นัยน์ตาหวานหยาดเยิ้มมองตามเขาอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อเห็นว่าฉินอ๋องเองก็ปรายสายตามาทางนี้ นางรู้สึกเหมือนถูกจับได้จึงหลุบเปลือกตาลงไม่กล้าสบนัยน์ตาคมปลาบนั่นอีกบุรุษผู้สง่างามนั่งลงประจำที่ ทว่ารังสีกดดันอันเย็นเยียบที่เคยมีกลับจางหายไปจนสิ้นมู่เลี่ยงหรงเผยรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก ท่าทางอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย บรรดาขุนนางต่างพากันงวยงงกับท่าทีผิดปกติของฉินอ๋องผู้เคร่งขรึม บางคนถึงกับขอบคุณสวรรค์ บ้างก็อธิษฐานให้เขาเป็นแบบนี้ตลอดไป พวกตนจะได้หายอกสั่นขวัญแขวนเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้แทนพระองค์ที่แสนจะเย็นชาและเข้มงวดผู้นี้เยี่ยนเยว่ฉีพลันหัวใจเต้นระรัวใบหน้าร้อนผ่าวราวกับต้องพิษไข้เมื่อคิดถึงจุมพิตเร่าร้อนที่เขามอบให้เมื่อครู่ทุกอากัปกิริยาของบุตรสาวแม่ทัพอยู่ในสายตาของถางซือเซียนทั้งหมด สาวน้อยหันหน้าไปทางมู่เลี่ยงหรงอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าเขาไม่ได้มองมาทางนี้อีกแล้ว ก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเฮือกหนึ่งเห็นเยี่ยนเยว่ฉีมองตามฉินอ๋องไม่วางตา ถางซือเซียนจึงอธิบายว่าผู้ที่เพิ่งเข้ามาคือใคร “ท่านผู้นั้นคือฉินอ๋อง พระอนุชาของฮ่องเต้ คุณหนูเยี่ยนคงเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านอ๋องมาบ้
แต่ชายผู้นั้นไม่ได้มีใจเดียว ไม่มีทางรักนางอย่างลึกซึ้ง ทั้งหมดที่เกิดขึ้นคงเป็นเพราะพึงใจในความงามเพียงฉาบฉวยมีคำกล่าวที่ว่า ภรรยาเอกควรค่าแก่การยกย่อง ส่วนผู้ที่ได้ความรักล้วนเป็นอนุโฉมงามใช่สิ ฉินอ๋องแค่เล่นเล่ห์ให้นางใช้ร่างกายแลกกับโทษตาย ส่วนตำแหน่งฉินหวางเฟย ที่บอกว่ายอมยกให้คงเป็นเพราะเห็นแก่หน้าท่านพ่อก็เท่านั้น‘ข้าช่างโง่งมเหลือเกิน’เยี่ยนเยว่ฉีไม่มีแก่ใจจะสนทนาอะไรกับถางซือเซียนอีก ได้แต่ก้มหน้ามองขลุ่ยหยกในมือข้างซ้ายนิ้วเรียวยาวลูบไปบนผิวของตี๋จื่อ[1]ที่ถูกบุรุษผู้นั้นผิวผ่าน เขาบรรเลงเพลงรักนกยวนยางให้นางฟัง ทั้งหมดเป็นเพียงการกระทำของชายเจ้าชู้ ไม่ได้มีความจริงใจอะไรทั้งสิ้น ทว่านางกลับหลงชื่นชมเขาจนเกือบมอบใจให้ช่างน่าอดสูเหลือเกินก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา นางกำนัลผู้หนึ่งก็เข้ามาขัดจังหวะห้วงคิดของเยี่ยนเยว่ฉี“คุณหนูเยี่ยน ได้โปรดตามข้าน้อยไปรอแสดงที่ด้านหลังด้วยเจ้าค่ะ”“ได้” นางตอบสั้น ๆ แล้วรีบลุกออกจากตรงนั้นในทันที ไม่แม้แต่จะร่ำลาถางซือเซียนสักคำเยี่ยนเยว่ฉียังคงเจ็บแปลบในอก ทั้งว้าวุ่นสับสนระคนปวดร้าว หยาดน้ำตาคลอเบ้าจนเกือบจะไหลออกมา เพียงแค่คิดว่ามู่เลี
