“ถ้าถึงขนาดนั้น...ฉันก็คงต้องหาใครมาแทนที่เธอแล้วล่ะ เพราะฉันชอบอะไรที่มันสมบูรณ์แบบ”ทรายทองอิ่มตื้อขึ้นมา รวบช้อนแล้วยกแก้วน้ำขึ้นจิบ“ถ้างั้น...ทรายก็คงคิดถึงคุณ”ชายหนุ่มรู้สึกแปลกๆ ในสิ่งที่ทรายทองเอ่ยออกมา แววทุกข์ระทมปนอยู่ในน้ำเสียงทั้งที่วงหน้าหล่อนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ“ก็อย่าคิดสิ”เขาบอกบ้าง รู้สึกผิดที่คำพูดนั้นเหมือนคนที่มีจิตใจกระด้างเกินเยียวยาว่าที่คุณแม่ถอนหายใจแรงๆ“อิ่มแล้วค่ะ เราจะย้อมผมกันที่ไหนนะคะ”“บนห้องฉัน ที่ระเบียง นิค...เอาของไปเตรียมไว้หรือยัง”“ไปเดี๋ยวนี้ครับนาย”นิคว่าพลางก้มหัวรับคำสั่งแล้วก้าวออกไปจากห้องอาหาร อังเดรรับประทานต่ออีกสองสามคำแล้วลุกออกจากโต๊ะอาหารพร้อมๆ ทรายทอง ทั้งสองเดินขึ้นบันไดที่ทรายทองต้องถอนหายใจไปหลายรอบ เขาดูรวยมากกว่าที่เธอเข้าใจเสียอีก ดูจากบ้านช่องห้องหับนี่อย่างไร ทุกอย่างล้วนอู้ฟู่หรูหรา ตั้งแต่ราวบันไดสีทองเงาวับไปจนถึงโคมไฟระย้าที่ประดับประดาด้วยคริสตัลเนื้อดี ถ้าเทียบกันแล้วละก็ บ้านเล็กๆ ของเธอคงไม่ต่างจากรูหนูของที่นี่กระมัง“นี่ห้องฉัน” เขาเอ่ยแล้วเปิดประตูห้องห้องหนึ่งเข้าไป นิคไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว แต่เอลฟ์ยักษ์ผู้รู้
“แต่มันไม่ตื่นเต้นนี่คะ มันเซ็ง...” ทรายทองยิ้มขัน ยิ่งเห็นหน้าเขาบึ้งตึงก็ยิ่งดีใจ ปกติแล้วชอบตีหน้านิ่งจนน่าหมั่นไส้ก๊อกๆๆเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยร่างอรชรของอุษณีปรากฏที่ประตู สาวใหญ่แต่ใบหน้าและเรือนร่างยังไฉไล ไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่เห็นทรายทองที่นี่ทรายทองยกมือไหว้ทันทีที่เห็นอุษณี แต่คนถูกไหว้ไม่ได้ทำแม้แต่รับไหว้ด้วยซ้ำ“เธอมาที่นี่ทำไม” อุษณีถาม ชุดที่สวมนั้นราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นของชาวตะวันตก มันไม่ได้โป๊เปลือย แต่เต็มไปด้วยความหรูหราและสง่าเกินกว่าจะใช้เป็นชุดอยู่บ้านธรรมดา“ผมพามาเอง บางทีเธออาจจะมาอยู่กับเรา”อังเดรพูดเองเออเองทั้งที่ทรายทองยังไม่ตอบตกลงด้วยซ้ำอุษณีเดินลงส้นเข้ามาอย่างเคืองๆ“หมายความว่ายังไง แล้วแธมม่าล่ะ”ชื่อนั้นทำเอาทรายทองสะดุ้งโหยง ส่วนอังเดรแค่ไม่พอใจขึ้นมาอีกระดับ“เรื่องของผมไม่เกี่ยวกับแธมม่า เธอเป็นแค่พริเซ็นเตอร์สินค้าตัวใหม่ของอัชวินกรุ๊ปเท่านั้น”“และเป็นลูกสาวของเพื่อนฉัน ที่ฉันอยากให้แกคบด้วย แธมม่าชาติตระกูลดี หน้าตาสะสวยแล้วก็รวยมาก”อังเดรส่ายหน้า จนผ้าที่คลุมผมไว้หลวมๆ หลุดออก เป็นทรายทองที่ช่วยดึงมันมาถือไว้เสียเอง สีดำข
