เสียงลมหายใจที่หอบเหนื่อยของพวกเขาผสานเข้ากับเสียงป่าอันเงียบสงบ พื้นป่าที่พวกเขาเหยียบย่ำเต็มไปด้วยใบไม้ร่วงและกิ่งไม้เล็กๆ ที่แตกร้าวเบาๆ ใต้ฝ่าเท้า กลุ่มของซาเอบะยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจะหนีพ้นจากวงล้อมของคนร้ายมาได้ชั่วคราว แต่ความกดดันยังไม่ลดลง “เรายังปลอดภัยไม่พอ” ซาเอบะพูดขณะจับจ้องเส้นทางเบื้องหน้า แม้ความเจ็บปวดจากบาดแผลจะทำให้เขาเดินอย่างลำบาก แต่สายตาของเขายังเฉียบคมเหมือนเดิม “ปลอดภัยกว่าที่แล้วก็พอใจแล้ว” ทาเคชิพูดพลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก “แต่กระสุนเรายังน้อยเกินไป แถมอาหารกับน้ำก็ใกล้หมด” “ใช่” หลินหลินเสริม “เราต้องหาทางจัดการพวกมัน ไม่อย่างนั้นเราจะหมดแรงก่อนถึงที่ปลอดภัย” อาคิระที่เดินนำหน้าหยุดกะทันหัน เขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดตาม “ตรงนั้น” เขาชี้ไปยังแนวต้นไม้ด้านขวา “ฉันเห็นอะไรบางอย่าง” ทุกคนหยุดนิ่ง ซาเอบะยกปืนขึ้นอย่างระมัดระวัง ทาเคชิเข้าไปยืนประกบเมย์ซึ่งยังมีสีหน้าหวาดวิตก หลังจากเงียบไปไม่กี่วินาที เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากพุ่มไม้ เงาของชายคนหนึ่งปรากฏขึ้น เขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง มือถือมีดเล่มใหญ่ “พวกแกเป็นใคร?” ชายคน
ทิวป่าที่ทอดยาวเบื้องหน้าให้ความรู้สึกเงียบงันจนผิดปกติ เส้นทางที่ชายแปลกหน้าชี้นำยังคงนำพวกซาเอบะลึกเข้าไปในพื้นที่ที่แทบไม่มีร่องรอยการเดินทาง หลินหลินเดินเคียงข้างเมย์ คอยจับมือเธอไว้เพื่อให้กำลังใจ ขณะที่ซาเอบะ ทาเคชิ และอาคิระคอยระวังภัยจากรอบด้าน “เราคงใกล้ถึงฐานของพวกมันแล้ว” ชายแปลกหน้าพูดพลางชี้ไปยังเนินเขาเล็กๆ ที่โผล่พ้นยอดไม้ “จากตรงนี้จะมองเห็นฐานได้ชัดหรือเปล่า?” ซาเอบะถาม “ขึ้นไปอีกไม่ไกลก็จะเห็น” ชายคนนั้นตอบ ทุกคนเพิ่มความระมัดระวังในการเดิน เพราะพวกเขารู้ดีว่าการเข้าใกล้พื้นที่ของศัตรูย่อมหมายถึงอันตรายที่เพิ่มขึ้น ทุกย่างก้าวต้องใช้ความเงียบที่สุด เมื่อขึ้นถึงเนินเขาเล็กๆ กลุ่มของซาเอบะหยุดพักและสำรวจพื้นที่ด้านล่าง พวกเขามองเห็นฐานของคนร้ายที่ชายแปลกหน้ากล่าวถึง เป็นอาคารไม้หลังเล็กๆ ที่ล้อมด้วยรั้วลวดหนามสูง มีหอคอยเล็กๆ พร้อมกับคนยืนเฝ้าอยู่ด้านบน “ที่นี่ดูเหมือนจุดกระจายคำสั่ง ไม่ใช่ที่พักของหัวหน้ากลุ่ม” อาคิระวิเคราะห์ “แต่ก็ยังสำคัญอยู่ดี” ซาเอบะตอบ “เราอาจหาข้อมูลบางอย่างได้จากที่นี่” “แล้วเราจะบุกยังไง?” ทาเคชิถามขณะตรวจสอบปืนในมือ “ตอนนี้กระสุนเรา