เยี่ยนเยว่ฉีนึกถึงสิ่งที่ได้ฟังจากถางซือเซียนก่อนหน้านี้ น้องสาวของอัครเสนาบดีบอกว่าท่านอ๋องมิได้ชอบสตรีผู้นี้แต่อย่างใด นางเป็นแค่เพียงหนึ่งในบรรดาหญิงสาวที่ชื่นชอบเขาเท่านั้น หากเป็นท่านหญิงจวนจ้าวอ๋องจริง ๆ แล้วละก็ นางย่อมมีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของมู่เลี่ยงหรง การเรียกเขาว่าเกอเกอก็ไม่ใช่เรื่องแปลกทว่ายามนี้ทุกอย่างก็เป็นเพียงสิ่งที่ตนคาดเดาไปเองทั้งสิ้นเยี่ยนเยว่ฉียังคงวิตกกังวลในเรื่องที่ยังคงคลุมเครือ นางเริ่มไม่มั่นใจว่าควรจะรีบแต่งงานกับชายมากภรรยาและมีชะตาดอกท้อผู้นี้หรือไม่หากเป็นไปได้ นางก็อยากจะเลื่อนเวลาออกไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน อย่างน้อยฉินอ๋องก็ควรจะพิสูจน์ตนเองว่าชอบนางด้วยใจจริง มิใช่เห็นนางเป็นเพียงแค่บุปฝาที่อยากจะเก็บเอาไว้ดอมดมจนเบื่อหน่ายแล้วทิ้งขว้าง แต่จะทำเช่นไรในเมื่อฉินอ๋องกำลังจะขอพระราชทานสมรสในวันนี้แล้วระหว่างเยี่ยนเยว่ฉีอยู่ในห้วงความคิด ขันทีน้อยก็ตะโกนขานชื่อการแสดงชุดถัดไป“การแสดงชุดระบำเทพธิดาดวงจันทร์ จากจวนจ้าวอ๋อง ท่านหญิงกุ้ยอินแสดง”สิ้นคำขันทีน้อย เสียงดนตรีก็แว่วดังกังวานขึ้น เครื่องดนตรีหลากหลายสอดประสาน ส่งเสียงประกอบกันเป็นจังหวะสำหรั
“ข้าอุตส่าห์ฟังเฉย ๆ ไม่ได้เข้าไปขัดขวางการสานสัมพันธ์ของพวกเจ้าสักนิด แต่ว่าที่น้องเขยผู้นี้ไม่ซึ้งใจยังไม่พอ กลับหมายจะฆ่าข้าให้ตาย ดูสิผมของข้าขาดหมดแล้ว อภัยให้ไม่ได้! เห็นทีพวกเราต้องสั่งสอนเขาเสียหน่อย จะได้ลดความหยิ่งผยอง ต่อไปจะได้เกรี้ยวกราดน้อยลงบ้าง”“พี่รอง ทะ...ท่านคิดจะทำสิ่งใด ขะ...ข้า...” นางอดหวาดหวั่นไม่ได้ เมื่อตอนอยู่เมืองหานจี คนที่ล่วงเกินเขามีอันต้องพบกับหายนะทุกรายไป“อะไรกัน เพียงประเดี๋ยวเดียว เจ้าก็รักคนอื่นมากกว่าข้าเสียแล้วหรือ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ข้าแค่จะทำให้เขาทรมานใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง”“ทรมานใจ” เยี่ยนเยว่ฉีกระพริบตาปริบ ๆ มองพี่ชายคนรองอย่างหาคำตอบ“ข้าแค่จะไม่ให้เขาสมหวังเร็วไปนัก อีกทั้งหากทำตามแผนนี้ก็จะดีกับตัวเจ้าด้วยนะฉีเอ๋อร์”“ดีกับข้า?”“ในภายภาคหน้านิสัยเสียของฉินอ๋องจะทำให้น้องพี่ประสบความยากลำบาก เช่นนั้นเราต้องรีบจัดการตัดไฟแต่ต้นลมเสียตั้งแต่ตอนนี้”“ความคิดของพี่รองประเสริฐยิ่ง แต่จะติดก็ตรงที่ท่านอ๋องไม่มีทางทรมานใจเพราะฉีเอ๋อร์แน่ ๆ”“ฉินอ๋องต้องปวดใจแน่นอน เพราะเขาคือเนื้อคู่ของเจ้ายังไงล่ะ”“ถึงสวรรค์จะลิขิตให้ฉีเอ๋อร์แต่
ต่อเนื่องการแสดงฉิน[1] ของคุณหนูหลิวชิงกำลังสร้างความเพลิดเพลินให้กับแขกเหรื่อ เยี่ยนจิ้นหลิงที่กลับมานั่งประจำที่ของตนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมู่เลี่ยงหรงเห็นจิ้งจอกหนุ่มเดินกลับเข้ามา ก็ทำเพียงปรายตามองแว่บหนึ่ง แล้วหันไปให้ความสนใจและสนทนาอย่างออกรสกับเจ้ากรมอาญาที่แวะมาคารวะสุราบุตรเขยอย่างเขาเยี่ยนจิ้นหลิงลอบเหยียดปากเล็กน้อย เฝ้ารอคอยเวลาที่ฉินอ๋องจะยิ้มไม่ออกมาถึง