เวลาผ่านไปสักพัก... สายตาสองคู่นิ่งเรียบยังคงจ้องมองคนตัวเล็กอย่างไม่วางตา ก่อนที่ชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายเริ่มก้าวเข้ามาแล้วเดินวนรอบตัวเธออย่างพินิจ ท่าทางแบบนี้ มันเหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด... วันแรกที่เจย์เดนได้ทำความรู้จักกับเธอเขาก็ทำแบบนี้เหมือนกัน “เอเดรียน ข้าเคยบอกแล้วไงว่ามนุษย์ไม่ได้ทำความรู้จักกันแบบนี้” หญิงสาวเอ่ยปรามสามีของตนเมื่อเห็นเหมือนว่าสาวน้อยตรงหน้าจะหวาดกลัว “ข้ามีนามว่า ไลเรน เป็นแม่ของเจ้าแสบนี่ และเจ้าคงเป็นลินิน...ว่าที่ชายาของลูกชายข้าสินะ” ไลเรนเริ่มทักทายสาวน้อยตรงหน้าด้วยท่าทางเป็นมิตร ในขณะที่ เอเดรียน ท่านพ่อของเจย์เดนนั้นได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับพยายามปรับสัญญาณอยู่อย่างไรอย่างนั้น จนท่านแม่ของเจย์เดนถึงกับต้องหัวเราะ แหะ ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความน่าอายของสามีตน “อย่าถือสาไปเลยจ่ะ เขาก็เป็นแบบนี้แหละเวลาเจอมนุษย์แปลกหน้า” แต่แล้วเอเดรียนก็ก้าวเดินเข้ามาใกล้เธออีกครั้ง “เจ้าคือว่าที่ชายาของลูกชายข้าในรอบหลายร้อยปีสินะ” ไม่ว่าเปล่ายังเดินเข้ามากุมมือเรียวบางของลินินขึ้นพร้อมทำหน้าทำตาประหนึ่งซาบซึ้งใจ “ท่านพ่อ ทำตัวน่าขนลุกจัง” เจย์เดนเอ่ยตำหนิพร้อมสี
ในที่สุดงานเลี้ยงวันสถาปนาตระกูลแบรดฟอร์ดก็มาถึง บรรดาตระกูลน้อยใหญ่ต่างมาร่วมงานตามขนบธรรมเนียมเพื่อเป็นเกียรติแก่ตระกูลของตนเอง นอกจากนี้ ยังไม่ลืมที่จะพาเหล่าบุตรธิดาของตนมาเข้าร่วมงานด้วย เนื่องจากโดยส่วนใหญ่แล้ว การร่วมงานฉลองที่แสนใหญ่โตเช่นนี้ก็เหมือนเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการจัดหาคู่และขายบุตรสาวของตัวเองออกไปให้ตระกูลดี ๆ นั่นเอง “เจ้าต้องทำตัวให้สง่างามเข้าไว้นะ เผื่อจะถูกตาต้องใจท่านชายบ้าง...” เสียงชายวัยกลางคนพูดคุยกับบุตรสาวของตน ใช่แล้ว บางตระกูลก็อาจหวังสูงถึงขั้นอยากให้บุตรสาวได้ครองคู่ข้างกายท่านชายอย่างเจย์เดน และถึงแม้ว่าข่าวลือที่ว่าเขามีว่าที่ชายแล้วจะแพร่สะพลัดออกไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนพวกนี้หยุดคิดไต่เต้าตัวเองเลย ขณะที่เจย์เดนก้าวเดินมุ่งหน้าสู่บัลลังก์ที่เตรียมเอาไว้ด้วยท่าทางองค์อาจ บรรดาหญิงสาวในชุดราตรีทรงสง่าก็มองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย บอกตามตรง หากว่าพวกเธอได้ครองคู่กับเขา ชีวิตคงสุขสบายไปตลอดหลายพันปีแน่ แต่ความคิดนั้นก็ต้องสิ้นสุดลง เมื่อลินินปรากฎตัวขึ้นในชุดราตรีสีขาวทรงสง่า ทรงผมถูกรวบเก็บจนเผยให้เห็นลำคอระหง เธอก้าวเดินเข้ามาภายในงานพร้อมกับท่านพ่อแ
“ขอแสดงความยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านชาย” หญิงสาวใบหน้าหวานละมุน แต่ดวงตาของเธอที่มีสีแดงกลับแข็งก้าวและดุดัน ต่างจากตอนเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง “เหตุใดเจ้าถึง......ได้ยังไงกัน......” ไม่เพียงแค่เจย์เดนเท่านั้นที่ตกใจ แต่ทั้งท่านพ่อและท่านแม่ รวมถึงบรรดาผู้รับใช้ในตระกูลแบรดฟอร์ด ตลอดจนถึงไนเจลและเฟย์ก็ต่างตื่นตระหนกไม่แพ้กัน และหากมองจากรูปการณ์แล้ว กอนซาเลซคงตั้งใจพาเธอมาเพื่อหยามเกียรติเจย์เดนอย่างเห็นได้ชัด อดีตคนรัก...ที่ได้รับพิษรักจากศัตรู เหมือนพาคนรักเก่ามาพบปะคนรักใหม่ที่ไม่ชอบหน้ากันอยู่แล้ว ไม่ว่ามองอย่างไร การกระทำเช่นนี้มันก็หยามกันเกินไป และดูเหมือนเจ้าหล่อนก็จะยอมทำตามใจเจ้าของพิษรักอย่างไร้ซึ่งข้อกังขาเสียด้วย ไม่เกรงใจคนรักเก่าบ้างเลยหรือไงกัน เจย์เดนเองก็รู้สึกเช่นนั้น สายตาจับจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา หญิงสาวที่เคยมอบความรักให้กัน บัดนี้กลับไปยืนเคียงข้างศัตรู แต่สิ่งที่น่าฉงนไปมากกว่านั้นคือ...นางสิ้นใจไปแล้วมิใช่หรือ มิหนำซ้ำเขายังลงมือเผาร่างนางเองอีกต่างหาก ไม่ว่าจะมอบพิษรักอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะฟื้นขึ้นมาได้แน่ นอกเสียจากว่าตอนนั้นเธอยังหายใจอยู่ และหากเป็นเช่นนั้น...
อีกด้านหนึ่ง ระหว่างที่ผู้ครองบัลลังก์แห่งแบรดฟอร์ดกำลังเป็นเดือดเป็นร้อนใจอยู่นั้น หนุ่มสาวได้ออกมาเดินเล่นท่ามกลางแสงจันทร์นวลส่องประกาย และด้วยบรรยากาศเช่นนี้ หากผู้ใดมองเพียงผิวเผินคงเข้าใจว่าทั้งสองเป็นคู่รักที่กำลังศึกษาดูใจกันอยู่เป็นแน่ “ท่านหญิง ข้าทราบมาว่าท่านเข้าเรียนมหาลัยด้วย ท่านช่างเก่งเสียเหลือเกิน” ระหว่างที่กำลังเดินเล่นด้วยกัน กอนซาเลซก็เอ่ยปากชวนสนทนา ส่วนร่างบางก็ได้แต่เดินตามและโต้ตอบเป็นบางประโยค “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ” ถึงแม้ดวงหน้าสวยจะเปื้อนยิ้มตลอดเวลาที่พูดคุยกัน แต่มันรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไรก็ไม่รู้ เจย์เดนก็หายไปนานเหลือเกิน ลินินคิดในใจก่อนจะหันมองโดยรอบที่มีเพียงเธอและกอนซาเลซอยู่กันตามลำพัง “ท่านหญิงคงพูดไม่เก่งสินะขอรับ” สายตาจับจ้องดวงหน้าสวยเป็นระยะ รอยยิ้มตรงมุมปากแสยะขึ้น แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีในแววตา แต่เป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกนักหรอก เพราะการชวนหญิงสาวออกมาเดินเล่นเช่นนี้ เป็นส่วนหนึ่งในแผนการบางอย่างของเขา ระหว่างที่กำลังเดินเล่นด้วยกันนั้น ลินินก็ยกมือขึ้นถูไปมา ด้วยความที่อยู่ท่ามกลางแมกไม้พณาไพรในช่วงเวลาพลบค่ำ จึงทำให้รู้สึกว่าอากาศโด
“พวกมันต้องไม่คิดหยุดเพียงเท่านี้แน่” ไนเจลปรากฎตัวขึ้นใกล้กับบริเวณที่เจย์เดนยืนอยู่ หลังจากงานเลิกรากับงานเลี้ยงแล้วเขาก็ออกมายืนอยู่ตรงนี้เพื่อสร้างความผ่อนคลายให้กับตัวเอง “ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายคนของข้า เจ้าไม่ต้องห่วง” ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่น้ำเสียงของเขาฟังดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน เจ้าของผมสีเงินจึงขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยผากถามสิ่งที่อยู่ในใจอย่างตรงไปตรงมา “คนของเจ้านี่นี้ หมายถึงอิซาเบลด้วยหรือเปล่า” เจย์เดนได้ยินแบบนั้นก็รีบหันมองคนข้างๆ ทันที ร่างสูงเม้มปากก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นไม่ยอมตอบสิ่งใด แต่เพียงแค่มองท่าทางพวกนี้ก็ทำให้สหายอย่างไนเจลล่วงรู้คำตอบในใจของเจย์เดนได้ในทันที “ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไร...” ไนเจลเอ่ยขึ้นอย่างตรงประเด็น “นี่เจ้าอย่าลืมนะว่าผลของพิษรักนั้นถาวร ไม่มีทางถอนได้ นางไม่ใช่อิซาเบลของเจ้าแล้ว เจ้าเข้าใจหรือไม่” “แล้วจะปล่อยให้นางอยู่กับหมอนั่นหรือไง” “นางเต็มใจรับมันเอง นางก็คงเตรียมใจเผชิญกับสิ่งที่เป็นอยู่เรียบร้อยแล้วแหละ อยู่มาได้นานเป็นศตวรรษ เจ้ามีอะไรให้ต้องห่วงใยนางอีก” “ต้องปลอดภัย...ทั้งคู่...” “ข้าว่าเจ้าอย่ามาทำตัวรักพี่เสียด
เจย์เดนยืนครุ่นคิดอยู่หน้าห้องของหญิงสาวอยู่สักพัก ในขณะที่ลินินเองก็ยังไม่ได้หนีห่างไปจากประตูมาก เธอเองก็ครุ่นคิดเช่นกันว่าจะยอมใจอ่อนเปิดให้เขาดีหรือเปล่า แต่เธอคงลืมไปแล้วว่าใครเป็นเจ้าของบ้าน ไม่นานนักมือหนาก็ล้วงหยิบกุญแจสำรองในกระเป๋าออกมาไขก่อนจะเปิดผลักบานประตูเข้าไป ลินินได้ยินเสียงไขกุญแจตั้งแต่แรกแล้ว เธอจึงมีความตั้งใจจะรีบเดินกลับไปที่เตียงแล้วแสร้งว่าตัวเองหลับไปแล้วจึงไม่ได้เปิดประตูให้เขา แต่ด้วยความที่ขายังไม่หายดี จึงกลับไปที่เตียงไม่ทัน เมื่อบานประตูเปิดออกแล้วเธอยังคงหยุดยืนอยู่กลางห้องเสียได้ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสายตาคาดโทษจากเจ้าของคฤหาสน์ที่ค่อย ๆ ก้าวเดินเข้ามาหาเธออีกต่างหาก แขนแกร่งยกขึ้นกอดอกแล้วเดินตรงเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ “เจ้าล็อคประตูห้องทำไมกัน” “ฉัน...ฉันลืมน่ะ...ก็ว่าจะลุกไปเปิดให้แล้ว แต่นายเปิดเข้ามาก่อนนี่ไง” พยายามพูดเอาตัวรอด แต่ไม่รู้ว่าเจ้าแวมไพร์ตัวโตจะปักใจเชื่อหรือเปล่าเนี่ยสิ “อย่างนั้นเหรอ?” ยังไม่เลิกกอกอก สายคมกริบจ้องมาอย่างไม่ลดละเหมือนกำลังอยากจะเค้นหาความจริง “อะ...อื้ม แล้ว...นายมาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่า” “ธุร
“ปล่อย ฉันเดินเองได้” หญิงสาวเริ่มดิ้นไปมาหวังให้คนตัวโตปล่อยเธอลง แต่มีหรือที่เจย์เดนจะยอมทำเช่นนั้น เขาลอบถอนหายใจอย่างหน่าย ๆ ก่อนจะกล่าวถึงประเด็นนี้ขึ้นอย่างจริงจัง “เจ้ากังวลเรื่องนี้เองสินะ” “บอกให้ปล่อย!” ด้วยความหงุดหงิดกำปั้นเล็กเริ่มทุบลงบนหลังของเขา ท่าทางฉุนเฉียวปนน้อยใจนั้นยิ่งทำให้ความแรงในการทุบเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่แรงเพียงเท่านี้มันไม่ทำให้เจ้าแวมไพร์สะทกสะท้านหรอก เจย์เดนยืนนิ่งเพียงชั่วครู่ก่อนจะออกตัวเดินต่อ “ข้าไม่ได้คิดอะไรกับอิซาเบลแล้ว” เขาตอบเพียงเท่านั้น ไม่ตรงคำถามเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ถามคือ ‘กับอิซาเบลถึงขั้นนี้ด้วยหรือเปล่า’ ราวกับจงใจตอบว่าไม่คิดอะไรแล้วเป็นการบอกปัดแทนอย่างนั้นล่ะ “คงถึงขั้นนี้สินะ...” เสียงหวานกดเสียงต่ำราว แต่มันไม่ได้ดูน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย ทำเอาเจ้าแวมไพร์ตัวโตแอบขำเสียด้วยซ้ำ “ปล่อยฉันลงเลย!” เมื่อเห็นอีกฝ่ายแอบขำก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ “เจ้าเดินช้าอย่างกับหอยทาก แล้วยังจะคิดเดินเองอีกเหรอ” เสียงระคนขำขณะยังคงแบกร่างของคนตัวเล็กที่ดิ้นอย่างเป็นเอาตายเอาไว้บนหลังได้อย่างสบาย ส่วนลินินที่โดนเขาพูดจาเย้าแหย่ใส่ประกอบกับการที่ตัวเองหนี
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มที่นั่งเฝ้าหญิงสาวที่ยังนอนหลับตาไม่ได้สติก็เกิดนึกได้ว่าเกือบลืมคนสำคัญของตนไป เขาจึงเรียกหาเธอ แต่เพียงแค่หันมองสุดวิสัยสายตาเพียงครู่เดียว เธอก็หายไปจากพื้นที่ข้างกายของเขาเสียแล้ว "ลินิน..." เมื่อเห็นว่าข้างกายว่างเปล่า และกลัวว่าเธอจะเกิดน้อยใจขึ้นมา เขาจึงรีบลุกขึ้นเต็มความสูงหวังจะลุกตามไปหาเธอ แต่ในขณะที่กำลังจะเดินไปนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงอีกมือหนึ่งที่เอื้อมแตะมือของตนเอาไว้เสียก่อน ตามมาด้วยเสียงอ่อยที่ฟังดูอ่อนแรงจากหญิงสาวที่ทอดกายนอนอยู่บนเตียง "ท่านชาย..." ดวงตาคู่สวยมองเขาด้วยสายตาล่องลอยประหนึ่งจะขอวามเห็นใจ "เจ้าฟื้นแล้ว?" "ท่านชาย ท่านอย่าทิ้งข้านะ กอนซาเลซ...เจ้านั่น...มันจะต้องมาตามล่าตัวข้าแน่" ว่าจบมือเรียวก็ยกจับชายผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเองท่าทางเหมือนกำลังหวาดกลัว เห็นเช่นนั้นคิ้วหนาก็ขมวดขึ้นเป็นพัลวันก่อนจะเอ่ยถามพร้อมสีหน้าจริงจัง "มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม" อิซาเบลนิ่งเงียบไปครู่หนึ่เหมือนว่าเธอกำลังชั่งใจว่าจะเอ่ยดีหรือเปล่า แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ดูราวกับจงใจยั่วยุให้อีกฝ่ายเดือดเนื้อร้อนใจในเรื่องของเธออย่างเห็นได
ในเช้าวันหนึ่งหลังมื้ออาหาร อยู่ๆ ลินินก็ได้รับสายจากบริษัทว่ามีธุระเร่งด่วนต้องเข้าไปเจรจากับทางโรงงานฝ่ายผลิต ด้วยแบบเสื้อผ้าที่โรงงานจัดทำตัวอย่างรุ่นแรกออกมามันผิดไปจากแบบที่เธอคาดหวังเอาไว้มากคิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจัดการบอกเลขาว่าเดี๋ยวจะเข้าไปที่โรงงานด้วยตัวเอง“ดูเหมือนต้องไปที่โรงงานเองแล้วล่ะ แบบที่ส่งมามันไม่ตรงกับที่สั่งไว้เลย” เธอบ่นให้สามีฟังขณะที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกเจย์เดนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ทำหน้าฉงน “เจ้าสั่งเลขาไปแทนก็ได้หนิลินิน ไม่เห็นต้องไปเองเลย ทำไมต้องเหนื่อยเองด้วย?” น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าคัดค้านสุดตัวลินินจึงหยุดมือจากการเตรียมเอกสารแล้วหันมามองมาทางเขาอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมสามีเธอจึงมีทีท่าเช่นนั้น“ก็เพราะเป็นแบรนด์ของฉันไง ฉันก็เลยอยากเข้าไปดูเอง”ได้ยินแบบนั้นเจ้าแวมไพร์ก็เริ่มขยับตัวเหมือนอยู่ไม่สุข สีหน้าของเขาเริ่มออกอาการกังวล ส่วนภรรยาตัวน้อยของเขาก็จับจ้องมองตามท่าทีนั้นอย่างไม่วางตา ด้วยสงสัยว่าสามีเป็นอะไรไป“แต่เจ้าไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้นี่นา ข้าแค่…แค่คิดว่าเจ้าควรพักบ้าง” ว่าจบก็ส่งมือหนาเข้ามากอบกุมมือเรียวของเธออ
ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ท่านพ่อและท่านแม่ของเจย์เดนมาถึงพร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ ทั้งสี่ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนผู้ใหญ่ในครอบครัวอดตกใจเสียไม่ได้“ลินิน เจ้านี่เก่งเหลือเกิน” ท่านแม่เอ่ยชมขณะมองดูหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ “ของข้าแค่คนเดียวก็ลมแทบจับแล้ว” ลินินยิ้มตอบ ขณะเดียวกันนั้นเจย์เดนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นในทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของแม่ตัวเอง “อะไรกันท่านแม่ ข้าเลี้ยงยากเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไลเรนได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เลี้ยงยากมาก เจ้าดื้อมากตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว” “ดื้อเหรอคะ?” ลินินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “ไม่เห็นเคยรู้เลย” เธอนึกภาพเจย์เดนผู้มีท่าทีสงบนิ่งกลายเป็นเด็กดื้อไม่ออกเลยจริง ๆ แต่ถ้าหากเรื่องความขี้แกล้ง อันนี้พอจะรู้อยู่บ้างแล้วล่ะเจย์เดนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่ได้ดื้ออะไรสักหน่อย ท่านแม่น่ะพูดเกินไป”“งั้นเหรอ?” ท่านแม่ส่งยิ้มพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์มาทางเจย์เดน ก่อนจะหลับตาลงแล้วเล่าเรื่องสมัยที่เจย์เดนยังเป็นเด็กขึ้น “แล้วใครกันที่ปีนต้นไม้หนีออกจากบ้านเพร
บังเอิญว่าในวันนี้ลินินจะต้องไปตรวจงานออกแบบเสื้อผ้าที่บริษัทของเธอ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พร้อมจะออกเดินทางเจย์เดนในเสื้อเชิ้ตที่พับแขนขึ้นเล็กน้อยก็เดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยมาดเข้ม "เจ้าจะไปนานไหม?" เขาถามลินินพร้อมย่อตัวนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยื่นมือหนาออกไปช่วยสวมรองเท้าให้เธอ"ไม่นานหรอก นายอยู่ดูเด็ก ๆ ไหวใช่ไหม?" ลินินหันมายิ้มให้เล็กน้อยเจย์เดนพยักหน้ามั่นใจ "ข้าเป็นแวมไพร์นะ เลี้ยงเด็กแค่นี้จะไปยากอะไร" ใบหน้าหล่อแสยะยิ้มขึ้นด้วยความมั่นใจลินินเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะนิดหน่อย "งั้นฝากด้วยนะ อย่าให้พวกเขาทำบ้านพังล่ะ""บ้านทนจะตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย" เขาพูดติดตลก พร้อมยกมือโบกให้ลินินก่อนที่เธอจะเดินออกไปตอนแรกทุกอย่างดูสงบเรียบร้อย เด็ก ๆ นั่งวาดรูปอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ไม่นานนัก เรย์เน่เริ่มบ่นว่าเบื่อและอยากเล่นซ่อนแอบ"ท่านพ่อ เล่นซ่อนแอบกับพวกเราไหมคะ" ไม่เพียงแค่เอ่ยถาม ยังส่งสายตาแวอย่างออดอ้อนมาให้เจย์เดนอีกต่างหากร่างสูงที่นั่งเฝ้าลูก ๆ พร้อมทำงานไปด้วยก็ชายตาขึ้นจากกองงาน ก่อนจะตอบรับ "ได้สิ นับสิบนะ"ยังไม่ทันจะเริ่มนับ เด็ก ๆ ทั้งห้าก็วิ่งวุ่นหาที่ซ่อนไปทั่วคฤหาสน์