ยามเช้าในกรุงเทพมหานคร อากาศยังคงอบอ้าวและควันรถจากถนนสายหลักก็ลอยคลุ้งไปทั่ว ซาเอบะ นักสืบเอกชนที่มีชื่อเสียงด้านการไขคดีที่ซับซ้อนและเป็นที่รู้จักในวงการสืบสวน เดินทางมาที่สำนักงานเล็กๆ ของเขาที่ตั้งอยู่ในย่านเงียบสงบไม่ไกลจากใจกลางเมือง สำนักงานของซาเอบะนั้นเรียบง่าย มีโต๊ะทำงานไม้ที่ดูเก่าๆ หนังสือกองพะเนิน และบอร์ดที่เต็มไปด้วยรูปถ่ายและโน้ตที่แปะไว้ซาเอบะเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าของเขามีแววครุ่นคิดเสมอ และมักจะมีลักษณะเงียบขรึม เขามักจะเริ่มต้นวันด้วยกาแฟดำเข้มๆ และหนังสือพิมพ์รายวัน แต่วันนี้ไม่เหมือนวันอื่นๆ เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติเมื่อได้เห็นซองจดหมายสีน้ำตาลวางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาจดหมายนี้ถูกส่งมาโดยไม่มีชื่อผู้ส่ง มีเพียงคำว่า "ด่วน" เขียนไว้ด้านหน้า ซาเอบะเปิดจดหมายออก และพบว่ามีการ์ดขนาดเล็กที่พับเอาไว้ ข้างในการ์ดมีข้อความสั้นๆ ที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรเรียบง่ายแต่ชัดเจน:“ช่วยหาตัว เมย์ ให้ที เธอหายตัวไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี”ซาเอบะอ่านข้อความนั้นด้วยความสนใจแต่ก็ยังสงสัย จดหมายนี้มาจากใคร? เมย์เป็นใคร? และทำไมเขาถึงต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้? ขณะที่เขา
ซาเอบะเริ่มการสืบสวนโดยเริ่มจากการขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากหลินหลินเกี่ยวกับเพื่อนที่หายตัวไป เขาถามถึงกิจวัตรประจำวันของเพื่อนเธอ คนที่เพื่อนเธอคบหา รวมถึงสถานที่สุดท้ายที่เธอถูกพบเห็น"เธอชื่ออะไรครับ?" ซาเอบะถามขณะจดบันทึก"ชื่อเมย์ค่ะ" หลินหลินตอบ "เธอเรียนวิศวกรรมเหมือนกันกับฉัน แต่ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าเธอหายไปได้อย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเธอถึงไม่ได้กลับบ้าน"ซาเอบะพยักหน้าและถามต่อ "มีอะไรผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเธอก่อนจะหายตัวไปไหมครับ?"หลินหลินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ "สองสามวันที่ผ่านมา เธอบอกว่ารู้สึกเหมือนมีคนตามเธอ แต่เราคิดว่าเธออาจจะแค่เครียดจากการสอบ"ซาเอบะขมวดคิ้ว ความรู้สึกว่าถูกตามเป็นสัญญาณอันตรายที่เขาไม่ควรละเลยหลังจากที่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากหลินหลิน ซาเอบะตัดสินใจเริ่มต้นที่หอพักของเมย์ ซึ่งเป็นสถานที่สุดท้ายที่เธอถูกพบเห็น เขาเชิญหลินหลินให้ไปด้วยกัน เพื่อที่เธอจะได้ช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมในกรณีที่จำเป็นเมื่อทั้งคู่มาถึงหอพัก พวกเขาได้รับการต้อนรับจากบรรยากาศที่เงียบสงบ ผิดปกติสำหรับสถานที่ที่นักศึกษาควรจะเต็มไปด้วยชีวิตชีวา หลินหลินนำทางไปที่ห้องของเมย์ แต่เมื