“สามสิบปีก่อนมันเกิดอะไรขึ้นแอนนี่ ทำไมต้องทิ้งผม ผมรู้ว่าตอนนั้นคุณยังเด็ก อายุสิบห้าในประเทศนี้ถือว่ายังเด็กเหลือเกิน แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอุปสรรคต่อการคบกันของเรา ผมรักคุณและคุณรักผม ผมเสียใจมากที่จู่ๆ คุณก็ทิ้งผมไป คุณไม่ติดต่อมาอีก ผมถามเพื่อนทุกคนที่รู้จักคุณก็ไม่มีใครยอมบอกอะไรเลย ทุกคนเหมือนปิดกั้นไม่ให้ผมได้เจอคุณ คุณหายไปจากชีวิตผมเหมือนคนที่ตายไปแล้ว”“ก็เพราะแอนนี่ตายแล้ว ที่นี่มีแต่ฉันค่ะร็อกเล่ต์ มีแค่ฉันคนนี้!” อุษณีปาดน้ำตา ริมฝีปากเม้มแน่น ยิ่งได้ยินคำว่ารักที่เขาเอ่ยอ้างก็ยิ่งเจ็บ มันเหมือนตอกย้ำว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอได้ทิ้งขว้างความรักของเขาอย่างเลือดเย็นที่สุด“ไม่จริง...คุณยังรักผม คุณไม่ได้แต่งงาน ตอบผมสักคำแอนนี่ ทำไมต้องหนีผมด้วย” เขาถามถึงอดีตอันขมขื่น สามสิบปีที่แล้ว ตอนที่อุษณีเพิ่งมีอายุสิบห้าปี เขากับหล่อนได้เจอกันที่โรงเรียน เขาเป็นครูอาสา ในขณะที่หล่อนเป็นเพียงนักเรียนในคลาส มันช่างดูล่อแหลมต่อศีลธรรมอันดีเมื่อหวนคิดถึงความสัมพันธ์อันเกินขอบเขต แต่เขาอดใจไม่ได้ และหลายครั้งที่เขากับหล่อนมีความสัมพันธ์กันในแบบที่หญิงชายควรมี บ้านพักของเขาได้ต้อนรับหล่
[12]เจ้าของสเปิร์ม!_____________น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงจากดวงตาของอังเดร มวลความทุกข์ในอดีตโถมใส่หัวใจชายหนุ่มไม่ยั้ง ทว่าเวลาเดียวกันนั้น มันเหมือนเปิดประตูให้รู้ถึงแสงสว่างอันมากมี ภาพที่บิดามารดาไม่เคยใส่ใจ ภาพที่เขาเหมือนเด็กชายที่เกิดมาผิดที่ผิดทาง บัดนี้ได้รับการไขปัญหาให้กระจ่างแล้วหากว่าเขาเป็นลูกชายของพี่สาวจริงๆ ก็สมควรแล้วกระมังที่จะได้รับความรังเกียจจากพวกท่าน ก้อนเลือดที่พวกท่านเคยบงการให้ไปทำแท้งคงไม่มีความน่าเอ็นดูมากพอให้พวกท่านกอดหอม แล้วเหตุใดกันเล่า เหตุใดอุษณีจึงอยากเก็บเขาไว้ ทั้งที่เป็นความอับอายในชีวิตของหล่อนแท้ๆ“อังเดร!” ร็อกเล่ต์ขานชื่อบุตรชายที่อยู่หน้าประตูอุษณีใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเขา อังเดรกำหมัดแน่นด้วยกำลังระงับโทสะ ดวงตาเขาแวววาวด้วยหยดน้ำตา อุษณีใจหาย นานมาแล้วที่ไม่ได้เห็นน้ำตาของเขา นานเหลือเกิน“ตาเอื้อ...พี่...พี่...ขอโทษ...ขอโทษ!” อุษณีพร่ำพูดคำขออภัย พยายามจับมือของบุตรชายมากุมไว้ แต่อังเดรสบัดมันออกด้วยแรงที่มี“พี่รู้ไหมว่าผมต้องเกิดมาท่ามกลางความเกลียดชัง ลูก...ที่เกิดมาแล้วกอดสักครั้งพ่อแม่ยังไม่เคยกอดน่ะ มันทรมานแค่ไหนพ
