“ครั้งนั้นไม่นับนะเพคะ” นางแก้ตัว ครั้งนั้นโดนต้นหลิวอายุเกือบร้อยปีกลั่นแกล้งต่างหาก “หม่อมฉันไม่มีวรยุทธ์นี่ จะได้ใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินได้เหมือนใครบางคน” “เจ้ากำลังตำหนิข้า?” “หม่อมฉันมิกล้าเพคะ”นางแสร้งก้มหน้าเหมือนสำนึกผิด ย่อตัวลงนั่งเพื่อสวมรองเท้า ทว่าเขาฉวยโอกาสทิ้งตัวลงนอนหนุนตักนางหน้าตาเฉย หญิงสาวอ้าปากค้าง เหลียวมองรอบกาย แต่ไร้เงานางกำนัลทั้งที่เมื่อครู่ก็ยังอยู่ติดตามนางตั้งหลายคน “ท่านอ๋อง” ว่านหนิงเหมยได้แต่นั่งนิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง แต่เห็นอีกฝ่ายปิดเปลือกตา นางทำได้แค่ยิ้มออกมา “สบายแบบนี้เอง มิน่า เจ้าถึงชอบมาขลุกอยู่ที่นี่” “หม่อมฉันตั้งชื่อแล้วนะเพคะ” นางอยากใช้ปลายนิ้วคลึงรอยขมวดระหว่างหัวคิ้วของเขาเหลือเกิน คนผู้นี้แบกเรื่องราวอะไรไว้มากมายนักหนานะ “ชื่อสวนกระจ่างใจ” “แล้วผู้ใดได้กำไลข้อมือของเจ้าไป” เขาได้ยินเรื่องที่นางให้บรรดานางกำนัลและคนรับใช้ที่ช่วยนางตบแต่งสวน ช่วยกันตั้งชื่อมาบ้างแล้ว “ไม่มีเพคะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส เริ่มเข้าฤดูร้อนแล้ว แต่ใต้เงาไม้เช่นนี้กลับคงค
“ตอบแทนด้วยเงินทองตามสมควร ผู้ใดอยากทำงานใดหรือมีที่ต้องการไปก็จัดส่งนางไปเสีย แต่ข้าไม่แนะนำให้เจ้าเก็บพวกนางไว้ใกล้ตัว ไม่ใช่ว่าเจ้าสวยสู้พวกนางไม่ได้ แต่บางคนมีความริษยาละโมบโลภมาก หากเก็บไว้ใกล้ รังแต่จะต้องคอยระแวงว่าคนพวกนี้แทงข้างหลังเจ้าเมื่อไหร่” ซานม่านหวานึกถึงเรื่องที่มาร์คัสเคยพูดไว้ ปีศาจมังกรเพลิงกลืนกินพลังชีวิตพวกนาง แรกๆ นางคิดว่าองค์ชายเฟยเทียนมักมากในสตรี เพิ่งเข้าใจว่าเขาต้องสลับสับเปลี่ยนหญิงสาวเหล่านี้ เพื่อให้แต่ละนางได้ฟื้นฟูตนเอง ซานม่านหวาอดจ้องมองอย่างสำรวจว่านหนิงเหมยไม่ได้ นอกจากนางจะงดงามเปล่งปลั่งแล้ว ก็ไม่เห็นมีสิ่งใดในร่างกายที่แลดูชำรุดทรุดโทรมลงไป “จ้องข้าแบบนี้ทำไม” นางรู้สึกเขินอายกับสายตาของซานม่านหวา “ดูท่าทางปกติดีนี่นะ” ซานม่านหวายักไหล่ พึมพำกับตัวเอง “สงสัยได้กินน้ำอมฤตแน่ๆ ถึงได้อิ่มเอมเปล่งปลั่งเช่นนี้” ว่านหนิงเหมยถึงกับสำลักลมหายใจตัวเอง แก้มร้อนไปถึงใบหู ท่าทางของนางทำเอาซานม่านหวาที่พูดเสียงดังถึงกับหัวเราะแล้วรวบไหล่นางมากอดไว้ “เจ้านี่ช่างเปิดเผยเสียเหลือเกิน” ซ
“แคกๆๆๆ” เป็นเสียงสำลักน้ำลายของซานม่านหวา ส่วนจื่อเหยี่ยนถึงกับอ้าปากค้าง หญิงงามนางบำเรอเหล่านี้ แม้แต่ละคนมีความเป็นมาไม่เหมือนกัน แต่ละนางก็ไม่ได้มาจากชนชั้นทาสหรือสาวใช้ ให้กลับไปทำงานเยี่ยงสาวใช้ จะมีผู้ใดอยากทำหรือ? ล้วนแต่อยู่อย่างสุขสบายจนเคยตัวกันไปหมดแล้ว หากต้องให้ไปทำงานในโรงครัวหรือโรงซักล้างจริง สู้ออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่มิดีกว่าหรือ? “แต่พวกเราล้วนเป็นหญิงสาวที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดี ให้ไปทำเช่นนั้นเกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้เพคะ” รุยหลงกำมือแน่น อยากกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความไม่พอใจแต่ก็ต้องสะกดอารมณ์ของตนไว้“แล้วไยหญิงผู้อื่นทำได้เล่า” ว่านหนิงเหมยแสร้งทำหน้าไร้เดียงสา “งานที่ข้าเอ่ยออกไปล้วนเป็นการรับใช้ท่านอ๋องด้วยกันทั้งสิ้นหรือเจ้าเห็นว่าท่านอ๋องควรมาทำงานเหล่านี้เอง”รุยหลงอ้าปากจะโต้เถียง แต่หญิงงามคนอื่นๆ ต่างหันไปพูดคุยปรึกษากัน เริ่มแตกเสียงไม่สนใจในสิ่งที่รุยหลงโน้มน้าวให้ต่อต้านพระชายา“ข้าดีใจแทนท่านอ๋องที่เห็นเจ้าภักดีต่อท่านอ๋องเช่นนี้ แต่ข้าจำเป็นที่ต้องทำความประสงค์ของท่านอ๋องเช่นกัน”ว่านหนิงเหมยยังคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ราวกับไม่เห็นไฟโทสะในแววตาของรุยหลง“ข้ามาแ
“อย่าให้หม่อมฉันต้องทำเช่นนี้อีกนะเพคะ” “เป็นเรื่องนี้เองรึ” องค์ชายเฟยเทียนลูบผมยาวสลวยดุจแพรไหมของนางอย่างทะนุถนอม “ข้าเพียงแค่อยากให้เจ้าสบายใจเท่านั้น ไม่คิดว่าจะทำให้เจ้าต้องลำบากใจ” “เป็นท่านอ๋องต่างหากที่ควรลำบากใจ หญิงเหล่านั้นงดงามกว่าหม่อมฉันเสียอีก ท่านอ๋องไม่เสียดายหรือเพคะ” “ข้ามีเจ้าก็พอแล้ว” พูดพลางใช้มือปัดเส้นผมของนางออกเผยลำคอขาวชวนลิ้มรสผิวกายอุ่นหวานของนางนัก แต่หญิงสาวขยับตัวผละออกจากแผงอกของเขาก่อน “พูดจริงนะเพคะ”นางจ้องหน้าอย่างรอคำตอบ “ย่อมเป็นเช่นนั้น” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หมายปิดปากช่างน้อยใจนั้นเสีย แต่นางกลับขยับตัวลุกขึ้นจากตักของเขาหน้าตาเฉย “คืนนี้หม่อมฉันเพลียมาก ขอนอนเร็วเพคะ” พูดจบก็ขยับตัวไปเอนกายลงนอนอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจชายหนุ่มที่ถูกปลุกให้ตื่นตัวแล้ว ใครเป็นปีศาจกันแน่! องค์ชายเฟยเทียนคำรามในลำคอ นางช่างกล้านัก มาปลุกเร้าให้เขาตื่นตัวแล้วคลานหนีไปนอนหน้าตาเฉย อยากโผเข้าใส่แล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าของนางออกร่วมอภิรมย์อย่างป่าเถื่อน แต่ทนเห็นร่างเล็กเป็นรอยช้ำเพร
“ท่านพูดเหมือนรู้ว่าข้าน้อยเป็นใคร” หญิงสาวถามอย่างประหลาดใจ นางมาอยู่ที่ตุนหวงสองเดือนแล้ว แต่ไม่ค่อยได้เปิดเผยตัวต่อผู้ใด ข่าวร่ำลือกันว่าชายาของท่านอ๋องมีใบหน้าอัปลักษณ์จนต้องเก็บซ่อนไว้ในตำหนัก นางไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ที่นางใส่ใจคือเสียงกระซิบเตือนให้นางระวังเคราะห์กรรมขององค์ชายผู้นั้น อย่างไรเขาก็เรียกปีศาจออกมา ค่าตอบแทนของอำนาจที่เขาได้รับ มันสูงเกินกว่าที่เขารับมันได้ นางเองไม่ยินยอมให้เขาแบกรับสิ่งนั้นเพียงผู้เดียว “อมิตาพุทธ” ไต้ซือรูปนั้นเอ่ยขึ้นด้วยแววตาเปี่ยมเมตตา “อาตมาเพียงเห็นความทุกข์อยู่เบื้องหน้า เพียงชี้ทางเดินให้เท่านั้น” ว่านหนิงเหมยอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแต่เปลี่ยนใจ นางประนมมือไหว้ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ ยืนรอจนไต้ซือรูปนั้นเดินจากไปแล้วจึงเดินลงบันไดอย่างเหม่อลอย ราวกับลืมไปว่า นางยังมีซิ่นเจี่ยงติดตามมาด้วย “พระชายามีเรื่องใดให้กังวลใจหรือ?” ซิ่นเจี่ยงอดถามไม่ได้ แม้ไม่ได้เคร่งครัดในศาสนาแต่ก็มิได้ลบหลู่แต่ประการใด ช่วงหนึ่งที่องค์ชายเฟยเทียนรับเอาปีศาจมังกรเพลิงเข้าไว้ในร่างกาย เขาเดินทางเสาะหาสารพัดวิธีที่จะ
“กลับเถิด” นางเอ่ยแล้วลดมือลง ทำให้ผ้าม่านหน้าต่างรถม้าปิดกั้นนางและภาพเบื้องหน้ามาร์คัสยืนอยู่ไม่ห่างจากซานม่านหวา เพียงสายลมกระแสหนึ่งพัดผ่าน ปลายจมูกฟุดฟิดได้กลิ่นคุ้นเคย เขาหันมองทิศทางที่มาของกลิ่น แม้เห็นเพียงรถม้าคันหนึ่ง แต่เขาก็มั่นใจว่าเป็นหญิงสาวผู้นั้นซานม่านหวาที่อยู่บนหลังม้ากำลังพูดคุยกับองค์ชายเฟยเทียน ด้วยเร่งซ่อมกำแพงเมืองทำให้ต้องนำกำลังทหารมาใช้ นางและองค์ชายเฟยเทียนรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลหันเหความสนใจไปด้านหลัง มองด้วยหางตาก็เห็นชัดว่ามาร์คัสกระโจนพุ่งตัววิ่งไปตามรถม้าคันนั้น“เกิดอะไรขึ้น?” ซานม่านหวาขมวดคิ้ว ด้วยความอยากรู้ นางไม่เอ่ยขออนุญาตกับองค์ชายเฟยเทียนแต่กลับบังคับม้าให้ตามรถม้าคันนั้นไป ดวงตาคมหรี่มอง แม้เป็นเพียงรถม้าธรรมดาไม่มีตราสัญลักษณ์ของเขา แต่เดาได้ว่าเป็นนาง เขาจึงกระตุกบังเหียนให้ม้าตรงไปจุดหมายเดียวกันอยู่ในร่างมนุษย์แต่มาร์คัสก็เคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นเดียวกับหมาป่า เมื่อเข้าไปใกล้เขากระโจนสุดแรง เพียงการกระโดดครั้งเดียวไปอยู่บนหลังคารถม้า รถโคลงไหวสั่นเอนเล็กน้อย แต่เรียกเสียงร้องตกใจจากหญิงสาวด้านใน มาร์คัสม้วนตัวตีลังกา
รุยหลงขยับผ้าคลุมศีรษะของตนบังแสงแดดร้อนแรงที่ราวกับบาดผิวกาย นางแทบไม่เคยย่างกรายออกจากฮาเร็มขององค์ชายเฟยเทียน หญิงนางบำเรอคนอื่นๆ ล้วนแยกย้ายกันกลับไปตามบ้านเกิด บางคนที่ยังไม่มีที่ไป ก็ได้รองแม่ทัพซานม่านหวาช่วยเหลือให้ที่พักพิงชั่วคราว แต่ละคนล้วนได้ถุงเงินตอบแทนไปไม่น้อย นางเองก็เช่นกัน ทว่าลึกๆ แล้วนางไม่พอใจอยู่มากทีเดียว นางกัดริมฝีปากเม้มจนเรียบตึงข่มโทสะภายใน แม้นางเลือกจากออกจากตำหนักดุจตะวัน แต่ในใจก็ไม่พอใจกับสิ่งที่ตนได้รับ นางมีคนรู้จักอยู่ในตุนหวง เมื่อพาตัวเองออกจากตำหนักและมั่นใจดีแล้วว่าไม่มีผู้ใดติดตามมา นางจึงไปพบคนผู้หนึ่งในหอนางโลมราคาถูก บุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงหนา ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ผมยาวถูกถักเปียเดียวพันรอบคอ ใบหน้ามีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่จากหน้าผากเฉียงเฉียดดวงตาไปยังใบหู มือใหญ่ยกขวดสุราเทลงคอพลางจ้องมองใบหน้าสะสวยของหญิงสาวเบื้องหน้า รุยหลงปราดเข้าไปนั่งเบื้องล่าง มือเรียวเกาะขาของชายผู้นั้นช้อนสายตาขึ้นมองด้วยน้ำตานองใบหน้า “พ่อบุญธรรม” รุยหลงบีบน้ำตาขอความเห็นใจตามด้วยเสียงสะอึกสะอื้นราวปวดใจแสนสาหัส “เ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น รุยหลงก้มตัวมองลอดรอยแยกของประตู เห็นเพียงแผ่นหลังของชายผู้หนึ่งและเส้นผมสีเงินยวงสะกดสายตา เพียงครู่เดียวนางเห็นคนผู้นั้นผินหน้ามาเล็กน้อย ลมวูบหนึ่งปะทะบานประตูกระแทกปิดสนิทจนรุยหลงไม่เห็นสิ่งใดอีก “ไปได้แล้ว!” เป็นเสียงลาซูตะคอกดังสนั่น “เจ้าค่ะๆ รุยหลงไปแล้ว” รุยหลงหวาดกลัวจนลนลาน