ซาเอบะและหลินหลินใช้เวลาสำรวจห้องของเมย์อย่างละเอียด ซาเอบะตรวจสอบทุกมุมมอง ค้นหาเบาะแสเพิ่มเติมที่อาจช่วยเขาไขปริศนาการหายตัวไปของเมย์"หลินหลินครับ เธอเคยพูดถึงใครบางคนที่เธอไม่สบายใจบ้างไหม?" ซาเอบะถามขณะที่เขาพยายามคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่าเมย์อาจถูกคุกคามจากใครบางคน"เธอเคยพูดถึงอาจารย์คนหนึ่งที่คอยกดดันเธอในเรื่องโปรเจกต์สุดท้ายค่ะ แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้" หลินหลินตอบ เธอพยายามนึกถึงทุกอย่างที่เมย์เคยพูดถึงซาเอบะเก็บข้อมูลนี้ไว้ในใจ เขารู้ดีว่าบางครั้งการกดดันมากเกินไปอาจทำให้คนเราไปถึงจุดที่ไม่คาดคิดได้เมื่อพวกเขาตรวจสอบห้องจนเสร็จ ซาเอบะก็พบสมุดบันทึกเล่มเล็กที่ถูกซ่อนอยู่ใต้เตียง เขาค่อย ๆ เปิดมันออกดู พบว่ามันเต็มไปด้วยบันทึกส่วนตัวของเมย์ บางส่วนถูกเขียนด้วยลายมือสั่น ๆ เหมือนกับจดหมายที่พวกเขาพบก่อนหน้านี้"ดูเหมือนว่าเมย์มีอะไรที่กังวลจริง ๆ" ซาเอบะกล่าวหลินหลินอ่านบันทึกนั้นด้วยความสนใจ เธอพบว่าเมย์พูดถึงการถูกสะกดรอยตาม และความรู้สึกหวาดระแวงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ"ทำไมเมย์ไม่บอกเรื่องนี้กับฉันนะ?" หลินหลินถามตัวเอง"บางทีเธออาจไม่อยากทำให้คุณกังว
หลังจากสอบถามเพื่อน ๆ ของเมย์ ซาเอบะและหลินหลินเดินทางไปยังห้องทำงานของอาจารย์คนที่ถูกกล่าวถึง อาจารย์ชาญชัย ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นคนที่เข้มงวดและไม่ยอมใครง่าย ๆ ในเรื่องของวิชาการเมื่อทั้งสองมาถึงหน้าห้องทำงาน ซาเอบะเคาะประตูเบา ๆ ไม่นานนัก ประตูเปิดออกเผยให้เห็นอาจารย์ชาญชัย ชายวัยกลางคนที่สวมแว่นตาและมีท่าทางขึงขัง"มีอะไรให้ช่วยหรือครับ?" อาจารย์ชาญชัยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงความรู้สึก"สวัสดีครับ ผมซาเอบะ นักสืบอิสระ และนี่คือหลินหลิน เพื่อนของนักศึกษาที่ชื่อเมย์ครับ เรามีคำถามเกี่ยวกับเธอ" ซาเอบะตอบกลับเมื่อได้ยินชื่อเมย์ อาจารย์ชาญชัยดูเหมือนจะเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงท่าทางสงบอยู่"เธอมีปัญหาอะไรหรือครับ?" เขาถาม"เมย์หายตัวไปครับ และเราพบว่าเธอเคยรู้สึกว่าถูกกดดันในเรื่องของโปรเจกต์ ผมจึงอยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับเธอในช่วงก่อนที่เธอจะหายตัวไป" ซาเอบะถามตรง ๆอาจารย์ชาญชัยถอนหายใจ ก่อนจะเล่าให้ฟังว่าเขามีความกังวลเกี่ยวกับผลการเรียนของเมย์ เธอเป็นนักศึกษาที่มีศักยภาพสูง แต่ดูเหมือนเธอจะมีปัญหากับการจัดการเวลาและความเครียดในช่วงหลัง"ผมพยายามช่วยเธอ แต
หลังจากออกจากมหาวิทยาลัย ซาเอบะและหลินหลินเดินทางกลับไปยังหอพักของเมย์อีกครั้ง ทั้งสองรู้สึกว่ามีบางอย่างที่พวกเขาอาจจะมองข้ามไปในการตรวจสอบครั้งแรกเมื่อกลับมาถึงห้องของเมย์ ซาเอบะตัดสินใจตรวจสอบรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจเป็นเบาะแสสำคัญ เขาเริ่มจากการค้นหาที่อยู่ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ของเมย์ ซึ่งอาจมีข้อมูลสำคัญสามารถเชื่อมโยงและเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเธอ"หลินหลิน