“โอ้ว...รู้สึกดีชะมัด!” ร้องใส่หน้าเขาแล้วยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าสะเอว จ้องหน้าคนเจ็บที่ยังยืนอึ้งไม่หาย มือข้างหนึ่งถือสมาร์ตโฟนแล้วเฝ้ามองข้อความที่โชว์อยู่ “ขอบคุณสำหรับค่าทำแท้ง ไม่ต้องห่วงนะ ฉันทำแน่!”พูดจบก็หันหลังให้เขา เดินไปที่ประตูห้อง เปิดมันออกแรงๆ น่าประหลาดใจไหมเล่าที่ได้เจอกับอุษณีและร็อกเล่ต์ยืนอยู่ข้างนอกนั่น“โอ...อังเดร!” ร็อกเล่ต์เข้าไปดูบุตรชาย รีบหาผ้ามาพันรอบศีรษะที่เลือดกำลังไหล“นี่เธอทำบ้าอะไรฮะ!” อุษณีร้องว่าทรายทอง ทว่าทรายทองยิ้มยั่ว“ไม่บ้าหรอกค่ะ ฉันบ้าได้มากกว่านี้อีก ลาก่อนนะคะคุณอุษณี หวังว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก สวัสดีค่ะ”ทรายทองยกมือไหว้แบบประชด ก่อนจะเดินลงส้นแรงๆ ออกจากตรงนั้น อุษณีรีบมาดูอาการบุตรชายบ้าง เขายังยืนนิ่งอยู่ ทว่าเลือดไม่ได้ไหลลงมาแล้ว มันคงจะหยุดเพราะถูกผ้าในมือร็อกเล่ต์กดไว้กระมัง“เอื้อ...เจ็บไหม ไปโรงพยาบาลเถอะ”“อย่ามายุ่งกับผม” ไม่พูดเปล่าๆ แต่ดึงผ้าออกจากศีรษะ ตอนนี้อังเดรรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนที่กำลังถูกบิดามารดาเข้ามาวุ่นวาย เขาขาดสติและไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากคนทั้งสอง เขาแค่อยากอยู่
ปรายรุ้งพยายามไม่แสดงออกถึงความไม่พอใจ เธอสูบลมหายใจเข้าลึกๆ ล้วงเอากระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วหยิบเงินสดสามพันบาทให้เขา“ที่ฉันเคยยืมค่ะ ฉันคืนให้” เธอเอ่ยกับเขาดีๆ สำนึกเสมอว่าเขาไม่ใช่คุณโชของตัวเองอีกแล้ว เขาคือเจ้านายที่เธออย่าได้ริไปทำให้เขาโกรธหากยังไม่อยากตกงานชลกรชักสีหน้าใส่ รู้สึกเสียหน้าอย่างที่สุด เขาดึงเงินนั้นมาถือไว้ ก่อนปามันใส่หน้าอกของปรายรุ้ง“ฉันไม่เอา ให้ค่าข้าวเธอแล้วกัน หรือไม่ก็คิดซะว่าเป็นค่าตัววันนั้นก็ได้ หึๆๆ”การได้ตอกหน้าปรายรุ้งควรจะทำให้เขาสะใจ แต่ชลกรมั่นใจว่าภายใต้รอยยิ้มเยาะของเขานั้น ไม่ได้มีความรู้สึกนั้นเลย สตรีที่ยืนกำหมัดแน่นอยู่ตรงหน้าเขานี้กำลังทำให้เขาสงสารหล่อน เอาสิปรายรุ้ง หล่อนคงได้ฟาดฝ่ามือใส่แก้มเขา หรือไม่ก็กระโดดกัดหูบ้างล่ะ นิสัยหล่อนไม่มีความอดทนอดกลั้นมากขนาดนั้นหรอกชลกรได้อึ้งเป็นครั้งที่สอง เพราะนอกจากปรายรุ้งจะไม่ตบตีหรือด่าทอเขา หล่อนกลับก้มลงเก็บเงินนั้นเข้ากระเป๋าไว้ตามเดิม ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินจากไป เขาอยากเดินตามหล่อนไปหรอกนะ แต่รถยังต้องการคนขับ ปรายรุ้งไม่มีรถ หล่อนคงไปยืนรอรถที่ป้ายรถเมล์แถวนี้กระมังปรายรุ้งกลั้นน้ำตาอย่า
ปรายรุ้งเดินเข้าบ้านพร้อมหยาดน้ำตาที่พรั่งพรู รู้สึกอึดอัดและทรมานกับสิ่งที่พบเจอตอนเลิกงาน เขากับเธออยู่คนละหน้าที่ คนละตำแหน่ง แต่น่าอายนักที่เธอยังโหยหาเขา ยังต้องการเขาทั้งที่เขาไม่ต้องการเธอเลย เขามีคนใหม่ และพร้อมจะลืมเธอ หรือบางที...