ตอนนี้ตนเองจะปล่อยให้อีกฝ่ายมีความสุขไปก่อนเมื่อเห็นน้องชายครุ่นคิด ซ้ำยังเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จนถึงดวงตา เยี่ยนหยางจงก็อดสังหรณ์ใจไม่ได้ แม้น้องชายคนนี้จะไม่ชอบการนองเลือด แต่ก็มีนิสัยเสียติดตัวคือขี้แกล้งและชอบอาฆาต หากเขาไม่พอใจผู้ใดก็มักจะหาทางให้คนผู้นั้นพบความหายนะหลายรูปแบบ มีตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องใหญ่โต ยังดีที่พ่อจิ้งจอกสีเงินตัวร้ายไม่ชอบสังหารผู้คนส่งเดช มิเช่นนั้นเขากับท่านพ่อคงได้ปวดหัวหนักกว่านี้ระหว่างนั้นทุกคนต่างทานอาหาร ดื่มสุรา และชมการแสดงต่อไปอย่างสำเริงสำราญ จนการแสดงฉินของคุณหนูหลิวชิงจบลง ฮ่องเต้ทรงพระราชทานรางวัลอีกเช่นเคย และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขันทีน้อยคนเดิมก็ขานชื่อการแสดงช
“มีอะไรไม่ดีหรือ” มู่เลี่ยงหรงตกประหม่าเล็กน้อย ไม่ทราบว่าตนพลาดที่ตรงไหน ฝีมือพิณของเขาก็ไม่เคยมีผู้ใดกังขา เมื่อครู่เขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพึงใจนาง ให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ยังไม่เพียงพอให้ประทับใจหรืออย่างไร“ท่านอ๋องคงลืมแล้วกระมังว่า ‘หงส์วอนหาคู่’ นั้นแต่งโดยผู้ใด สุดท้ายแล้วสตรีที่เขากล่าวถึงในบทเพลงก็ต้องชอกช้ำกายใจ จนต้องแต่ง ‘ลำนำผมขาว’ตอบแทนให้กับความรักอันจอมปลอม” เยี่ยนเยว่ฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นัยน์ตาพร่าเลือนไปด้วยไอหมอก ไม่เหลือท่าทีเอียงอายเคลิบเคลิ้มเหมือนดั่งตอนอยู่ในถ้ำใต้น้ำตกจำลองความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วกอปรกับคำตอบทำให้มู่เลี่ยงหรงรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยมือที่มองไม่เห็น ชายหนุ่มรู้สึกชาที่หัวใจ แต่ก็ยังคงรักษาท่าทีเยือกเย็นเอาไว้“คิดมากไปแล้ว หากเจ้าไม่ชอบเพลงนี้ วันหน้าข้าจะเล่นเพลงอื่นให้ฟังก็ได้ เราสองคนยังมีเวลาอีกทั้งชีวิต” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลก ๆ ที่กำลังก่อตัว เขาเอื้อนเอ่ยถ้อยคำแสดงเจตจำนงว่าจะอยู่กับนางไปชั่วนิรันดร์ เพื่อย้ำเตือนเรื่องคำสัญญาเยี่ยนเยว่ฉีมิได้ตอบอันใดอีก ยังคงยืนด้วยท่าทีสงบนิ่ง อมยิ้มน้อย ๆ รอคอ
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมตรวจดวงชะตาน้องเล็กเมื่อสักครู่ เห็นว่ายังไม่มีฤกษ์ดีในเร็ววันนี้ หากฝืนแต่งงานเกรงว่าดวงชะตาของราชวงศ์จะถูกกระทบไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“เยี่ยนจิ้นหลิงอย่าคิดว่าข้าฉินอ๋องมิรู้ความ” มู่เลี่ยงหรงส่งสายตาที่ลุกโชนด้วยโทสะไปทางกุนชือหนุ่ม เขามั่นใจว่าชายผู้นี้กำลังขัดขวางเขาด้วยเหตุส่วนตัว“กระหม่อมมิกล้าเอาเรื่องดวงชะตาบ้านเมืองมาล้อเล่น ยามนี้เยี่ยนเยว่ฉีต้องชะตาดาวราหู