หลี่อ้ายซี "ฮูหยินเกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าคะ"หลี่อ้ายซี และ เผิงหลินตื่นตระหนกเมื่อพบว่าเฉิงซินกำลังแบกร่างซึ่งเปียกชุ่มโชกของเว่ยจวินอี้เดินโผเผเข้ามา คนร่างสูงสิ้นสติรับรู้ ส่วนคนตัวบางหอบอีกฝ่ายอย่างทุลักทุเลพาให้เปียกไปตามกัน บ่าวทั้งสองจึงถลันกายเข้ามารีบช่วยประคองอย่างเร็วรี่"ข้าก็ไม่รู้ พวกเจ้าอย่าเพิ่งถามเลย รีบไปตาม..." เฉิงซินชะงักค้างไว้เท่านั้น นางไม่รู้ว่าเรื่องนี้สมควรเอ่ยออกไปหรือไม่ อาจเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่แม่ทัพไม่อยากให้เปิดเผยก็ได้ เหตุการณ์เช่นนี้ล้วนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหตุใดย้อนมาครานี้ช่างรู้สึกอลหม่านโดยแท้ จากเดิมที่นางจะให้ตามหมอเข้ามา จึงแปรเป็นให้ไปหายาตามเทียบที่ตนยื่นให้เผิงหลินมองเทียบยาตาปริบ ๆ "ฮูหยินท่านรู้จักเทียบยาด้วยหรือเจ้าคะ""เอ่อ...รู้เล็กน้อย อย่ากล่าวมากความ ไปหาเงียบ ๆ เล่า""เจ้าค่ะ"เผิงหลินจากไปแล้ว พร้อมผ้าคลุมหัวคลุมไหล่ เฉิงซินจึงเรียกหลี่อ้ายซีเข้ามาช่วยตนอีกแรง"อ้ายซีเจ้ามานี่""เจ้าค่ะ"หลี่อ้ายซีเดินเก้ ๆ กัง ๆ เข้ามาใกล้"เจ้าไปหาเชือกมา เอาหนา ๆ นะ""เชือกหรือเจ้าคะ" หลี่อ้ายซีงุนงง"เอานา...ข้าให้เจ้าไปหาก็หามาเสีย อย่ากล่าวม
"เฉิงซิน นี่เจ้ามัดข้าด้วยเหตุใด"เฉิงซินยิ้มเยาะ "ท่านก็เคยมัดข้าไม่ใช่หรือ เช่นนั้นข้ามัดท่านหนนี้ก็หายกันแล้ว""เหอะ! แสบนักนะ" เว่ยจวินอี้กล่าวลอดไรฟันเฉิงซินไม่ได้ใส่ใจอีกฝ่ายนัก นางเพียงก้มหน้าก้มตารักษาบาดแผลต่อไป เว่ยจวินอี้ก็มองดูนางทำแผลให้ตนโดยไม่ปริปาก บรรยากาศแห่งความมืดมิดมีเพียงเชิงเทียนที่ส่องสว่างนับว่าทำให้วังเวงแล้ว ทั้งสองล้วนไม่เอ่ยวาจาต่อกัน ยิ่งส่งผลให้เกิดความสงัดเงียบอีกหลายเท่า เสียงหัวใจเต้นเร้าจึงดังแข่งกันเป็นระลอกเว่ยจวินอี้ประหลาดใจไม่น้อย หากเป็นเฉิงซินเมื่อก่อน ต้องร้องแร่แห่กระเชอจนรู้กันไปทั้งจวน ทว่ามาครานี้นางกลับดูสุขุมขึ้น และรู้ความยิ่งนัก ไม่กระโตกกระตากซ้ำยังช่วยรักษาบาดแผลให้เขาไปเงียบ ๆ"เจ้าไม่ถามข้าหน่อยหรือ" เว่ยจวินอี้เลิกคิ้ว"...""ข้าถูกมือสังหารไล่ล่า ดูเหมือนมันก็ถูกข้าทำร้ายไปหลายบาดแผลเช่นกัน"เฉิงซินหน้ากระตุก และกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ เว่ยจวินอี้จะถูกมือสังหารไล่ล่าย่อมไม่แปลก เขาเป็นถึงแม่ทัพ ศัตรูล้วนมีอยู่รอบด้าน ไหนเลยจะอยู่จวนแล้วสงบสุขเช่นผู้อื่นได้"ไม่เป็นห่วงข้าหรือ" เสียงทุ้มแผ่วลงเฉิงซินชะงักมือแวบหนึ่ง นางเก็บทุก
"ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นเช่นไรบ้างขอรับ" โจวหมิงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาโจวหมิงมารู้ตัวตอนนี้ช้าไปหรือไม่ นายของตนเกือบถูกมือสังหารลอบฆ่าตายอยู่รอมร่อ จะกล่าวเช่นนั้นก็มิได้ในเมื่อเว่ยจวินอี้ให้เขาไปพักเร็วหน่อย เวลาเช่นนี้จึงทำให้เขาไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกาย ทว่าเมื่ออีกฝ่ายบุ่มบ่ามเข้ามาเช่นนั้นจึงทำให้ภาพเบื้องหน้าสะท้อนเข้าตาเสียจนต้องรีบหันหลังกลับแทบไม่ทันเผิงหลินและหลี่อ้ายซีรีบวิ่งรี่เข้ามาฉุดรั้งโจวหมิงที่ตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ตายซากออกไปทันควัน"โจวหมิง ท่านจะบ้าหรือไร ข้าก็บอกแล้วว่าท่านแม่ทัพกับฮูหยินพักผ่อน อีกอย่างฮูหยินข้าทำแผลให้ท่านแม่ทัพแล้ว" เผิงหลินกล่าวตำหนิ หลี่อ้ายซีก็ค้อนโจวหมิงอย่างนึกคาดโทษไปแล้วเช่นเดียวกันโจวหมิงหน้าซีดเผือด "ก็ข้า ข้า...เป็นห่วงท่านแม่ทัพผิดตรงไหนเล่า ข้าเข้าไปในห้องตำราพบคราบเลือดมากมายปานนั้น""ท่าน ท่าน ท่าน มิใช่ท่านหรอกหรือ ที่ไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี หึ!" หลี่อ้ายซีค้อนตาคว่ำโจวหมิงจึงได้แต่ส่งยิ้มแหยเข้าสู้เสียแล้ว เมื่อถูกสตรีสองนางรุมต่อว่าด่าทอแทบไม่พักหายใจหายคอกันด้วยซ้ำ"เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะรอท่านแม่ทัพตื่นอยู่ตรงนี้" โจวหมิงยกมือขึ้นกอ
"ท่านกำลังทำสิ่งใด?"เฉิงซินทันเข้ามาเห็น นางวางถาดอาหารลงหาได้เร่งร้อนใด ทว่าเพียงไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายแตะต้องของตนสะเปะสะปะเท่านั้น"นี่ของเจ้าหรือ"เว่ยจวินอี้หรี่นัยน์ตามองอย่างคลางแคลงใจ"ของข้าเอง ท่านมีปัญหาที่ตรงใด"เว่ยจวินอี้หน้ากระตุกหนึ่งครา ทว่าเรื่องนี้ยังต้องได้รับการตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อน เขาจึงยิ้มกลบเกลื่อน"เปล่า ก็ดี...มีเอาไว้ป้องกันตัว แต่ดูเหมือนเจ้าจะไว้ป้องกันตัวเองจากสามีเสียมากกว่า"เฉิงซินขึงตามอง "แน่นอน คนเช่นท่านมันปีศาจจิ้งจอกกลับชาติมาเกิด"เว่ยจวินอี้แค่นยิ้มในลำคอ เฉิงซินนั่งขนาบข้างพลางยกถ้วยโจ๊กร้อน ๆ ขึ้นมา นางยื่นให้อีกฝ่ายส่ง ๆ เว่ยจวินอี้มองสิ่งที่อยู่ในถ้วย"นี่คือ""ท่านไม่รู้จักโจ๊กหรือ""ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าเจ็บแผลยิ่งนักเจ้าจะป้อนข้าไม่ได้เชียวหรือ""ท่าน!...บาดแผลเล็กน้อยมิได้พิกลพิการเสียหน่อย" เฉิงซินอยากเหลียวหน้าต่อว่าอีกสักหนึ่งกระบุง ทว่าเมื่อสบดวงตาที่แสร้งบ่งบอกว่าตนช่างเจ็บเหลือทน นางก็ได้แต่ทอดถอนใจแล้ว มือเจ้ากรรมจึงยื่นหยิบเอาช้อนที่มีโจ๊กอยู่เกือบล้นป้อนเข้าไปยังริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้"ทานข้าวทานยาเสร็จแล้วท่า