เกือบจะคลานสี่ขาออกมาแล้ว ไม่รู้ว่าชายผู้นั้นเป็นใคร ไปอยู่ในห้องนั้นได้เมื่อไหร่กัน แต่เวลานี้นางต้องรีบเอาตัวรอดออกไปให้เร็วที่สุด ด้วยเหตุนี้นางจึงพยายามติดตามข่าวคราวจนรู้ว่าวันนี้พระชายาออกมานอกตำหนัก แรกทีเดียวนางคิดจะไปดักพบเจอที่วัดแต่ซิ่นเจี่ยงอยู่ไม่ห่างเลยสักนิด ทำให้นางติดตามมาจนถึงจุดซ่อมแซมกำแพงเมือง องค์ชายเฟยเทียนกำลังคุมการซ่อมแซมด้วยพระองค์เอง นางได้แต่มองภาพที่ชายผู้นั้นประคองหญิงสาวผู้ปิดบังครึ่งใบหน้าด้วยผ้าโปร่ง หัวใจนางถูกไฟริษยาแผดเผา นางกลับมองเห็นตัวเองเป็นคนที่ท่านอ๋องประคองลงจากรถม้าและอุ้มขึ้นม้า ได้นั่งม้าตัวเดียวกันเช่นนั้น นางเหลือเพียงโอกาสเดียวนี้เท่านั้น หากช้าเกินไปอาจไม่มีตำแหน่งที่
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนาง ลมหายใจของนางมีไว้เพื่อ เรื่องย่อ เรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวา เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขา ทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อย จวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่ง กฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจ แต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน และมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้น ที่จะต่อลมหายใจของนางได้ เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา เพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’ แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดี จาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’ (ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก) ‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’ “แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?” ‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’ “เจ้ารักข้า?” คำสารภาพรักของนางนั้น เขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมัง แต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ไ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช
“เจ้าเรียกปีศาจได้ ไยข้าจะทำบ้างมิได้” เพื่อชัยชนะ ย่อมทำได้ทุกอย่างไม่ว่าชัยชนะนั้นจะได้มาอย่างไรก็ตาม“เจ้าแลกสิ่งใดกับการเรียกปีศาจออกมา!”แม้เขามีปีศาจมังกรเพลิงอยู่ในท่อนแขนซ้าย แต่เรียกใช้เพียงการศึกครั้งเดียว เมื่อสิบปีก่อนที่เรียกกองทัพทหารปีศาจขึ้นมา กลายเป็นฝันร้ายไปชั่วชีวิต นับแต่นั้น เขาเพียงใช้แค่เกราะปีศาจมังกรเพลิงคุ้มกันกายค่าตอบแทนของทหารปีศาจเหล่านี้คือหายนะไม่สิ้นสุด ความตายที่ไม่อาจประเมินได้อยู่เบื้องหน้า ปีศาจเหล่านี้ล้วนต้องดื่มเลือดฉีกเนื้อกินวิญญาณมนุษย์ ครานั้นปีศาจที่เขาเรียกออกมากัดกินทหารฝ่ายตรงข้าม เศษซากที่เหลือกลายเป็นศพ กองเป็นภูเขาซากศพชวนให้อาเจียนและขนหัวลุก“ข้ามิโง่เช่นเจ้าที่แลกวิญญาณตนเองหรอกนะ” ลาซูแหงนหน้าหัวเราะ ดวงตากลายเป็นสีแดงราวกับย้อมด้วยโลหิต “แต่ข้าแลกด้วยชีวิตผู้คนในตุนหวง เมื่อข้านำกองทัพเข้ายึดครองแผ่นดินของเจ้า ผู้คนของเจ้าก็จะกลายเป็นอาหารอันโอชะให้พวกมันอย่างไรเล่า เมื่อเวลานั้นมาถึง ดินแดนของเจ้าจะมีเพียงผู้คนของข้าเท่านั้นที่เหยียบยืนบนแผ่นดินเปื้อนเลือดแห่งนี้”แม้ไม่ได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสอง แต่บัดนี้หญิงสาวเข้าใจแล้วว่
