“เอาล่ะ พวกเรามาเดินสู่ประตูมังกรโชติช่วงชัชวาลกันต่อ มีกี่คนที่เลือกเปิ่นหวางบ้าง?”
เยี่ยหยางมองว่าที่ลูกศิษย์ยืนเรียงหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบล้วนแต่เป็นผู้มีอำนาจใหญ่ในสำนักงานใหญ่สมาคมเหวินชาทั้งเก้าคน
ส่วนบรรดาเหล่าหัวหน้าสาขาคนอื่นผู้ที่เป็นสตรีก็กระจายตัวไปหาหวงฉีเจิ้งและผู้ที่เป็นบุรุษก็เดินไปหาหูลี่เซียน ช่างแสดงความต้องการอย่างชัดเจนไม่ปกปิดใดใด
นายท่านใหญ่เห็นภาพนี้ได้แต่หัวเราะปกปิดอยู่ในใจ พวกสาว ๆ ที่คิดร่ำเรียนกับหวงฉีเจิ้งไม่เท่าไหร่ เพราะพี่ท่านยังเป็นบุรุษถนอมบุปผาอยู่บ้าง
แต่เหล่าบุรุษที่เลือกแม่นางจิ้งจอกอีกไม่นานคงเรียนรู้สัจธรรมของ ว่าสตรีตรงหน้าไม่ได้เบาะบางดั่งบุปผางาม แต่นางเป็นต้นตะบองเพชรที่ไร้ดอกแถมหนาม ไม่ได้สวยงามดั่งรูปลักษณ์ที่เห็นแม้แต่นิดเดียว ไม่อย่างงั้นจะครอบครองตำแหน่งจอมเวทสาวกุหลาบทมิฬมาหลายปีหรอกหรือ
จอมเวทในของปราณยุทธถือกำเนิดขึ้นร่วมสามสิบกว่าคนในคืนเดียว หากผู้คนภายนอกรู้คงสร้างความแตกตื่นได้ไม่น้อย ในที่ความแข็งแกร่งคืออำนาจ เวทมนตร์ก็เป็นความแข็งแกร่งที่ทรงพลังอย่างหนึ่ง
ส่วนสหายหญิงที่เมินเพื่อนหนุ่มตัวเหม็นอยู่ในร่างจิ้งจอกน้อยล่อลวงญาติผู้น้องของสหายที่ริมทะเลสาบยามอัสดงอันเงียบสงบเงาร่างผ่าเผยนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่กับจิ้งจอกขนแดงที่นอนอยู่บนตัก คือ รัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ยที่อ่านตำราทวนซ้ำ(อีกรอบ)อย่างตั้งใจแม้มู่หรงลู่เฉินยังใช้ลมปราณได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากพิษของเทาเทีย ทำให้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านตำรา แต่ก็ยังไม่ทิ้งการฝึกยุทธ เพียงแต่ฝึกโดยไม่ใช้ลมปราณในตอนเช้าของทุกวันอย่างขยันขันแข็งมือเรียวข้อนิ้วเด่นชัดเปิดพลิกเปลี่ยนหน้าหนังสือ อีกมือลูบไล้ขนนุ่มนิ่มจิ้งจอกของเขาอย่างเอ็นดูหูลี่เซียนนอนรับลมเย็น ๆ อย่างพึงพอใจยิ่ง นางไม่รู้สึกสงบใจเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้วกาลก่อนที่ถูกสาปเพียงเพราะต้องเอาตัวรอด ไม่เคยได้อยู่เป็นสุขสักวัน ตอนนี้มีทั้งลู่เฉิน มีทั้งเยี่ยหยาง ฉีเจิ้งเพื่อนนางอยู่พร้อมก็ดีไม่น้อยแล้วนางรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้ลู่เฉิน แต่มันคงไม่ใช่ความรู้สึกรักลึกซึ้งเชิงชู้สาว รักเป็นเช่นไรนางคงบอกไม่ได้อุ้งเท้าหน้าของจิ้งจอกแดงสะกิดเรียกเด็กหนุ่ม ที่ทวนตำราจนลืมเวลานาง