และวันที่เว่ยจวินอี้บอกนางจะกลับมาเอาคำตอบล้วนไม่เป็นเช่นนั้น หลังจากได้รับราชโองการเว่ยจวินอี้ก็รุดออกจากจวนสวมชุดเครื่องแบบครบครันมุ่งหน้าจากไปไม่ทันกล่าวคำใดด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วเกิดสงครามยังแถบชายแดน บาดแผลของเว่ยจวินอี้ยังไม่สมานกันดีทว่ากลับต้องออกไปรบทัพจับศึกเสียแล้วเฉิงซินรู้สึกเป็นกังวลใจทว่ายังรักษาอาการเยือกนิ่ง รอคอยอย่างมีหวัง เวลาผันผ่านไปหนึ่งวันก็แล้ว หนึ่งสัปดาห์ก็แล้ว ทั้งจวนล้วนไม่ได้รับข่าวคราวของแม่ทัพเว่ยเลย เฉิงซินรู้สึกร้อนใจยิ่งนัก นางก็ยังคงเฝ้ารอต่อไป จวบจนล่วงเลยไปถึงสองเดือน นางจึงได้รับข่าวของเขาตัวหนังสือที่ปรากฏเบื้องหน้าของนางแจ้งเอาไว้ว่าแม่ทัพเว่ยจวินอี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสงคราม ยามนี้สงครามสงบแล้ว แต่ดูเหมือนแม่ทัพเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงไปชั่วชีวิต นางไม่เข้าใจความหมายที่ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลง นี่มันคือสิ่งใดกัน หัวใจของนางบีบรัดเสียจนเจ็บแปลบเสียงรถม้าดังขึ้นที่หน้าจวน เฉิงซินจึงรีบวิ่งรี่ออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวลระคนดีใจ ดังคาดเมื่อผู้ที่โจวหมิงประคองอยู่ก็คือเว่ยจวินอี้ ทว่าแม่ทัพเว่ยผู้นี้กลับมีผ้าสีดำหม่นคาดปิดดวงตาทั้งสองข้างเอาไว้ เฉิงซ
รุ่งเช้าโจวหมิงจึงเตรียมรถม้าเพื่อรอส่งเฉิงซินกลับจวนสกุลเฉิง นางเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบ ๆ ทันได้สวนกับคุณหนูช่ายจี้ถง อีกฝ่ายคงมาเยี่ยมเยียนแม่ทัพเว่ยดั่งที่นางคะเนไว้ เช่นนั้นเฉิงซินก็คงไม่ได้มีประโยชน์ใดแล้วจริง ๆ"พี่หญิง นี่ท่านกำลังไปที่ใดหรือ"เฉิงซินไม่ได้ตอบสิ่งใด นางเพียงยิ้มกลับด้วยสีหน้าอิดโรย ทว่าผู้ตอบก็คือโจวหมิง"ฮู...เอ่อ...คุณหนูเฉิงซินกำลังจะกลับจวนสกุลเฉิงขอรับ""คุณหนูเฉิงซินเช่นนั้นหรือ อย่าบอกว่าท่านกับท่านพี่..." ช่ายจี้ถงกล่าวพลางแย้มยิ้มหน้าบาน"ตามที่ท่านได้ยิน ขอลาแล้วคุณหนูจี้ถง" เฉิงซินค้อมศีรษะลงและสาวเท้าขึ้นรถม้าอย่างไม่รีรอรถม้าแล่นออกจากจวนแม่ทัพเว่ยแล้ว ผู้ป่วยยังคงนอนราวหมดอาลัยตายอยากอยู่ในห้อง บ่าวไพร่ร้องไห้ระงม ทว่าบางคนกลับกล่าววาจาแดดันนางว่าพอแม่ทัพตกที่นั่งลำบากก็ดันทอดทิ้ง ที่เสียใจหนักสุดคงเป็นเผิงหลินและหลี่อ้ายซี ทั้งสองกอดกันร่ำไห้ ไม่คิดว่านายหญิงของตนจะเลือกจากไปทั้งเช่นนี้จริง ๆ นางไม่เชื่อว่าเฉิงซินจะเป็นคนเช่นนั้น ที่เฉิงซินทำไปจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอนคุณหนูช่ายจี้ถงเดินอาด ๆ เข้ามาในจวนแม่ทัพด้วยใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ทว่าเหลียว
