคุณเตรียมไว้มานานเพียงเพื่อฉันเลยค่ะ มันไม่คุ้มค
วันนี้โหลวฉางเยว่ตัดสินใจที่จะเอาชนะความกลัวนี้ให้ได้ เธอกัดฟันและเตรียมที่จะขี่ม้า แต่ผลลัพธ์คือแค่ม้าเคลื่อนตัวไปเพียงเล็กน้อย ก็กลับทำให้เธอถอยร่นออกไปทันที เสิ่นซู่ชินที่นั่งอยู่บนหลังม้าแล้ว เหลือบมองไปเห็นความรู้สึกนึกคิดที่มีชีวิตชีวาของเธอ เขาหัวเราะพลางโน้มตัวพิงหัวม้า “ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะมีสิ่งที่คุณกลัว ฉางเยว่” โหลวฉางเยว่ทำอะไรไม่ถูก “ในสายตาของศาสตราจารย์เสิ่น คุณคิดว่าฉันเป็นคนที่กลัวอะไรไม่เป็นอย่างนั้นเหรอคะ”เสิ่นซู่ชินเผยรอยยิ้ม “คงงั้นแหละมั้งครับ” ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้รู้จักเธอ เธอเป็นคนคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดที่เธอจะจัดการไม่ได้โหลวฉางเยว่เข้มงวดกับตัวเองมาโดยตลอด เธอยอมที่จะเสี่ยงทุกอย่าง ยอมแม้กระทั่งปีนขึ้นไปบนหลังม้าม้าก้าวไปเพียงแค่สองก้าว โหลวฉางเยว่ตกใจมากจนเธอรีบโอบท้องม้าทันที พลางจับสายบังเหียน และตะโกนด้วยเสียงต่ำ “อย่าขยับ!” เสิ่นซู่ชินรู้สึกว่ามันตลกมาก จนเขายอมลงจากหลังม้าแล้วเดินไปสอนเธอ “ไม่ต้องกลัวไปหรอก ม้าที่นี่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ค่อนข้างที่จะเชื่องพอสมควร ทันทีที่คุณดึงสายบังเหียน ม้าก็จะเริ่มวิ่งทันที”
ในที่สุด โหลวฉางเยว่ก็ถูกเสิ่นซู่ชินพาตัวกลับมาได้ คนสี่คนและม้าสี่ตัวมองหน้ากัน โหลวฉางเยว่ยังคงทักทายเสิ่นไหชิน “สวัสดีค่ะประธานเสิ่น”เสิ่นไหชินพยักหน้า“คุณโหลว ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ผมได้ยินมาว่าคุณทำงานเคียงข้างอาซู่ได้ดี เป็นคนที่มีความสามารถตามที่คาดไว้จริงๆ สามารถเปล่งประกายไปได้ทุกที่” โหลวฉางเยว่พูดอย่างนอบน้อม “ศาสตราจารย์เสิ่นสอนฉันมาดีน่ะค่ะ” เหวินเหยียนโจวหรี่ตาลงเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเย็นชา เสิ่นไหชินเหลือบมองโหลวฉางเยว่อีกครั้ง แล้วพูดกับเสิ่นซู่ชิน “เมื่อกี้เราเพิ่งผ่านคอกม้ามา เห็นลูกม้าที่นายรับมาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ผู้ดูแลม้าต่างก็ล้อมรอบมันไว้อยู่ นายอยากจะไปดูสักหน่อยมั้ย?”เสิ่นซู่ชินไม่ค่อยเต็มใจที่จะปล่อยให้โหลวฉางเยว่และเหวินเหยียนโจวอยู่กันตามลำพัง แม้จะอยู่ในที่สาธารณะก็ตาม “ถ้าอย่างนั้นฉางเยว่ก็มากับผมด้วยสิครับ ผมเองก็ไม่อยากรบกวนการสนทนาระหว่างพี่ใหญ่กับประธานเหวิน” “พวกฉันเองก็มาถึงก่อนนานแล้ว เรื่องธุระเองก็คุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย งั้นฉันจะไปดูด้วยกันกับนายเอง” เห็นได้ชัดว่า เสิ่นไหชินดูเฉยเมยต่อ
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