“โซเชียล? โหลวฉางเยว่งง “ใช่” หลี่ซิงรั่วพูด “คุณไปดูหน่อย ตามที่ผมได้ดู คุณไม่ต้องทำอะไรอีก ความคิดเห็นในตอนนี้เปลี่ยนทิศทางแล้ว”หมายความว่าอย่างไร?โหลวฉางเยว่รีบสลับหน้าจอเล็ก เปิดประเด็นร้อนในเมืองตอนนี้ ประเด็นร้อนอันดับหนึ่งคือ #คำแถลงของโรงพยาบาลอันดับหนึ่งเธอเข้าไปดู ก็ปรากฎขึ้นมาประมาณช่วงเช้าสิบโมง อยู่ ๆ โรงพยาบาลประชาชนอันดับหนึ่งก็แถลงการณ์ อธิบายถึงเรื่องการใช้เส้นสายปัญหาทาการแพทย์เนื้อหาสำคัญทั้งหมดคือ พวกเรายอมรับ เป้นทางเราที่ไม่ได้สื่อสารในทันที ไม่ได้ทำการแจ้งคนไข้หรือญาติเรื่องการเปลี่ยนหัวใจของคนไข้ ทำให้พวกเขาต้องเสียเวลามาอีกทั้งยังไม่ได้อธิบายระบบการปลูกถ้ายหัวใจให้กับครอบครัวคนไข้อย่างชัดเจน ทำให้ครอบครัวคนไข้ไม่สามารถระงับอารมณ์ได้เรื่องราวก็เปลี่ยนมาถึงจุดนี้ ทางด้านโรงพยาบาลพวกเขาต้องรับผิดชอบอย่างแน่นอน เนื่องด้วยข้าพเจ้าทำให้ครอบครัวคนไข้และคนไข้ได้รับความบาดเจ็บทางอารมณ์ รวมถึงขอกราบขอโทษเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ด้วย...ในเมื่อมีคำแถลงการณ์ของทางโรงพยาบาล คำวิจารณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน“…” โหลวฉางเยว่นึกอย่างไรก็นึกไม่ถึง เมื่อวานยังพูดกั
หลังเลิกงานเสิ่นซู่ซินกลับไปที่ออฟฟิศเขาพึ่งจะเห็นคำขอบคุณของโหลวฉางเยว่นอกจากขอบคุณแล้วเธอยังแนบรูปถ่ายต้นไม้สีเขียวริมหน้าต่างให้เขาดูหนึ่งรูป พร้อมบอกว่าแดดดีมาก เขาเม้มปาก “มันคือต้นมิ้นต์เหรอ? คิดจะปลูกต้นมิ้นต์ทำไมกัน?”โหลวฉางเยว่ “มันใช้ทำอาหารง่ายถ้าอยากเอามาปรุงรสก็แค่หักใบออกมาทำ ดูดีอร่อย กลิ่นหอมดีด้วย”เสิ่นซู่ซินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ขอบคุณ … ถึงแล้ว หลังจากนี้ไว้ฉันจะซื้อมาเก็บไว้ที่คฤหาสน์สักอัน”“ไม่ต้องซื้อหรอกต้นนี้มันโตเร็วมากเดี๋ยวฉันจะขุดให้คุณปลูกอีกไม่นานก็จะโตเต็มกระถางแล้ว”จากคำพูดโหลวฉางเยว่สองประโยคนี้เสิ่นซู่ซินรู้สึกว่าเธอกำลังอารมณ์ดีคิดครู่หนึ่ง “ทำไมเหรอ” “ประธานเหวินเข้ามาช่วยฉันแก้ไขสถานการณ์กับโรงพยาบาลและความคิดเห็นของประชาชน พยาบาลเซียวเจียงก็ตกลงที่จะเข้าใจกัน "หืม? เสิ่นซู่ซินออกจากหน้าแชทและมองดูกระแสบนอินเทอร์เน็ต คิ้วหลังแว่นตากรอบสีทองของเธอยกขึ้นเล็กน้อยประธานเหวินออกมาแก้ไขปัญหางั้นเหรอ?ไม่ใช่ “เขา” เหรอ?ทั้งยังมีคนพูดกันว่าคือประธานเหวิน แล้วเป็นประธานเหวินจริงมั้ยนะ?เสิ่นซู่ซินได้ยินจากพี่ชายของเขาเมื่อสองวันก่อ