คุณรู้ไหมว่าเมย์เก็บคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ไว้ที่ไหน?" ซาเอบะถาม"ปกติเธอจะเก็บไว้ในลิ้นชักข้างเตียงค่ะ" หลินหลินตอบพร้อมกับชี้ไปยังลิ้นชักที่ว่าซาเอบะเปิดลิ้นชักและพบว่าโทรศัพท์ของเมย์ยังคงอยู่ที่นั่น แต่คอมพิวเตอร์หายไป ซาเอบะรู้สึกว่ามันแปลก เพราะคนส่วนใหญ่มักจะพกโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา แต่การที่คอมพิวเตอร์หายไปอาจหมายถึงมันอาจจะถูกใครบางคนเอาไปเพื่อปิดบังข้อมูลสำคัญ"ใครบางคนอาจจะเอาคอมพิวเตอร์ไปเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง" ซาเอบะกล่าว "แต่ทำไมถึงไม่เอาโทรศัพท์ไปด้วย?"ซาเอบะตัดสินใจเปิดโทรศัพท์ของเมย์เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่เขาพบว่ามันถูกล็อคด้วยรหัสผ่าน เขาจึงขอให้หลินหลินช่วย
ซาเอบะและหลินหลินตัดสินใจที่จะสืบหาต้นตอของเบอร์โทรศัพท์ที่ส่งข้อความข่มขู่มาหาเมย์ ด้วยความหวังว่าจะสามารถพบเบาะแสที่นำไปสู่การค้นหาตัวเมย์ได้"เราควรจะเริ่มจากการตรวจสอบข้อมูลของเบอร์โทรศัพท์นี้" ซาเอบะกล่าว ขณะเขากำลังใช้เครื่องมือค้นหาข้อมูลเพื่อดูว่าเบอร์นี้อาจจะเกี่ยวข้องกับใครซาเอบะทำการค้นหาข้อมูลเบื้องต้นและพบว่าเบอร์โทรศัพท์นี้เป็นของหมายเลขที่ถูกลงทะเบียนในชื่อของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซาเอบะบันทึกชื่อบริษัทและที่อยู่ที่แสดงไว้"เราควรไปที่บริษัทนี้และถามข้อมูลเพิ่มเติม" ซาเอบะเสนอ "บางทีอาจมีข้อมูลบางอย่างที่สามารถเชื่อมโยงกับคดีนี้"ทั้งสองเดินทางไปยังบริษัทที่เบอร์โทรศัพท์นั้นลงทะเบียนอยู่ บริษัทนี้เป็นบริษัทที่ดูแลด้านความปลอดภัยและระบบสื่อสาร ซาเอบะและหลินหลินเข้าไปในสำนักงานและขอพบกับผู้จัดการผู้จัดการของบริษัทคือชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกดีใจนักที่มีคนมาเยี่ยม เขานั่งลงและฟังเรื่องที่ซาเอบะเล่า"ผมเข้าใจว่าคุณค้นหาเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ส่งข้อความข่มขู่ใช่ไหม?" ผู้จัดการถาม"ใช่ครับ เราต้องการทราบว่าเบอร์นี้เชื่อมโยงกับใคร และเหตุใดถึงส่งข้อความข่มขู่ไปยังเมย์" ซ
ทิวป่าที่ทอดยาวเบื้องหน้าให้ความรู้สึกเงียบงันจนผิดปกติ เส้นทางที่ชายแปลกหน้าชี้นำยังคงนำพวกซาเอบะลึกเข้าไปในพื้นที่ที่แทบไม่มีร่องรอยการเดินทาง หลินหลินเดินเคียงข้างเมย์ คอยจับมือเธอไว้เพื่อให้กำลังใจ ขณะที่ซาเอบะ ทาเคชิ และอาคิระคอยระวังภัยจากรอบด้าน “เราคงใกล้ถึงฐานของพวกมันแล้ว” ชายแปลกหน้าพูดพลางชี้ไปยังเนินเขาเล็กๆ ที่โผล่พ้นยอดไม้ “จากตรงนี้จะมองเห็นฐานได้ชัดหรือเปล่า?” ซาเอบะถาม “ขึ้นไปอีกไม่ไกลก็จะเห็น” ชายคนนั้นตอบ ทุกคนเพิ่มความระมัดระวังในการเดิน เพราะพวกเขารู้ดีว่าการเข้าใกล้พื้นที่ของศัตรูย่อมหมายถึงอันตรายที่เพิ่มขึ้น ทุกย่างก้าวต้องใช้ความเงียบที่สุด