ต้องรอจนเงาร้ายจางหายเสียก่อนจึงจะแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ได้”“ข้าไม่เชื่อถือเจ้า” มู่เลี่ยงหรงแทบจะคำรามออกมา ดีที่เขายังรู้สติว่าที่นี่คือวังหลวง“ชื่อเสียงของกระหม่อมคงไม่พอให้ท่านอ๋องไว้วางพระทัย เรื่องนี้ไม่มีอันใดยาก ลองให้ใต้เท้าจ้งซุนตรวจชะตาของนางดูก็รู้ความแล้ว”“ไม่ต้อง!” ฮ่องเต้มู่เหวินหรงประกาศลั่น “เราให้เยี่ยนกุนซือจัดการหาฤกษ์ยาม เมื่อได้กำหนดแล้วก็ส่งไปจวนฉินอ๋อง”มู่เลี่ยงหรงไม่สามารถทำอะไรได้เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ จึงต้องข่มกลั้นความเดือดดาลเอาไว้ รู้สึกว่าตนเองใจดีกับสองพี่น้องตระกูลเยี่ยนมากเกินไปเสียแล้ว“ท่านอ๋องเชื่อพี่รองเถิดเพคะ ตั้งแต่หม่อมฉันเกิดมา เขายังไม่เคยทำนายผิดเลยสักครั
“ท่านอ๋องโปรดวางใจ กระหม่อมจะรีบจัดการทุกสิ่งให้ถูกต้องอย่างแน่นอน” กุนซือหนุ่มรีบออกตัว มู่เลี่ยงหรงไม่ใช่คนโง่จึงสามารถยุติเหตุอันขายหน้านี้ได้โดยไม่เสียหน้าเท่าใดนัก ยอมรับว่าเขาก็เริ่มไม่สนุกแล้ว“ดี” มู่เลี่ยงหรงรู้ว่าวันนี้ตนประมาทเกินไป เกือบจะเสียท่าให้เจ้าจิ้งจอกเงินหยามเกียรติ เขาไม่มีทางทำให้ตนเองน่าสมเพชด้วยการแสดงความเกรี้ยวกราดต่อหน้าเหล่าขุนนางแน่ อย่างน้อยครานี้ก็ยังพลิกสถานการณ์กลับมาได้“ในเมื่อตกลงกันได้แล้ว ข้าก็จะได้ดื่มสุราต่อเสียที” ฮ่องเต้ทรงพระสรวล ลอบยินดีในใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน พระองค์หันหันไปส่งสัญญาณให้หลิวกงกง“ฉินอ๋องมู่เลี่ยงหรงและเยี่ยนเยว่ฉีรับราชโองการ ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาพระราชทานสมรส ให้เยี่ยนเยว่ฉีแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง โดยกำหนดให้หมั้นหมายเอาไว้ก่อน เมื่อฤกษ์ดีจึงจัดงานได้ จบราชโองการ”“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” มู่เลี่ยงหรงกับเยี่ยนเยว่ฉีคุกเข่ารับราชโองการด้วยสีหน้าที่ต่างกันมู่เลี่ยงหรงลุกขึ้นพลางเหลือบมองเยี่ยนเยว่ฉีด้วยแววตาลึกสุดหยั่ง เขาไม่ได้พูดอะไรกับนางอีก เสียงผู้คนยินดีรอบข้างก็มิได้เข้าไปในโสต ชายหนุ่มเพียงยิ้ม
มู่เลี่ยงหรงแทรกกายเข้าไปใกล้ชิดแนบสนิทยิ่งกว่าเก่า เยี่ยนเยว่ฉีเพิ่งตระหนักว่าตนกำลังอยู่ในท่วงท่าอันแสนน่าอาย มือทั้งสองโอบคอแกร่ง สองขาเกี่ยวกระหวัดรัดเอวสอบของเขาไว้แน่น หญิงงามแรกแย้มหน้าแดงซ่านด้วยความกระดากอาย นางจึงซุกหน้าลงกับอกเขา หวังว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นสีหน้าของตนเองในยามนี้บุรุษผู้เหิมเกริมจึงได้โอกาสใช้ปากกัดกระตุกสายเอี๊ยม ผ้าเนื้อบางเบาไหลหล่นพ้นเรือนร่าง เมื่อไม่มีอะไรบดบัง ทรวงอกงดงามที่อาบไล้ด้วยแสงนวลของตะเกียงก็ปรากฏสู่สายตาของเขา เนื้อนวลขาวดุจหิมะแต้มด้วยสีชมพูที่ปลายยอดช่างอวบอิ่มอลังการอย่างเกินตัว มู่เลี่ยงหรงตกตะลึงขณะที่มองเนื้อนวลสล้างสะท้อนไหวขึ้นลงไปตามจังหวะหายใจ ช่างเป็นภาพอันยั่วเย้าแสนตราตรึง กายบุรุษร้อนวูบวาบ กระแสอุ่นร้อนไหลรวมลงมาที่ท้องน้อยไม่ขาดสาย ความเป็นชายถูกปลุกขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ชายหนุ่มเต็มตัวถูกภาพงดงามเบื้องหน้ากระตุ้นจนถึงกับกัดฟันกรอด แต่จิตสำนึกพยายามข่มกลั้นไม่ให้จับนางกระแทกกระทั้นเพื่อระบายความอัดอั้นทรมานไปเสียก่อน ดวงแก้วสีนิลส่องประกายร้อนแรงแผดเผาทำลาย เยี่ยนเยว่ฉีหน้าแดงซ่าน พยายามใช้สองมือหวังปิดบังทรวงอกจากสายสา
เยี่ยนเยว่ฉีสะอื้นเพราะเจ็บไปหมด โทสะของเขายังคงคุกรุ่นจึงรั้งใบหน้าของนางให้เชิดขึ้นเพื่อรับจูบอันลึกซึ้งและรุนแรงมากกว่าเก่า เฝ้ารุกเร้าผ่านทางแยกที่เผยอออก สอดปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดดูดดึงขบกัดลิ้นบางอย่างมันเขี้ยว หญิงสาวแทบหายใจไม่ออก ร่างสั่นสะท้านครางหวิว ทั้งเจ็บปวดและสุขสมในเวลาเดียวกัน ก่อเกิดเป็นความทรมานอันแสนหวาน บุรุษผู้นี้กำลังลงทัณฑ์นางให้สาสม สัมผัสจึงเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง ไม่เหมือนจูบอันดูดดื่มเมื่อวันวาน นางเสียใจที่เขาไม่ทะนุถนอมตนเองอีกแล้ว“อือ จะ...เจ็บ” เยี่ยนเยว่ฉีพยายามร้องประท้วง ในขณะที่เขาถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย“ข้าเจ็บกว่าเจ้ามากมายนัก” เขาโต้ตอบด้วยเสียงอันแหบพร่า“ท่านอ๋องเจ็บปวดด้วยเรื่องใด” ประกายน้ำใสคลอเบ้าตา เจ็บเพราะจูบที่เขามอบให้นาง“เจ้ายิ้มให้ชายอื่น หัวเราะยามเขาพูดจา ที่สำคัญเจ้ามองเมินไม่สนใจ ทำให้ข้าทั้งเจ็บปวดและริษยา”“ท่านอ๋องหึงหม่อมฉันจริง ๆ ด้วย” มุมปากอิ่มงามเผยรอยยิ้ม“สาแก่ใจเจ้าแล้วใช่หรือไม่ จะหัวเราะเยาะข้าก็ได้” ใบหน้าคมเบี่ยงหลบเล็กน้อย ด้วยไม่ต้องการให้สตรีตรงหน้ามองเห็นร่องรอยของความหวั่นไหว คำพูดเหล่านี้ไม่เคยหลุดออกมาจากปา
“ไม่หึงก็ไม่หึง เยว่ฉีรับรู้ความรู้สึกของท่านอ๋องแล้วเพคะ”“ก็ดี”“ในเมื่อท่านอ๋องยืนกรานว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ หม่อมฉันก็จะได้คลายใจ”“คลายใจ เรื่องใด”“เรื่องที่รู้สึกผิดต่อท่านอ๋อง หม่อมฉันคงทึกทักไปเองว่าเผลอทำให้คู่หมั้นทรมานใจแล้ว”“หึ! หวังให้เราเจ็บปวดเพราะเจ้าคงเร็วไปร้อยปี” มู่เลี่ยงหรงยังคงปฏิเสธ“เยว่ฉีทราบแล้วเพคะ” นางเสมองไปทางอื่น แล้วแสร้งถอนหายใจ “หน้าเสียดายจริง ๆ ทั้งที่หลังจบเทศกาลหยวนเซียวหม่อมฉันคิดว่าระหว่างเราคงไปกันได้ดี มาวันนี้ก็รู้ซึ้งแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ท่านอ๋องทำไปทั้งหมดคงไม่ได้มาจากใจอันแท้จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำหวานเหล่านั้นทำให้ผู้อื่นเคลิบเคลิ้มมากทีเดียว”“เจ้าคิดว่าเราโป้ปดอย่างนั้นหรือ”“มิได้ แต่เมื่อครู่ท่านอ๋องเป็นผู้กล่าวเองว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ชายอื่นมาสารภาพรักกับหม่อมฉัน อีกทั้งไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากกลัวเสียหน้าเท่านั้น เช่นนี้จะให้ผู้อื่นคิดเห็นเช่นไรได้” เยี่ยนเยว่ฉีจดจ้องดวงตาบุรุษตรงหน้านิ่ง “ช่างน่าขันยิ่งนัก หม่อมฉันบังอาจคิดว่าตนเป็นคนสำคัญ แต่ความจริงแล้วสำหรับท่านอ๋องหม่อมฉันคงเป็นเพียงบุปผาดาดดื่นดอกหนึ่งเท
