“ค่ะ...ท่านประมุขยอมสละได้แม้รู้ว่าอาจอันตรายถึงชีวิต”“ด้วยเหตุผลอันใดเล่า...หากเป็นเพราะความรักก็จงจำคำของข้าไว้”“ท่านไต้ซือ”“สิ่งที่ต้องพึงระวังสำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์ฟ้าคำรามไม่ว่าหญิงหรือชายคือการรักษาพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด เพราะกำลังลมปราณจากการฝึกวรยุทธ์คัมภีร์เฟิงเหลยนั้นต้องบากบั่น อดทน เพราะพลังแห่งคัมภีร์นี้ยิ่งใหญ่ ทลายแม้ขุนเขาสูงเสียดฟ้าได้เพียงหนึ่งฝ่ามือ ผู้ฝึกคือจักรวาลทั้งจักรวาล เมื่อฝึกสำเร็จคือไร้กาล มีแต่คงมั่น ยืนหยัดดังหินผาเสียดฟ้า แต่หากปล่อยให้มีความกังวลและความลังเลเข้ามารบกวนจะทำให้ลมปราณและพลังที่เพียรฝึกมาแตกสลาย กลายเป็นไร้ทิศ ธาตุร้อนและเย็น ทั้งน้ำและไฟในกายที่หลอมรวมกันได้แจะแยกจากกันและแตกซ่านหมุนวน”“หมายความว่าอย่างไร ท่านไต้ซือ”“ฟางซินคือผู้ฝึกวรยุทธ์คัมภีร์ฟ้าคำรามใกล้บรรลุขั้นสูงสุด หากนางเพียงช่วยขับพิษจากตัวของแม่ทัพผู้นั้นอาจสูญสิ้นแค่วรยุทธ์ แต่หากนางสูญเสียพรหมจรรย์วันใดพลังหยินหยางในกายของนางจะปั่นป่วนแตกซ่าน... มิมีผู้ใดฝึกกำลังจากคัมภีร์เล่มนี้และสูญสิ้นพรหมจรรย์รอดชีวิตไปได้สักคน”10แผนเปิดโปง“มิมีทางแก้ไขได้เลยหรือท่านไต้ซ
เหมยเหม่ยแทรกขึ้นอย่างเหลืออด ยิ่งมองเห็นความชิงชังที่แสดงออกทางสายตาของแม่ทัพหนุ่มนางก็ยิ่งเดือดแค้นทว่าฟางซินกลับยกมือขึ้นห้ามผู้ติดตามของนางอย่างเยือกเย็น“ช่างเถิดเหมยเหม่ย ข้ารู้ซึ้งดีถึงความแค้นของจิ้นเหอ เขาสูญเสียคนที่เขารักเหมือนข้าที่ต้องสูญเสียพ่อและแม่”“และความแค้นต้องสางด้วยความแค้นเท่านั้น! ตอนนี้ข้าคือแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ เป็นคนของฮ่องเต้ที่ต้องผดุงความยุติธรรมปราบมารแผ่นดินให้สิ้นซาก และเจ้า...ก็คือประมุขพรรคบุปผาสวรรค์ เราต่างคนต่างมิรู้จักกัน พบกันครั้งหน้าเราต่างอยู่คนละฟากฝั่ง มิเคยเป็นมิตรเป็นแต่ศัตรูที่ต้องห้ำหั่นกันให้รู้แพ้รู้ชนะ!”จิ้นเหอทิ้งวาจาเชือดใจไว้ก่อนดึงบังเหียนบังคับอาชาให้วิ่งห้อตะบึงจากไปอย่างไม่ใยดี เหมยเหม่ยเหลือจะทน นางส่งเสียงในลำคออย่างขัดเคือง“เป็นแม่ทัพของฮ่องเต้แล้วอย่างไร...ในเมื่อมิเคยสำนึกเลยว่าใครช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้มิต้องให้เป็นผีเฝ้าหุบเขา แต่ข้าว่าก็ดีแล้วท่านประมุข ในเมื่อเขาประกาศชัดแจ้งว่าเป็นศัตรูกับท่านทุกอย่างก็ยิ่งทำได้ง่ายดายขึ้น”ซึ่งตรงข้าม...มันยิ่งยากขึ้นสำหรับทุกการตัดสินใจ ฟางซินเม้มปากแน่นสนิทกับความคิดตรึกตรองที่มิอาจ