เขาอาจจะลืมตั้งนานแล้ว“พี่ทราย พี่คะ” เอ่ยเรียกพี่สาวเพราะเห็นรถจอดอยู่ข้างนอกแต่บ้านช่องยังไม่ได้เปิดไฟสักดวง มีแค่แสงสลัวจากดวงไฟด้านนอกส่องเข้ามาเท่านั้น เธอรีบเช็ดน้ำตาแล้วเดินไปเปิดสวิตช์ให้ไฟสว่าง ทรายทองนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ที่ไม่ได้เปิด เหมือนเจ้าตัวกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เธอเดินเข้าไปหา แลเห็นสมาร์ตโฟนที่มันเปิดโชว์หน้าจออยู่ มีเงินจำนวนหนึ่งถูกโอนเข้ามา เธอรู้ทันทีว่ามันมาจากใคร พลันสองเข่าก็อ่อนยวบ ต้องเดินด้วยเข่าเข้าไปหาพี่สาวแล้ววางมือเบาๆ บนตักของหล่อน“พี่คะ...คุณอังเดรว่ายังไงบ้าง” ถามแล้วรออยู่นานกว่าจะได้รับคำตอบ เธอลองจับมือทรายทองดู มันเย็นเฉียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “เขาให้ค่าอะไร ค่าเลี้ยงดูก้อนแรกใช่ไหมคะ” เอ่ยในทางบวกที่คิดว่าใช่ที่สุด ทั้งที่อีกใจบอกว่าไม่ใช่เลยทรายทองหัวเราะอย่างขมขื่น“ค่าทำแท้ง...ทำแท้งน่ะปราย แกรู้
“ค่ำแล้ว พี่หิวไหม”ทรายทองพยักหน้า “หิวมาก กินช้างได้ทั้งตัวเลย” “หนูจะทำกับข้าว พี่ไปอาบน้ำเถอะ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงได้กินแน่ๆ”ทรายทองยิ้มให้น้องสาวแล้วค่อยๆ ลุกยืน เธอนั่งอยู่ตรงนี้มาหลายชั่วโมง เลือดลมอาจเดินไม่ปกติ เวลานี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ต้องคอยสังเกตตัวเอง ไม่อยากเป็นภาระปรายรุ้งมากกว่าที่เป็นอยู่ว่าที่คุณแม่เดินขึ้นมาถึงห้องชั้นบน จัดการโยนกระเป๋าลงบนที่นอน รวมถึงสมาร์ตโฟนด้วย มันเด้งกระเด็นกระดอนอยู่หลายตลบ เธอรู้ว่าอังเดรโทรมามากกว่ายี่สิบสาย แต่เธอไม่ได้รับ “ฉันไม่รู้จะทำยังไงกับคุณดีอังเดร บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนไม่เคยรู้จักคนอย่างคุณเลย”เสียงริงโทนเมื่อมีสายเข้าดังขึ้นอีกครั้ง เป็นคนเดิมที่ยังโทรเข้ามา เธอนั่งลงบนเตียง หยิบสมาร์ตโฟนมาถือไว้ เครื่องยังสั่นอยู่ เสียงเพลงก็ยังดัง...เธอกดรับ“ทรายทอง...นั่นเธอใช่ไหม ฉันต้องคุยกับเธอ”น้ำตาของทรายทองคลอในสองเบ้าตา เธอไม่ได้เอ่ยโต้ตอบเขา“เราอาจจะตกลงกันใหม่เรื่องเด็ก...เมื่อบ่ายนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยปกติ ฉันมีเรื่องยุ่งรบกวนใจ”ทรายทองส่ายหน้าดิก เม้มปากแน่น“ได้โปรด...ฉันอยากได้ยินเสียงเธอ” อังเดรวอนขออยู่ปลายสาย ทรายทอ
บทส่งท้าย___________ทรายทองนั่งป้อนข้าวสองแฝด ในตอนที่อังเดรเดินลงบันไดมา นิคยืนอยู่ไม่ไกล รอรับคำสั่งเจ้านายอย่างเอลฟ์ตัวยักษ์ผู้ภักดีอยู่เช่นเดิม ผิดก็แต่ช่วงนี้ เอลฟ์ตัวยักษ์มักเปลี่ยนฝ่ายย้ายข้างมาภักดีต่อคุณหนูตัวแสบแสนซนอยู่บ่อยๆ แน่ละ สองแฝดน่ารักและน่าเอ็นดูเหลือเกิน“โอย...สายๆๆ สายแล้วที่รัก” เขาบ่นขณะเดินรีบๆ มาหาภรรยากับลูก ก้มลงหอมแก้มสองแฝดแรงๆ ลูกน้อยที่หน้าเหมือนเขาอย่างกับแกะ ก่อนจะหันมาจุมพิตภรรยาที่ข้างขมับ“รีบก็ไปสิคะ เดี๋ยวรถติดนะคุณเอื้อ”อังเดรพยักหน้า ก็อยากจะไปละนะแต่ว่า...