นางหวังให้ตัวเองส่งเสียงเตือนให้ดังกว่านี้ แต่เสียงที่เปล่งออกไปเป็นเพียงเสียงแหบแห้งและสั่นเครือ นางรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด อาภรณ์สีดำขลิบแดงที่นางสวมทำให้ผิวกายของนางแสบร้อน ดวงตาเบิกกว้าง นางเห็นกลุ่มคนบุกเข้าไปกำลังปะทะกับทหารมองโกล “ท่าน...อ๋อง...” เสียงของนางแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงของสายลม น้ำตาที่ทนกลั้นกลิ้งร่วงหล่นจากดวงตาเปื้อนแก้ม ขอให้นางได้เพียงส่งเสียง ได้เพียงเตือนเขาก็ยังดี “โอ๊ย!” ว่านหนิงเหมยร้องเสียงหลง หูทั้งสองข้างราวกับมีเสียงปริแตกลั่นดังเปรี๊ยะ! มือที่ถูกมัดทำให้ไม่อาจยกขึ้นมาแตะหูของตนได้ นางเจ็บจนนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนมีน้ำไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างนางหลับตาพยายามสะกดกลั้นความเจ็บที่ตนได้รับ เสียงหวีดแหลมที่ทำให้หูทั้งสองข้างเจ็บปวด ทำให้นางไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใดอีก ในชั่วลมหายใจต่อมา หญิงสาวรู้สึกว่าเชือกที่มัดนางอยู่ถูกตัดขาดอย่างรวดเร็วพร้อมร่างของนางที่ร่วงหล่น เพียงเสี้ยวเวลาอันแสนสั้นและเปราะบาง ยามนั้นนางกลับนึกถึงเมื่อครั้งที่นางตกต้นหลิวอายุเกือบร้อยปีในสวนสี่ฤดูของฮองไทเฮา หัวใจของนางหล่นวูบ
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่” มือเรียวกำแน่น เผลอจิกเล็บกับฝ่ามือของตนเอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจฟัง ลาซูจึงเอ่ยขึ้น “สังหารท่านอ๋องอย่างไรเล่า คงมีแต่ท่านเท่านั้นที่จะสังหารผู้ที่ครอบครองพลังปีศาจมังกรเพลิง” ลาซูพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “อ้อ! แต่อย่าได้เป็นกังวลไป หากพระชายากลายเป็นม่าย กระหม่อมยินดีรับท่านมาอยู่เคียงข้างอย่างไม่รังเกียจ” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี ฝ่ามือเล็กของหญิงสาวกระทบซีกแก้มของลาซูสุดแรงที่นางมี เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหญิงไร้วรยุทธ์จึงไม่หลบหลีกยินดีให้นางตบหน้าเขาเต็มแรง ว่านหนิงเหมยลดมือที่ยกค้างอยู่ลง แสร้งทำเป็นประคองสองมือไว้บนตัก ทว่ามือข้างขวานั้นชาและสั่นระริก หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองไม่ให้แสดงความตื่นตระหนกออกมา ดวงตาเป็นประกายฉายแววเคืองโกรธและจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว “หากมือของข้าต้องเปื้อนเลือด ต้องเป็นเลือดของคนชั่วเช่นเจ้าเท่านั้น! ข้ายินดีตายแต่ไม่ยอมทำร้ายท่านอ๋องเด็ดขาด!” “ดี!” ลาซูหัวเราะเหมือนคนเสียสติ ยื่นมือไปจับข้อมือข้างที่ตบหน้าเขากระชากนางให้ลุกขึ้นพร้อมกับต