มี่อิงนิ่งไปชั่วลมหายใจและหรี่ตามองชายหนุ่มในชุดที่ดูธรรมดาสามัญซึ่งไม่น่าจะเป็นผู้มีวรยุทธ์เพราะไม่อย่างนั้นคงใช้วิชาตัวเบาไม่วิ่งตามให้เหนื่อยเช่นนี้“ท่านจะไปพรรคบุปผาสรรค์ด้วยเหตุผลอันใด?”“ข้ามาตามหานายของข้า”“นายของท่าน...ใครกัน?”“นายของข้าคือทหารจากวังหลวง แม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ...ส่วนข้าเป็นข้ารับใช้ที่ติดตามท่านแม่ทัพ ชื่อหวังซื่อ”เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาของนางมารดอกไม้เงินถึงกับเป็นประกาย นางยกยิ้ม“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ถามมิผิดคนแล้ว...ข้าชื่อมี่อิงและรู้ว่าพรรคบุปผาสรรค์ไปทางไหน ข้าจะเป็นคนนำท่านไปเอง”****************************************หอหมื่นบุปผา เคียงอยู่บนยอดสูงเสียดฟ้าแห่งหวงซาน ฟางซินและเหมยเหม่ยเดินทางกลับมายังพรรคบุปผาสวรรค์โดยเร้นกายหลบเข้าสู่หอหมื่นบุปผามิให้ผู้ใดรู้ว่าทั้งสองกลับมาจากที่ใด เมื่อกลับเข้าไปในห้องได้อย่างปลอดภัยแล้วเหมยเหม่ยกลับเห็นว่าใบหน้าขอประมุขพรรคมารยังซีดเซียว นั่นเพราะนางพึ่งได้รับยาถอนพิษอีกเม็ดจึงต้องใช้เวลาอีกหลายราตรีกว่ากำลังจะกลับคืนมาได้ส่วนหนึ่ง“ท่านประมุข...เป็นอย่างไรบ้าง”เหมยเหม่ยถามขึ้นขณะประคองฟางซินนั่งบนเตี
“เจ้าควรรู้ตัวเองว่ากำลังกระทำการสิ่งใด ผู้จะเป็นใหญ่ใจวอกแว่กย่อมไม่น่านับถือ ฟางซิน...เจ้าคือประมุขพรรคบุปผาสวรรค์ พรรคมารอันเลื่องลือเรื่องความเหี้ยมโหดไม่มีปราณี หากไม่ระวังตัวแม้พลาดก้าวเดียวงานใหญ่ก็จะเสียและเป็นที่หมิ่นแคลนของคนทั่วทั้งยุทธภพ”“ข้าระวังตัวเสมอท่านแม่”“ระวังตัวของเจ้านั้นดีแล้ว แต่หากมิระวังใจเจ้าจะพบแต่อันตรายและความผิดหวัง”“ขอบคุณสำหรับคำเตือนของท่านแม่ ข้าจะขอเดินลมปราณเพื่อรักษาบาดแผลต่อ”“บาดแผลของเจ้าอาจรักษาหายแต่พลังวัตต์และลมปราณของเจ้ามิมีวันกลับมากล้าแกร่งเหมือนดังเก่าได้อีก”“ข้าขอเวลารักษาตัวนับจากนี้อีกสามราตรี”“เจ้าจะรักษาตัวในห้องนี้ต่อไปใยในเมื่อเจ้า...พึ่งกลับมาจากถ้ำธารแสงจันทร์ยังมิทันถึงชั่วยามด้วยซ้ำ!”“ท่านแม่”ฟางซินถึงกับผงะ มือของนางที่เย็นอยู่แล้วยิ่งเย็นเข้าไปอีกด้วยไม่นึกว่าเพ่ยหลินจะรู้ความเป็นไปในห้องนี้ กระนั้นประมุขพรรคมารก็ยังแสร้งตีสีหน้าราวกับว่ามิมีสิ่งใดเกิดขึ้นด้วยการยกยิ้ม“ข้ามิรู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไร ข้าอยู่ในห้องนี้มาโดยตลอดและไม่อนุญาตให้ใครเข้ามารบกวนการรักษาตัวของข้า”“ผู้ไร้สัจจะถึงมีความสามารถก็ไร้ประโยชน์ ข้ายอ
มี่อิงออกคำสั่งและทำให้ฟางซินชาไปทั้งตัว ณ เวลานั้นเหมยเหม่ยที่แอบอยู่หลังม่านยืนกัดฟันด้วยไม่คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะบานปลายใหญ่หลวง นางพยายามสะกกดใจไว้ไม่ยอมออกไปได้แต่คอยเฝ้าฟังและแอบดูว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นไร กระทั่งได้ยินเสียงมี่อิงหัวเราะลั่น“ฮ่าๆๆๆ....เจ้าคงมิกล้าบอกชายผู้นี้ดอกว่าแท้จริงสถานะของเจ้านั้นยิ่งใหญ่เพียงไหนในพรรคที่คนทั่วทั้งยุทธภพเกลียดชังนี้ เจ้าคงมิกล้าเปิดเผยตัวตนว่าแท้จริงเจ้าคือประมุขพรรคบุปผาสรรค์ ฉายาที่คนทั้งยุทธภพเรียกนางคือนางมารหมื่นบุปผานั่นอย่างไร!”“เป็นความจริงหรือฟางซิน!”หวังซื่อเบิกตากว้าง เขาถึงกับผงะงันและถอยหลังด้วยใจระย่อ ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวร่างบอบบางใบหน้างดงามสวยซึ้งผู้ซึ่งเขาและจิ้นเหอพบนางในป่าและเข้าใจว่านางคือสาวชาวบ้านผู้ตกยากและต้องการความช่วยเหลือ หวังซื่อส่ายหน้าไปมาราวกับไม่อยากเชื่อ“โอ...นี่ข้ากับท่านแม่ทัพถูกเจ้าตบตามาตลอดหรือว่าเจ้าเป็นเพียงหญิงชาวบ้านไร้วรยุทธและน่าสงสาร เจ้าอุตส่าห์ขอติดตามพวกเราไปยังพรรคเฟิงอี้และทำสารพัดอย่างให้ทุกคนเชื่อว่าเจ้าคือหญิงไร้ญาติขาดมิตร แท้จริงเจ้าคือประมุขพรรคมาร...และมันเป้นดังที่ข้ากับห
เพ่ยหลินคาดคั้นท่ามกลางความเงียบงันที่แม้แต่เหมยเหม่ยซึ่งแอบอยู่หลังม่านยังได้ยินเสียงลมหายใจของคนในห้องนั้นชัดเจน ฟางซินที่นอนเลือดกบปากอาบปลายคางขยับนั่งหลังตรง ทุกคนมองประมุขพรรคมารเป็นตาเดียว แล้วนางมารหมื่นบุปผาก็ตอบกลับไปด้วยหัวใจอันแน่วแน่ “ค่ะ ท่านแม่...ข้า...มีใจรักต่อท่านแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ...และเขา...คือรักแรกของข้า” “นั่นอย่างไรเล่าท่านแม่!” มี่อิงเข่นเขี้ยว “ในที่สุดนางก็สารภาพออกมาหมดเปลือก ทีนี้ท่านเชื่อข้าหรือยังว่าฟางซินมิได้มีใจภักดีต่อสำนักเรา นางหักหลังท่านแม่ผู้ชุบเลี้ยงนางมาแต่เล็กไม่พอยังหักหลังพรรคบุปผาสวรรค์ได้อย่างหน้าชื่น ท่านเห็นหรือไม่ว่านางทำผิดกฎของสำนักอย่างร้ายแรง นางมีความรัก และช่างเป็นความรักที่น่าสังเวชเพราะแม่ทัพผู้นั้นมิได้รักฟางซินแม้แต่น้อย เขาคงหลอกใช้นางเพราะแท้จริงแม่ทัพผู้นั้นต้องการเอาชีวิตนางมารหมื่นบุปผา นางมารใจหินที่ฆ่าคนรักของเขา” “หยุดโป้ปปดต่อท่านแม่เสียที!”ฟางซินแข็งใจเถียงทั้งที่เจ็บร้าวข้างในแทบสิ้นแรง นางชี้หน้าศิษย์ร่วมสำนักอย่างเดือดแค้น“เจ้าต่างหากเป็นผู้หักหลังพรรคมาร เจ้าลวงหล
“แต่เขาเป็นคนของราชสำนัก! ชายผู้นี้แม้ไร้วรยุทธ์แต่เขาคือผู้ติดตามแม่ทัพจิ้นเหอ คนที่เจ้ารักนักหนาทว่าเป็นผู้หวังโค่นอำนาจพรรคเรา ถือว่าหวังซื่อของเจ้านั้นอยู่ฝ่ายศัตรู ข้าต้องทำตามคำสั่งของท่านแม่ มิมีข้อยกเว้นหรือใจอ่อนให้ผู้เป็นปรปักษ์อย่างเด็ดขาด!”“ข้าขอร้องเถิดมี่อิง ได้โปรดปล่อยเขาไป”“เอาตัวทั้งสองคนไปที่คุกลับเดี๋ยวนี้! ตอนนี้พรรคเรามิได้มีประมุขใจอ่อนแอเยี่ยงนางมารหมื่นบุปผาอีกต่อไป หากผู้ใดขัดคำสั่งให้การช่วยเหลือนางข้าจะฆ่าให้ตายอย่างทรมานที่สุด!”ทุกคนในที่นั้นก้มหัวยอมรับคำสั่งของมี่อิงและพาตัวหวังซื่อกับฟางซินออกไป นางมารดอกไม้เงินมองตามและยิ้มอย่างสะในหัวใจ“ฮ่าๆๆๆๆ...