เสียงสัญญาณให้เข้าเตรียมทดสอบความรู้ทฤษฎีเกี่ยวกับสมุนไพรและการปรุงโอสถได้เริ่มขึ้น สถานที่ทดสอบเป็นห้องกว้างขวางที่บรรจุศิษย์ได้หลายร้อยคนศิษย์ที่ต้องทำการทดสอบต่างเดินเข้ามาประจำที่ของตัวเอง การทดสอบนี้จะต่างกับวิชาภาคทฤษฎีวิชาอื่นเล็กร้อยตรงที่วิชาอื่นจะเป็นโต๊ะเก้าอี้แคบที่พอสำหรับนั่งเขียนเท่านนั้นแต่สำหรับวิชาปรุงโอสถกลับเป็นโต๊ะยาวที่บนโต๊ะเต็มไปด้วยตัวอย่างสมุนไพรมากมายที่วางอยู่รวมกันพร้อมชุดคำถามสำหรับทดสอบเยี่ยหยางกระดิกนิ้วสั่งให้คราบร่างของตัวเองเดินตามมา เพราะเขาใช้คาถาเล็กน้อยจัดการให้ตำแหน่งที่นั่งของชินอ๋องและเส้าหยางอยู่ใกล้กันที่สุด เพื่อความสะดวกสำหรับการทำข้อสองชุดเหมือนวิชาอื่น ๆ ก่อนหน้าผู้ที่ต้องเหนื่อยกว่าใครสองเท่าเริ่มลงมือทำแบบทดสอบในนามของชินอ๋องก่อน และสั่งให้คราบร่างของเขาแสดงท่าทางเหมือนกำลังทดสอบ ข้อเสียของพวกโฮมุนครูสคือไร้ปัญญาสมบูรณ์แบบ เขาต้องสั่งและควบคุมมันสมุนไพรของศิษย์แต่ละคนได้รับต่างกันไป และ แบบทดสอบสองชุดของเขาไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย เยี่ยหยางหยิบรากไม้ดำขึ้นมาดม แยกสมุนไพรออกเป็นแต่ละประเภทตามความเ
เมื่อเตรียมสมุนไพรเสร็จ ก็เริ่มตั้งไฟตั้งเตายาที่อาจารย์เตรียมไว้ให้เพื่อความเท่าเทียมกันในเรื่องวัตถุดิบและอุปกรณ์ไฟสีส้มแดงธรรมดาเหมือนไฟหุงหาอาหารทั่วไปค่อยเปลี่ยนเป็นไฟสีน้ำเงินพลิ้วไหวราวกับสีของอัญมณีแทนซาไนท์[1]กำลังเต้นระบำด้วยพลังเวทของเยี่ยหยาง ออร่าประกายเวทแผ่ออกมาจากร่างเป็นแสงสีฟ้าน้ำเงินเรืองรองปกคลุมรอบเตายาปลายนิ้วหยิบใส่สมุนไพรลงในหม้อที่อุ่นด้วยเวทมนตร์อย่างแผ่วเบาราวกับบรรเลงพิณทีละอย่างตามลำดับ ต้มรวมกับหยาดเหงื่อของยูนิคอร์น และหยดน้ำตาของนกฟีนิกซ์เพลิงที่เขาเปิดกุคลังวัตถุดิบส่วนตัวแทนน้ำอมฤตจากสวรรค์ชั้นฟ้าสาเหตุส่วนหนึ่งที่โอสถนิพพานหวนคืนเป็นโอสถหายาก และไม่มีผู้ใดคิดที่จะปรุงมันขึ้นมา เพราะน้ำอมฤตจากสวรรค์ชั้นฟ้าเป็นส่วนผสมสำคัญที่มนุษย์ธรรมดาเดินดินที่ไม่ใช่เทพเซียนจะหามาได้ส่วนผสมทั้งหมดเคี่ยวกลั่นในเตายาที่ธรรมดาสามัญ ผสานกับพลังเวทและ…‘ฉงฉง เจ้าทำอะไรอยู่’ เยี่ยหยางส่งกระแสจิตผ่านพันธะเวทไปหาฉงหยิ๋น‘กินขนมเป็นเพื่อนท่านแม่’ กิเลนตะกละตอบกลับมา‘ข้าขอย
เตาปรุงโอสถเตาใหม่ที่ตั้งใจปรุงขึ้นอย่างดีด้วยเจตนาแอบแฝงถูกจุดด้วยปราณยุทธของกิเลนเทวะ ความร้อนค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้นในเวลาไม่กี่ลมหายใจด้วยพลังปราณที่แข็งแกร่งกว่าระดับศิษย์นอกทั่วไปเมื่อขั้นตอนอุ่นเตาโอสถเสร็จสมบูรณ์ สมุนไพรหลายชนิดถูกใส่ตามลำดับขั้นตอนที่ถูกแก้ไขให้ฤทธิ์รุนแรงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเหมือนกำลังละเลงศิลปะที่งดงาม สีหน้าคนอยู่หน้าเตาโอสถแววตาวิบวับเป็นประกาย มือกวนโอสถในหม้อ แต่สายตากะคำนวณระยะของระเบิดสมุนไพรชีวภาพ...