"เฉิงซินเจ้ากำลังคิดทำสิ่งใด" เสียงทุ้มกล่าวด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง"เฉิงฮุย ท่านพาข้าไปพบอาจารย์ได้หรือไม่""เหตุใดจึงอยากไปพบอาจารย์ เพราะเขาหรือ" เสวียนเฉิงฮุยกล่าวอย่างไม่เข้าใจนัก ทั้งที่เฉิงซินมักบอกกับตนเสมอว่าต้องการออกห่างแม่ทัพเว่ย แต่ดูเหมือนการกระทำของเฉิงซินล้วนตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เขาก็ทำได้เพียงทอดถอนใจแล้ว ต่อให้โลกใบนี้เหลือเพียงเสวียนเฉิงฮุยและเฉิงซินอย่างไรเขาก็คงได้เคียงข้างอีกฝ่ายในฐานะสหายเท่านั้นสินะเฉิงซินพยักหน้าหงึกหงัก เสวียนเฉิงฮุยจึงถามกลับไม่เต็มปากนัก "เช่นนั้นเอ่อ...เจ้า หย่ากับเขาแล้วหรือ"เฉิงซินไม่ตอบ นางเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น เขารับรู้ถึงความสั่นคลอนของไหล่บาง นางกำลังร้องไห้และข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้จนถึงที่สุด เสวียนเฉิงฮุยตื่นตระหนก เขาจึงดึงเฉิงซินเข้ามาสวมกอดแผ่วเบา"เอาล่ะ ไม่ต้องร้องแล้ว เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปพบท่านอาจารย์ แล้วนี่เจ้าไม่กลับจวนก่อนหรือ" ฝ่ามือของเขายังคงลูบไล้ศีรษะและปลอบประโลมเฉิงซินอยู่เช่นนั้นเฉิงซินที่น้ำหูน้ำตาไหลเปรอะเปื้อนอาภรณ์สีเข้มเนื้อดีพลางส่ายหน้าไปมา กล่าวอู้อี้แนบอกแกร่ง "ท่านอย่าบอกท่านพ่อข้านะ ได้หรือไม่
หนึ่งชายชราหนึ่งสตรีจึงสาวเท้าเข้าไปด้านใน หญิงสาวเขม้นสายตามองก็พบเว่ยจวินอี้นอนทอดกายสูงยาวไม่หือไม่อือใด เขาทำราวทุกอย่างกลายเป็นอากาศธาตุไปเสียอย่างนั้น พลางพ่นลมหายใจเหนื่อยอ่อน"ดวงตาของข้า สามารถรักษาได้จริง ๆ น่ะหรือ ให้พวกท่านเป็นหมอรายสุดท้ายก็แล้วกัน หากไม่ได้ก็ช่างมันเถิด""นั่นก็ไม่แน่ขอรับ"ทั้งสองสาวเท้าเข้าไปใกล้ผู้ที่นอนราวหมดอาลัยตายอยากบนเตียงขนาดกว้าง ทันทีที่เห็นหน้าแม่ทัพเว่ย สตรีนางนั้นก็พลอยชะงักค้างชั่วครู่ ฉับพลันจึงเรียกสติของตนกลับ และเยื้องย่างต่อ เหงื่อกาฬผุดพราวจนซึมฝ่ามือหมอชราแนบปลายนิ้วสัมผัสท้องแขนเพื่อตรวจวัดชีพจรให้เขา "นะ...นี่มัน พิษหรือนี่""หืม...พิษหรือ ตั้งแต่หมอมารักษาข้า ไม่เห็นผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องพิษสักราย" เว่ยจวินอี้เหลียวหน้ามายังทิศของเสียงทั้งที่ยังมีผ้าคาดปิดดวงตาอยู่เช่นนั้นใจของหญิงสาวหล่นวูบเมื่อใบหน้าคมสันเหลียวมายังทิศของตน ถึงดวงตาเขายังถูกบดบังทว่ากลับยังคงกลิ่นอายน่าเกรงขาม ลมหายใจของนางหอบกระชั้นติดขัด เท้าเรียวถอยร่นไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ"อี้เหวิน เป็นไรไปเล่า มานี่มาเจ้ามาฝังเข็มให้ท่านแม่ทัพ อีกเดี๋ยวข้าจะเขียนเทียบยาสั
โคมไฟดวงกลมห้อยระย้าสีแดงสาดสะท้อนประดับประดาเต็มรายทางและบ้านเรือน บรรยากาศดูละเมียดละไมอบอุ่น บุหลันสีนวลตาเปล่งลำแสง รอบด้านโอบล้อมด้วยดวงดาวพราวระยับ วันนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ท้องถนนเบื้องหน้าจึงแลดูครึกครื้นเป็นพิเศษ หนึ่งสตรีร่างบางทว่าโอบประคองท้องกลมสวยเดินเคียงคู่บุรุษร่างสูง ราวกับภาพบนผนังลายวิจิตรเลิศตา"ท่านพี่ ดูนั่นสิเจ้าคะ"เว่ยจวินอี้ทอดสายตามองตามปลายนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังขนมไหว้พระจันทร์ลวดลายดอกไม้งามตา