ฮาร์เปอร์นี่ก็เป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่ที่เกเบรียลสัญญากับฉันว่าจะยกเลิกทุกข้อตกลง และฉันก็ยอมให้โอกาสครั้งที่สองกับเขาฉันสาบานว่าไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมีความสุขได้ขนาดนี้ชีวิตของฉันตอนที่อยู่กับเลียมก็ดีนะ แต่กับเกเบรียลมันดีกว่า อาจเป็นเพราะเกเบรียลคือผู้ชายที่ฉันรักก็ได้ ผู้ชายที่หัวใจใฝ่หามาเกือบสิบปีฉันคงโกหกถ้าบอกว่าฉันไม่กลัว ยังคงมีบางเศษเสี้ยวของฉันที่คาดหวังว่าเรื่องร้าย ๆ จะตามมา ยังไงซะมันคงไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตที่ฉันถูกพรากคนรักไปแล้วฉันยังมีความกลัวเพราะว่าทุกอย่างมันดูง่ายเกินไป อารมณ์ประมาณว่ามันควรยากลำบากกว่านี้ไหม? ยากกว่านี้อีกนิด ท้าทายกว่านี้หน่อย... หรือนั่นเป็นแค่ความคิดที่ฉันทึกทักเอาเองว่ามันต้องเลวร้ายตลอดกันแน่?บางทีฉันอาจเคยชินกับการที่สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่ฉันต้องการ ซึ่งทำให้ฉันตั้งคำถามเมื่อมันราบรื่น"กำลังทำอะไรอยู่ครับ?" เกเบรียลโผล่มาจากไหนไม่รู้ ทำให้ฉันตกใจแทบตายฉันเอามือทาบอก พยายามทำให้หัวใจที่เต้นแรงสงบลง "อย่าโผล่เข้ามาเงียบ ๆ แบบนี้ได้ไหมคะ""ผมเปล่านะ" เขาเอ่ยพร้อมดวงตาเป็นประกายขบขัน "ผมเรียกคุณนานเป็นนาทีแล้ว
ฮาร์เปอร์“ผมอยากให้คุณกับลิลลี่ไปที่หนึ่งด้วยกันหน่อยครับ” เกเบรียลประกาศออกมาฉันอยู่ในห้องนอนของเรา กำลังพับเสื้อผ้าที่ซักสะอาดอยู่ แน่นอนว่าเรามีแม่บ้านแต่ฉันไม่ชินกับการนั่งเฉย ๆ มันรู้สึกแปลกที่ฉันเคยชินกับการทำทุกอย่างด้วยตัวเองและตอนนี้มีคนอื่นมาทำสิ่งเหล่านั้นให้ฉัน ฉันชอบทำอะไรให้ยุ่ง ๆ ไว้ตลอด ฉันไม่สามารถใช้เวลาทั้งสุดสัปดาห์โดยไม่ทำอะไรเลยได้“พ่อแม่คุณมาทานข้าวเย็นที่บ้านนะคะ เกเบรียล ลืมไปแล้วเหรอ?” ฉันเอ่ยถามฉันหอบเสื้อผ้าที่พับแล้วบางส่วนเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวแบบวอล์กอิน ซึ่งฉันนำไปใส่ในลิ้นชักอย่างเป็นระเบียบ เกเบรียลก็เหมือนกับฉัน เราเป็นคนที่มีระเบียบมาก แต่เลียมไม่เป็นแบบนั้นและมันเคยทำให้ฉันหงุดหงิดจนแทบบ้าตอนที่ฉันกับเลียมแต่งงานกันก็ต้องหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกันโดยยอมรับข้อบกพร่องของกันและกันให้ได้ มันไม่ง่ายเสมอไป แต่เราก็พบวิธีที่จะประนีประนอมกันได้ฉันเดินออกมาจากห้องแต่งตัวและพบว่าเขานั่งอยู่บนเตียง เขากำลังพับเสื้อผ้าบางส่วนที่วางอยู่บนเตียง"เปล่า ผมไม่ได้ลืม" เขาเอ่ยตอบพร้อมวางผ้าที่พับแล้วทับบนกองอื่น ๆ "แต่พ่อแม่กว่ามาถึงก็เย็นแล้ว เรายังมีเวลาอี