หึหึหึสายตาเจ้าเล่ห์เหลือบไปเห็นในกองสมุนไพรที่จัดเตรียมไว้ให้บรรดาศิษย์ทดสอบโอ้ ใส่หญ้าหอมร้อยลี้เพิ่มหน่อยดีกว่าฤทธิ์สมุนไพรที่ส่งกลิ่นหอมที่เหล่าสตรีชมชอบถูกความคิดพิเรนทร์ของเยี่ยหยางดัดแปลงพลิกคุณสมบัติกลับตาลปัตร กลายเป็นเหม็นร้อยลี้แทน เพิ่มฤทธิ์เดชโอสถบัดซบให้ขจรไกลยิ่งกว่าเดิมลู่เฉินที่รู้นิสัยของญาติผู้พี่เป็นอย่างดี ตลอดเวลาที่เขาปรุงโอสถก็คอยลอบมองชินอ๋องราชอาณาจักรซีเว่ยผู้นี้เป็นระยะ ๆ ว่าจะสร้างเรื่องอะไรหรือไม่เพราะเจ้าตัวไม่ได้ก่อเรื่องมานานเกิน ไม่รู้ว่าจะอดกลั้นอดใจได้ถึงเมื่อไหร่
“ใคร!!!”สีหน้าของอาจารย์สอนปรุงโอสถมืดครึ้มแทบคั้นเป็นน้ำหมึก กวาดสายตาเหี้ยมโหดพร้อมรังสีสังหารกระทืบคน ครั้งนี้เขาโดนลูบคมอย่างแรง ไม่เคยมีใครยั่วโทสะเขาได้มากเท่านี้ผู้ร่วมเหตุการณ์ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทำตัวสงบเสงี่ยมเจี๋ยมเจี้ยม ต่างกลับท่านอ๋องบัดซบกลับหันซ้ายหันขวาเหมือนกับจะช่วยหาตัวคนร้ายอย่างไรอย่างงั้น แต่ทุกคนแทบจะปิดหน้ายกมือชี้มาที่เจ้าตัวอย่างระบุตัวเฉพาะเจาะจง“ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำสักนิดเดียว” ผู้ถูกชี้ตัวโบกไม้โบกมือปฏิเสธความผิดด้วยใบหน้าซื่อ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ไม่ทำสิ่งใดทั้งสิ้น สีหน้าช่างชวนประทับฝ่าเท้าประดับไว้ไม่น้อย…เหอะ ๆ เยี่ยหยาง เจ้าไม่ได้ทำเรื่องเล็กสักนิดเดียว แต่เจ้าก่อเรื่องวินาศสันตะโรใหญ่โตสุด ๆ ไปเลย ฉีเจิ้งสั่นหัวกับการกลั่นแกล้งผู้คนของเพื่อนรัก“มู่หรงเยี่ยหยาง!!!”“ขอรับอาจารย์จ้าว” เยี่ยหยางเสียวสันหลังวูบด้วยเสียงเรียกและสายตาที่แช่แข็งคนได้ของจ้าวถิงเซียวข้าก่อเรื่องเ
เยี่ยหยางเบิกตากว้าง ขนลุกซู่จนอยากอ้วกออกมา เขาไม่คิดว่าจะมีคนอั้นไม่อยู่จน...เป็นแบบนี้ ฝีมือเขาช่างสูงส่งยิ่งนักอาจารย์จ้าวผู้เยือกเย็นเบือนหน้าหนีภาพทุเรศลูกตา อยากเอามือกุมขมับ ไม่รู้จะสงสารศิษย์ผู้โชคร้ายผู้นี้อย่างไรดีเขาไม่สามารถจัดการกับลูกศิษย์บัดซบคนนี้ได้ เมื่ออีกฝ่ายไม่เหลือหลักฐานใด ๆ หลงเหลือ ทุกอย่างที่เห็นเหมือนกับเป็นแค่อุบัติเหตุแต่สัญชาตญาณตรวจจับชี้ตัวก่อเหตุเป็นลูกศิษย์ยศอ๋องของเขา จึงได้แต่คาดโทษอีกฝ่ายไว้ในใจรอวันชำระโทษคืนวันหลัง แล้วปิดจมูกสั่งการเก็บกวาดความวุ่นวายที่เกิดขึ้นแต่ผู้โดนฤทธิ์เดชท่านอ๋องมีไม่น้อย และฤทธิ์ยาก็ออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว ต่างพุ่งออกไปโดยไม่สนใจใครไม่ขออนุญาตคนเป็นอาจารย์อย่างจ้าวถิงเซียวแม้แต่นิดเดียวต่างมุ่งหน้ามุ่งมั่นไปแย่งชิงสถานที่ปลดปล่อยที่มีอยู่ในตำหนักแห่งนี้ที่มีอย่างจำกัดจำนวนแน่นอนว่าสถานที่แบบนั้นมีไม่เพียงพอกับความต้องการในการใช้งานขณะนี้ส่วนผู้ที่ตบตีแย่งชิงโถปลดทุกข์ไม่ได้ก็ยิ่งทุกข์หนักยิ่งกว่าเดิม เพราะต้องแบกสังขารหูรูดของร่างกายที่ทรยศ ไปหาโถปลดที่พวกเขาต้องการเ
