บุรุษหนุ่มยืนบนกำแพงเมืองมองดูความเคลื่อนไหวเบื้องล่าง หลังจากการปราบกบฏแล้ว จึงรอดูความเรียบร้อยต่างๆ หลายวันมานี้ เขามักเฝ้ามองความเคลื่อนไหวอยู่บนกำแพงเมือง รอจนมั่นใจว่าไม่มีใครกล้ากระด้างกระเดื่องกับมนุษย์ครึ่งปีศาจอย่างเขาแล้ว จึงค่อยวางใจลง “ท่านอ๋อง ทางนี้เรียบร้อยดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซิ่นเจี่ยงเข้ามารายงาน แอบปาดเหงื่อและหอบน้อยๆ ที่ต้องไต่บันไดขึ้นมาบนกำแพงเมืองเช่นนี้ “เสร็จเรื่องแล้วจะได้กลับเสียที” องค์ชายเฟยเทียนพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวเดินลงบันไดไป ทิ้งให้กุนซือผู้บอบบางอ้าปากค้าง เขาอุตส่าห์ขึ้นบันไดมารายงานทั้งที่ตนเองกลัวความสูงนี่นะ “เจ้าติดตามข้ามานาน ควรฝึกวรยุทธ์ทุกวัน แค่เดินขึ้นบันไดจะได้ไม่หอบเป็นสุนัขเช่นนี้” “ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ ควรรู้ดีว่ากระหม่อมใช้สมองมากกว่าออกแรง สมองของกระหม่อมมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าองครักษ์ทั้งสองของพระองค์” ซิ่นเจี่ยงคลี่พัดโบกไปมา หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อพราวบนใบหน้าหล่อเหลาของตน “ถ้าเจ้าว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี พรุ่งนี้เดินทางกลับตุนหวง” องค์ชายเฟยเทียนเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้สน
“แบบไหน?” องค์ชายเฟยเทียนขมวดคิ้วปกติเขาไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ ผู้หญิงมีไว้บำบัดความใคร่แค่ทำให้เขารื่นรมย์ก็เพียงพอ ทว่าพอถูกถามเช่นนี้ ใบหน้าแรกที่คิดถึงกลับเป็นใบหน้าของหญิงสาวใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงผู้นั้น คืนนั้นตั้งใจเพียงแค่เข้าห้องหอเพื่อสั่งให้นางเตรียมตัวเดินทาง แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาของนางแล้ว เขากลับต้องฝืนใช้ยานอนหลับกับนาง และแม้หลับไปแล้วแต่กว่าจะปล่อยนางออกจากวงแขนได้ก็ไม่ง่ายเอาเสียเลย ร่างกายนุ่มนิ่มและกลิ่นกายหอมกรุ่น กลิ่นแบบที่เขารู้สึกว่านี่เป็นตัวนาง มันไม่เหมือนกลิ่นน้ำหอม แต่เป็นกลิ่นดอกไม้เบาบาง กลิ่นหญ้าอ่อน กลิ่นแดดอุ่น นางเหมือนหล่อหลอมเอาธรรมชาติอันบริสุทธิ์มาเป็นตัวของนางออกจากเมืองหลวงมาถึงแคว้นฉิน จนเสร็จศึกปราบกบฏรวมยี่สิบวันพอดี ป่านนี้นางคงใกล้ถึงตุนหวงเต็มทีเขาเห็นประเดี๋ยวนางก็หน้าแดงเหมือนคนเป็นไข้ ซ้ำยังเคยเลือดกำเดาไหลต่อหน้าเขาอีก เขาให้หมอหลวงจัดยาบำรุงให้นาง กำชับให้ดื่มยาบำรุงทุกวัน หวังว่านางคงไม่ดื้อดึงแม้ยานั่นรสขมไปเสียหน่อย“ท่านอ๋อง” เสียงเจ้าเมืองเรียกอย่างเกรงใจทำให้องค์ชายเฟยเทียนตื่นจากภวังค์ เมื่อหันกลับไปก็เห็นกระป