เช้าวันหนึ่งลินินตื่นขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าลูก ๆ ยังหลับอยู่ เธอก็ตั้งใจว่าจะทำข้าวกล่องไปให้สามีที่บริษัท จึงรีบเร่งเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน“ทำเสต๊กแล้วกัน” เธอว่าพลางตัดชื้นเนื้อแล้วจับมันพลิกใส่เตาย่าง เมื่อสุกได้ที่แบบกลาง ๆ แล้ว ก็นำมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำ และพร้อมเริ่มเตรียมอย่างอื่นต่อไปแต่ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลูก ๆ ทั้งสี่ เจย์เนส เรย์เน่ เคย์ลิส และไลเอนน์ ก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าเสียก่อน"ท่านแม่ทำอะไรเหรอครับ/คะ?" เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ย ถามอย่างตื่นเต้น และเมื่อทราบว่าท่านแม่ของพวกเขากำลังจะทำรู้ข้าวกล่องไปให้ท่านพ่อที่บริษัท ทุกคนก็ดูเหมือนอยากจะช่วยกันคนละไม้คนละมือขึ้นมาในทันทีแต่แทนที่การช่วยจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิมเสียอย่างนั้นเจย์เนสที่เป็นพี่ใหญ่สุดพยายามช่วยลินินหั่นผลไม้ แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่จึงหั่นออกมาได้ไม่ค่อยเท่ากันนัก บางชิ้นก็ใหญ่เกินกว่าจะยัดลงปากได้ ส่วนบางชิ้นก็บางเฉียบจนแทบไม่ไต้องเตี้ยวกันเลย จนลินินต้องเข้ามาแก้ให้ส่วนเรย์เน่ คนนี้ชื่นชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้รับหน้าที่ยืนแต่งจานสลัด แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก จึงใส่ใ
นานวันเข้า เจย์เนสและเรย์เน่ก็เริ่มโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเข้าแล้ว ส่วนน้องน้อยของพวกเขาตอนนี้ก็คล้ายกับเด็กมนุษย์ในช่วงวัยห้าขวบ และใช่ ทั้งมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงปีเป็นอย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าพวกเขาจะโตไวและเรียนรู้เร็วมาก เจย์เดนกับลินินจึงจ้างครูมาคอยสอนพวกเขาที่บ้านด้วย เนื่องจากเล็งเห็นว่าพวกเขาอาจยังไม่พร้อมที่จะไปเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น ๆนอกจากนี้ เมื่อเริ่มโตขึ้น การติดแม่ก็เริ่มน้อยลง กลายเป็นน้อง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนเจย์เนสในวัยหนุ่มน้อยเริ่มสนใจการอ่านหนังสือในห้องเงียบ ๆ หรือออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ที่ท่านพ่อของเขาจ้างมาฝึกส่วนตัวเสียมากกว่ามาขลุกอยู่ในห้องกับน้อง ๆ และนอกเหนือจากนั้นนิสัยก็เริ่มเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนผู้เป็นพ่ออย่างไม่ทิ้งห่างส่วนเรย์เน่ก็เริ่มมีความสนใจในเรื่องศิลปะและดนตรี บ่อยครั้งเธอจะเก็บตัวฝึกซ้อมเปียโนหรือวาดภาพในมุมของตัวเอง "ช่วงนี้ส่งไม้ต่อให้น้อง ๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะเหงาเลย"ลินินได้ฟังเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ถึงก็ยังมีสมาชิกตัวโตที่ดูเหมือนจะคอยมาแย่งแม่ของพวกเขาอยู่ตลอด
และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้งเข้าจนได้ เมื่อลินินส่องกระจกและเริ่มเห็นหน้าท้องที่ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้น“นี่เราไม่ได้ออกกำลังกายจนลงพุงหรือยังไงกันเนี่ย” เธอพึมพำ แต่แล้วก็นึกถึงตอนที่ตั้งท้องสองแฝดขึ้นมาได้ ว่ามันก็เริ่มต้นเช่นนี้นอกจากนี้เมื่อสังเกตอาการไปนานวันเข้า ยังมีอาการพะอืดพะอมร่วมด้วยอีกต่างหาก อาการนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจย์เดนต้องตัดสินใจพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลในที่สุด“ซูบผอมลงอีกแล้วนะขอรับท่านหญิง” ท่านหมอเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม"ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะกินเยอะไป อาหารก็เลยอาจจะไม่ย่อย แต่พอเห็นว่าผอมลงแล้วท้องป่องเหมือนครั้งที่แล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะ..." ลินินพูดเสียงเบาขณะที่ท่านหมอก็อัลตร้าซาวน์บริเวณหน้าท้องของเธอไปพลาง“ขอรับ ตั้งครรภ์อีกแล้ว..." ท่านหมอยืนยันความคิดของเธอเจย์เดนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลันหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลา ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องไปยังหมอหลวงราวกับอยากจะให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไป "ปกติแล้วแวมไพร์จะตั้งครรภ์ได้ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ?"“นั่นน่ะสิ” แววตาคู่สวยของลินินก็จับจ้องใบหน้าของท่านหมอด้วยความฉงนเช่นกัน พร้อมกับหันมองสามีของตน
หลังจากเจย์เนสและเรย์เน่เริ่มรู้ความ ภายในบ้านก็เริ่มวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย โดยเฉพาะเรื่องที่แฝดทั้งสองติดลินินมากจนถึงขั้นที่ว่าต้องจัดตารางว่าใครจะได้นอนกับแม่ในวันไหนกันเลยทีเดียวภายในห้องนั่งเล่น เด็ก ๆ เดินเข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้นก่อนจะวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะราวกับภูมิใจนำเสนอให้ลินินที่นั่งอยู่ในห้องนั้นได้ดูมัน"ตารางเวรนอนกับแม่" ลินินอ่านตัวหนังสือที่จ่าอยู่บนนั้นที่เรย์เน่และเจย์เนสช่วยกันออกแบบด้วยลายมือเด็ก ๆ ของพวกเขา นอกจากนี้ยังแบ่งช่องพร้อมใส่ชื่อตัวเองอย่างเสร็จสรรพด้วย"ใช่ค่ะ พวกเราจะได้ไม่ต้องแย่งกันว่าใครจะนอนกับท่านแม่วันไหน”“แม่นอนกับพวกลูกได้ทุกวันทั้งคู่อยู่แล้ว” ลินินอธิบาย แต่แล้วก็ได้รับการส่ายศีรษะตอบกลับจากพวกเด็ก ๆ“แต่ท่านแม่นอนตะแคงกอดพวกเราได้แค่คนเดียว เพราะฉะนั้นแบ่งเป็นวันแบบนี้เนี่ยะแหละครับดีแล้ว” เจย์เนสยังคงยืนกรานว่าจะจัดตารางแบบนี้ โดยมีน้องสาวฝาแฝดอย่างเรย์เน่พยักหน้าหงึกหงักอยู่ข้าง ๆ“วันนี้เป็นวันของพี่เจย์เนสนะ” เรย์เน่พูดขึ้นอย่างจริงจัง หลังจากมองดูตารางในมือ “พรุ่งนี้เป็นวันของน้อง” เธอเสริมพลางยิ้มกว้างให้พี่ชายเจย์เนสพยักหน้าใบหน