ในที่สุดก็ถึงการทดสอบที่สำคัญที่สุดที่ศิษย์เทียนถูหวู่ต่างรอคอย ก็มาถึง เป็นการทดสอบยุทธโดยการประลองฝีมือที่ชี้ชัดให้เห็นถึงความสามารถความแข็งแกร่งที่แจ้งจริงการทดสอบที่แล้วมาไม่สำคัญเท่าการประลองนี้ได้ เพราะเหล่าศิษย์ต้องใช้ทักษะ ความรู้ และไหวพริบทั้งหมดที่มีในการดวลวัดฝีมือกับฝ่ายตรงข้ามโดยตรงการดวลประลองจะจับคู่สู้ในศิษย์ระดับเดียวกันแบบสุ่ม เช่นศิษย์สายนอกก็จะแข่งกับศิษย์สายนอกเท่านั้น และยากที่เห็นการประลองข้ามระดับ ถ้าคนผู้นั้นไม่ได้แข็งแกร่งจริง ๆ โดยรายชื่อของคู่ประลองจะติดประกาศอยู่กลางลานกว้างของเทียนถูหวู่ที่เคยจัดงานเลี้ยงต้อนรับตอนนี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างเบียดเสียดกัน เพื่อมาดูชื่อของคู่แข่งในสนามของตัวเองเยี่ยหยางที่เพิ่งทดสอบการปรุงโอสถเสร็จสิ้นเมื่อวานรู้สึกเหนื่อยไม่น้อย หากใครหลายคนได้ยินคำบ่นนี้เข้า คงยกมือยกเท้ามาทักทายให้รู้ผลกันไปข้าง เพราะพวกเขาเหนื่อยมาก แทบจะถ่ายตับไตไส้พุงออกมาอยู่แล้วผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของท่านอ๋องต่างมีแรงลากสังขารไปดูรายชื่อของตัวเอง หลังจากเดินหน้าซีดอ่อนเปี้ยเดินดาหน้าไปรับยากับอาจารย์จ้าวถิงเซียว
“บ้า! ข้าจะไปมีญาติได้ไง แซ่สกุลของข้าตั้งมั่ว ๆ ขึ้นมา เจ้ารู้ดียังมีหน้ามาแขวะข้าอีก” หวงฉีเจิ้งเบ้ปากใส่ท่านอ๋อง ที่รู้ความจริงอยู่แล้ว ยังพูดไร้สาระกวนประสาทเขาอีก“เฮอะ...ถ้าข้าเป็นญาติคนผู้นั้น ป่านนี้ข้าคงเป็นลูกหลานตระกูลแม่ทัพอาณาจักรเหลียงฟู่ นอนตีพุงอยู่กินสุขสบายไปแล้ว ไม่ต้องมารีดไถเงินทองของเจ้าเหมือนขอทานหรอก!!! หึ...” คุณชายแซ่หวงโต้กลับ“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...เจ้าอย่าจิตใจคับแคบนักเลย คิดเล็กคิดน้อยเป็นสตรีสูงวัยไปได้” เยี่ยหยางหัวเราะอย่างไม่รักษาภาพพจน์ วันนี้เขาได้แขวะหวงฉีเจิ้งแล้ว คืนนี้คงหลับสบายสองสหายซี้พูดคุยกันไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าตัวเองก็ต้องขึ้นไปอยู่บนเวทีประลอง“เจ้าว่าใครจะชนะ?” เยี่ยหยางถามขึ้นอย่างคนไม่มีอะไรให้ทำ“ข้าว่าสูสี แต่สุดท้ายเสิ่นเยี่ยนจะได้ชัยมาครอง”หวงฉีเจิ้งมองแวบเดียวก็ประเมินคู่ต่อสู้บนสนามประลองได้อย่างเฉียบขาด ตอบท่านอ๋องที่กำลังใส่ใจภาพลักษณ์คนบัดซบจนรู้สึกว่าหนังหน้าตัวเองบางเกินไปแล้ว ตอนนี้รอบด้านไม่มีใครกล้านั่งข