แล้วมันไม่ควรมากเหรอโหลวฉางเยว่ดำรวตำแหน่งเป็นเลขาของเหวินเหยีนโจวมาสามปี รู้ดีที่สุด ทุกวันจันทร์จะเป็นวันที้เขายุ่งมากที่สุดและที่เขาไม่อยากกลับตระกูลเหวินขนาดนั้น ทำไมถึงอยู่ ๆ มาอยู่ในชวงที่มันอึดอัดอย่างนี้ล่ะ?โหลวฉางเยว่ขมวดคิ้วทันที ไม่เจอกันสองเดือน เขากลับไม่ได้เปลี่ยนไปเลยเมืองเฉินเฉิงเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อุณหภูมิปรับตัวตำลงถึงสิบองศา เขาสวมชุดโค้ทสูทสีดำยาวผ้าขนแกะ เห็นได้ชัดตอนเข้าประตูมา กำลังถอดส่งให้คนรับใช้เธอเดินออกมาจากห้องครัว สายตาของเหวินเหยียนโจวเองก็จดจ้องไปที่ตัวเธอสองสายตาประสานกันห้าถึงหกวิ เหวินเหยียนโจวก็สะบัดออกไปก่อน รับผ้าร้อนที่คนรับใช้ให้มาเช็ดมือ สีหน้าเรียบเฉย โหลวฉางเยว่เองก็รู้สึกไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร เธอนำซุปไปวางไว้บนโต๊ะอาหาร คุณนายเหวินกำลังจัดวางชามตะเกียบด้วยตนเอง เห็นแล้วก็ชม “ซุปหอยมัสตาร์ด แค่เห็นก็รู้ว่าอร่อย อากาศอย่างนี้ต้องกินซุปใหม่ ๆ อย่างนี้”โหลวฉางเยว่ยิ้มคุณเหวินเห็นเธอมีสีหน้าเหมือนบังคับกลาย ๆ ก็เข้าใจว่าทำไม พูดอย่างกระซิบ “เหล่าเหวินมีเรื่องบริษัทจะคุยกับเหยียนโจว ดังนั้นโทรให้เธอกลับมากินข้าวเที่ยงด้วยกัน เ
โหลวฉางเยว่ไม่ได้พยายามที่จะไกล่เกลี่ยเหมือนเมื่อก่อน ทำตัวเหมือนเป็นแค่แขกธรรมดาทั่วไป เมื่อเจ้าบ้านทะเลาะกัน ก็เลือกที่จะทำเหมือนตัวเองไม่มีตัวตนและสงบปากสงบคำคุณผู้หญิงเหวินรีบลุกขึ้นมาขวางเหวินเหยียนโจวไว้ “ทำไมถึงเอะอะก็ทะเลาะกันอีกแล้ว เหยียนโจว ลูกยังไม่กินข้าวเลย กินสักหน่อยเถอะนะ ไม่อย่างนั้นตอนบ่ายเกิดลูกยุ่งขึ้นมาไม่มีเวลากินอะไร โรคกระเพาะจะกำเริบเอานะ”เหวินเหยียนโจวที่ถูกขวางทางไว้ สีหน้าของเขาเย็นชาคุณผู้หญิงเหวินทำได้แค่เรียกพ่อเหวิน “คุณเหวิน”พ่อเหวินหน้าบึ้งอยู่ไม่กี่วินาที ในที่สุดก็ยอมถอยไปก่อนหนึ่งก้าว “ฉันอยากจะถามแกว่า การเปลี่ยนสมัยผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทตอนสิ้นปี กรรมการฉีและกรรมการอัน แกไม่คิดที่จะเก็บเขาเอาไว้ใช่ไหม”เหวินเหยียนโจวนั่งลงอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้กินข้าวอีกแล้ว“ครับ”พ่อเหวินขมวดคิ้ว “พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้อาวุโสของบริษัท”เหวินเหยียนโจวเมินเฉย “ดังนั้นพวกเขาก็เลยอาศัยความเป็นผู้อาวุโสเที่ยวรังแกคนอื่นไปทั่วสินะครับ”“พวกเขาล้วนเสียหยาดเหงื่อแรงกายทำเพื่อปี๋้หยุน มันก็เป็นธรรมดาที่จะถือว่าตัวเองสูงส่ง”“ผมได้ส่งเหตุผลที่พวกเขาไม่เหมา