ฉันส่ายหัวไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป "แม่ก็ไม่รู้จ้ะ พ่อเขาบอกว่าเป็นเซอร์ไพรส์""หนูชอบเซอร์ไพรส์!" เธอร้อง“แค่ลูกคนเดียวแหละจ้ะ” ฉันพึมพำ "ไปกันเถอะ"ลิลลี่วางหนังสือลงอย่างระมัดระวังก่อนที่จะกระโดดลงจากเตียง เธอจับมือฉันแล้วดึงออกจากห้องของเธอ เราพบเกเบรียลรอเราอยู่ที่ประตู ยืนเอาขาไขว้กันรอขณะที่เอามือกอดอกเขาสวมเสื้อยืดคอวีสีดำที่รัดรูปจนเหมือนผิวหนังชั้นที่สอง ต้นขาหนาถูกห่อหุ้มด้วยกางเกงยีนส์ของคาลวินไคลน์มีบางอย่างเกี่ยวกับท่าทางของเขาที่ทำให้เขาดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น"ถูกใจล่ะสิ?" เกเบรียลล้อเลียนพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ คำพูดของเขาดึงฉันออกจากห้วงความคิด“ค่ะ” ฉันพึมพำ ลิลลี่ทำเสียงจุ๊ปากเตือนฉันว่าเธออยู่ตรงนี้ด้วย "หนูรู้ว่าคุณพ่อหล่อค่ะ แต่พ่อกับแม่ไม่น่าดูเอาซะเลย""รอจนกว่าลูกโตขึ้นและได้พบกับผู้ชายที่ทำให้หัวใจเต้นแรงก่อนเถอะจ้ะ" ฉันล้อเธอพร้อมกับหยิกแก้มเบา ๆ "ทุกครั้งที่หนูจ้องมองผู้ชายคนนั้นจนเคลิ้ม แม่จะพูดอย่างเดียวกับวันนี้เลยแหละ"บรรยากาศรอบตัวเราเปลี่ยนไป“ลูกจะคบหากับใครไม่ได้จนกว่าจะอายุสิบแปดเท่านั้น” เกเบรียลคำราม ร่องรอยของความสนุกกับการหยอกล้อเมื่อ
ฉันจ้องมองเขาด้วยความงุนงง ฉันพยายามพูดแต่ไม่มีอะไรออกมาจากปาก ขณะที่ดวงตายังคงเลื่อนจากเกเบรียลไปมองบ้านหลังนี้"บ้านหลังนี้สวยมากค่ะ" ลิลลี่ร้องออกมา ความตื่นเต้นปรากฏชัดขณะที่เธอกระโดดสลับเท้าไปมา ราวกับว่าเธออยากทิ้งเราไปสำรวจบ้านแทบตาย "เราจะอยู่ที่นี่กันเหรอคะ? นี่คือบ้านใหม่ของเราใช่ไหม?"ดวงตาของเกเบรียลละจากฉันและเลื่อนไปที่ลูกสาวของเราซึ่งกำลังยิ้มกว้าง "ถ้าแม่ชอบ ก็ตามนั้นแหละลูก นี่จะเป็นบ้านใหม่ของเรา"ดวงตาของฉันกลับไปมองที่บ้าน ฉันจ้องมองมันด้วยความทึ่งเล็กน้อยคฤหาสน์ตั้งตระหง่านอยู่บนฉากหลังของเนินเขาที่ทอดยาว ความยิ่งใหญ่ปรากฏชัดจากทุกมุม เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างองค์ประกอบคลาสสิกและทันสมัย ภายนอกเป็นหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ที่ส่องประกายระยิบระยับในแสงแดด งานหินที่ซับซ้อนประดับประดามุมและซุ้มโค้ง เพิ่มสัมผัสแห่งความสง่างามเหนือกาลเวลาทางเข้าถูกครอบด้วยประตูไม้สูงตระหง่านคู่หนึ่ง แกะสลักด้วยลวดลายประดับและขนาบข้างด้วยเสาที่มีร่อง เหนือประตู หน้าต่างโค้งที่สง่างามพร้อมลูกกรงเหล็กดัดประดับช่วยให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาในห้องโถงใหญ่สวนเขียวชอุ่มได้รับการดูแลอย่างดี
ฉันหมุนตัวไปรอบ ๆ แค่ซึมซับสิ่งต่าง ๆ ก่อนที่จะหันหน้าไปหาเกเบรียลซึ่งมีสีหน้าคาดหวัง"หลังใหญ่มากเลยนะคะ เกเบรียล" ฉันบอกได้ว่ายังมีห้องอีก แต่ฉันจะสำรวจมันในภายหลัง "มีห้องนอนกี่ห้องเหรอ?"เขาเดินเข้ามาหาฉัน "ห้องนอนแปดห้องและห้องรับแขกสองห้องครับ"ฉันตกตะลึงจนพูดไม่ออกขณะที่จ้องมองเขา แน่นอนว่าตอนเด็ก ๆ เรามีบ้านหลังใหญ่ แต่เป็นบ้านห้าห้องนอนแค่นั้นก็เกินพอแล้ว"สิบห้องนอนมันมากเกินไปนะ เกเบรียล" ฉันหัวเราะอย่างประหม่า เราจะทำอะไรกับห้องที่เหลือล่ะ?เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉันก่อนที่แขนจะโอบรอบเอวเอาไว้พร้อมดึงฉันเข้ามาหาเขา ฉันวางมือบนอกสัมผัสถึงการเต้นของหัวใจภายใต้มือคู่นี้“ตอนผมบอกว่าอยากมีลูกกับคุณอีก ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ฮาร์เปอร์” ดวงตาเขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของฉัน "ผมวางแผนเอาไว้หมดแล้ว""อ้าว! หนูจะมีพี่น้องแล้วเหรอ?" ลิลลี่ร้องออกมาขัดจังหวะบรรยากาศที่ใกล้ชิดเราทั้งคู่หันไปมองเธอ แม้ว่าเกเบรียลจะไม่ได้ปล่อยฉันก็ตาม ดวงตาของเธอเป็นประกายขณะที่เธอมองมาที่เราอย่างคาดหวัง"ยังไม่ถึงเวลา แต่หวังว่าในเร็ว ๆ นี้นะลูก" เกเบรียลตอบพร้อมรอยยิ้มและความมั่นใจที่ทำให้ฉันกลัวแทบตาย โดย
ฉันก้าวลงมาจากรถพร้อมเดินมุ่งไปยังคฤหาสน์ตรงหน้า มือสั่นสะท้านและเหงื่อชุ่มร่างกายฉันเองยังทำใจเชื่อไม่ได้เลยว่าความสัมพันธ์เดินมาถึงจุดจบ ทำใจไม่ได้ว่าท้ายที่สุดฉันก็หย่าร้างกับเขา กระเป๋าข้างกายมีหลักฐานยืนยันการหย่าครั้งนี้ ฉันเดินทางมาที่นี่เพื่อนำเอกสารฉบับนี้มามอบให้เขาและรับโนอากลับขณะเดินเข้าไป ฉันเดินตามเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ไปและยั้งฝีเท้าไว้เมื่อเข้าใกล้ห้องครัวตอนนี้เองฉันได้ยินเสียงนั้นถนัดหูและเนื้อความนั้นได้กระชากฉันลงไปสู่ห้วงเหวอันเย็นเยียบ“ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ พ่ออยู่กับผมกับแม่ไม่ได้หรือครับ?” เจ้าหนูโนอาเอ่ยถามผู้เป็นพ่อฉันยกสั่นเทากุมหน้าอก หัวใจทลายลงเพราะเสียงแสนเศร้าของเด็กน้อย ไม่ว่าเป็นสิ่งใดฉันพร้อมจะทำให้เขาเสมอ แต่การหย่าร้างนี้กลับหลีกเลี่ยงไม่ได้การแต่งงานครั้งนี้เป็นสิ่งผิดพลาด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเป็นสิ่งที่ผิดพลาดทั้งหมด เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ฉันได้ตาสว่างพร้อมเห็นความจริง“โนอา ลูกน่าจะรู้อยู่แล้ว แม่กับพ่อไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว” เสียงนุ่มของชายคนนั้นเอ่ยออกมาช่างน่าแปลกเสียจริง ตลอดช่วงเวลาที่เราครองคู่กัน เขาไม่เคยแม้แต่พูดจา
“ฉันต้องไปแล้ว รบกวนคุณช่วยอยู่กับโนอาก่อนได้ไหม? เพราะฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลนานแค่ไหน” ฉันเอ่ยประโยคเหล่านี้ออกไป มือพลางคว้ากระเป๋าข้างกายอย่างใจลอย“ได้ ผมขอไปรับแม่มาดูแลโนอาแทนก่อน แล้วจะรีบตามไป” โรแวนตอบรับ เพียงแต่รู้สึกราวกับเป็นเสียงกระซิบซึ่งดังแว่วเข้ามาในหูที่อึ้ออึงของฉันเท่านั้นฉันจำอะไรที่เหลือนอกเหนือจากการบอกลาลูกชายตัวน้อยไม่ได้ ฉันรีบดันตนเองขึ้นรถยนต์และขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลพร้อมความคิดที่ล่องลอยกระหวัดถึงความทรงจำตอนที่เติบโตขึ้นมา