เหอะ ๆ อย่าให้รู้จะดีที่สุด ถ้าคนเห่อน้องรู้เรื่องนี้เข้าคนแซ่กงซุนจะมีเหลืออยู่บนแผ่นดินหรือไม่“เสี่ยวเฉิง เจ้าก็เรียนรู้ให้มาก ฝึกฝนให้มาก คนพวกนั้นจะได้รังแกเจ้าไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”ชายหนุ่มลูบหัวสอนจูเฉิงเยว่อย่างใจเย็น เขายังไม่อยากเห็นคนบัดซบคนที่สองหรอกนะ ทำได้แต่เพียงสั่งสอนสิ่งที่ถูกที่ควรให้น้องชายอีกฝ่ายมาก ๆ เข้าไว้จะได้ไม่มีความคิดผิดผู้ผิดคนเหมือนพี่ชายสติวิปลาส ก่อนจะหันกลับไปสนใจการประลองของเยี่ยหยางต่อ“พี่เจิ้งข้าอยากได้ยินว่ากงซุนจ้านพูดอะไรกับพี่ชาย พี่ช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่”จูเฉิงเยว่ไม่ชอบคนผู้นี้เอามาก ๆ เขาแค่อยากรู้ว่าคนผู้นี้จะพูดว่าร้ายเขาให้พี่ชายไม่ชอบเขาหรือเปล่า เขากลัวพี่ชายจะไม่รักเขา“เจ้าก็ทำได้ ทำแบบนี้สิ…”หวงฉีเจิ้งกระซิบสอนคาถาสอดแนมของถัดของเขาให้น้องชายเพื่อนที่พยักหน้ารับฟังและปฏิบัติตามอย่างน่าเอ็นดู ทำให้เขาและจูเฉิงเยว่เหมือนกำลังยืนอยู่ข้างเยี่ยหยางได้ยินทุกอย่างชัดเจนทุกคำทุกประโยค“ไม่เลว คุณชายใหญ่สกุลจูไม่ใช่สวะเหมือนคุณชายรอ
หลังจากปล่อยหมูยักษ์วิ่งอยู่ครึ่งชั่วยาม เหนื่อยหอบจนแทบไล่ตามภาพลวงตาไม่ได้อีก เยี่ยหยางก็คลายคาถา แล้วยื่นเรียวขางามอันแข็งแรงของเขาขัดลู่วิ่งหมู แถมด้วยฝ่าเท้างามตบท้ายถีบบั้นท้าย จนอีกฝ่ายล้มกลิ้งออกไปนอกลาน เป็นอันจบการประลองอย่างงดงาม“ผู้ชนะ คือ ข้า”เยี่ยหยางพูดอย่างภาคภูมิใจ ที่ไม่เสียเหงื่อแม้แต่หยดเดียวลานเทียนจงเงียบกริบเงียบสงัด ไม่มีเสียงประกาศผู้ชนะของเมิ่งจวิ้นผิงและฟางเหวยซู ทุกคนยังตกตะลึงอึ้ง ไม่อยากเชื่อในสายตาของตัวเองนั่นมัน...ไม่อยากจะเชื่อ!ถึงแม้ว่าจะไม่มีกฎข้อบังคับในการประลองแต่คนผู้นี้กลับ...ชนะด้วยการเตะเบา ๆ นี่มัน ๆ…บ้าไปแล้ว!!!“ศิษย์พี่ ๆ ข้าลงจากลานประลองได้รึยัง?” เยี่ยหยางสะกิดเมิ่งจวิ้นผิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใสเป็นประกาย“เอ่อ...ได้ ๆ” เมิ่งจวิ้นผิงดึงสติกลับมาอย่างงุนงง “ผู้ชนะ คือ ท่านอ๋องจอมบัดซบ...เอ๊ย! มู่หรงเยี่ยหยาง”ผู้ได้รับชัยเดินกลับไปยังที่นั่งในกลุ่มผู้คนอย่างไม่รู้สึกรู้สากับสายตาที่มองมา เอ่ยทักทายหวงฉีเจ
ม่านสงเห็นหน้าคู่ประลองที่เป็นถึงท่านอ๋องเลื่องชื่อผู้โด่งดังถึงกับดีใจออกนอกหน้า ที่เขาประมือกับคู่ต่อสู้ลมปราณพิกลพิการ เขาจ้องมองอีกฝ่ายกำลังเดินขึ้นลานเทียนจงตรงข้ามกับเขาอย่างไม่รีบร้อน โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคู่แข่งของเขาเล่นเป็นหมูป่วยกินเสือสายตาของเด็กหนุ่มสำรวจรูปร่างของคนเป็นอ๋อง มีลักษณะคุณชายเจ้าสำราญขนานแท้ ทรวดทรงองเอวอ้อนแอ้นไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธ หน้าตาเด้งขาวใสเหมือนสตรี ดูแล้วคงไม่มีแม้แต่แรงฆ่าไก่กระมั้ง แต่เมื่อจบการประลองครั้งนี้กลับกลายเป็นเรื่องฝังใจเขาว่า ไม่ควรดูถูกผู้อื่นจากรูปร่างภายนอกอีกด้วยน้ำตานองหน้าการประลองรอบนี้ม่านสงคิดว่าท่านอ๋องไร้ค่าผู้นี้เหมือนหมูในอวยของตนแล้วสวรรค์ช่างเข้าข้างเขาจริงเชียวที่ส่งท่านอ๋องผู้นี้มาให้เขา ในเมื่อสวรรค์เมตตาเขา เขาก็จะเมตตาท่านอ๋องผู้นี้ ลงมือเบา ๆ ไม่ให้ฟกช้ำดำเขียว ไม่ให้เจ็บมากละกัน ม่านสงคิดรูปร่างของม่านสงสูงราวเจ็ดฉื่อ[1] ล่ำสันใหญ่เป็นมัดกล้ามดำคล้ำดูน่ากลัว เขามีพื้นฐานครอบครัวมาจากสำนักคุ้มภัยทางใต้ของราชอาณาจักรซีเว่ย ตนเองเริ่มฝึกยุทธตั้งแต่เริ่มจำความได้ ทำให้ตอนนี้เข
สถานการณ์ในการประลองเปลี่ยนไป เมื่อหวงฉีตงจู่ ๆ ก็เพิ่มพลังระดับปราณยุทธฉับพลัน จากปราณยุทธระดับปรมาจารย์ยุทธขั้นสี่เป็นระดับอัคราจาร์ยยุทธขั้นสี่ เพิ่มขั้นมาหนึ่งระดับขั้นไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายเล่นแง่ ใช้โอสถเพิ่มลมปราณให้กับตัวเอง ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อห้าม แต่คนส่วนใหญ่ไม่มีใครทำกัน เพราะมันมีข้อเสียมากกว่าข้อดี และเป็นการไม่ให้เกียรติตัวเองหวงฉีตงไม่ได้ใช้โอสถกับตัวเองแต่เพียงผู้เดียว มันกลับใช้ยาพิษผงโปรยใส่เสิ่นเยี่ยนในตอนที่ประชิดตัว เพื่อหวังบั่นทอนพละกำลังและสกัดกั้นลมปราณของอีกฝ่ายอย่างหน้าด้าน ๆ แล้วขว้างมีดบินใส่ทีเผลอ ทั้งยังแทงทวนพุ่งโจมตี บ่งบอกนิสัยเลวทรามของตัวเองเสิ่นเยี่ยนรู้ว่าตัวเองถูกพิษ กล้ำกลืนเลือดพิษในลำคอลงท้องหึ...เขาคาดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องมาไม้นี้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะใช้พิษที่รุนแรงและหายากหลายชนิดเช่นนี้หนึ่งในนั้นเป็นพิษโลกันตร์แผดเผา พิษที่จะตรวจหาก็ไม่พบ เหยื่อจะถูกทำลายจากภายในเหมือนถูกเผาทั้งเป็นจนกว่าจะตาย ที่เขารู้ก็เพราะบิดาเขาก็ตายด้วยพิษนี้ มันจะค่อย ๆ กัดกินร่างกายร้อนผ่าวในบางช่วงเวลา ตอนนี้เขาแสบร
“บ้า! ข้าจะไปมีญาติได้ไง แซ่สกุลของข้าตั้งมั่ว ๆ ขึ้นมา เจ้ารู้ดียังมีหน้ามาแขวะข้าอีก” หวงฉีเจิ้งเบ้ปากใส่ท่านอ๋อง ที่รู้ความจริงอยู่แล้ว ยังพูดไร้สาระกวนประสาทเขาอีก“เฮอะ...ถ้าข้าเป็นญาติคนผู้นั้น ป่านนี้ข้าคงเป็นลูกหลานตระกูลแม่ทัพอาณาจักรเหลียงฟู่ นอนตีพุงอยู่กินสุขสบายไปแล้ว ไม่ต้องมารีดไถเงินทองของเจ้าเหมือนขอทานหรอก!!! หึ...” คุณชายแซ่หวงโต้กลับ“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...