เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกปวดใจยิ่งที่แท้ตลอดเวลาที่เขาไม่อยู่ นางต้องผ่านความทุกข์ทรมานเช่นนี้มาเคราะห์ดีที่ว่า ตอนนี้เขามีเวลาอยู่กับนางแล้ว จะไม่ยอมให้นางอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีก“เพราะข้าไม่ดีเอง ทำให้ซวงเอ๋อร์ต้องลำบาก” เยี่ยเป่ยเฉิงกุมใบหน้าของนาง พร้อมจุมพิตด้วยความอ่อนโยนหลินซวงเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก ฝืนทนต่อความไม่สบายในร่างกาย ปล่อยให้เยี่ยเป่ยเฉิงใช้กำลังรั้งตัวเข้าในห้อมแขนนางรู้ดี ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร เยี่ยเป่ยเฉิงก็ไม่ยอมให้นางออกจากห้องอย่างแน่นอน จึงไม่คิดจะดิ้นรนอีกนางนึกว่าถ้ามีเยี่ยเป่ยเฉิงอยู่เป็นเพื่อน ตนคงไม่ฝันร้ายเหมือนที่แล้วมาอีก แต่พอหลับตาลง ฝันนั้นก็ยังคงตามมาหลอกหลอนจวบจนเที่ยงคืน หลินซวงเอ๋อร์สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายอีกครั้ง เมื่อย้อนนึกถึงภาพในความฝัน นางก็ยิ่งใจเต้นแรงไม่หยุด เนื้อตัวเปียกชุ่มด้วยเหงื่อในห้องยังจุดตะเกียงสว่างไสว นางหันกายมา ก็เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงนอนหลับสนิทอยู่ข้างกายหลินซวงเอ๋อร์ยังคงขวัญผวาไม่หาย แม้จะอิงแอบอยู่แนบอกเยี่ยเป่ยเฉิง ใจนางก็ยังมีกังวลอยู่มากฝ่ามือรู้สึกเจ็บแสบขึ้น นางจึงพบว่าที่แท้เพราะตนกำหมัดแน่นเกินไป จนเล็บจิกเข้าไปใน
“ท่านพี่ ข้าเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าสิ่งใดคือความฝัน สิ่งใดคือความจริง เพราะสิ่งที่เห็นเมื่อคืนนี้ เดิมทีอยู่แต่ในความฝัน...”“แต่จู่ๆ กลับปรากฏให้เห็นทั้งที่ข้ายังตื่นอยู่”“ตอนนี้แม้ข้าจะไม่นอน พวกมันก็ยังมารังควานอีก...”“ท่านพี่เจ้าคะ ข้าเคยบอกแล้วว่า ห้องนี้มีสิ่งประหลาดอยู่มากมาย เหตุใดท่านจึงไม่ยอมเชื่อข้า”หลินซวงเอ๋อร์นำความในใจของนางบอกกล่าวให้เยี่ยเป่ยเฉิงได้รับรู้ในที่สุดเขาจึงเริ่มตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากลเดิมคิดว่านางเพียงพักผ่อนน้อย จึงชอบคิดฟุ้งซ่าน แต่บัดนี้ดูแล้ว อาการน่าจะหนักหน่วงกว่าที่คิด“ซวงเอ๋อร์อย่าดื้อ ข้าจะตามหมอหลวงมาดูเจ้า เจ้าคงจะล้มป่วย...”เขาไม่กล้ารอช้า รีบสั่งให้เสวียนอู่เข้าวังไปเชิญหมอหลวงผู้หนึ่งมาดูหมอหลวงรีบมาถึงจวนอย่างเร็วเขาตรวจชีพจรให้หลินซวงเอ๋อร์ ไม่นานก็พบสาเหตุแห่งโรคเยี่ยเป่ยเฉิงให้หมอหลวงมาพูดข้างหน้าหมอหลวงกล่าว “ร่างกายพระชายาอ่อนแอยิ่งนัก ดูจากอาการเช่นที่เป็นอยู่ คาดว่าเกิดจากความเครียดสะสม หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะยิ่งหนักหนาสาหัส เกินว่าจะเยียวยาได้...”เยี่ยเป่ยเฉิงไม่อาจระงับความตกใจได้ ดวงตาดำขลับหรี่ลงรวด
เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงมองนางแบบนั้น หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่ในใจนางแสร้งทำเป็นกล่าวกับเยี่ยเป่ยเฉิงด้วยรอยยิ้ม “เป็นอะไรหรือ? ท่านหมอหลวงว่าอย่างไร? ไม่ให้ข้าคิดมาก? แล้วพักผ่อนเยอะๆ ใช่หรือไม่?”ไม่รอให้เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว หลินซวงเอ๋อร์ก็กล่าวขึ้น “หากเป็นอย่างนั้นจริง ก็หาใช่ป่วยหนักอะไร ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะพักผ่อนให้ดีๆ ”เยี่ยเป่ยเฉิงยังคงไม่พูดสิ่งใด สีหน้าเขาเคร่งขรึม สายตาที่มองนางดูซับซ้อนอย่างยิ่งในยามนี้เอง หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาเล็กน้อยนางคิดว่าเยี่ยเป่ยเฉิงรู้เรื่องอะไรบางอย่างเช่น เรื่องที่นางแท้งหรือเรื่องที่ต่อไปนี้นางจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกแล้ว…นางฝืนระงับความขมขื่นที่พรั่งพรูขึ้นมาในใจไว้ และกล่าวเร่งเร้าเยี่ยเป่ยเฉิง “ท่านพี่ยุ่งมากเลยมิใช่หรือ?ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ท่านรีบไปทำงานเถิด คืนนี้ไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร ข้าจุดไฟนอนก็ได้…”“ซวงเอ๋อร์…”ไม่รอให้นางได้ว่าจบ จู่ๆ เยี่ยเป่ยเฉิงก็สวมกอดนางแน่นเขากอดแน่นมาก หลินซวงเอ๋อร์เกือบจะหายใจไม่ออก“ท่านพี่?ท่านเป็นอะไรหรือ?”เยี่ยเป่ยเฉิงซุกหัวอยู่ในซอกคอนาง เสียงของเขาทั้งอ่อ
หลินซวงเอ๋อร์กำมือแน่นฉับพลัน ในใจเกิดคลื่นโหมกระหน่ำขึ้นมาทันใด“ดังนั้นเจ้าเลยปิดบังข้า?” น้ำเสียงของนางสั่นเบาๆ มือของเจียงหว่านยังคงวุ่นอยู่กับการจัดของ นางจุดเทียนขึ้นหนึ่งเล่ม นำเข็มแต่ละเล่มรนไฟอย่างพิถีพิถัน“ข้าก็คิดเพื่อเจ้า เจ้าร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด เดิมไม่ควรท้องอยู่แล้ว ต่อให้บอกเจ้าแล้วจะอย่างไร? นอกจากดีใจเก้อแล้วเจ้าก็ไม่ได้อะไรสักอย่าง”ท่าทางนางเรียบนิ่ง ราวกับพูดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทว่าหลินซวงเอ๋อร์กลับรู้สึกแสลงหูอย่างมาก“ต่อให้จะดีใจเก้อเจ้าก็ไม่ควรปิดบังข้า! และยิ่งไม่ควรปิดบังท่านอ๋อง!”เจียงหว่านถอนหายใจ พลางกล่าวอย่าวค่อนข้างรู้สึกระอา “น้องซวงเอ๋อร์ พูดตามตรง หาใช่ข้าจงใจปิดบังเจ้า แต่เพราะทารกในท้องเจ้าไม่มั่นคงเจ้าร่างกายเย็นมาตั้งแต่เกิดไม่เหมาะกับการตั้งครรภ์ แม้จะไม่เกิดอุบัติเหตุ เด็กในท้องเจ้าก็ไม่รอดอยู่ดี!”ว่าจบ นางพักไปครู่หนึ่ง พลางกล่าวกับนางด้วยท่าทางเสียใจสุดๆ “เฮ้อ! สูญเสียเด็กคนนั้นไป เกรงว่าวันหน้าคงตั้งครรภ์ไม่ได้ง่ายๆ อีกแล้วกระมัง?”“แต่ว่า ขอแค่เจ้าคิดอยากได้ ก็ดูแลร่างกายให้ดีๆ บางที่…อาจจะตั้งท้องอีกครั้งก็ได้”มือที่ซ่อ