“อะไรคะ” ถามสามีเพราะเขาก้มลงมาใกล้เธอแล้วแบมือขออะไรสักอย่าง“ก็ตังค์ไปทำงานไง”ทรายทองทำหน้ายุ่ง “ให้แล้ว วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเหมือนทุกวันไงคะ” บอกเหมือนรำคาญ ก็แหม...สามีที่รักทำเหมือนจำวันสำคัญวันนี้ไม่ได้นี่นา“แต่มันไม่พอนี่ที่รัก” ก้มลงมากระซิบอีก อายเจ้านิคเกินจะกล่าวยามต้องแบมือขอเงินภรรยา“โอ๊ยคุณเอื้อ จะเอาอะไรนักหนาคะ อาหารการกินทรายก็สั่งเลขาจัดให้แล้ว แทบไม่ต้องซื้ออะไรเลยนะ แถมที่ให้ไปก็ตั้งเยอะ” บ่นอย่างงอนๆ“สองร้อยเนี่ยนะที่รัก!” อังเดรร้องออกมาอย่างสุดจะทน ได้ยินเสีย
คนถูกทักสะดุ้งโหยงรีบซ่อนถุงยางอนามัยกับเข็มไว้ข้างหลัง สองตามองไปที่หน้าประตูห้องน้ำ ปรายรุ้งโผล่แค่ส่วนหน้ากับไหล่ขาวๆ ออกมานิดหน่อยแต่ช่างยั่วคนมองสิ้นดี“อ่า...ก็...หะ...หา หากรรไกรตัดเล็บไง”“หรือคะ...ฉันถูหลังไม่ถึง มาถูให้หน่อยสิ” คนสวยมียั่ว คนถูกยั่วหูผึ่ง “อ๊ะๆ หยิบถุงยางมาด้วยสิคะที่รัก”“จ้า...ไม่ลืมจ้าไม่ลืม หึๆๆ” บอกว่าไม่ลืมแต่น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เหลือร้าย ทว่าปรายรุ้งไม่ทันได้สังเกต เพราะเพียงแค่ชลกรถอดเสื้อผ้าแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่า หญิงสาวก็ลืมไปแล้วว่าการถูหลังมันคืออะไร_____________สองเดือนต่อมางานเลี้ยงครบรอบการแต่งงานของทรายทอง ถูกจัดขึ้นที่คฤหาสน์อัชวินอย่างเป็นกันเองที่สุด ทว่าแขกที่มาร่วมงานก็ยังต้องแต่งตัวสวยแบบว่าผูกเนกไทใส่สูท ทั้งสหายและญาติๆ ของครอบครัวอัชวินและครอบครัววัฒนากูร ต่างถูกเชิญมางานเลี้ยงอย่างอบอุ่น งานเลี้ยงแบบที่มีการเปิดฟลอร์เต้นรำจึงดูหรูหราอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนในงานต่างมีรอยยิ้มพร่างพราย ซุ้มอาหารและเครื่องดื่มถูกจัดไว้อย่างสวยงามและพรั่งพร้อมอย่างที่สุด สองแฝดของทรายทองถูกพาเข้านอนตั้งแต่ยังไม่สองทุ่ม ทั้งสองหลับสนิทรา
“เป็นอะไรไปคะ แค่จะมีน้องต้องงอนพ่อแม่ด้วยเหรอ ไม่ใช่เด็กสามขวบนะคะ” ทรายทองติงสามี ไม่ได้เอ่ยอย่างตำหนิมากมาย แค่อยากให้เขาเข้าใจว่าทุกสิ่งมันเกิดขึ้นได้เสมอ คนเราไม่สามารถบงการทุกอย่างได้หรอกคนถูกติงถอนหายใจอีกครั้ง สองตาทอดมองออกไปยังชายหาด สองแขนโอบเอวภรรยาไว้แน่น“ก็ห่วงนี่นา แม่ไม่ใช่สาวรุ่นแล้วนะ อีกไม่กี่ปีก็ห้าสิบแล้ว มันอันตราย ฉันเคืองพ่อด้วย อะไรจะฟิตขนาดนั้น”“โธ่คุณเอื้อ พวกเขาก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ดีๆ นี่เอง อย่าไปงอนพวกเขามากเลย ชีวิตคนเรามันสั้นนะคะ ให้พวกเขาได้อยู่ดูแลกันไปอย่างมีความสุขเถอะ อีกอย่างน่ะ มีเด็กเยอะๆ ครอบครัวจะได้อบอุ่นไม่ใช่หรือคะ”“มีปัญหาตั้งมากกับการมีลูกในตอนอายุเยอะแล้ว” เขายังท้วงติงไม่เลิก“งั้นคุณก็ช่วยพ่อคุณดูแลแม่สิคะ เราอาจต้องมีหมอประจำบ้านที่เป็นหมอสูติก็คราวนี้แหละ ยิ่งอายุเยอะยิ่งอันตราย แต่ถ้าเรารู้วิธีดูแลแก้ไข มันก็ไม่น่าห่วงไม่ใช่หรือคะ แม่คุณไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ มันเป็นความผิดพลาดเหมือนกัน แต่มันเป็นความผิดที่งดงามเหลือเกินคุณเอื้อ มันเป็นเรื่องดี แทนที่จะงอนพวกเขา ทรายว่ามาเอาใจช่วยพวกเขาดีกว่านะคะ”อังเดรกอดภรรยาแน่นขึ้นไปอีก ทรา
[20]กรงขังผีเสื้อ_________“พี่ทราย...พี่คะ!”ทรายทองสะดุ้งโหยง กะพริบตาปริบๆ รู้สึกถึงมืออุ่นของน้องสาวที่จับมือตนอยู่“เอ่อ...ขอโทษที มันแค่คิดอะไรเพลินๆ น่ะ” ตอบออกไปแล้วเหลือบมองสามีแวบหนึ่ง อังเดรเดินเข้ามาหาเธอ วางมือบนไหล่บางอย่างต้องการให้กำลังใจปรายรุ้งยิ้มให้พี่สาว “บอกหนูหน่อย ทำไมพี่ไปอยู่กับคนอื่น ทำไมไม่อยู่กับหนูคะ แล้วทำไมแม่ต้องบอกว่าพี่ตายแล้ว”“เรื่องมันยาวน่ะปราย แต่ว่า มันไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่สองผัวเมียที่มีลูกไม่ได้ มาเจอพี่ เห็นพี่แล้วคงนึกเอ็นดูเลยขอไปเลี้ยง พ่อแม่เอง ก็คงอยากให้ลูกมีความเป็นอยู่ที่ดีละมั้ง ก็แค่นั่นแหละ”“หรือคะ ดีจัง...แม่เคยเล่าว่าตอนหนูเด็กๆ บ้านเราจนมากๆ เพิ่งพอมีใช้บ้างตอนที่พ่อมีเรือเป็นของตัวเอง แล้วพี่ละคะ พี่เป็นยังไงบ้าง”“ก็สบายดี คนฐานะดีย่อมเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งได้ดีอย่างใจพวกเขา เสียก็แต่พวกท่านอายุสั้นไปหน่อย”ปรายรุ้งพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังมีอีกหลายข้อที่ยังไม่ได้บทสรุป“แล้วทำไมพี่ไม่มาหาเราบ้าง”“เพราะว่า เอ่อ...เรื่องมันยาวไงปราย คร้านจะเล่า เอาไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน” ทรายทองปฏิเสธ เงยหน้ามองสามีก็เห็นเขามองลงมาอย่
สองสาวต่างกอดกันแล้วร่ำไห้ ทรายทองรู้สึกเหมือนว่าความลับที่แบกมานานได้ถูกทำลายให้สูญสลายไป ด้วยคำถามเพียงไม่กี่คำของน้องสาว ส่วนปรายรุ้งนั้นสุดแสนจะดีใจ ดีใจยิ่งกว่าถูกบอกรักจากชลกรเสียอีก“พี่ทราย พี่รู้ไหมว่าหนูดีใจแค่ไหน...ฮึกๆ ในที่สุดพี่ก็เป็นพี่สาวหนูจริงๆ ฮึกๆ”“อือ...แกอย่าร้องสิ ร้องทำไม เลยทำให้ฉันร้องด้วย” ว่าพลางปาดน้ำตาป้อยๆ รอยยิ้มแห่งความยินดีปรากฏบนใบหน้าของทั้งสอง สองบุรุษที่ยืนดูอยู่ อดยิ้มออกมาไม่ได้ทั้งอังเดรและชลกรต่างรู้ว่าสองสตรีรักกันมากแค่ไหน มันเป็นเรื่องดีที่ทั้งคู่กลายมาเป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่ลึกๆ แล้วอังเดรยังข้องใจ เหตุใดทรายทองถึงไม่บอกเรื่องนี้ให้ปรายรุ้งรู้ตั้งแต่แรกปรายรุ้งผละจากการกอดพี่สาว“พี่ปิดบังหนูทำไม ทำไมไม่บอกล่ะ”“มัน...ไม่มีจังหวะน่ะ” ทรายทองแก้ต่างไปเรื่อย เธอกลัวต่างหาก กลัวความจริง ไม่อยากให้ปรายรุ้งต้องเจ็บปวดไปกับตัวเอง“ทำไมละคะ ทำไมพี่ถึงไม่อยู่กับหนู ไม่อยู่กับพ่อแม่ ทำไม”ปรายรุ้งถามรัวๆ นั่งถามพี่สาวจริงจัง ไม่หวั่นแม้ว่าใต้เข่าของตัวเองจะเป็นเม็ดทราย หยดน้ำตาบนใบหน้ายังมีอยู่ แต่หญิงสาวไม่สนใจจะเช็ดมันแล้วนัยน์ตาของตาทรายทองไ