“เจ้าปีศาจยักษ์ ส่งตัวราชินีของข้ามา ไม่อย่างนั้นโดนดีแน่!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายวัยหนี่งขวบ (?) ดังลั่นไปทั่วขณะที่ถือดาบไม้ไล่ฟาดฟันพ่อของเขาใช่แล้ว อย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าลูกแวมไพร์นั้นโตเร็วและ แต่ก็ไม่คิดว่าเพียงหนึ่งปีจะโตถึงขนาดเล่นอัศวินกับท่านพ่อของพวกเขาได้แล้ว!ช่วงเดือนแรก หากเป็นทารกมนุษย์ทั่วไป ก็คงไม่ส่งเสียงพูดอ้อแอ้ใช่ไหมล่ะ แต่บ้านนี้ส่งเสียงได้ตั้งแต่หนึ่งเดือนหลังคลอด เรื่องนั้นว่าตกใจแล้ว แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาเริ่มคลานได้ในเดือนที่สอง และตั่งท่าเดินได้เสร็จสรรพในระยะเวลาเพียงหกเดือน! ทำเอาท่านแม่อย่างลินินตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นลูกโตวันโตคืนชนิดที่ว่าไม่ต้องสอนให้ตั้งคลานหรือยืนตั้งไข่เลย พวกเขาทำได้เองตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ รู้ตัวอีกทีก็ถือดาบวิ่งไล่ฟันเจย์เดนได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วและในตอนนี้ หากนับตามลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ สองแฝดเหมือนเด็กอายุสี่ขวบเข้าให้แล้วล่ะ“ไม่ส่งคืนหรอก นี่ราชินีของข้า” แต่ดูเหมือนคนเป็นพ่อจะไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่นัก ดูจากที่เล่นกับลูกชายอย่างมีความสุขแล้วอยู่ ๆ ร่างสูงใช้สองแขนแกร่งช้อนตัวของลินินท
หลายเดือนต่อมา ท้องของลินินก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และอีกไม่นานก็จะถึงวันกำหนดคลอดของเธอแล้ว ถึงแม้จะตั้งครรภ์เพียงสี่เดือนครึ่ง อุ้มท้องไม่นานเท่าอายุครรภ์ของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายไปกว่ากันหรอก เพราะข้างในเป็นแวมไพร์เด็กที่เมื่อเวลาดิ้นทีก็ทำผู้เป็นแม่แทบลมจับเลยทีเดียว “ลินิน ข้าต้องออกไปบริษัท พอดีมีโครงการจะซื้อเครื่องบินลำใหม่ ต้องไปฟังความคิดเห็นคณะผู้บริหารด้วย เจ้าอยู่คนเดียวสักพักได้ไหม” จะว่าไปแล้ว ช่วงใกล้คลอดนี้เจย์เดนจับตาดูภรรยาทุกฝีก้าวเสียยิ่งกว่าช่วงแรกเสียอีก จะขยับแต่ละทีก็จะต้องมีเขาคอยช่วยประคองอยู่ตลอด ลินินที่ได้ยินสามีเอ่ยแบบนั้นก็พยักหน้าเหมือนว่ารับทราบ “นายไปเถอะ ฉันอยู่ได้ ไม่ต้องห่วง” โชคยังดี เพราะด้วยความที่ใกล้ครบกำหนดคลอดแล้ว แม่สามีจึงอาสาว่าจะมาช่วยดูแลเธออย่างใกล้ชิดอีกแรงด้วย นั่นทำให้เจย์เดนที่ข่วงนี้งานรัดตัวรู้สึกวางใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เป็นห่วงหรอกนะ “ห้ามดื้อนะรู้ไหม” ว่าจบเขาก็กดนิมฝีปากลงบนหน้าผากของเธอประหนึ่งว่าคนตรงหน้าคือสิ่งที่น่าทะนุถนอมที่สุดในโลก “สภาพนี้ฉันดื้อไม่ไหวหรอก” เธอกล่าวระคนติดตลก แ