ใคร ๆ ก็ต่างพากันพูดว่าฉันเป็นพวกขาดความอบอุ่น ตอนเป็นเด็กทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่ได้ใส่ใจฉันมากเท่าที่ควร ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อคงเป็นพี่สาว เอมม่า พ่อเคยเรียกเธอว่าสาวน้อยของพ่อด้วยซ้ำ ส่วนแม่ก็ประคบประหงมพี่ชาย ทราวิส พ่อรูปหล่อของแม่เสียยังกับอะไรดี ส่วนฉันก็เป็นแค่ เอวา ที่ไม่มีใครรักฉันรู้สึกเหมือนไม่เป็นที่ต้องการของใคร ๆ ไม่มีใครต้อนรับ ไม่ว่าจะกับพ่อแม่รวมถึงพี่น้องท้องเดียวกัน ไม่ว่าจะพิสูจน์ตนเองเท่าใด มีผลการเรียนระดับแนวหน้า กีฬาเด่น หรือกิจกรรมดีเพียงใด สถานที่เดียวซึ่งเหมาะกับฉันคืออยู่ข
ฉันเอนกายอยู่บนเก้าอี้โรงพยาบาลแสนเย็นเฉียบพลางกำหนดลมหายใจเข้าออก น้ำตาของแม่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย คำปลอบประโลมไหน ๆ คงส่งไปไม่ถึงจิตใจเธอ ฉันเจ็บปวดแทนแม่ ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดีว่าการสูญเสียคนที่เรารักไปอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อยเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่น่าตระหนก ฉันเผื่อใจเอาไว้ว่าพ่อจะหายดีแต่กลับกลายเป็นหายไปจากโลกแทนเสียนี่ ฉันเลยไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดีความคิดเห็นของเราไม่เคยลงรอยกันและพ่อก็คงจะเกลียดฉันแต่ฉันก็รักเขา เขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด ฉันจะไม่รักเขาได้อย่างไรกัน?“ไหวไหม?” โรแวนเอ่ยถามพลางนั่งลงข้างฉันชายหนุ่มเดินทางมาถึงได้ประมาณชั่วโมงกว่า และคำถามเมื่อครู่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับฉันนับตั้งแต่มาถึง ฉันรับมือกับความกังวลของเขาไม่ถูก อย่างไรเสียเขาคนนี้ไม่เคยเก็บเอาความรู้สึกของฉันไปใส่ใจมาก่อน“ไหวค่ะ” ฉันฝืนตอบกลับตั้งแต่ที่รู้ข่าวฉันก็ยังไม่ได้หลั่งน้ำตาแม้เลยสักหยด อาจเพราะยังตกใจจนทำอะไรไม่ถูกหรือน้ำตาของฉันที่มีให้พ่อนั้นเหือดแห้งไปหมดแล้วก็เป็นได้ ตอนนี้สิ่งเดียวที่ฉันควรทำมากที่สุดคือประคองสติตนเองให้ไหวแทนทุกคนที่สติแตกไปแล้วเท้าคู่
ฉันหมุนตัวไปรอบ ๆ แค่ซึมซับสิ่งต่าง ๆ ก่อนที่จะหันหน้าไปหาเกเบรียลซึ่งมีสีหน้าคาดหวัง"หลังใหญ่มากเลยนะคะ เกเบรียล" ฉันบอกได้ว่ายังมีห้องอีก แต่ฉันจะสำรวจมันในภายหลัง "มีห้องนอนกี่ห้องเหรอ?"เขาเดินเข้ามาหาฉัน "ห้องนอนแปดห้องและห้องรับแขกสองห้องครับ"ฉันตกตะลึงจนพูดไม่ออกขณะที่จ้องมองเขา แน่นอนว่าตอนเด็ก ๆ เรามีบ้านหลังใหญ่ แต่เป็นบ้านห้าห้องนอนแค่นั้นก็เกินพอแล้ว"สิบห้องนอนมันมากเกินไปนะ เกเบรียล" ฉันหัวเราะอย่างประหม่า เราจะทำอะไรกับห้องที่เหลือล่ะ?เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉันก่อนที่แขนจะโอบรอบเอวเอาไว้พร้อมดึงฉันเข้ามาหาเขา ฉันวางมือบนอกสัมผัสถึงการเต้นของหัวใจภายใต้มือคู่นี้“ตอนผมบอกว่าอยากมีลูกกับคุณอีก ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ฮาร์เปอร์” ดวงตาเขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของฉัน "ผมวางแผนเอาไว้หมดแล้ว""อ้าว! หนูจะมีพี่น้องแล้วเหรอ?" ลิลลี่ร้องออกมาขัดจังหวะบรรยากาศที่ใกล้ชิดเราทั้งคู่หันไปมองเธอ แม้ว่าเกเบรียลจะไม่ได้ปล่อยฉันก็ตาม ดวงตาของเธอเป็นประกายขณะที่เธอมองมาที่เราอย่างคาดหวัง"ยังไม่ถึงเวลา แต่หวังว่าในเร็ว ๆ นี้นะลูก" เกเบรียลตอบพร้อมรอยยิ้มและความมั่นใจที่ทำให้ฉันกลัวแทบตาย โดย
ฉันจ้องมองเขาด้วยความงุนงง ฉันพยายามพูดแต่ไม่มีอะไรออกมาจากปาก ขณะที่ดวงตายังคงเลื่อนจากเกเบรียลไปมองบ้านหลังนี้"บ้านหลังนี้สวยมากค่ะ" ลิลลี่ร้องออกมา ความตื่นเต้นปรากฏชัดขณะที่เธอกระโดดสลับเท้าไปมา ราวกับว่าเธออยากทิ้งเราไปสำรวจบ้านแทบตาย "เราจะอยู่ที่นี่กันเหรอคะ? นี่คือบ้านใหม่ของเราใช่ไหม?"ดวงตาของเกเบรียลละจากฉันและเลื่อนไปที่ลูกสาวของเราซึ่งกำลังยิ้มกว้าง "ถ้าแม่ชอบ ก็ตามนั้นแหละลูก นี่จะเป็นบ้านใหม่ของเรา"ดวงตาของฉันกลับไปมองที่บ้าน ฉันจ้องมองมันด้วยความทึ่งเล็กน้อยคฤหาสน์ตั้งตระหง่านอยู่บนฉากหลังของเนินเขาที่ทอดยาว ความยิ่งใหญ่ปรากฏชัดจากทุกมุม เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างองค์ประกอบคลาสสิกและทันสมัย ภายนอกเป็นหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ที่ส่องประกายระยิบระยับในแสงแดด งานหินที่ซับซ้อนประดับประดามุมและซุ้มโค้ง เพิ่มสัมผัสแห่งความสง่างามเหนือกาลเวลาทางเข้าถูกครอบด้วยประตูไม้สูงตระหง่านคู่หนึ่ง แกะสลักด้วยลวดลายประดับและขนาบข้างด้วยเสาที่มีร่อง เหนือประตู หน้าต่างโค้งที่สง่างามพร้อมลูกกรงเหล็กดัดประดับช่วยให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาในห้องโถงใหญ่สวนเขียวชอุ่มได้รับการดูแลอย่างดี
ฉันส่ายหัวไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป "แม่ก็ไม่รู้จ้ะ พ่อเขาบอกว่าเป็นเซอร์ไพรส์""หนูชอบเซอร์ไพรส์!" เธอร้อง“แค่ลูกคนเดียวแหละจ้ะ” ฉันพึมพำ "ไปกันเถอะ"ลิลลี่วางหนังสือลงอย่างระมัดระวังก่อนที่จะกระโดดลงจากเตียง เธอจับมือฉันแล้วดึงออกจากห้องของเธอ เราพบเกเบรียลรอเราอยู่ที่ประตู ยืนเอาขาไขว้กันรอขณะที่เอามือกอดอกเขาสวมเสื้อยืดคอวีสีดำที่รัดรูปจนเหมือนผิวหนังชั้นที่สอง ต้นขาหนาถูกห่อหุ้มด้วยกางเกงยีนส์ของคาลวินไคลน์มีบางอย่างเกี่ยวกับท่าทางของเขาที่ทำให้เขาดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น"ถูกใจล่ะสิ?" เกเบรียลล้อเลียนพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ คำพูดของเขาดึงฉันออกจากห้วงความคิด“ค่ะ” ฉันพึมพำ ลิลลี่ทำเสียงจุ๊ปากเตือนฉันว่าเธออยู่ตรงนี้ด้วย "หนูรู้ว่าคุณพ่อหล่อค่ะ แต่พ่อกับแม่ไม่น่าดูเอาซะเลย""รอจนกว่าลูกโตขึ้นและได้พบกับผู้ชายที่ทำให้หัวใจเต้นแรงก่อนเถอะจ้ะ" ฉันล้อเธอพร้อมกับหยิกแก้มเบา ๆ "ทุกครั้งที่หนูจ้องมองผู้ชายคนนั้นจนเคลิ้ม แม่จะพูดอย่างเดียวกับวันนี้เลยแหละ"บรรยากาศรอบตัวเราเปลี่ยนไป“ลูกจะคบหากับใครไม่ได้จนกว่าจะอายุสิบแปดเท่านั้น” เกเบรียลคำราม ร่องรอยของความสนุกกับการหยอกล้อเมื่อ
ฮาร์เปอร์“ผมอยากให้คุณกับลิลลี่ไปที่หนึ่งด้วยกันหน่อยครับ” เกเบรียลประกาศออกมาฉันอยู่ในห้องนอนของเรา กำลังพับเสื้อผ้าที่ซักสะอาดอยู่ แน่นอนว่าเรามีแม่บ้านแต่ฉันไม่ชินกับการนั่งเฉย ๆ มันรู้สึกแปลกที่ฉันเคยชินกับการทำทุกอย่างด้วยตัวเองและตอนนี้มีคนอื่นมาทำสิ่งเหล่านั้นให้ฉัน ฉันชอบทำอะไรให้ยุ่ง ๆ ไว้ตลอด ฉันไม่สามารถใช้เวลาทั้งสุดสัปดาห์โดยไม่ทำอะไรเลยได้“พ่อแม่คุณมาทานข้าวเย็นที่บ้านนะคะ เกเบรียล ลืมไปแล้วเหรอ?” ฉันเอ่ยถามฉันหอบเสื้อผ้าที่พับแล้วบางส่วนเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวแบบวอล์กอิน ซึ่งฉันนำไปใส่ในลิ้นชักอย่างเป็นระเบียบ เกเบรียลก็เหมือนกับฉัน เราเป็นคนที่มีระเบียบมาก แต่เลียมไม่เป็นแบบนั้นและมันเคยทำให้ฉันหงุดหงิดจนแทบบ้าตอนที่ฉันกับเลียมแต่งงานกันก็ต้องหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกันโดยยอมรับข้อบกพร่องของกันและกันให้ได้ มันไม่ง่ายเสมอไป แต่เราก็พบวิธีที่จะประนีประนอมกันได้ฉันเดินออกมาจากห้องแต่งตัวและพบว่าเขานั่งอยู่บนเตียง เขากำลังพับเสื้อผ้าบางส่วนที่วางอยู่บนเตียง"เปล่า ผมไม่ได้ลืม" เขาเอ่ยตอบพร้อมวางผ้าที่พับแล้วทับบนกองอื่น ๆ "แต่พ่อแม่กว่ามาถึงก็เย็นแล้ว เรายังมีเวลาอี
ฮาร์เปอร์นี่ก็เป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่ที่เกเบรียลสัญญากับฉันว่าจะยกเลิกทุกข้อตกลง และฉันก็ยอมให้โอกาสครั้งที่สองกับเขาฉันสาบานว่าไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมีความสุขได้ขนาดนี้ชีวิตของฉันตอนที่อยู่กับเลียมก็ดีนะ แต่กับเกเบรียลมันดีกว่า อาจเป็นเพราะเกเบรียลคือผู้ชายที่ฉันรักก็ได้ ผู้ชายที่หัวใจใฝ่หามาเกือบสิบปีฉันคงโกหกถ้าบอกว่าฉันไม่กลัว ยังคงมีบางเศษเสี้ยวของฉันที่คาดหวังว่าเรื่องร้าย ๆ จะตามมา ยังไงซะมันคงไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตที่ฉันถูกพรากคนรักไปแล้วฉันยังมีความกลัวเพราะว่าทุกอย่างมันดูง่ายเกินไป อารมณ์ประมาณว่ามันควรยากลำบากกว่านี้ไหม? ยากกว่านี้อีกนิด ท้าทายกว่านี้หน่อย... หรือนั่นเป็นแค่ความคิดที่ฉันทึกทักเอาเองว่ามันต้องเลวร้ายตลอดกันแน่?บางทีฉันอาจเคยชินกับการที่สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่ฉันต้องการ ซึ่งทำให้ฉันตั้งคำถามเมื่อมันราบรื่น"กำลังทำอะไรอยู่ครับ?" เกเบรียลโผล่มาจากไหนไม่รู้ ทำให้ฉันตกใจแทบตายฉันเอามือทาบอก พยายามทำให้หัวใจที่เต้นแรงสงบลง "อย่าโผล่เข้ามาเงียบ ๆ แบบนี้ได้ไหมคะ""ผมเปล่านะ" เขาเอ่ยพร้อมดวงตาเป็นประกายขบขัน "ผมเรียกคุณนานเป็นนาทีแล้ว