“เยี่ยนเยว่ฉีอย่ามาเฉไฉ! คอยดูให้ดีเถิดว่าเราจะลงโทษเจ้าอย่างไร” มู่เลี่ยงหรงตีหน้าเคร่งขรึมเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง เขาไม่มีทางยอมรับว่าทำเรื่องไร้มารยาทเป็นอันขาดเฟิงหลี่จื้อได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ไม่คิดว่าฉินอ๋องจะบันดาลโทสะถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกับหญิงสาว อย่างไรเสียก็เป็นชายชาตินักรบและตนเองก็คือต้นเหตุในเรื่องนี้ เขาจึงหวังไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้ท่านอ๋องทำร้ายสตรีที่ตนมีใจ“เรียนท่านอ๋อง หากจะลงโทษนาง กระหม่อมยินดีจะเป็นผู้รับโทษแทน” แทนที่สถานการณ์จะดีขึ้น แต่คำพูดประโยคนี้กลับเหมือนดั่งการน้ำมันราดลงบนกองไฟ ยามนี้ฉินอ๋องอยากจะสับเขาเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วโยนลงแม่น้ำเสียให้รู้แล้วรู้รอดมู่เลี่ยงหรงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับบุรุษผู้บังอาจแตะต้องสตรีของตนอีกครั้ง น้ำแข็งเริ่มจับตัวหนาขึ้นในแววตา อากาศเย็นสบายกลายเป็นหนาวจับจิตจนเฟิงหลี่จื้อขนลุกขึ้นมาจริง ๆ“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ทางที่ดีสงบปากสงบคำเอาไว้ดีกว่า”“ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมที่ละเลยเรื่องชายหญิงไม่ควรชิดใกล้”“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เปิ่นหวางจะให้โอกาสเจ้ากลับไปอย่างไม่บุบสลาย” มู่เลี่ยงหรงไม่ได้สนใจเหตุผล
“กระหม่อมคงรับไม่ไหว ท่านอ๋องไม่ได้ทำผิดอันใดไม่ต้องกล่าวเช่นนั้นกับซือเซิน” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายตกใจ ด้วยสถานะสูงส่ง ฉินอ๋องไม่มีความจำเป็นจะต้องลดตัวลงมากล่าวคำขออภัยเขา“ข้าไม่ได้ตั้งใจ”“ซือเซินรู้...” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายเงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มเพื่อคลายความกังวลใจให้สหายสูงศักดิ์หลังจากปรับอารมณ์ความรู้สึกกับถางซือเซินเรียบร้อยแล้ว มู่เลี่ยงหรงจึงหันกลับไปยังโต๊ะของตระกูลเยี่ยนอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเงาร่างของเยี่ยนเยว่ฉีกับเฟิงหลี่จื้อเสียแล้ว แม้สังเกตดี ๆ เยี่ยนจิ้นหลิงจะหายไปด้วยก็ตามความกระวนกระวายแทรกซึมเข้ามาอย่างเฉียบพลัน เขาไม่อาจวางใจอะไรได้ทั้งสิ้น ด้วยรอยยิ้มงดงามเป็นธรรมชาติที่นางมอบให้ชายคนนั้นเป็นแบบที่ไม่เคยมีให้กับตนเองไฟริษยายังคงตอกย้ำในจิตใจ อ๋องหนุ่มรีบลุกขึ้นแล้วสาวเท้าออกไปเพื่อตามหาคู่หมั้นในทันทีเยี่ยนจิ้นหลิงเดินนำน้องสาวกับเฟิงหลี่จื้อไปบนดาดฟ้า เขาชวนทั้งสองพูดคุยตลอดทาง ในที่สุดก็พามาหยุดยืนอยู่บริเวณด้านหลังของเรือ แต่แล้วบุรุษผมสีเงินก็อ้างว่าลืมวางพัดไม้หอมไว้บนโต๊ะ จึงขอตัวกลับไปเอา แล้วบอกให้คนทั้งสองรอเขาอยู่ที่นี่ก่อนเมื่อกุนซือหนุ่มเดินจากไป