เมื่อขึ้นถึงเนินเขาเล็กๆ กลุ่มของซาเอบะหยุดพักและสำรวจพื้นที่ด้านล่าง พวกเขามองเห็นฐานของคนร้ายที่ชายแปลกหน้ากล่าวถึง เป็นอาคารไม้หลังเล็กๆ ที่ล้อมด้วยรั้วลวดหนามสูง มีหอคอยเล็กๆ พร้อมกับคนยืนเฝ้าอยู่ด้านบน “ที่นี่ดูเหมือนจุดกระจายคำสั่ง ไม่ใช่ที่พักของหัวหน้ากลุ่ม” อาคิระวิเคราะห์ “แต่ก็ยังสำคัญอยู่ดี” ซาเอบะตอบ “เราอาจหาข้อมูลบางอย่างได้จากที่นี่” “แล้วเราจะบุกยังไง?” ทาเคชิถามขณะตรวจสอบปืนในมือ “ตอนนี้กระสุนเรา
เสียงลมหายใจที่หอบเหนื่อยของพวกเขาผสานเข้ากับเสียงป่าอันเงียบสงบ พื้นป่าที่พวกเขาเหยียบย่ำเต็มไปด้วยใบไม้ร่วงและกิ่งไม้เล็กๆ ที่แตกร้าวเบาๆ ใต้ฝ่าเท้า กลุ่มของซาเอบะยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจะหนีพ้นจากวงล้อมของคนร้ายมาได้ชั่วคราว แต่ความกดดันยังไม่ลดลง “เรายังปลอดภัยไม่พอ” ซาเอบะพูดขณะจับจ้องเส้นทางเบื้องหน้า แม้ความเจ็บปวดจากบาดแผลจะทำให้เขาเดินอย่างลำบาก แต่สายตาของเขายังเฉียบคมเหมือนเดิม “ปลอดภัยกว่าที่แล้วก็พอใจแล้ว” ทาเคชิพูดพลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก “แต่กระสุนเรายังน้อยเกินไป แถมอาหารกับน้ำก็ใกล้หมด” “ใช่” หลินหลินเสริม “เราต้องหาทางจัดการพวกมัน ไม่อย่างนั้นเราจะหมดแรงก่อนถึงที่ปลอดภัย” อาคิระที่เดินนำหน้าหยุดกะทันหัน เขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดตาม “ตรงนั้น” เขาชี้ไปยังแนวต้นไม้ด้านขวา “ฉันเห็นอะไรบางอย่าง” ทุกคนหยุดนิ่ง ซาเอบะยกปืนขึ้นอย่างระมัดระวัง ทาเคชิเข้าไปยืนประกบเมย์ซึ่งยังมีสีหน้าหวาดวิตก หลังจากเงียบไปไม่กี่วินาที เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากพุ่มไม้ เงาของชายคนหนึ่งปรากฏขึ้น เขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง มือถือมีดเล่มใหญ่ “พวกแกเป็นใคร?” ชายคน
ฟ้ากำลังเริ่มเปลี่ยนสีจากดำสนิทเป็นสีเทาอ่อน บ่งบอกถึงรุ่งสางที่ใกล้เข้ามา แต่ไม่มีใครในกลุ่มซาเอบะรู้สึกถึงความผ่อนคลายเลย เสียงลมหายใจที่หอบเหนื่อยจากการไต่หน้าผายังไม่ทันสงบดี ทุกคนก็ต้องรีบเร่งเดินต่อไป เสียงปืนจากกลุ่มคนร้ายยังคงดังเป็นระยะๆ จากด้านบนหน้าผา ราวกับจะย้ำเตือนว่าพวกเขายังไม่ปลอดภัย “เรามีเวลาไม่มากแล้ว” อาคิระพูดขณะจับแขนซาเอบะช่วยพยุงให้เขาก้าวเดิน “ฉันยังไหว” ซาเอบะตอบ แม้จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากแผลฟกช้ำที่เกิดจากการตกลงมาจากหน้าผา หลินหลินเดินนำหน้า คอยสังเกตเส้นทางอย่างระมัดระวัง ทาเคชิเดินประกบข้างเมย์ซึ่งยังมีสีหน้าหวาดวิตก “คุณแน่ใจไหมว่าไม่มีพวกมันดักหน้าเราอยู่?” ทาเคชิถามอาคิระ น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความไม่ไว้วางใจ “ถ้าพวกมันรู้ว่าคุณมุ่งหน้าไปทางไหน เราคงไม่มีโอกาสมาถึงจุดนี้” อาคิระตอบ “แต่เราก็ยังต้องระวังตัวไว้เสมอ” ซาเอบะหยุดเดิน เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมีแสงสีส้มปกคลุม สายตาของเขาเต็มไปด้วยความคิด “มันไม่สมเหตุสมผล… พวกมันต้องการอะไรจากการล่าเราขนาดนี้?” “พวกมันคงไม่หยุดจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ หรือไม่ก็จนกว่าเราจะ…” อาคิระหยุดพูด ประโยคส