เขาคลี่ยิ้มอ่อนอย่างนึกเอ็นดู ตอนนี้มือทั้งสองของเขาแทบไม่เหลือที่ว่างให้สามารถหอบหิ้วสิ่งใดได้แล้ว"เจ้าอยากกินหรือ ที่ซื้อไปนี่เจ้าว่าจะทานหมดหรือไม่" เสียงทุ้มเอ่ยอบอุ่นเฉิงซินยู่หน้าเล็กน้อย "ข้าไม่ได้หิวเสียหน่อย เป็นเจ้าตัวเล็กต่างหากเล่าเจ้าคะที่กำลังหิวอยู่" เฉิงซินลูบไล้ไปยังท้องของตนซึ่งยื่นออกมากลมดิก พลางแหงนหน้ามองแล้วฉีกยิ้มกว้างให้ผู้เป็นสามี"ก็ได้ เช่นนั้นเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้เล่า อย่าเที่ยวเดินสุ่มสี่สุ่มห้า"เฉิงซินฉีกยิ้มกว้างดีใจ "เจ้าค่ะท่านพี่"เว่ยจวินอี้เดินเข้าไปยังร้านที่มีผู้คนต่อแถวกันให้เนืองแน่น แม้เขาจะมียศถาบรรดาศักดิ์แต่ก็มิได้ใช้
บรรยากาศภายในห้องสงบเงียบ แสงจากเชิงเทียนกลางโต๊ะกำลังส่องสว่างริบหรี่ เฉิงซินกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับบาดแผลบนต้นแขนของเว่ยจวินอี้ ส่วนเขาก็เอาแต่นั่งจ้องคนที่กำลังดูแลบาดแผลให้ตนอย่างขะมักเขม้น ด้วยดวงตาเป็นประกาย"เหตุใดเจ้าจึงอยากหย่ากับข้าเช่นนั้นหรือ" เว่ยจวินอี้กล่าวทำลายความเงียบสงัดเฉิงซินชะงักมือลงชั่วครู่ นางไม่ได้แหงนหน้ามองเขา เพียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาหวิว "ท่านเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือ"เว่ยจวินอี้ขมวดคิ้ว "รู้? ข้ารู้เรื่องใดเล่า หลังจากวันแต่งงานได้เพียงคืนเดียว ยามเช้าเจ้าก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามาจ้องจะหย่ากับข้าให้ได้"การดูแลรักษาบาดแผลสิ้นสุดลง เฉิงซินเก็บข้าวของเรียบร้อย นางไม่ได้ตอบอีกฝ่ายเดี๋ยวนั้น เว้นระยะเล็กน้อย แล้วจึงช้อนดวงตาขึ้นสบประสานกับดวงตาคมกริบที่ไม่คิดละสายตาออกจากตน"แม่ทัพเว่ย...""ท่านพี่"เฉิงซินนิ่งเงียบ เว่ยจวินอี้จึงกล่าวอีกครั้ง "เรียกว่าท่านพี่""เอ่อ...ท่านพี่"เว่ยจวินอี้ยกโค้งมุมปากอย่างพึงพอใจ "ว่าอย่างไรเล่า""ที่ข้าอยากหย่ากับท่าน เดิมทีท่านก็ไม่เคยมีใจให้แก่ข้า""เจ้ารู้ได้อย่างไร" เว่ยจวินอี้เลิกคิ้ว นัยน์ตาพยายามกวาดมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาราว
ไม่รู้เช่นกันว่าค่ำคืนนี้นางนึกอุตริใดจึงพกมีดสั้นเอาไว้ เมื่อเห็นว่ามันหายไปจากเอวของตนและด้วยความเป็นกังวลจะเกิดอันตรายต่อแม่ทัพ นางจึงมุ่งหน้าตามอีกฝ่ายมา แม้ระหว่างทางอาจไขว้เขวเส้นทางไปบ้าง ทว่าโชคยังดีที่การเดาสุ่มของนางก็นำพาตนมาจนถึงที่แห่งนี้เสวียนเฉิงฮุย "เฉิงซิน"เฉิงซินช้อนดวงตามองคนตรงข้ามที่ยืนนิ่งเป็นหินผาไปเสียแล้ว รองแม่ทัพเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "มิใช่ว่าเจ้าเคยบอกข้าว่าอยากหย่ากับเขา แต่เขาไม่ยอมเช่นนั้นหรือ ข้ากำลังช่วยเจ้าให้สมปรารถนา ทว่าเจ้าก็ยังวิ่งรี่กลับมาหาเขาตามเดิม ข้าไม่เข้าใจ""เฉิงฮุย