โหลวฉางเยว่นึกขมวดคิ้วอยู่ในใจ ก็ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของเธอ หรือว่าความตั้งใจของพ่อเหวินกันแน่หัวข้อการสนทนานี้อันตรายเกินไป ดวงตาของโหลวฉางเยว่เปลี่ยนไป “คุณป้าคะ หนูไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคุณป้า แต่หนูรู้สึกว่าคนเราสามารถเปลี่ยนกันได้ค่ะ หนูก็อยากออกไปเผชิญโลกภายนอก คุณป้ากับคุณลุงปฏิบัติกับหนูเป็นลูกสาว เมื่อลูกนกได้โตขึ้น ก็ต้องจากพ่อแม่ไปสร้างรังของตัวเองข้างนอก คุณป้าว่าจริงไหมคะ”เธอแสดงอารมณ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และเธอก็ยังทำมันต่อไป เธอต้องเอาชนะในการผ่านหัวข้อการสนทนานี้ไปให้ได้ แม้จะด้วยความสามารถอันน้อยนิดก็ตามเมื่อเธอพูดมาขนาดนี้ คุณผู้หญิงเหวินที่เข้มงวดกวดขันจึงพูดออกมาแค่ประโยคเดียว “ดื่มชาเถอะ” และไม่เอ่ยอะไรอีกต่อไปโหลวฉางเยว่รู้สึกว่าไม่ควรที่จะอยู่นานกว่านี้ เธอดื่มชาที่อยู่ในมือจนหมด แล้ววางแก้วลง “นี่ก็สายแล้ว คุณป้าต้องนอนพักกลางวัน หนูขอตัวก่อนนะคะ”คุณผู้หญิงเหวินเอ่ยขึ้น “คุณเหวินอยู่ห้องหนังสือชั้นสอง หนูขึ้นไปบอกลาเขาสิ ลูกนกน้อยตัวนี้ ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะบินกลับมาเยี่ยมเขาเมื่อไหร่”มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นโหลวฉางเยว่ถามขึ้น “ห้องหนังสือคือห้อ
โหลวฉางเยว่เม้มริมฝีปาก สุดท้ายจึงยกมือขึ้นช่วยเขาใส่กระดุมแขนเสื้อโทนสีแดงทับทิมเข้มนั้น ยิ่งเสริมเข้ากันกับเสื้อของเขาเหวินเหยียนโจวเหลือบมองเธอ เมื่อก่อนเธอช่วยเขาผูกเนกไท ติดกระดุมแขนเสื้อ ปรับสายรัดแขนเสื้อ ทำได้อย่างคุ้นเคยคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติ แต่ตอนนี้กลับมีท่าทางกล้ำกลืนความอัปยศมุมปากของเขากระตุกกระดุมข้อมือค่อนข้างเล็ก ใส่ไม่ง่ายเลย โหลวฉางเยว่จึงพยายามทำให้เร็วที่สุด “ประธานเหวินพูดว่าอะไรนะคะ หัวใจเทียมเหรอคะ”เธอยังระมัดระวังว่าเขาจะหลอกเธอเหวินเหยียนโจวเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “เทคโนโลยีนี้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมากในต่างประเทศ ภายในประเทศก็ได้มีการเริ่มลงทุนเกี่ยวกับการตรวจรักษาทางแพทย์มาได้ไม่กี่ปี เพียงแต่พูดกันตามตรง ก็ยังไม่ได้มีการขยายขนาดใหญ่ขึ้น”หัวใจนะไม่ใช่ลูกมะม่วง เป็นไปได้เหรอที่อยู่ดีๆ จะโตออกมาจากต้นได้เมื่อเทียบกับผู้บริจาค การค้นคว้าและวิจัยเครื่องจักรในลักษณะนี้เห็นได้ชัดว่าสะดวกและรวดเร็ว อย่างนั้นแล้วทำไมถึงไม่มีการขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นเมื่อโหลวฉางเยว่ถาม เหวินเหยียนโจวก็บอกเธอ “แพงมาก การติดเชื้อค่อนข้างสูง และด้วยอายุขัยของหัวใจเทียมน