ความเงียบของป่าทึบถูกรบกวนด้วยเสียงใบไม้ที่กระทบกันเบาๆ เมื่อสายลมพัดผ่าน แม้เสียงไล่ล่าจากคนร้ายจะเงียบลง แต่กลุ่มของซาเอบะยังคงเคลื่อนตัวด้วยความระมัดระวัง ความเหนื่อยล้าจากการหลบหนีเริ่มส่งผลต่อร่างกาย แต่ไม่มีใครกล้าหยุดพัก “เหลืออีกไกลไหม?” เมย์กระซิบถาม หลินหลินที่เดินนำหน้าเหลือบมองแผนที่เก่าๆ ในมือก่อนตอบ “อีกไม่ถึงหนึ่งกิโล เราจะถึงจุดที่อาคิระบอกว่าเป็นขอบเขตของพื้นที่พวกมัน” “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?” ทาเคชิถามพลางสำรวจพื้นที่รอบตัว ปืนในมือยังคงแน่นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย “เขาบอกว่าข้างนอกเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่เราก็ยังไว้ใจไม่ได้จนกว่าจะเห็นกับตา” ซาเอบะตอบ สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ พร้อมประเมินความเสี่ยง ทันใดนั้น หลินหลินหยุดเดิน เธอยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดเช่นกัน “ได้ยินอะไรไหม?” ทุกคนตั้งใจฟัง เสียงกิ่งไม้หักดังมาจากด้านหลัง ซาเอบะยกปืนขึ้นในทันที เขาออกคำสั่งเบาๆ “เข้าที่กำบัง!” ทุกคนแยกย้ายไปหาที่หลบในพุ่มไม้และหลังต้นไม้ใหญ่ เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กลุ่มของซาเอบะเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ทันใดนั้นเงาของชายคนหนึ่งก็ปรากฏออกมาจากพุ่มไม
บรรยากาศในกระท่อมไม้เล็กๆ ชวนให้รู้สึกแปลกประหลาด ซาเอบะจับตามองชายสูงวัยตรงหน้าด้วยความระแวง แม้ชายคนนี้จะไม่มีท่าทีคุกคาม แต่คำพูดของเขาก็ทำให้ทุกคนในกลุ่มสงสัย “คุณพูดว่ารู้จักกับดักของพวกมัน?” ซาเอบะถามพร้อมกับขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเตรียมพร้อมหากเกิดอะไรขึ้น ชายชรายิ้มจางๆ ก่อนจะยกมือขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อแสดงว่าเขาไม่มีอาวุธ “ใช่ ผมรู้จักพวกมันดี และผมรู้ว่าพวกคุณกำลังพยายามหนีจากอะไร” “แล้วทำไมถึงอยากช่วยเรา?” ทาเคชิถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ เขายืนอยู่ด้านหลังซาเอบะ ปืนในมือยังคงเล็งต่ำแต่พร้อมใช้งาน ชายสูงวัยถอนหายใจ “เพราะผมเคยตกเป็นเหยื่อเหมือนพวกคุณมาก่อน ผมรู้ว่ามันโหดร้ายแค่ไหนที่จะถูกล่าในพื้นที่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง” หลินหลินมองชายชราอย่างพินิจพิเคราะห์ “คุณมีชื่อไหม?” “เรียกผมว่าอาคิระก็พอ” ชายสูงวัยตอบ เขาขยับตัวลุกขึ้นช้าๆ ก่อนเดินไปหยิบขวดน้ำที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของกระท่อม “แต่ถ้าพวกคุณไม่ไว้ใจผม ผมก็เข้าใจ” “เราไม่ได้มีทางเลือกมากนัก” ซาเอบะพูด “แต่ถ้าคุณจะช่วยเรา คุณต้องบอกทุกอย่างที่คุณรู้เกี่ยวกับพวกมัน” อาคิระยิ้มอีกครั้ง แต่คราวนี้ดวงตาของเขาฉายแววจริงจัง “พวกมันเป็นก