นี่มันวิธีการใดของท่าน ข้าอยากหย่า แต่ท่านก็ไม่ต้องทำถึงเพียงนี้หรือไม่" เฉิงซินกล่าวตำหนิ"ข้าล้วนทำเพื่อเจ้า""ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ข้าขอร้องพวกท่านทั้งสอง ถึงอย่างไรท่านก็คือสหายของข้า ส่วนท่าน..." เฉิงซินแหงนหน้ามองผู้ที่ยืนนิ่งเงียบ เว่ยจวินอี้จึงจดจ้องดวงตาของนางตอบอย่างรอถ้อยคำเฉิงซินพ่นลมหายใจอ่อน "แม้ข้าอยากหย่ากับท่าน ทว่าในใจลึก ๆ ข้าไม่เคยลืมท่านได้เลย ข้าเพียงต้องการหลุดพ้นจากวงโคจรแห่งความเจ็บปวด..."เว่ยจวินอี้นิ่วหน้า "ข้าทำให้เจ้าเจ็บปวดถึงเพียงนั้นเช
ภายในป่าอันเงียบสงัดมีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไร ดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ เว่ยจวินอี้ไล่ตามชายชุดดำจนลึกเข้ามาถึงป่าไผ่สูงชะลูด เขายืนเยือกนิ่งอยู่กลางวงล้อมของบรรดาไผ่ต้นยาว เสียงเอี๊ยดอ๊าดเสียดสีของลำต้นโงนเงนไปมาตามแรงลม เสริมความวังเวงให้น่าหดหู่มากยิ่งขึ้น เว่ยจวินอี้หอบหายใจเข้าออกถี่กระชั้น บ่งบอกถึงระยะทางที่เขาใช้แรงกายวิ่งออกมาไกลลิบ เส้นผมซึ่งถูกปล่อยสยายลงกลางหลัง และแขนเสื้อสีขาวกว้างปลิวล้อสายลมยามราตรีขับเน้นความหล่อเหลาทว่าน่าเกรงขามอยู่ในที เขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวอย่างใจจดใจจ่อ"มัวหลบซ่อนราวสุนัขหดหัว ไม่อายบ้างหรืออย่างไร ออกมาเสีย!"เวลาผ่านไปชั่วครู่ เสียงฝีเท้าจึงค่อย ๆ ย่างกรายเนิบนาบมาจากมุมอับสายตาอันมืดมิดด้านหนึ่ง ชายร่างสูงสวมอาภรณ์ทะมัดทะแมงสีดำเข้ม ปกปิดหน้าครึ่งใบ ในมือถือมีดสั้นเล่มหนึ่ง เว่ยจวินอี้เขม้นมองของสิ่งนั้นอย่างสนใจใคร่รู้"เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรจากข้าเช่นนั้นหรือ ไฉนจึงตามระรานไม่เลิก"เว่ยจวินอี้ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะจากลำคอของอีกฝ่าย "เรื่องนั้นสำคัญด้วยเช่นนั้นหรือ""หึ" เว่ยจวินอี้แค่นยิ้ม "ต่อให้เจ้าไม่บอกคิดว่าข้าไม่รู้เช่
ซุนอี้เหวินยื่นช้อนจ่อไปยังริมฝีปากเว่ยจวินอี้ นางรู้สึกประหม่าจิตใจเต้นอึกทึก ดวงตาที่ไม่มีผ้าคาดปกปิดมานานเพียงนี้ราวกับว่าเขากำลังจดจ้องมาที่นางโดยไม่ละสายตา กลิ่นขมของยาโชยปะทะโพรงจมูกของเขา เว่ยจวินอี้รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องกลืนของเหลวรสย่ำแย่นี้แล้วจริง ๆ"ข้าไม่กินยาแล้วได้หรือไม่"ซุนอี้เหวินไม่ได้คะยั้นคะยอใด นางวางถ้วยลงและยื่นมือไปยังข้อมือของเว่ยจวินอี้ เขารู้เจตนาของนางดีว่าต้องการทำสิ่งใด เว่ยจวินอี้ยังคงนั่งสงบนิ่งเพื่อให้อีกฝ่ายตรวจวัดชีพจรของตนอย่างใจเย็น ซุนอี้เหวินขมวดคิ้ว หัวใจของนางเริ่มเต้นดังโครมคราม เหงื่อเย็นผุดพราวราวพบเจอเรื่องน่าประหวั่นเข้าให้เสียแล้ว ก่อนจะทันได้ผละออก จู่ ๆ ข้อมือของนางก็ตึงวืด กายลอยหวือนั่งแหมะลงบนตักแกร่ง ใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยผ้าแพรผืนบางถูกดึงลงแทบลืมหายใจ ซุนอี้เหวินเบิกตากว้างตะลึงลาน ส่วนผู้กระทำการอุกอาจกลับยิ้มลอยหน้าลอยตาไม่อนาทรร้อนใจใด"ซุนอี้เหวิน อา...