ในที่สุดข้าก็ทำตามแผนสำเร็จไปอีกขั้น อีกไม่กี่วันนางมารหมื่นบุปผาก็จะต้องเหลือแต่ชื่อจารึกไว้ในยุทธภพเพื่อให้คนหัวเราะเยาะหยันว่านางมันก็แค่หญิงวิปลาสเพราะความรัก มิมีใครรอดพ้นจากกฎเหล็กนี้ได้ เมื่อกลืนพิษกุหลาบพันปีแล้วต้องเป็นบ้าจนตายทุกคน!”มี่อิงพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงก้องกังวานทว่าแฝงไว้ด้วยความร้ายกาจเลือดเย็น ใบหน้างดงามแต่อาบด้วยความริษยาผินไปยังบัลลังค์ทองประดับงาช้างภายในห้องโถงใหญ่ซึ่งถือได้ว่
หลวนคุนถอนใจ “มินึกเลยว่านางมารหมื่นบุปผาจะมีวรยุทธ์ล้ำเลิศถึงเพียงนี้ นางเก่งกาจนักหากก็ฆ่าคนโดยมิปราณีทั้งที่ก็ยังฝึกวิชาจากคัมภีร์ฟ้าคำรามมิทันบรรลุขั้นสุดยอด สมแล้วกับฉายานางมารใจทมิฬที่คนทั้งยุทธภพเกลียดชัง” “หากมิมีคัมภีร์เฟิงเหลยก็คงเป็นได้แค่นางมารอ่อนหัด นางอายุเท่าไหร่กัน แค่เด็กเมื่อวานซืนที่ได้ครอบครองหนึ่งในมหาคัมภีร์แห่งยุทธภพ ข้าล่ะเจ็บใจนักที่มิอาจล้มนางลงได้ หากมีโอกาสวันใดข้าจักต้องไปเอาคืนเสียให้หายแค้น” ไป๋เจี้ยนยิ่งนึกเจ็บใจ ประการหนึ่งที่เขายังแค้นมิหายนั่นคือความสะเพร่าของตนที่ไม่ยอมไปพบเทพพยากรณ์ก่อนออกเดินทางไปยังพรรคบุปผาสรรค์ด้วยเชื่อมั่นในตัวเองว่าต้องโค่นอำนาจคนพรรคมารได้ และข่าวที่ได้รับจากมี่อิง หนอนบ่อนไส้ว่านางมารหมื่นบุปผาละทิ้งพรรคของตน แต่ที่ไหนได้เมื่อไปถึงเหตุการณ์กลับพลิกผัน เสมือนว่านางรู้ทันและกลับกลายเป็นว่าเขาต้องพาคนในพรรคไปตายนับสิบนับร้อย สักครู่หลวนคุนจึงกล่าวขึ้น“แต่ตอนนี้ข้าว่าท่านลุงควรต้องพักผ่อนให้มากและค่อย ๆ ฟื้นกำลัง ค่อย ๆ ฝึกวรยุทธ์เพื่อคืนพลังวัตต์กลับมาใหม่ อืม...แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำให้ข้ามิสบาย
“ต่อชีวิตเช่นนั้นหรือ?”“มันเป็นคัมภีร์ที่มีทั้งความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดหากซุกซ่อนไว้ด้วยความแหลมคมอย่างที่สุด ครั้งหนึ่งฟางซินช่วยชีวิตท่านไว้ด้วยการถ่ายพลังลมปราณให้และพลังที่ไหลวนในตัวของท่านคือลมหายใจสุดท้ายของนาง”“แต่ตอนนี้ฟางซินอ่อนแอเหลือเกิน”“คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้การฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์เฟิงเหลยคือผู้ตัดขาดตัวเองจากคนอื่นโดยปราศจากการเรียนรู้อย่างถ่องแท้ พวกเขาคิดเพียงว่าเมื่อสูญเสียสิ่งหนึ่งไปคือสูญสิ้นทั้งหมดหากทว่ามิใช่ แม้ฟางซินยอมสละทุกอย่างต่อท่านหากนางก็ยังมิสิ้นลมหายใจ นั่นเป็นเพราะนาง...ยังมีท่าน...แม่ทัพเฉิง จงพาฟางซินเดินทางไปยังบูรพทิศในยามตะวันทอแสง ท่านต้องอยู่เคียงข้างนางเสมอ อย่าได้ทอดทิ้งฟางซินเพราะท่านคือผู้นำพาหัวใจของนางและนางก็เปรียบเสมอโคมทองส่องสว่างในหัวใจของท่านไปยังสุดเขตแดนเพื่อตามหาปัญญาชนในสายลมหนาว พวกเขาจะรับรู้เรื่องราวของพวกท่านโดยมิต้องเอ่ยปากบอกเล่าใดๆ”“ปัญญาชนในสายลมหนาว...หนทางนั้นยาวไกลหรือไม่กว่าที่ข้าและฟางซินจะได้พบ”“หากท่านพร้อมยอมเสียสละเพราะมันอาจหมายถึงตลอดชีวิตของท่าน...และนาง”“เสียสละเช่นนั้นหรือ”“จิ้นเหอ...ท่านจะทำอะไร”ฟางซ
“เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว ฟางซิน”เสียงที่เปล่งออกมายังความประหลาดใจแก่จิ้นเหอด้วยเป็นสรรพเสียงที่ดังกังวานไปถึงเบื้องนอกเมื่อครู่ นางอยู่ในนี้แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีคนเข้ามาในหอตะวันตก“นั่งก่อนเถิด...เจ้าทั้งสอง”นางเชื้อเชิญพลางผายมือเรียวบางไปเบื้องหน้า แม่ทัพหนุ่มก้าวไปหยุดอยู่ห่างออกมาสามสี่ก้าวก่อนค่อย ๆ วางร่างของฟางซินลงก่อนเขาจะหย่อนตัวนั่งเคียงข้างหญิงสาว จิ้นเหอพินิจร่างบอบบางของผู้อยู่เบื้องหลังเตาเหล็ก เจ้าของใบหน้างดงามราวเด็กสาวและแววตาน้ำตาลแวววาวเจิดจรัสราวกับมีรัศมีบางอย่างเปล่งออกมา“ฟางซินบอกข้าว่าท่านคือเทพพยากรณ์”“เรียกข้าว่าจิว”นางกล่าวขณะหยิบกลีบดอกไม้โรยลงในเตาบังเกิดควันพวยพุ่งก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว“ฟ้าดินเท่านั้นลิขิตชีวิต ข้ารู้เท่าที่ข้ารู้แต่มิอาจล่วงรู้ความลับสวรรค์”“เช่นนั้นท่านก็คงรู้แล้วว่าที่เรามาที่นี่ก็เพื่อสิ่งใด...ข้าคือ เฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพแห่งองค์ซ่งไท่จู่”“แม่ทัพเฉิง ข้าเคยบอกฟางซินแล้วว่าวันหนึ่งนางต้องกลับมาหาข้า”“และเป็นดังเช่นท่านกล่าวไว้จริงๆ”ฟางซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ทว่าน่าประหลาดที่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมากกว่าเก่าเมื่อเข้
หวังซื่อถาม หลวนคุนลุกขึ้นยืนและยืดไหล่หลังตรงอย่างสง่า เขาเชิดหน้าขึ้น“ข้าจะบอกทุกคนว่า....ลุงของข้าประมือกับนางมารหมื่นบุปผา ต่างคนต่างพลาดพลั้งเสียทีต่อกันทำให้ลุงของข้าและประมุขพรรคมารต่างสิ้นลมด้วยกันทั้งคู่”คำตอบนั้นทำให้ทุกคนเงียบกริบด้วยยอมจำนนต่อสติปัญญาของหลวนคุน ทุกคนรู้ว่าเขามิได้ปกป้องตัวเองด้วยเกรงถูกมองว่าเณรคุนเพราะหากมิทำเช่นนี้ก็จะเกิดข้อสงสัยแก่ผู้ที่มีใจภักดิ์ดีต่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่สิ้นลมไปแล้วอย่างไป่เจี้ยนได้ ขณะนั้นจิ้นเหอกลับกอดฟางซินแนบแน่นยิ่งขึ้น เขากระซิบกับนางด้วยเสียงแม้ห้าวหนักทว่าอ่อนหวานยิ่งนัก“ฟางซิน...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวงซานนี้จะถล่มฤาแผ่นฟ้าจะแหลกสลายลง หากข้าก็จะขออยู่เคียงข้างเจ้า...มิหนีไปไหน”หลังจากนั้นมินานที่หลวนคุนเป็นผู้นำทุกคนกลับไปยังพรรคเฟิงอี้ ทั้งแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ หวังซื่อผู้ติดตาม หยางเซิงไต้ซือ รวมทั้งเหมยเหม่ยที่คอยดูแลฟางซินซึ่งนางอ่อนแรงลงทั้งจากลมปราณปรวนแปรและจากการใช้กำลังที่เหลือเพียงน้อยนิดต่อสู้กับทั้งไป๋เจี้ยนและมี่อิง นางทิ้งพรรคบุปผาสวรรค์ที่บัดนี้ยังมิมีผู้ใดขึ้นเป็นประมุขไว้เบื้องหลังเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอตะวันตก
แม่ทัพหนุ่มร้องด้วยความตกใจก่อนคว้าร่างของหญิงสาวที่ทรุดฮวบไว้ในอ้อมแขน นางลืมตาขึ้นมอง สติของนางยังคงอยู่หากแต่จิ้นเหอนั้นกอดร่างเล็กบอบบางไว้แนบแน่น“ฟางซิน...เจ้าเป็นอะไร”“ลมปราณในกายของนางกำลังปรวนแปร มันค่อย ๆ ทำลายตัวเองทีละน้อย”หยางเซิงไต้ซือตอบขณะก้าวเข้ามา จิ้นเหอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่“นี่เป็นเพราะนางฝึกพลังลมปราณจากคัมภีร์เล่มนั้น และเป็นเพราะข้าที่ทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้ มิมีวิธีใดเลยหรือที่จะช่วยรักษาชีวิตของนางไว้ให้ยืนยาวกว่านี้”ไต้ซือเฒ่าระบายลมหายใจขณะทำสีหน้าครุ่นคิด“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินมี่อิงเอ่ยถึงเทพพยากรณ์ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวบุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งอาจช่วยฟางซินได้”“แต่ท่านไต้ซือบอกกับข้านี่มิใช่หรือว่าผู้ฝึกวิชาจากคัมภีร์ฟ้าคำรามหากสูญเสียพรหมจรรย์แล้วจะมิมีทางช่วยให้พ้นจากความตายได้”เหมยเหม่ยรีบเข้ามาดูอาการของฟางซินที่นอนหายใจรวยรินในอ้อมกอดของจิ้นเหอ หยางเซิงไต้ซือส่ายหน้า“ที่ข้าบอกจ้าเช่นนั้นเพราะมันเป็นเรื่องเล่ามาช้านาน ข้าเองมิเคยแน่ใจว่าเทพพยากรณ์มีอยู่จริง คนทั้งยุทธภพร่ำลือถึงบุคคลผู้มีญาณวิเศษ มองเห็นอนาคต บางคนว่าเป็นหนุ่มรูปงามราวเทพบ
มี่อิงตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกปวดปลาบตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงท้ายทอย ความเจ็บปวดนั้นราวกับมีเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทงอยู่บนหัวของนาง“อะ...อะไรกันนี่...อะไรกัน!!”ครานี้นางเป็นฝ่ายอุทานขึ้นบ้างเมื่อโลหิตมิใช่หยาดเดียวหยดลงมาอาบเต็มใบหน้าสวยที่บิดเบี้ยวด้วยความหวั่นกลัวและเจ็บปวด มี่อิงพยายามจะถอดมาลาประดับผมออกแต่สายเกินไปเมื่อนางรู้ตัวแล้วว่ากำลังต้องพิษร้ายจากมาลาของประมุข นางกรีดร้องเสียงดัง“กรี๊ด!...ทำไมเป็นเช่นนี้...ฟางซิน...เจ้าใช่ไหม...เจ้าวางยาพิษในมาลานี่ใช่ไหม!”“มิใช่ข้าดอกมี่อิง” ฟางซินตอบด้วยน้ำเสียงอันแน่วนิ่ง “หากแต่นี่คือสิ่งที่ผู้มิใช่ประมุขมิมีวันรู้เกี่ยวกับการได้ครอบครองเสื้อคลุมและมาลาของประมุขพรรคบุปผาสวรรค์”“มะ...มิรู้เช่นนั้นรึ...มิรู้อันใด...โอย...ข้ามิรู้สิ่งใด”มี่อิงร่ำร้องและพยายามถอดมาลาออกจากหัวของนางเพราะความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าบิดเบี้ยวของนางอาบด้วยโลหิตแดงฉานที่ไหลหลั่งลงอาบเสื้อคลุมขนาดที่คนติดตามคอยรับใช้ยังถอยหนีด้วยความสะพรึงกลัว ฟางซินก้าวไปหยุดตรงหน้าบันไดซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่บัลลังค์ทองงาช้าง นางส่ายหน้าไปมาขณะมี่อิงซวนเซจนล้มนั่ง โลหิตมากม