ความเงียบที่ปกคลุมหมู่บ้านร้างสร้างบรรยากาศชวนอึดอัด ทุกคนในกลุ่มของซาเอบะต่างรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล ทาเคชิเดินตรวจตรารอบๆ บ้านไม้เก่าหลังหนึ่ง มือยังจับปืนแน่น ขณะที่หลินหลินเดินตามอย่างระมัดระวัง เมย์เกาะฮิโรชิเอาไว้ ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อยเพราะความกลัว “หมู่บ้านนี้เงียบเกินไป” หลินหลินพูดเบาๆ พลางมองรอบๆ ด้วยสายตาสงสัย “เงียบเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ” ซาเอบะกล่าว ขณะเดินออกจากบ้านหลังหนึ่งพร้อมกระดาษในมือ เขายื่นกระดาษนั้นให้ทาเคชิอ่าน ทาเคชิขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความว่า “พวกเรารู้ว่าคุณจะมาที่นี่” “พวกมันเล่นเกมกับเรา” เขาพูด “เราควรออกจากที่นี่ก่อนที่จะสายเกินไป” “เห็นด้วย” ซาเอบะตอบ “แต่เราต้องหาวิธีให้แน่ใจก่อนว่าทางออกของเราจะปลอดภัย” ทันใดนั้น เสียงดัง ปัง! ก็ดังขึ้นจากระยะไกล เสียงนั้นสะท้อนไปทั่วหมู่บ้าน “ระวัง!” ซาเอบะตะโกน ทุกคนหมอบลงกับพื้นในทันที เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังเข้ามาใกล้จากทางทิศตะวันออก ฮิโรชิหันไปมองพลางพูดด้วยเสียงสั่น “พวกมันมาแล้ว…พวกมันรู้ว่าเราอยู่ที่นี่” ซาเอบะกัดฟันแน่น “เราต้องหาที่กำบัง” เขาออกคำสั่ง “ทาเคชิ! หลินหลิน! พาเมย์กับฮิโ
เสียงก้าวเดินเบาๆ ของกลุ่มซาเอบะยังคงดังสะท้อนในความเงียบสงัดของป่าทึบ แม้พวกเขาจะรักษาระยะห่างจากคนร้ายได้ แต่ความตึงเครียดยังคงปกคลุม เมย์เดินด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน หลินหลินประคองเธอเอาไว้ไม่ให้ล้ม “เราใกล้ถึงหมู่บ้านแล้วใช่ไหม?” เมย์ถามพลางหายใจหอบ “อีกไม่ไกล” ซาเอบะตอบ เขากวาดสายตาไปรอบตัวเพื่อจับตาความผิดปกติ ทาเคชิที่เดินตามหลังกลุ่มอยู่หยุดเท้ากระทันหัน เขาชูมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดตาม “มีบางอย่างผิดปกติ” เขาพึมพำเบาๆ ซาเอบะหันกลับมามองทาเคชิ สายตาของเขาฉายแววสงสัย “เจออะไร?” ทาเคชิชี้ไปยังพื้นดินเบื้องหน้า “ดูรอยเท้า…มันสดมาก” ซาเอบะขมวดคิ้วก่อนจะก้มลงตรวจดูรอยเท้าด้วยความระมัดระวัง “ไม่ใช่พวกเรา และมันไม่ได้มาจากคนร้ายที่ไล่ตามเราด้วย” “หมายความว่ามีคนอื่นอยู่แถวนี้?” หลินหลินถาม น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความวิตก ซาเอบะพยักหน้าเบาๆ “ใช่ และคนพวกนี้อาจไม่เป็นมิตร” ทันใดนั้น เสียงกิ่งไม้หักดังมาจากพุ่มไม้ด้านข้าง ทุกคนต่างจับอาวุธในมือแน่น ขณะจ้องมองไปยังจุดที่เสียงดังขึ้น ซาเอบะยกปืนขึ้นเล็ง พร้อมออกคำสั่งเบาๆ “ระวังตัว…อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม” เงาร่างหนึ่งเคลื่อน