ไม่ใช่กระมัง เฉิงซิน… หากเจ้าเป็นห่วงข้าก็ควรบอกเป็นห่วง ไฉนต้องทำถึงเพียงนี้กันเล่า"ผู้ที่ถูกจับได้ถึงกับใจเต้นกระหน่ำเรือนกายแข็งดั่งรูปสลักหินผาอยู่เช่นนั้น ริมฝีปากซึ่งไม
"หลายวันนี้ลำบากท่านแล้ว อากาศเช่นนี้ท่านชอบหรือไม่"ซุนอี้เหวินพยักหน้า"ข้าขอถามท่านหมอหนึ่งสิ่งได้หรือไม่"นางแหงนหน้าขึ้นมองคนตัวสูง ครุ่นคิด แล้วจึงพยักหน้าเป็นการตกลง"ท่านมีสามีแล้วหรือไม่"ดั่งอสนีบาตฟาดกลางกระหม่อม ซุนอี้เหวินยืนตัวแข็งทื่อหยุดฝีเท้าลงเดี๋ยวนั้น'สามีหรือ เกรงว่าสามีของนางคงไม่ยอมรับนางเป็นภรรยากระมัง'ซุนอี้เหวินจึงตัดสินใจยกฝ่ามืออีกฝ่ายขึ้นและเขียนบางสิ่ง'เหตุใดท่านจึงต้องการรู้เล่า'เว่ยจวินอี้คลี่ยิ้มบาง "ท่านไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าจะเล่านิทานให้ท่านฟัง"ซุนอี้เหวินกะพริบดวงตางุนงง"ครั้งหนึ่งมีนายทหารและคุณหนูตระกูลใหญ่อยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา ทั้งสองดูเหมือนรักใคร่กันดี แต่ที่จริงแล้วคุณหนูผู้นี้ต้องการหย่ากับเขายิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่นางก็ชมชอบเขา ทว่าสาเหตุที่นางต้องการหย่านายทหารผู้นั้นก็สุดจะรู้ วันหนึ่งเขาต้องออกไปรบรายังชายแดน เมื่อกลับมาก็พบว่าตนดั่งผู้พิกลพิการ ดวงตามืดบอดไม่อาจมองเห็นใบหน้าอันงดงามของภรรยาตนได้อีกต่อไป เขาไม่อยากให้คุณหนูผู้เป็นภรรยาที่รักต้องลำบากและจมปลักไร้อนาคต จึงตัดสินใจเขียนใบหย่ายื่นให้นาง หลังจากนั้นท่านว่านาง
เวลาล่วงเลยมาได้หนึ่งสัปดาห์ดวงตาของเว่ยจวินอี้กลับไม่ดีขึ้นเลย นางพร่ำถามเขาเสมอว่ามองเห็นบ้างหรือไม่ เขากลับตอบว่ายังมองไม่เห็น ทั้งที่นางตรวจวัดชีพจรของเขาแล้วดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติเกือบทั้งหมด อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมองเห็นบ้างเลือนราง ทว่าคำตอบที่ได้แต่ละวันข้ามองยังไม่เห็นนางก็ทำได้เพียงทอดถอนใจก้มหน้าทำหน้าที่ของตนต่อไปทั้งที่คลางแคลงใจแต่ไม่อาจละทิ้งผู้ป่วย"ท่านแม่ทัพมีเทียบเชิญไปงานวิวาห์คุณหนูจี้ถงขอรับ" โจวหมิงเดินรี่เข้ามา พลางยื่นเทียบงานแต่งให้กับเว่ยจวินอี้ซุนอี้เหวินที่อยู่ตรงนั้นด้วยได้ยินเข้าก็แอบสะดุ้ง พลางแปลกใจพิกล'มิใช่ว่าคุณหนูจี้ถงอยากแต่งงานกับแม่ทัพหรอกหรือ'เว่ยจวินอี้เอ่ยราวกับรู้ใจนาง "จี้ถงจะแต่งงานแล้วหรือ เฮ้อ...นี่สิหนา ผู้ใดเขาจะอยากจมปลักอยู่กับแม่ทัพตาบอดเช่นข้ากันเล่า แม้แต่ฮูหยินของข้ายังหนีไปแล้วเช่นกัน"ซุนอี้เหวินหน้าเผือดสีลง ทว่านางยังคงทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งเหล่านั้น ปล่อยผ่านเลยไปเช่นเสียงหวีดหวิวของลมพัด"ท่านจะไปหรือไม่ขอรับ" โจวหมิงเอ่ยถามเขาเหลียวหน้ามองไปตามเสียง เว่ยจวินอี้ฉีกยิ้มดูเบิกบานใจเสียด้วยซ้ำ "ข้าย่อมต้องไปอยู่แล้ว"จู่ ๆ