เจ้าอย่าจิตใจคับแคบนักเลย คิดเล็กคิดน้อยเป็นสตรีสูงวัยไปได้” เยี่ยหยางหัวเราะอย่างไม่รักษาภาพพจน์ วันนี้เขาได้แขวะหวงฉีเจิ้งแล้ว คืนนี้คงหลับสบายสองสหายซี้พูดคุยกันไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าตัวเองก็ต้องขึ้นไปอยู่บนเวทีประลอง“เจ้าว่าใครจะชนะ?” เยี่ยหยางถามขึ้นอย่างคนไม่มีอะไรให้ทำ“ข้าว่าสูสี แต่สุดท้ายเสิ่นเยี่ยนจะได้ชัยมาครอง”หวงฉีเจิ้งมองแวบเดียวก็ประเมินคู่ต่อสู้บนสนามประลองได้อย่างเฉียบขาด ตอบท่านอ๋องที่กำลังใส่ใจภาพลักษณ์คนบัดซบจนรู้สึกว่าหนังหน้าตัวเองบางเกินไปแล้ว ตอนนี้รอบด้านไม่มีใครกล้านั่งข
ในที่สุดก็ถึงการทดสอบที่สำคัญที่สุดที่ศิษย์เทียนถูหวู่ต่างรอคอย ก็มาถึง เป็นการทดสอบยุทธโดยการประลองฝีมือที่ชี้ชัดให้เห็นถึงความสามารถความแข็งแกร่งที่แจ้งจริงการทดสอบที่แล้วมาไม่สำคัญเท่าการประลองนี้ได้ เพราะเหล่าศิษย์ต้องใช้ทักษะ ความรู้ และไหวพริบทั้งหมดที่มีในการดวลวัดฝีมือกับฝ่ายตรงข้ามโดยตรงการดวลประลองจะจับคู่สู้ในศิษย์ระดับเดียวกันแบบสุ่ม เช่นศิษย์สายนอกก็จะแข่งกับศิษย์สายนอกเท่านั้น และยากที่เห็นการประลองข้ามระดับ ถ้าคนผู้นั้นไม่ได้แข็งแกร่งจริง ๆ โดยรายชื่อของคู่ประลองจะติดประกาศอยู่กลางลานกว้างของเทียนถูหวู่ที่เคยจัดงานเลี้ยงต้อนรับตอนนี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างเบียดเสียดกัน เพื่อมาดูชื่อของคู่แข่งในสนามของตัวเองเยี่ยหยางที่เพิ่งทดสอบการปรุงโอสถเสร็จสิ้นเมื่อวานรู้สึกเหนื่อยไม่น้อย หากใครหลายคนได้ยินคำบ่นนี้เข้า คงยกมือยกเท้ามาทักทายให้รู้ผลกันไปข้าง เพราะพวกเขาเหนื่อยมาก แทบจะถ่ายตับไตไส้พุงออกมาอยู่แล้วผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของท่านอ๋องต่างมีแรงลากสังขารไปดูรายชื่อของตัวเอง หลังจากเดินหน้าซีดอ่อนเปี้ยเดินดาหน้าไปรับยากับอาจารย์จ้าวถิงเซียว
เยี่ยหยางเบิกตากว้าง ขนลุกซู่จนอยากอ้วกออกมา เขาไม่คิดว่าจะมีคนอั้นไม่อยู่จน...เป็นแบบนี้ ฝีมือเขาช่างสูงส่งยิ่งนักอาจารย์จ้าวผู้เยือกเย็นเบือนหน้าหนีภาพทุเรศลูกตา อยากเอามือกุมขมับ ไม่รู้จะสงสารศิษย์ผู้โชคร้ายผู้นี้อย่างไรดีเขาไม่สามารถจัดการกับลูกศิษย์บัดซบคนนี้ได้ เมื่ออีกฝ่ายไม่เหลือหลักฐานใด ๆ หลงเหลือ ทุกอย่างที่เห็นเหมือนกับเป็นแค่อุบัติเหตุแต่สัญชาตญาณตรวจจับชี้ตัวก่อเหตุเป็นลูกศิษย์ยศอ๋องของเขา จึงได้แต่คาดโทษอีกฝ่ายไว้ในใจรอวันชำระโทษคืนวันหลัง แล้วปิดจมูกสั่งการเก็บกวาดความวุ่นวายที่เกิดขึ้นแต่ผู้โดนฤทธิ์เดชท่านอ๋องมีไม่น้อย และฤทธิ์ยาก็ออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว ต่างพุ่งออกไปโดยไม่สนใจใครไม่ขออนุญาตคนเป็นอาจารย์อย่างจ้าวถิงเซียวแม้แต่นิดเดียวต่างมุ่งหน้ามุ่งมั่นไปแย่งชิงสถานที่ปลดปล่อยที่มีอยู่ในตำหนักแห่งนี้ที่มีอย่างจำกัดจำนวนแน่นอนว่าสถานที่แบบนั้นมีไม่เพียงพอกับความต้องการในการใช้งานขณะนี้ส่วนผู้ที่ตบตีแย่งชิงโถปลดทุกข์ไม่ได้ก็ยิ่งทุกข์หนักยิ่งกว่าเดิม เพราะต้องแบกสังขารหูรูดของร่างกายที่ทรยศ ไปหาโถปลดที่พวกเขาต้องการเ