“ฉันจะใส่”“ไม่เอา อายเขา เอารองเท้าคุณคืนไปนะตาบ้า ฮ่าๆๆ” เธอหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ มองเท้าเขาแล้วขำแรง เหมือนเอารองเท้าเด็กมาสวมให้ช้างอะไรอย่างนั้น“ใส่เถอะน่า ถ้าฉันใส่แล้วเธอหัวเราะ ฉันจะใส่มันให้เธอดูทุกวันเลย”“โอ๊ย...คุณโช...แค่นี้ก็รักจะตายอยู่แล้ว...” บอกเขาแล้วเกาะแขนประจบ เอาแก้มถูๆ ต้นแขนเขาเหมือนอย่างที่เคยเห็นทรายทองทำกับอังเดร“ก็อยากให้รักมากๆ นี่นา เอาละ เราจะไปซื้อรองเท้าหรือว่าจะขึ้นไปหาพี่สาวเธอก่อนดี”“ไปซื้อรองเท้าค่า อย่าไปห่วงพี่ทรายเลย สามีนางมาค่ะ เราเข้าไปก็เป็นส่วนเกิน”“ดีจริง...เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่า...หึๆ”“อย่านะคุณโช ไม่ต้องเลย” บอกเขาอย่างนั้นแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สุดท้ายก็โดนชลกรลากแขนไปขึ้นรถ และไม่ได้กลับมาที่โรงพยาบาลอีก แม้ว่าจะถึงเวลาที่ทรายทองต้องกลับบ้านก็ตาม___________หลายเดือนต่อมากลิ่นน้ำทะเลเค็มๆ ลอยมาปะทะประสาทรับกลิ่นของทรายทองอย่างจัง ทว่านั่นไม่ทำให้คุณแม่มือใหม่สนใจมันได้เท่ามะม่วงเปรี้ยวในตะกร้าที่แม่ค้าหิ้วมาขาย ลูกชายฝาแฝดของเธอตอนนี้อายุได้สิบเดือนแล้ว และกำลังนั่งเล่นกองทรายอยู่กับบิดาของแกและนิค น้ำทะเลตอนบ่ายคล้อยเริ
“โอเคๆ ตั้งแล้วๆ อ่า...คนนี้ชื่ออะไรดีน้า อืม...อนาวิลดีไหม”“เพราะมากค่ะสามีขา...” คนขี้อ้อนเอ่ยชมสามีทันทีที่ได้ชื่อถูกใจ “แล้วอีกคนละคะ”อังเดรทำหน้าคิดหนักยิ่งกว่าเก่า “อืม...อนาวิลแล้วก็ต้อง...อณิษฐ์...ใช่ อณิษฐ์” เขายิ้มกว้าง ทรายทองกระแซะร่างเข้าหาสามี สอดแขนโอบเอวเขาไว้ ในขณะที่อังเดรก็กอดเธอกลับมา“สามีตั้งชื่อเก่งมากค่ะ ชื่อเล่นเดี๋ยวทรายตั้งเอง” บอกเขาแล้วเงยหน้าจุมพิตปลายคางสากไปหนึ่งที“หายโกรธแล้วใช่ไหมคนดี”ทรายทองส่ายหน้าเบาๆ“ไม่ได้โกรธ แค่น้อยใจ โดนสามีง้อบ่อยๆ เดี๋ยวก็หาย ถ้าจะให้หายไวละก็ควรมีกระเป๋าแบรนด์เนมมาปลอบใจสักโหลสองโหล”“โอเว่อร์ มันเปลือง...อีกอย่างน่ะ เงินฉันฉันให้เธอหมดแล้ว อยากได้อะไรก็ไปซื้อเอาครับ”คราวนี้อังเดรเป็นต่อ เขากลั้นขำ หากจะให้สามีทำเซอร์ไพรส์มอบของขวัญให้ในวันพิเศษต่างๆ ละก็ หล่อนคงหมดหวังละ เพราะทุกบาททุกสตางค์ให้ศรีภรรยาไปหมดสิ้นแล้ว“โอ๊ย...คุณเอื้ออ่า...ไม่รับมุกเลย งั้นเดี๋ยวทรายจะโอนเงินให้เดือนละแสนแล้วกัน”“เอาไว้ให้สามีใช้จ่ายใช่ไหมที่รัก”“เอาไว้ซื้อของขวัญเซอร์ไพรส์เมียย่ะ”“เธอมันร้ายจริงๆ”“ก็มันเป็นนิสัยของทรายไปแล้ว...อื้อ