เสียงฝีเท้าหนักหน่วงและเสียงเห่าสะท้อนผ่านป่ามืด ซาเอบะหยุดวิ่งทันทีเมื่อเห็นเงาสะท้อนจากไฟฉายห่างออกไป เขายกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนหมอบลงใต้พุ่มไม้หนาทึบ แม้ว่าความเหนื่อยล้าจะเริ่มทำให้ขาของเขาสั่น แต่ซาเอบะก็รู้ดีว่าการหยุดชั่วคราวนี้เป็นสิ่งจำเป็น “พวกมันยังตามมาไม่เลิก” ทาเคชิพึมพำพร้อมปาดเหงื่อจากหน้าผาก ขณะที่เขาพยายามจับปืนให้มั่น “เงียบก่อน” ซาเอบะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่หนักแน่นพอให้ทุกคนทำตาม เสียงสุนัขที่เคยดังใกล้หูเริ่มห่างออกไปทางทิศเหนือ กลุ่มคนร้ายดูเหมือนจะเดินตามรอยที่กลุ่มของพวกเขาเบี่ยงเบนไว้ก่อนหน้า หลินหลินที่นั่งใกล้เมย์สัมผัสได้ถึงอาการตัวสั่นของหญิงสาว จึงเอื้อมมือไปจับแขนเมย์เบาๆ “อย่ากังวลไปนะ เราเกือบจะพ้นแล้ว” หลินหลินกระซิบด้วยน้ำเสียงปลอบโยน ซาเอบะหันมาหากลุ่มพลางกระซิบเบาๆ “เราต้องเคลื่อนที่ทันที ตอนนี้เป็นโอกาสดี พวกมันยังไม่ทันรู้ว่าเรามุ่งหน้าไปทางไหน” ทุกคนพยักหน้าและเริ่มเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางลำธารต่อ ซาเอบะนำทางไปขณะที่สายตาของเขากวาดมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง ทาเคชิคอยปิดท้ายกลุ่ม มือของเขากุมปืนแน่นตลอดเวลา หลังจากเดินต่อมาอีกหลายร้อยเมตร พว
ความเงียบภายในห้องใต้ดินถูกทำลายด้วยเสียงลมหายใจของกลุ่มซาเอบะ เสียงฝีเท้าหนักหน่วงของคนร้ายที่เดินวนอยู่ด้านบนทำให้ทุกคนต้องระมัดระวังตัว ซาเอบะมองไปรอบๆ ห้องใต้ดินที่มีแสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันดวงเล็ก ความกดดันในสถานการณ์ทำให้ทุกคนต้องเก็บเสียงอย่างที่สุด “เราออกไปตอนนี้ไม่ได้” ซาเอบะกระซิบเบาๆ ให้ทุกคนได้ยิน “พวกมันยังอยู่ใกล้ๆ” “แต่ถ้ารอนานกว่านี้ พวกมันอาจค้นเจอเรา” ทาเคชิแย้งด้วยน้ำเสียงร้อนรน มือขวาของเขากุมปืนแน่นราวกับเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ชายชราเจ้าของบ้านเดินเข้ามาพูดเบาๆ “ที่นี่มีทางออกลับอยู่ข้างหลังห้องใต้ดิน แต่ต้องคลานผ่านอุโมงค์แคบๆ ไป” เขาชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้อง ซึ่งมีประตูไม้เล็กๆ ซ่อนอยู่ใต้กองลังเก่า “นี่อาจเป็นโอกาสเดียวของเรา” หลินหลินพูด ขณะช่วยชายชราเคลื่อนลังออกจากทาง “ทาเคชิ นายไปก่อนเพื่อสำรวจทาง ถ้ามันปลอดภัย พวกเราจะตามไป” ซาเอบะสั่ง ทาเคชิพยักหน้าก่อนจะเปิดประตูเล็กและคลานเข้าไปในความมืดที่รออยู่ ขณะที่ทุกคนรออยู่หลัง ทาเคชิก็ส่งสัญญาณกลับมาด้วยเสียงกระซิบว่า “ทางนี้ปลอดภัย แต่ต้องรีบแล้ว” ซาเอบะให้หลินหลินพาเมย์คลานตามไปก่อน เขาเองเป็นคนสุดท้า