ด้วยองศาที่ต้องเอียงมองเบื้องหลัง จึงทำให้ใบหน้าของนางแนบชิดเว่ยจวินอี้ยิ่งนัก ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดเข้ามาเสียจนขนอ่อนลุกเกรียว ไม่รู้ว่าซุนอี้เหวินหูฝาดไปเองหรือไม่ นางได้ยินเสียงหัวเราะหึซึ่งอีกฝ่ายมักขบขันตนเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้จิตใจของนางกระสับกระส่ายมากยิ่งกว่าเดิมนัก อกด้านซ้ายพลอยกระหน่ำโลดเสียจนแทบหยุดเต้น"แกะไม่ได้หรือ"จู่ ๆ เสียงทุ้มก็ดังขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย ซุนอี้เหวินสะดุ้งตัวโยน เว่ยจวินอี้รับรู้ถึงแรงกระตุกน้อย ๆ นั้น "ขออภัยท่านหมอ ไฉนขวัญอ่อนเพียงนี้เล่า"'ใครให้อยู่ ๆ อยากพูดก็พูด อยากเงียบก็เงียบเล่า'นางอยากออกจากห้องนี้โดยเร็วเหลือเกิน รู้สึกอึดอัดจนแทบหยุดหายใจลงไปเดี๋ยวนั้น ในที่สุดผ้าที่พยายามยื้อยุดแกะคลายมานานก็ถูกปลดลงเสียที ซุนอี้เหวินระบายลมหายใจโล่งอก นางค่อย ๆ ถอยห่างจากอีกฝ่ายช้า ๆ หัวใจเต้นอึกทึกด้วยความประหม่า'ซุนอี้เหวิน อย่าได้กลัวไป เขายังไม่หายวันหายพรุ่งหรอกน่า'นางพยายามปลอบประโลมตนเองทั้งที่ใบหน้าซีดขาวลงไปกว่าครึ่งแล้ว แม้นางสามารถรักษาคนได้ก็จริง ทว่านางห่างหายเรื่องการรักษามานานมากโข นาน ๆ ทีจะได้ไปหาอาจารย์ คาดไม่ถึงว่าต้องมาคอยดูแ
ม่านหมอกแห่งราตรีกาลคลี่คลุมลงมาบดบังแสงจากดวงตะวัน คืนนี้ช่างหนาวเย็นยิ่งนัก วันนี้ซุนอี้เหวินต้องเตรียมปลดผ้าคาดดวงตาให้กับเว่ยจวินอี้ นางแอบหวั่นใจอยู่บ้าง จุดประสงค์ของนางต้องการรักษาดวงตาแม่ทัพให้หายดีก็จริงอยู่ แต่ทว่าหากดวงตาของเขาหายแล้วนางควรทำเช่นไรต่อไปเล่า เพราะนางก็มีบางสิ่งที่กำลังซ่อนเร้นคนผู้นี้เช่นเดียวกัน หากวันนั้นมาถึงนางคงต้องรีบตะบึงกลับออกไปเดี๋ยวนั้นกระมัง เดินครุ่นคิดไปตลอดทางซุนอี้เหวินพลันมาหยุดยืนที่เบื้องหน้าห้องของเว่ยจวินอี้เมื่อใดก็สุดจะรู้ ฝ่ามือผุดซึมไปด้วยเหงื่อเย็น ข้างในช่างเงียบสงัด หรือว่าแม่ทัพเว่ยนั้นหลับไปแล้ว วันนี้ควรเลื่อนออกไปก่อนดีไหมเล่า ซุนอี้เหวินตัดสินใจหมุนกายตั้งท่าก้าวห่างออกไปราวกับที่แห่งนี้ไม่สมควรรั้งอยู่นาน ทว่าเสียงทุ้มจากด้านในกลับดังแทรกขึ้นเสียก่อน"ท่านหมอ มาแล้วเหตุใดยังยืนอยู่ตรงนั้นเล่า"ซุนอี้เหวินตัวแข็งค้างนางหยุดฝีเท้าลงฉับ พลางกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากลำบนดั่งผู้ทานอาหารแล้วพบเมนูไม่ถูกปาก แขนขาสั่นเทาโดยไร้สาเหตุ เวลาชั่วประเดี๋ยว คนด้านในคงไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหว เขาจึงเอ่ยออกมาอีกครา"หรือท่านกริ่งเกรงต่อสถาน