มู่เลี่ยงหรงคิดว่า ยิ่งอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งมีโทสะ การจากไปตั้งหลักน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ท่านอ๋องหนุ่มจึงพยายามเก็บงำอาการ ก่อนจะเดินนำถางซือเซียนกับอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายไปทางห้องโถงอย่างมิรั้งรอ เพราะไม่ต้องการเห็นภาพบาดตานี้อีกแม้แต่ชั่วเค่อเยี่ยนจิ้นหลิงอัศจรรย์ใจไม่น้อยที่ฉินอ๋องเก็บกักอารมณ์ได้ดีเยี่ยม แต่สายตากรุ่นโกรธนั่นไม่อาจเล็ดลอดสายตาจิ้งจอกไปได้‘ตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนสิ ถึงจะได้ผลลัพธ์ชั้นดี ฉินอ๋องท่านคิดว่าแค่นี้จะหนีพ้นหรือ นี่มันบนเรือนะ’“เอาล่ะ ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“ดีเหมือนกัน น้องสาวก็รู้สึกหิวแล้ว”“หลี่จื้อ เจ้ามาร่วมโต๊ะกับพวกข้าสิ ท่านแม่ทัพเฟิงคงไม่ว่ากระไรหรอก” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“หากไม่รังเกียจ หลี่จื้อขอรบกวนแล้ว”จิ้งจอกเงินปรายยิ้มเล็กน้อย ก็เดินนำสหายเก่ากับน้องสาวแสนสวยไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อร่วมรับประทานอาหารตลอดเส้นทางเฟิงหลี่จื้อคอยปรายตามองเยี่ยนเยว่ฉีอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากไม่ใช่งานเลี้ยง ที่นั่งจึงถูกจัดวางไว้สำหรับแต่ละครอบครัวเป็นสัดส่วน ขณะที่ฮ่องเต้กับฮองเฮานั้นทรงประทับอยู่ในห้องแยกที่มีม่า
แม้คุณหนูถางผู้นั้นจะไม่มีวาสนาต่อฉินอ๋องก็ตาม แต่สตรีนางใดเล่าจะทนเห็นสตรีอื่นคอยเดินตามบุรุษของตนราวกับเงาได้ แต่เมื่อพี่ชายคนโปรดยืนยันว่าจะเป็นคนจัดการหญิงน่าตายผู้นั้นด้วยตนเอง นางก็จะไม่ก้าวก่ายเยี่ยนเยว่ฉีจึงตัดสินใจวกกลับมาสนทนาต่อด้วยเรื่องที่ยังค้างคา“แล้วน้องจะรู้หัวใจของฉินอ๋องได้อย่างไร” “เรื่องนั้นง่ายมาก เพียงต้องเกาให้ถูกที่คัน” บุรุษผมสีเงินเผยแววตาเจ้าเล่ห์แสนกล“ขอจิ้งจอกสีเงินแห่งแคว้นชี้แนะข้าน้อยด้วย” เยี่ยนเยว่ฉียิ้มตอบจนตาหยีเยี่ยนจิ้นหลิงขยับเข้าไปใกลแล้วกระซิบกระซาบสองสามประโยค นางทำตาโต ตกใจไม่น้อย“จะดีหรือพี่รอง”“ย่อมดี เขาทำให้เจ้าสำลักน้ำส้มเกือบร้อยไหได้แล้วกระมัง แล้วทำไมจะเอาคืนบ้างมิได้”“ข้ากลัวท่านอ๋องจะมีโทสะน่ะสิ เขาอาจหาทางลงโทษผู้อื่นอย่างหนักก็ได้”“ถ้ากลัวก็ไม่ต้อง แต่หากอยากรู้เจ้าก็ต้องเสี่ยง” เยี่ยนจิ้นหลิงโบกพัดในมือ “เจ้าควรจะหวั่นใจว่า ฉินอ๋องจะไร้โทสะเสียมากกว่า เพราะหากเป็นเช่นนั้น เจ้าคงรู้ตัวกระมังว่าน้ำหนักของเจ้าในใจของเขามัน...เบาเพียงใด”“ฉีเอ๋อร์ต้องการรู้ว่าตนเองอยู่ส่วนไหนในใจเขา ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไรก็ตาม”“หืม...ตก