“ใคร!!!”สีหน้าของอาจารย์สอนปรุงโอสถมืดครึ้มแทบคั้นเป็นน้ำหมึก กวาดสายตาเหี้ยมโหดพร้อมรังสีสังหารกระทืบคน ครั้งนี้เขาโดนลูบคมอย่างแรง ไม่เคยมีใครยั่วโทสะเขาได้มากเท่านี้ผู้ร่วมเหตุการณ์ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทำตัวสงบเสงี่ยมเจี๋ยมเจี้ยม ต่างกลับท่านอ๋องบัดซบกลับหันซ้ายหันขวาเหมือนกับจะช่วยหาตัวคนร้ายอย่างไรอย่างงั้น แต่ทุกคนแทบจะปิดหน้ายกมือชี้มาที่เจ้าตัวอย่างระบุตัวเฉพาะเจาะจง“ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำสักนิดเดียว” ผู้ถูกชี้ตัวโบกไม้โบกมือปฏิเสธความผิดด้วยใบหน้าซื่อ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ไม่ทำสิ่งใดทั้งสิ้น สีหน้าช่างชวนประทับฝ่าเท้าประดับไว้ไม่น้อย…เหอะ ๆ เยี่ยหยาง เจ้าไม่ได้ทำเรื่องเล็กสักนิดเดียว แต่เจ้าก่อเรื่องวินาศสันตะโรใหญ่โตสุด ๆ ไปเลย ฉีเจิ้งสั่นหัวกับการกลั่นแกล้งผู้คนของเพื่อนรัก“มู่หรงเยี่ยหยาง!!!”“ขอรับอาจารย์จ้าว” เยี่ยหยางเสียวสันหลังวูบด้วยเสียงเรียกและสายตาที่แช่แข็งคนได้ของจ้าวถิงเซียวข้าก่อเรื่องเ
เตาปรุงโอสถเตาใหม่ที่ตั้งใจปรุงขึ้นอย่างดีด้วยเจตนาแอบแฝงถูกจุดด้วยปราณยุทธของกิเลนเทวะ ความร้อนค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้นในเวลาไม่กี่ลมหายใจด้วยพลังปราณที่แข็งแกร่งกว่าระดับศิษย์นอกทั่วไปเมื่อขั้นตอนอุ่นเตาโอสถเสร็จสมบูรณ์ สมุนไพรหลายชนิดถูกใส่ตามลำดับขั้นตอนที่ถูกแก้ไขให้ฤทธิ์รุนแรงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเหมือนกำลังละเลงศิลปะที่งดงาม สีหน้าคนอยู่หน้าเตาโอสถแววตาวิบวับเป็นประกาย มือกวนโอสถในหม้อ แต่สายตากะคำนวณระยะของระเบิดสมุนไพรชีวภาพ...หึหึหึสายตาเจ้าเล่ห์เหลือบไปเห็นในกองสมุนไพรที่จัดเตรียมไว้ให้บรรดาศิษย์ทดสอบโอ้ ใส่หญ้าหอมร้อยลี้เพิ่มหน่อยดีกว่าฤทธิ์สมุนไพรที่ส่งกลิ่นหอมที่เหล่าสตรีชมชอบถูกความคิดพิเรนทร์ของเยี่ยหยางดัดแปลงพลิกคุณสมบัติกลับตาลปัตร กลายเป็นเหม็นร้อยลี้แทน เพิ่มฤทธิ์เดชโอสถบัดซบให้ขจรไกลยิ่งกว่าเดิมลู่เฉินที่รู้นิสัยของญาติผู้พี่เป็นอย่างดี ตลอดเวลาที่เขาปรุงโอสถก็คอยลอบมองชินอ๋องราชอาณาจักรซีเว่ยผู้นี้เป็นระยะ ๆ ว่าจะสร้างเรื่องอะไรหรือไม่เพราะเจ้าตัวไม่ได้ก่อเรื่องมานานเกิน ไม่รู้ว่าจะอดกลั้นอดใจได้ถึงเมื่อไหร่