เอวาหันไปมองรถยนต์ของตนเองอีกครั้งก่อนเดินเข้ามาด้านใน จากนั้นเธอก็หยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งขณะที่สายตากวาดมองไปทั่วน่าจะหลายปีแล้วที่เธอมาเหยียบบ้านหลังนี้ ครั้งสุดท้ายฉันคิดว่าอาจเป็นตอนที่เธอโดนยิงในงานศพของพ่อดวงตาของเธอแสดงความหวาดกลัวออกมา ฉันสามารถเห็นความมืดมนผ่านดวงตาคู่นั้นไปได้ มันบ่งบอกถึงความทรงจำแสนทรมานที่เธอแบกรับจากบ้านหลังนี้รวมถึงคนที่นี่ กันเนอร์จะต้องแบกรับความมืดมนแบบเดียวกันนี้เพราะฉันด้วยไหมนะ? เพราะสิ่งที่ฉันทำลงไปใช่ไหม?ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลยฉันไม่ได้กลับมาที่บ้านเท่าไรนักหลังจากที่เธอกับโรแวนแต่งงาน แต่ฉันก็อยู่ด้วยตอนที่เรายังเป็นเด็ก ฉันไม่ได้รู้สึกภาคภูมิที่จะบอกว่าฉันเองก็เหมือนกับคนอื่น ฉันไม่ได้สนใจอะไรเธอเลย เราควรเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน แต่ฉันปฏิบัติกับเธอราวกับว่าเธอไม่คู่ควร เหมือนอย่างที่ทุกคนก็ทำกับเธอเมื่อมองเธอในตอนนี้ ฉันเห็นสิ่งที่คุณหมอมีอาเคยพูดให้ฟัง อดีตยังคงหลอกหลอนเอวาอยู่ มันยังคงทำให้เธอหวาดกลัวจากการที่ถูกปฏิบัติแบบนั้นตอนเป็นเด็ก เธอไม่สมควรเจอเรื่องแบบนั้น“ฉันขอโทษนะ” ฉันกล่าวแผ่วเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายสายตาท
คำพูดของคุณหมอมีอายังคงดังก้องอยู่ในหัวขณะที่ฉันเดินมุ่งหน้าไปที่รถ ความจริงนั้นโหดร้าย การกลืนความขมขื่นลงไปไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ฉันต้องกลืนมันลงไปแทนที่ฉันจะขับออกจากลานจอดรถเหมือนที่ฉันทำเป็นประจำ ฉันนั่งอยู่ในรถอย่างนั้นและปล่อยให้น้ำตาไหลพราก ฉันไม่สามารถหยุดมันได้แม้ว่าฉันต้องการ เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่ว เสียงสะอื้นดังออกมาจากข้างในลึก ๆ เพราะสิ่งที่ทำมาโดยตลอดกำลังตอกย้ำฉันอยู่ฉันซบหน้าลงกับพวงมาลัยเพราะฉันไม่สามารถยกมันขึ้นได้อีกแล้ว ฉันโอบกอดความอัปยศเหมือนเป็นมิตรแท้ มันฝังลึกไม่ต่างกับรอยบากฉันปล่อยให้มันเป็นขนาดนี้ได้ยังไง? ทำไมฉันถึงทำร้ายเขาแบบนั้น? ทำไมฉันถึงปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวทำให้ความผูกพันที่ฉันอาจมีกับกันเนอร์พังทลาย?ทำไม ทำไม ทำไมกันนะ?ถ้าฉันรู้ว่าวันหนึ่งตนเองปรารถนาที่จะกอดกันเนอร์ไว้ในอ้อมแขน เพื่อให้ได้อยู่ในชีวิตของเขา เพื่อให้เขาเรียกฉันว่าแม่ ฉันคงจะยึดติดกับเขาเหมือนเขาเป็นลมหายใจในชีวิต... แต่นั่นมันก็เป็นอดีตไปหมดแล้ว มันแย่มากริมฝีปากฉันสั่นเครือขณะสะอื้นไห้ ความรู้สึกผิดกัดกินร่างกาย ทำให้ฉันสะดุ้งราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ฉันอยากจะกรีดร้อง ฉันอยา