“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้น แต่หากเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคำทำนาย รวมไปถึงคำเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ คนในตระกูลล้วนต้องให้ความสำคัญกับคำพูดของพี่รอง มิเช่นนั้นอาจจะต้องเสียใจในภายหลัง”“เหลวไหล!”“ท่านอ๋องโปรดอย่าดูเบา พี่ชายของหม่อมฉันไม่เคยผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว”“หึ! งั้นข้าขอถาม เคยมีคนไม่เชื่อเขาบ้างหรือไม่”“ย่อมมีอยู่แล้วเพคะ”“แล้วคนเหล่านั้นเป็นอย่างไร”“บ้างก็ประสบปัญหาหนัก พิกลพิการ แต่ส่วนใหญ่ล้วนตายไปหมดแล้ว”“...” มู่เลี่ยงหรงถึงกับสะอึก“เชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ พวกเรามิบังอาจลบลู่ฝ่าบาทกับท่านอ๋องอย่างแน่นอน” เยี่ยนเยว่ฉีอ้อนวอนด้วยท่าทางของสตรีอ่อนแอน่าสงสาร“ได้! ในเมื่อพูดมาขนาดนี้แล้ว เราจะเชื่อคำเจ้าก็แล้วกัน” พอเห็นนางทำหน้าเศร้าจิตใจของเขาก็ไหววูบ ไม่อาจถือโทษนางได้อีก มิหนำซ้ำยังอยากจะโอบกอดปลอบประโลมยิ่งนัก“หากท่านอ๋องเมตตา ได้โปรดรอเยว่ฉีนะเพคะ” นัยน์ตาหวานล้ำกับน้ำเสียงอันออดอ้อนของนางทำให้มู่เลี่ยงหรงหูแดงซ่าน เลือดในกายของเขากำลังเดือดพล่าน ต้องควบคุมสติระงับไม่ให้รีบร้อนครอบครองริมฝีปากสีกลีบกุหลาบอันแสนจะยั่วยวนเสียตอนนี้“อย่าปล่อยให้เรารอนานเกินไปเล่าพระจันทร์ดวงน้อย”
ส่วนจ้าวจวิ้นอ๋องก็ดูพึงใจในตัวถางซือเซียนเป็นอย่างมาก ดรุณีน้อยเองก็มีท่าทีเขินอายเมื่อชายหนุ่มส่งสายตาลึกซึ้งไปให้ บุตรสาวแม่ทัพใหญ่จึงรู้สึกแปลกใจ ตกลงแล้วสตรีผู้นั้นชอบพอผู้ใดกันแน่ แต่หากนางหมายจะเปลี่ยนกิ่งไม้สูง นั่นย่อมเป็นผลดีกับตนเองมิใช่หรือการสนทนาผ่านไปสักครู่หนึ่ง มู่เลี่ยงหรงเริ่มรำคาญจ้าวกุ้ยอินเป็นกำลัง และเหมือนเยี่ยนเยว่ฉีจะไม่ได้รู้สึกอยากกินน้ำส้มยามท่านหญิงพูดคุยกับเขา ดูท่าคู่หมั้นคนงามจะรู้จักการมองสีหน้าผู้คนอยู่บ้าง ในเมื่อไม่มีประโยชน์ตนก็คร้านที่จะสนทนากับสองพี่น้องตระกูลจ้าวต่อไป“แดดเริ่มแรงแล้ว เปิ่นหวางคงต้องขอตัวพาคู่หมั้นกับเซียนเอ๋อร์กลับไปพักผ่อน เกรงว่าพวกนางจะไม่สบายได้”“ก็ให้พวกนางกลับไปเองสิ อินอินไม่ได้เจอเลี่ยงหรงเกอเกอตั้งนาน มีเรื่องอยากจะพูดคุยอีกมากมาย”“เปิ่นหวางต้องไปหารือเรื่องงานราชการกับพระเชษฐาอีก”“แต่ว่า...” จ้าวกุ้ยอินพยายามคัดค้าน“เปิ่นหวางขอตัว” ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักดูเย็นชาห่างเหินอย่างยิ่ง มู่เลี่ยงหรงพยักหน้าให้จ้าวจวิ้นอ๋องเล็กน้อย จากนั้นจึงสาวเท้าเดินจากไปทันที ถางซือเซียนกับเยี่ยนเยว่ฉีจึงรีบยอบกายเป็นเชิงอำลาจวิ้นอ