ตั้งแต่ที่ออกมาจากบ้านตระกูลเหวิน โหลวฉางเยว่ก็ได้เรียกรถไปที่มหาวิทยาลัยเซินเฉิง ในขณะเดียวกันเธอก็ค้นหาการทำหัวใจเทียมในอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์เมื่อถึงปลายทาง เธอก็เข้าใจก้าวแรกของการทำหัวใจเทียมเธอเก็บโทรศัพท์มือถือของเธอลงไป หยิบบัตรประจำตัวพนักงานออกมาเปิดประตูควบคุมโรงเรียน และก้าวเร็วๆ เข้าไปในตึกอาจารย์สองเดือนที่ผ่านมาโหลวฉางเยว่ไม่ได้ทำงานเลย แต่ว่าเธอทำงานพาร์ทไทม์กับเสิ่นซู่ชินที่นี่ เป็นผู้ช่วยของเขาตอนแรกเสิ่นซู่ชินขอให้เธอมาช่วยเขา และให้เงินเดือนกับเธอ โหลวฉางเยว่รู้สึกจริงๆ ว่า เขาเห็นว่าเธอไม่ได้ทำงานแถมเครียดเพราะเงินขาดมือ เพื่อที่จะช่วยเธอ เลยหาเหตุผลที่จะให้เงินเธอแต่ว่าเสิ่นซู่ชินบอกว่าเขาไม่ได้ทำแบบนั้น เป็นเพราะปลายเทอมแล้ว นอกจากเขาจะทำงานเป็นศาสตราจารย์แล้ว ยังมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องทำ เจียดเวลาไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อล่ะก็ เธอสามารถลองทำก่อนได้สองวันหลังจากที่โหลวฉางเยว่ได้มาลองทำดูสองวัน เธอก็เชื่อแล้ว ว่าเขาต้องการผู้ช่วยทำงานหนึ่งคนจริงๆเมื่อก่อนเธอไม่เคยรู้เลยว่า งานของศาสตราจารย์จะเยอะขนาดนี้ด้วยเหตุนี้จึงได้ผ่านมาถึงสองเดือนแน่นอนว่า
แน่นอนว่าโหลวฉางเยว่ไม่ได้สังเกตเอกสารของเขาทั้งหมดเธอก็เป็นคนจัดการเธอเงยหน้าขึ้น “เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพราะว่าศาสตราจารย์ไม่ต้องการให้ฉันไปทำงานที่นั่น แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าฉันไม่อยากที่จะเจอกับคนของปี๋้หยุนใช่ไหมคะ”เสิ่นซู่ชินยิ้ม “คุณพูดแบบนี้เหมือนว่าผมทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเลย”แล้วไม่ใช่เหรอโหลวฉางเยว่ยังไม่เคยเจอเจ้านายที่ใส่ใจความรู้สึกของพนักงานมาก่อน ยอมเพื่องานของตัวเอง“ศาสตราจารย์เสิ่นคิดมากไปแล้วค่ะ ฉันไม่มีอะไรเลยค่ะ รอให้คุณเสร็จงานตรงนี้ ฉันก็ยังต้องหางานทำ วงการใหญ่ขนาดนี้ ตอนทำงานก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงพบเจอคนของปี๋้หยุน หรือว่า ทุกครั้งที่ฉันเจอก็ต้องหลีกหนีอย่างนั้นเหรอคะ”โหลวฉางเยว่พูดขึ้นเบาๆ “สำหรับฉันตอนนี้ ปี๋้หยุนไม่มีความหมายอะไรเลยค่ะ”เห็นเธอดีใจขนาดนี้ เสิ่นซู่ชินเองก็ไม่กังวลแล้ว ตอนเย็นพวกเขาจึงไปทานอาหารเย็นด้วยกัน.ในสถานการณ์มีคนไม่น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นคนในของเสิ่นซู่ชินกลุ่มการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ทั้งนำทางไปด้วยและพูดคุยเฮฮาไปด้วย ผลักประตูของที่นั่งพิเศษให้เปิดออก โหลวฉางเยว่เงยหน้าขึ้น เธอมองเห็นชายที่โดดเด่นเป็นที่สนใจกรูเข้ามา สีหน้า
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