“ท่านมีบุญคุณต่อข้าใยจะมิสำนึก แต่หากมิทำเช่นนี้แล้วก็มิมีวันที่จะหยุดความทะเยอทะยานของท่านได้ อภัยให้ข้าด้วย...ท่านลุง”หลวนคุนนั่งคุกเข่าและวางคันธนูลงข้างลำตัว ไป๋เจี้ยนเหยียดปากทั้งน้ำกบดวงตา“ข้ามินึก...ทั้งที่มีคนเตือนข้าแล้วว่าให้ระวังคนใกล้ตัว...ข้านึกไปมิถึง...นึกมิถึงเลยจริง ๆ ว่าที่แท้...คนใกล้ตัวก็คือ...เจ้า...”เจ้าสำนักเฟิงอี้ตาเหลือกถลนเมื่อผ่อนลมหายใจสุดท้ายด้วยมิทานทนต่อความเจ็บปวดจากดอกศรที่ปักเข้าบนอกด้านซ้ายพอดิบพอดีก่อนจะล้มตึงลงนอนคว่ำหน้าดวงตาเบิกค้างและผู้ที่ตกใจมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นมี่อิงที่ผงะงันและถอยไปเบื้องหลัง“ไป๋เจี้ยน...”จิ้นเหอครางชื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่ขาดใจตายลงต่อหน้าอย่างมิน่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขณะฟางซินปรี่เข้าไปหา ทั้งสองกอดกันแนบแน่นราวกับได้เกิดใหม่“หลวนคุน...ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”หวังซื่อเอ่ยกับหลวนคุนแต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงมี่อิงกังวานขึ้น“ถึงมิมีไป๋เจี้ยนแล้วแต่พวกเจ้าหยุดข้ามิได้ดอก!”นางมารดอกไม้เงินเหยียดยิ้มเยาะก่อนหันไปยังคนสนิทอีกสองคนที่ยังไม่ยอมออกไปจากห้องโถงใหญ่ดังคนอื่น ๆ ที่แตกตื่นวิ่งหนีออกไปเกือบสิ้น หญิงสา
ดังนั้นนางจึงมิอาจต้านทานกำลังอันกล้าแกร่งของอีกฝ่ายได้จึงถูกซัดฝ่ามือใส่จังหวะที่นางพลาดท่าจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้น ฟางซินพยายามหยัดกายลุกขึ้นทั้งที่กระอักเลือดเปิดโอกาสให้ไป๋เจี้ยนพุ่งเข้าหาเพื่อหวังจะซัดฝ่ามือซ้ำแต่จิ้นเหอกลับเข้ามาขวางและถูกพลังลมปราณของไป๋เจี้ยนจนเขาเองก็ถึงกับหงายหลังลงไปนอนบนพื้น ไป๋เจี้ยนสบโอกาสหยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วจ่อไปที่คอหอยของแม่ทัพหนุ่มอีกครั้งขณะหันไปยังฟางซินที่มองด้วยความตระหนก“จิ้นเหอ!”“นางมารหมื่นบุปผา เห็นหรือยังว่าพวกเจ้ามิอาจต้านกำลังของข้าได้ หากเจ้าอยากให้แม่ทัพเฉิงมีชีวิตอยู่ต่อไปก็จงบอกที่ซ่อนคัมภีร์มาเดี๋ยวนี้”“อย่า!” จิ้นเหอตะโกนบอกทั้งที่ไป๋เจี้ยนกดปลายกระบี่ลงบนคอของเขาจนเลือดเริ่มซึมออกมา “อย่าบอกที่ซ่อนคัมภีร์ให้พวกคนใจชั่ว ถึงข้าตายก็มิเสียดายถือเสียว่าได้ทำคุณแก่แผ่นดินด้วยการปกป้องคนดีจากคนชั่ว”“ไม่...จิ้นเหอ...จิ้นเหอ”ฟางซินร่ำร้องเมื่อเห็นเลือดไหลจากรอยกรีดลึกของคมกระบี่บนคอแม่ทัพหนุ่ม หัวใจของนางราวกับจะขาดเสียให้ได้แต่มี่อิงกลับหัวเราะเย้ยเสียงดัง“หากเจ้าอยากให้คนที่เจ้ารักมีชวิตอยู่ใยจึงไม่บอกที่ซ่อนคัมภีร์แก่ท่านไป๋เจี้ยนเล่