เอวามอบความรักของแม่ที่เขาไม่ได้จากฉันให้กันเนอร์ ความรักในแบบที่เขาปรารถนาให้ฉันมอบให้เขา ฉันเข้าใจแล้ว ตอนที่เขาพบเอวา ตอนที่เธอรับเขาเข้ามาในชีวิตแม้กระทั่งก่อนที่ความจริงจะเปิดเผย นั่นคือตอนที่เขาเลิกหวังในตัวฉัน นั่นคือตอนที่กันเนอร์ไม่คิดจะสนใจความสัมพันธ์ระหว่างเราอีก"ฉันเข้าใจคุณนะคะ เอมม่า" คุณหมอมีอายื่นทิชชู่ให้ "ฉันเข้าใจคุณจริง ๆ แต่ฉันต้องถามว่าความมุ่งมั่นแบบเดียวกันนี้อยู่ที่ไหนในตอนนั้น? ทำไมคุณถึงหันหลังให้กับความสัมพันธ์กับกันเนอร์?"ฉันถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกันนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกันเป็นเวลาแปดปีที่ฉันปฏิเสธการมีตัวตนของเขา แปดปีที่ฉันปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาไม่มีความสำคัญ ตั้งแปดปีเชียวนะที่ฉันรักษาระยะห่างจากเขา"พอมาคิดถึงเรื่องนี้ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเหตุผลที่โง่เง่ามาก แต่ตอนนั้นฉันไม่อยากให้มีอะไรหรือใครมาย้ำเตือนฉันว่าตอนที่โรแวนกับฉันแยกจากกันชีวิตมันเป็นยังไง สำหรับฉัน กันเนอร์เป็นความผิดพลาด เขาไม่ควรจะเกิดมา ฉันไม่อยากให้ชีวิตของฉันกับโรแวนต้องมัวหมองเพราะลูกชายของฉันกับผู้ชายคนอื่น ฉันอยากจะยังคงสมบูรณ์แบบในสายตาของโรแวนอยู่"“ขอโทษด้วยที่ต้องขวาน
เอมม่าฉันกลับมาเข้ารับการบำบัดกับคุณหมอมีอาอีกครั้ง ฉันยังคงไม่อยากเชื่อว่าตนเองเดินทางไปหาคาลวินถึงที่ทำงานและขอโทษเขา ว่ากันตามตรงเวลาพูดถึงคาลวิน ฉันไม่เคยทำอะไรที่กล้าหาญขนาดนี้มาก่อน“เอมม่าคะ?”ฉันหยุดจ้องมองผนังและจดจ่อกับคุณหมอมีอา สติฉันยังคงยุ่งเหยิง แต่ฉันค่อย ๆ รู้สึกเหมือนเริ่มปะติดปะต่อสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้“คะ?”“คุณเล่าให้ฟังว่าคุณไปขอโทษคุณคาลวินมา” เธอขยับแว่นตาบนสันจมูกเครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศส่งเสียงเบา ๆ ขณะที่มันส่งกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ผ่อนคลายไปในอากาศโดยรอบ ฉันรู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกเหมือนลอยอยู่ก็ว่าได้ บางทีถึงเวลาแล้วที่ฉันควรลงทุนกับการบำบัดด้วยกลิ่นหอม เพราะฉันชอบความรู้สึกนี้จริง ๆ“ใช่ค่ะ” ฉันเอ่ยตอบและพยายามเรียกสติตนเองจากความเหม่อลอย “คุณหมอทำให้ฉันรู้ตัวว่าทำผิดกับคาลวินมากขนาดไหน แถมทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองทำผิดแต่ฉันก็ไม่เคยขอโทษเขาเลยสักครั้ง”“ขอโทษเขาแล้วรู้สึกยังไงบ้างคะ?”“ดีขึ้นนิดหน่อยค่ะ”ฉันใช้นิ้วมือลูบผม ก่อนที่จะวางไว้บนตัก ฉันจ้องมองเล็บตนเอง มันทั้งสั้นและสีซีดไม่สวยเหมือนอย่างเคย ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่ฉันไปท