[19]ผู้ชายที่ไม่เคยถูกรัก________________เช้าวันถัดมาก๊อกๆๆประตูถูกเคาะและถูกเปิดออกในนาทีต่อมา ทรายทองยืนอยู่ที่ปลายเตียง กำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ อังเดรปรากฏกายใต้กรอบประตู เขาเดินเข้ามาช้าๆ มีร่างเอลฟ์ยักษ์ของนิคเดินตามมาติดๆ นิคหยุดยืนอยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง ส่วนอังเดรหยุดยืนที่กลางห้อง เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างประหม่า“นึกว่า...จะไม่มานะคะ”“มาสิ ฉันต้องมาแน่ แต่ว่า...ช้าไปหน่อย...ฉันรีบที่สุดแล้ว มันไม่มีเที่ยวบินที่เร็วกว่านี้ ฉัน...”อุแว้....อุแว้...“โอ...คุณพระ! นี่ฉันได้ลูกแฝด!?”อังเดรช็อกเหมือนถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแสนโวลต์ เขาจ้องมองกระบะทารกทั้งสองตาค้าง ปรายรุ้งอุ้มทารกคนหนึ่งขึ้นมา เจ้าหนูยังร้องจ้า“พี่ทราย สงสัยน้องจะหิว พี่กลับขึ้นเตียงเถอะจะได้เอาน้องกินนม” คนเป็นน้องบอกทรายทองขยับขึ้นไปนั่งแล้วรีบเอ่ยบางอย่าง“ให้คุณเอื้ออุ้มลูกมาซิปราย”อังเดรยืนตัวแข็ง หัวใจเขาเต้นแรง นั่นมันมนุษย์ตัวเล็กที่แผดเสียงร้องจ้า ที่สำคัญคือมีมนุษย์ตัวเล็กตั้งสองคนแน่ะ ให้ตายเถอะ! ประสาทจะกิน ทรายทองไม่ยอมบอกเขาเลยกับการมีครรภ์แฝด หล่อนมันตัวแสบ อยากให้เขาช็อกตายหรืออย่างไร“เอาสิคุ
“อย่ามาพูด เลิกจ้ำจี้ฉันเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกทีย่ะ” ปรามเขาอย่างเคืองๆ ก็ปากบอกอยากจะมีลูก แต่ใช้งานเธออย่างกับนางเอกหนังเอวีละก็ เชิญไปมีกับคนอื่นเถอะ ถ้ามีลูกขึ้นมาเธอคงเหมือนซอมบี้ ไม่ต้องมีเวลาหลับเวลานอนกันละ“ปรายใจร้าย...” เขาสวนทันควัน มือข้างหนึ่งเลื่อนไปโอบเอวบางแล้วดึงเข้าหาตัว ทว่ายังจ้องผิวเนื้อของทารกแฝดไม่วางตา“มีลูกนี่งานใหญ่นะคุณโช เรายังไม่เต็มอิ่มกับชีวิตหนุ่มสาวเลย ฉันยังอยากอยู่กับคุณไปก่อน เราอย่าเพิ่งมีลูกกันเลย รออีกสักนิดดีกว่า นะๆ” ปรายรุ้งอ้อนสามี ทั้งอธิบายความเป็นจริงให้เขารู้ชลกรขยับไปยืนซ้อนหลังปรายรุ้ง กอดเอวหล่อนไว้หลวมๆ แล้วเกยคางบนไหล่บาง แอบสูดกลิ่นหอมของคนรักที่ซอกคอขาวแต่สองตายังจ้องสองแฝด“แล้วแต่เธอเถอะ แต่อย่านานนะที่รัก ม๊าอยากอุ้มหลานจะแย่แล้ว”“ฉันรู้ค่ะ รออีกสักปีนะคะ ระหว่างนี้เราก็มาช่วยพี่ทรายเลี้ยงหลาน ฝึกงานไปด้วยดีไหมคะ”“เป็นความคิดที่เยี่ยมมาก ซ้อมบทพ่อแม่ไปพลางๆ เวลาเรามีลูกเราจะได้ไม่หัวหมุนเนาะ”หนุ่มสาวคุยกันกะหนุงกะหนิงจนทรายทองลอบยิ้ม พวกเขาดูรักกันดี ออดอ้อนกัน รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน ไม่เหมือนคู่เธอเลยที่ฝ่ายชายเอาแ