“แม่ทัพเฉิง มีสิ่งใดน่าขัน”“หึ...จะมิให้ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องหัวเราะได้อย่างไร ท่านติดตามหาคัมภีร์เล่มนั้นจนแล้วจนรอดก็ยังมิได้ครอบครอง คิดว่าสวรรค์คงมีตามิเข้าข้างคนใจโฉดเช่นเจ้า”“ถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังกล้าปากดีอยู่อีกรึ ยศฐาและตำแหน่งของเจ้าใช้ได้ต่อหน้าฮ่องเต้เท่านั้น หากแต่เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ก็หาได้มีความหมายเพราะเจ้าเป็นเพียงเชลยที่มิรู้ชะตากรรมว่าจะตายเสียเมื่อใด”“ข้ายินดีตาย...หากมันจะแลกได้กับการไถ่โทษที่ข้าปรารถนามอบมันให้กับ...หญิงที่ข้ารัก”จิ้นเหอกล่าวขณะหันกลับไปยังฟางซินที่ยืนผงะนิ่งท่ามกลางเหมยเหม่ย หวังซื่อรวมทั้งหยางเซิงไต้ซือที่มองคนทั้งสอง ฟางซินมิคิดว่าจะได้ยินคำกล่าวนั้นจากปากของแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพหนุ่มผู้เคยมีหัวใจเย็นชาราวหินผาและครั้งหนึ่งเคยโกรธเกลียดเคียดแค้นนางมารหมื่นบุปผาถึงขนาดจะสับร่างนางเป็นหมื่นชิ้น ฟางซินน้ำตาซึม“จิ้นเหอ...”“ถึงข้าตายเสียตอนนี้ก็มิรู้สึกว่าเสียดายชีวิต ข้ายอมสละตัวเองได้เพราะเจ้าจะมิมีวันได้คัมภีร์เล่มนั้นจากนางมารหมื่นบุปผาดอกไป๋เจี้ยน!”จิ้นเหอฉวยจังหวะที่ไป๋เจี้ยนพลั้งเผลอเพียงเวลาพลิกฝ่ามือดึงโซ่ตรวนที่พันธนาการข้อมือรวบ
เสียงที่ดังก้องขึ้นทำให้ทั้งหมดในที่นั้นหันกลับไปมองพร้อมกัน มี่อิงเลิกคิ้วขึ้นขณะไป๋เจี้ยนก็หันไปดังขวับส่วนจิ้นเหอเมื่อเหลียวกลับไปก็ได้เห็นคนที่เขาอยากพบมากที่สุดในเวลานี้ ฟางซินยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมด้วยเหมยเหม่ย หวังซื่อและหยางเซิงไต้ซือซึ่งเขาจำได้มิเคยลืมเมื่อครั้งเคยมาเยือนหวงซาน ณ อารามวัดโค้วอิงยี่ ทั้งหมดยืนอยู่ท่ามกลางคนพรรคมารที่ต่างจ้องมองด้วยความประหลาดใจ จิ้นเหอสบนัยน์ตานางมารหมื่นบุปผาด้วยหัวใจรุ่มร้อน หากมิตายเสียก่อนก็จะขอให้นางอภัยต่อความโง่เขลาที่เยขาหลงเชื่อคนใจคดอย่างมี่อิงและไป๋เจี้ยน แต่แล้วมี่อิงกลับระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น“ฮ่าๆๆๆๆ....มาแล้วรึเจ้าพวกแมงเม่า ฟางซิน...ข้านึกไว้แล้วเชียวว่าเจ้าต้องหวนกลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะเจ้าคงมิอาจทนเห็นคนรักของเจ้าตายอย่างทุกข์ทรมานอยู่ที่พรรคบุปผาสวรรค์เป็นแน่แท้”“มี่อิง เจ้าเลิกก่อกรรมเสียที มิรู้หรืออย่างไรว่าเจ้ากำลังเล่นกับสิ่งใด หากเกิดอะไรขึ้นกับแม่ทัพเฉิงคนจากวังหลวงย่อมมิปล่อยเจ้าไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน”“ข้าไม่กลัว! คนจากวังหลวงหรือเป็นเพราะเจ้าห่วงเขากันแน่ มาวันนี้ก็ดีแล้วจะมาเป็นพยานให้กับข้าในการขึ้นเป็นป