“เจ้านี่ดื้อชะมัด” จ้าวต้าพูดราวกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่เสียเต็มประดา ท่าทางเอาจริงเอาจังของจ้าวต้า ทำให้ว่านหนิงเหมยหัวเราะอย่างเปิดเผย จำได้ว่าครั้งแรกที่อาบน้ำให้เมฆาก็เป็นเช่นนี้ ปลุกปล้ำกันเป็นนานสองนาน กว่าจะจัดการทำให้มันสะอาดเอี่ยมอ่องราวกับคุณชายเลยทีเดียว“ดูสิ อาบน้ำแล้วเจ้าหล่อเหลาขึ้นเยอะเลย”“คุณหนู...เราต้องมีชื่อเรียกหมาป่าตัวนี้นะขอรับ” ถึงอย่างไรจ้าวต้าก็ยังเป็นเด็ก เขามองหมาป่าตัวนี้ประหนึ่งสัตว์เลี้ยงของตัวเองด้วย“นั่นสิ”นางจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลของมัน คล้ายกับเคยเห็นดวงตาเช่นนี้ที่ใดมาก่อน แต่พอมันหลบตาเอียงหัวใหญ่โตไปทางอื่น นางก็แหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า เป็นวันที่ท้องฟ้าสดใส ท้องนภาเป็นสีฟ้าเข้ม เมฆลอยตัวช่วยบังแสงอาทิตย์ ในใจหวนคิดถึงบ้านเกิดที่จากมา นางไม่ได้อาลัยอาวรณ์ ทว่ากลับรู้สึกขอบคุณท่านอ๋องที่ทำให้นางได้เห็นท้องฟ้างดงามและอิสระเช่นนี้“เมฆา” นางเอ่ยขึ้น “ข้าเรียกเจ้าว่าเมฆาก็แล้วกัน เจ้ามีอิสรเสรีเหมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้านั่นอย่างไรล่ะ”นางเห็นมันไม่คัดค้าน หรือถึงอยากจะคัดค้านนางก็ตั้งมั่นว่าจะเรียกมันเช่นนี้ นับตั้งแต่วันนั้นคนทั้งกองคาราวานคณะละครเร่รู้กันว่
ว่านหนิงเหมยยอมรับว่า ซานม่านหวาเวลานี้ดูงดงามราวกับเจ้าหญิงอาหรับเปอร์เซียในหนังสือที่นางเคยแอบอ่าน นางมิอาจเอาผิวกายขาวซีดของตนไปเทียบกับหญิงงามนางนี้ได้เลย ทำให้นางได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ จนกระทั่งปลายนิ้วของซานม่านหวาแตะปลายคางให้นางเชิดหน้าขึ้น“ก็สิ่งที่ข้ากำลังทำให้เจ้าอยู่ไง พระชายา” นางคลี่ยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ว่านหนิงเหมยรู้สึกไม่สบายใจ “เจ้าเป็นถึงพระชายา ไยยังมีกลิ่นอายสาวพรหมจรรย์เล่า”“เรื่องนั้น...เรื่องนั้น” เพียงพูดแค่นี้ ว่านหนิงเหมยกลายเป็นใบ้ในทันที“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องเข้าตุนหวงแล้ว เจ้าควรรู้ไว้บุรุษผู้นั้นมีหญิงงามนางบำเรอมากมายจนคร้านจะนับไหว แต่ละนางล้วนประชันขันแข่งเรียกความสนใจท่านอ๋องของเจ้า เจ้าควรรู้ว่าแค่หุงหาอาหาร เย็บปักเสื้อผ้า ไม่สามารถมัดใจเขาได้ ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการปรนนิบัติเติมเต็มความต้องการของบุรุษให้อิ่มเอมอีกแล้ว”การพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้ว่านหนิงเหมยผู้มีผิวขาวดุจหิมะแรกกลายเป็นสีแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด เพียงคืนแรกของการเข้าหอ นางถูกสามีทิ้งให้หลับใหลเพียงลำพังแล้ว ไม่อยากคิดเลยว่า หญิงสาวไม่ประสีประสาอย่างนาง จะสามารถสู้รบกับหญิง
“เช่นนั้น ไยไม่รับดอกไม้และผีเสื้อไปฝากภรรยาของท่านเล่า นางชอบชิ้นไหนมากที่สุด ท่านก็บอกว่าท่านเลือกชิ้นนั้น ส่วนอีกชิ้นถือว่าเป็นของฝากที่ข้าซื้อให้นางก็แล้วกัน” “ฟังดูเจ้าเล่ห์ไปหน่อย แต่ข้าก็เห็นดีกับความคิดของท่าน” เขาหัวเราะออกมา ว่านหนิงเหมยคลำหาถุงใส่เงิน แต่ลืมไปว่านางไม่ได้หยิบออกมาด้วย ชากกีหันไปพูดคุยกับช่างทำเครื่องประดับด้วยภาษาท้องถิ่น เขาพยักหน้าหงึกๆ เดินกลับไปข้างในแล้วจึงหันมาทางนาง “ประเดี๋ยวเราฝากเงินไว้กับหัวหน้าเผ่า ให้เขาไปรับเงินที่นั่นก็ได้” เขาหันมาคุยกับนาง ครู่ต่อมาหญิงคนหนึ่งกับชายคนเดิมออกมาแล้วยื่นผ้าผืนหนึ่งส่งให้ว่านหนิงเหมย “ผ้าคลุมศีรษะ อยู่นอกกระโจมท่านควรใช้มันให้คุ้นเคย” “ขอบคุณที่คอยเตือน” นางรับมาแล้วคลี่ออกคลุมศีรษะไว้ “ภรรยาของท่านอยู่ที่ใดกัน ข้าจะได้พบหรือไม่” ชากกีไม่อาจเก็บรอยยิ้มได้ เพียงคิดถึงคนรัก รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเขาเสมอ เขารับถุงผ้าใบเล็กที่ใส่ต่างหูจากช่างทำเครื่องประดับแล้วพาหญิงสาวเดินออกมา “นางทำงานรับใช้ท่านอ๋องอยู่ที่ตำหนัก อ
“ข้าเป็นเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ เผ่าพันธุ์ของข้าดำรงชีวิตมายาวนานก่อนมนุษย์ถือกำเนิดด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ดีกว่ามนุษย์ที่ยอมขายวิญญาณให้ปีศาจอย่างเจ้า” บุรุษในชุดดำแค่นเสียงหัวเราะ “อย่างไรเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาขวางทางข้า” “หากจุดหมายที่เจ้ามุ่งไปคือหมู่บ้านนั้น ข้าย่อมปล่อยเจ้าผ่านมิได้” “ขวางข้าได้ก็ลองดู” ชายหนุ่มกระตุกบังเหียน บังคับให้ม้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ชายผู้นั้นเปลี่ยนร่างกลับเป็นหมาป่าตัวใหญ่ กระโจนวิ่งไล่ตาม บุรุษบนหลังม้าที่บังคับให้ม้าวิ่งตัดซ้ายขวาสลับไปมา ทำให้หมาป่าที่วิ่งไล่ตามกระโจนพุ่งใส่หมายจะกัดสะโพกม้าต้องเสียจังหวะ มือใหญ่ดึงแส้ที่พกข้างตัวออกมาสะบัดในอากาศ หมายมั่นฟาดใส่หมาป่าตัวนั้น แต่มันหลบได้อย่างฉิวเฉียด ใกล้หมู่บ้านเข้าไปทุกที เขาลังเลว่าจะเข้าไปทันทีหรือว่าจัดการหมาป่าตัวนี้ก่อนดี ภายใต้แสงตะวันยามพลบค่ำ กระนั้นก็ยังเห็นเงาร่างบอบบางยืนอยู่ หมาป่าได้กลิ่นคุ้นเคย มันเลิกสนใจชายบนหลังม้าแล้วพุ่งไปทางหญิงสาวทันที หางตาของชายหนุ่มกระตุก เร่งม้าให้โจนทะยานไปเบื้องหน้า
“ถ้านั่งรออยู่นี่ ข้าจะเอาเนื้อย่างมาให้” นางต่อรอง แต่มันก็ยังทำท่าจะเข้าไปด้านในให้ได้ “ถ้าเจ้าไม่ดื้อ ข้าจะจุ๊บเจ้าทีหนึ่งเอาไหม” นางรู้ว่ามันชอบให้จุ๊บหน้าผากของมัน คราวนี้มันหยุดและจ้องมองนางราวกับรอคอย หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “เจ้าหมาทะลึ่ง”นางต่อว่าไม่จริงจัง โน้มตัวลงยื่นหน้าไปจะประทับริมฝีปากกับหน้าผากของมัน แต่ยังไม่ทันไร หญิงสาวต้องผวาเฮือก เอวบางถูกจับยกจนตัวลอย เผลอร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ รีบหันไปมองเจ้าของมือที่จับเอวนางยกขึ้นจนตัวลอยแบบนี้ “ท่านอ๋อง!” “เจ้ากำลังจะทำอะไร” ถามเสียงเรียบสีหน้านิ่งเฉย แต่แววตาแสดงความไม่พอใจเต็มเปี่ยม มือเล็กจับท่อนแขนที่ยื่นมาจับเอว นางเอี้ยวตัวหันไป มองเห็นแววตาความไม่พอใจฉายชัด แต่นางไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด“ไม่มีอะไรเพคะ” ว่านหนิงเหมยเอ่ยตอบ แต่อีกฝ่ายยังจับเอวนางในท่าเดิมรวมทั้งสายตาที่จ้องมองไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้นางทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อนพูดออกไป“ถ้าหมายถึงเมื่อครู่...หม่อมฉันแค่จุ๊บหน้าผากเมฆาเพคะ”“ไม่ได้!”เสียงดุนางทำเอาเมฆาแยกเขี้ยวใส่ แต่น
หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก นางไม่รู้สึกกลัวมันเลย น่าแปลกไปสักนิด แต่อาจเพราะท่าทางแสนรู้ของมันทำให้นางผ่อนคลายและไว้ใจก็เป็นได้“ไม่เพคะ มันอาจหลงกับฝูงของมัน ไม่มีที่ไป ต้องเดินทางโดดเดี่ยว เราก็เลยเข้าใจกันดีเพคะ”‘เข้าใจกันดี’“นอกจากคุยกับต้นไม้ดอกไม้ได้แล้ว เจ้ายังพูดคุยกับหมารู้เรื่องอีกรึ”“บอกว่ามันเป็นหมาป่าเพคะ” นางประท้วง น้ำเสียงไม่พอใจ แต่เห็นแววตามีรอยขบขัน นางจึงรู้ตัวว่าตกหลุมพรางของเขาไปแล้ว “หม่อมฉันสัญญาว่าจะดูแลมันให้ดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใด”“เจ้ากำลังขอร้องข้า?”ขอเลี้ยงหมาป่าตัวหนึ่งนี่ยากเย็นเพียงนี้เลยรึ นางเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้วเชิดใบหน้าขึ้น แม้ยืดหลังตรงแต่ศีรษะของนางยังแค่ปลายคางของเขา เขาตัวสูงใหญ่หรือนางตัวเล็กเกินไปละนี่“ก็ได้...หม่อมฉันขอร้อง”ไยเขากลับรู้สึกชื่นชอบท่าทางไม่ยอมจำนนของนางมากกว่าท่าทางเรียบร้อยเอาอกเอาใจเมื่อตอนกินอาหารมื้อค่ำ นางใส่ใจเขา เขารับรู้จากท่าทางการตั้งอกตั้งใจเขี่ยก้างปลาออกให้ เดิมทีเขาสนใจนางเพราะนางกุมความลับของเขา พลังที่นางได้รับมานั้น นางยังไม่รู้ว่าทำสิ่งใดกับเขาได้ นั่นคือสาเหตุให้เขากระว
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนาง ลมหายใจของนางมีไว้เพื่อ เรื่องย่อ เรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวา เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขา ทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อย จวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่ง กฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจ แต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน และมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้น ที่จะต่อลมหายใจของนางได้ เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา เพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’ แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดี จาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’ (ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก) ‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’ “แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?” ‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’ “เจ้ารักข้า?” คำสารภาพรักของนางนั้น เขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมัง แต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ไ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช
“เจ้าเรียกปีศาจได้ ไยข้าจะทำบ้างมิได้” เพื่อชัยชนะ ย่อมทำได้ทุกอย่างไม่ว่าชัยชนะนั้นจะได้มาอย่างไรก็ตาม“เจ้าแลกสิ่งใดกับการเรียกปีศาจออกมา!”แม้เขามีปีศาจมังกรเพลิงอยู่ในท่อนแขนซ้าย แต่เรียกใช้เพียงการศึกครั้งเดียว เมื่อสิบปีก่อนที่เรียกกองทัพทหารปีศาจขึ้นมา กลายเป็นฝันร้ายไปชั่วชีวิต นับแต่นั้น เขาเพียงใช้แค่เกราะปีศาจมังกรเพลิงคุ้มกันกายค่าตอบแทนของทหารปีศาจเหล่านี้คือหายนะไม่สิ้นสุด ความตายที่ไม่อาจประเมินได้อยู่เบื้องหน้า ปีศาจเหล่านี้ล้วนต้องดื่มเลือดฉีกเนื้อกินวิญญาณมนุษย์ ครานั้นปีศาจที่เขาเรียกออกมากัดกินทหารฝ่ายตรงข้าม เศษซากที่เหลือกลายเป็นศพ กองเป็นภูเขาซากศพชวนให้อาเจียนและขนหัวลุก“ข้ามิโง่เช่นเจ้าที่แลกวิญญาณตนเองหรอกนะ” ลาซูแหงนหน้าหัวเราะ ดวงตากลายเป็นสีแดงราวกับย้อมด้วยโลหิต “แต่ข้าแลกด้วยชีวิตผู้คนในตุนหวง เมื่อข้านำกองทัพเข้ายึดครองแผ่นดินของเจ้า ผู้คนของเจ้าก็จะกลายเป็นอาหารอันโอชะให้พวกมันอย่างไรเล่า เมื่อเวลานั้นมาถึง ดินแดนของเจ้าจะมีเพียงผู้คนของข้าเท่านั้นที่เหยียบยืนบนแผ่นดินเปื้อนเลือดแห่งนี้”แม้ไม่ได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสอง แต่บัดนี้หญิงสาวเข้าใจแล้วว่
นางหวังให้ตัวเองส่งเสียงเตือนให้ดังกว่านี้ แต่เสียงที่เปล่งออกไปเป็นเพียงเสียงแหบแห้งและสั่นเครือ นางรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด อาภรณ์สีดำขลิบแดงที่นางสวมทำให้ผิวกายของนางแสบร้อน ดวงตาเบิกกว้าง นางเห็นกลุ่มคนบุกเข้าไปกำลังปะทะกับทหารมองโกล “ท่าน...อ๋อง...” เสียงของนางแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงของสายลม น้ำตาที่ทนกลั้นกลิ้งร่วงหล่นจากดวงตาเปื้อนแก้ม ขอให้นางได้เพียงส่งเสียง ได้เพียงเตือนเขาก็ยังดี “โอ๊ย!” ว่านหนิงเหมยร้องเสียงหลง หูทั้งสองข้างราวกับมีเสียงปริแตกลั่นดังเปรี๊ยะ! มือที่ถูกมัดทำให้ไม่อาจยกขึ้นมาแตะหูของตนได้ นางเจ็บจนนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนมีน้ำไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างนางหลับตาพยายามสะกดกลั้นความเจ็บที่ตนได้รับ เสียงหวีดแหลมที่ทำให้หูทั้งสองข้างเจ็บปวด ทำให้นางไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใดอีก ในชั่วลมหายใจต่อมา หญิงสาวรู้สึกว่าเชือกที่มัดนางอยู่ถูกตัดขาดอย่างรวดเร็วพร้อมร่างของนางที่ร่วงหล่น เพียงเสี้ยวเวลาอันแสนสั้นและเปราะบาง ยามนั้นนางกลับนึกถึงเมื่อครั้งที่นางตกต้นหลิวอายุเกือบร้อยปีในสวนสี่ฤดูของฮองไทเฮา หัวใจของนางหล่นวูบ
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่” มือเรียวกำแน่น เผลอจิกเล็บกับฝ่ามือของตนเอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจฟัง ลาซูจึงเอ่ยขึ้น “สังหารท่านอ๋องอย่างไรเล่า คงมีแต่ท่านเท่านั้นที่จะสังหารผู้ที่ครอบครองพลังปีศาจมังกรเพลิง” ลาซูพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “อ้อ! แต่อย่าได้เป็นกังวลไป หากพระชายากลายเป็นม่าย กระหม่อมยินดีรับท่านมาอยู่เคียงข้างอย่างไม่รังเกียจ” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี ฝ่ามือเล็กของหญิงสาวกระทบซีกแก้มของลาซูสุดแรงที่นางมี เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหญิงไร้วรยุทธ์จึงไม่หลบหลีกยินดีให้นางตบหน้าเขาเต็มแรง ว่านหนิงเหมยลดมือที่ยกค้างอยู่ลง แสร้งทำเป็นประคองสองมือไว้บนตัก ทว่ามือข้างขวานั้นชาและสั่นระริก หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองไม่ให้แสดงความตื่นตระหนกออกมา ดวงตาเป็นประกายฉายแววเคืองโกรธและจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว “หากมือของข้าต้องเปื้อนเลือด ต้องเป็นเลือดของคนชั่วเช่นเจ้าเท่านั้น! ข้ายินดีตายแต่ไม่ยอมทำร้ายท่านอ๋องเด็ดขาด!” “ดี!” ลาซูหัวเราะเหมือนคนเสียสติ ยื่นมือไปจับข้อมือข้างที่ตบหน้าเขากระชากนางให้ลุกขึ้นพร้อมกับต