ด้วยความคิดชั่วร้ายในใจ นางหยิบถ้วยกระเบื้องที่อยู่ถัดจากโต๊ะเตี้ยขึ้นมา แล้วโยนไปที่เจียงหว่านโดยไม่ลังเลใจถ้วยกระเบื้องกระแทกโดนหัวของเจียงหว่านอย่างจัง พลันเขียวช้ำขึ้นมาทันใดทั้งๆ ที่เจียงหว่านสามารถเอียงหัวหลบได้ แต่นางกลับไม่หลบ เหมือนกับจงใจรออะไรบางอย่างจากนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากนอกห้อง เจียงหว่านรีบกุมหน้าผาก และกล่าวด้วยสีหน้าหวาดกลัวออกมา “น้องซวงเอ๋อร์ นี่เจ้าเป็นอะไรกันแน่?”หลินซวงเอ๋อร์สงสัยไม่เข้าใจ ครั้นเห็นประตูห้องเปิดออก เยี่ยเป่ยเฉิงกำลังยืนมองเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในห้องอยู่หน้าประตู หลินซวงเอ๋อร์ถึงได้เข้าใจในทันทีไม่รอให้หลินซวงเอ๋อร์ได้พูด เจียงหว่านกุมหน้าผากคุยกับเยี่ยเป่ยเฉิงขึ้นก่อน “ท่านอ๋อง อาการป่วยของน้องซวงเอ๋อร์หนักขึ้นอีกแล้ว เมื่อครู่นางคลุ้มคลั่งทำร้ายคน หากยังไม่รักษาอย่างจริงจังอีก เกรงว่าอาการจะยิ่งแย่ลง”ว่าจบ เจียงหว่านก็ให้เยี่ยเป่ยเฉิงดูแผลบนหน้าผากนางยามนี้ หน้าผากนาวบวมนูนเป็นลูกใหญ่ขึ้นมาแล้ว โชคดีที่ไม่แตก มีแค่ฟกช้ำเท่านั้น“ท่านพี่…ข้าไม่ได้คลุ้มคลั่ง นางกำลังโกหก!” หลินซวงเอ๋อร์รีบอธิบายด้วยความร้อนรนนางไม่
เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้ว เขาถามหลินซวงเอ๋อร์ว่าเหตุใดถึงได้คิดเช่นนี้หลินซวงเอ๋อร์เลยบอกสิ่งที่ตัวเองเดาให้เยี่ยเป่ยเฉิงฟัง“ท่านพี่เชื่อข้าหรือไม่?” หลินซวงเอ๋อร์จับชายเสื้อของเยี่ยเป่ยเฉิงไว้ ประหนึ่งคว้าที่พึ่งสุดท้ายเอาไว้ตอนนี้ นางมีแค่เขาที่สามารถพึ่งพาได้ หากแม้แต่เขาก็ยังไม่เชื่อนาง นางก็คงจะแตกสลายจนสิ้นเยี่ยเป่ยเฉิงสวดกอดนางไว้ในอ้อมแขน พลางปลอบเสียงเบา “พี่จะไปสืบดู หากนางจะทำร้ายเจ้าจริง พี่ฆ่านางแน่!”ตอนนั้นเจียงหว่านสั่งยาสองชนิดให้หลินซวงเอ๋อร์ อันหนึ่งเป็นยาสมุนไพรใช้ภายใน อีกอันหนึ่งเป็นยาทาที่ใช้ทาแผลภายนอกเยี่ยเป่ยเฉิงเรียกเสวียนอู่เข้ามาในห้อง ให้เขาเอายาสองชนิดนี้ไปหาหมอหลวงในวัง ดูว่าส่วนผสมในนั้นมีผลไม่ดีต่อร่างกายหรือไม่เสวียนอู่ถือยาไว้ในมือ อดถามขึ้นมาไม่ได้ “หากแม่นางเจียงทำจริง ท่านอ๋องจะจัดการอย่างไรขอรับ?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ฆ่านางซะ!”“ขอรับ!” เสวียนอู่ไม่ถามอะไรมากอีก เขาถือยาและตรงออกจากประตูไปทันทีเยี่ยเป่ยเฉิงนั่งลงบนเก้าอี้ บนโต๊ะมีกระดาษแผ่นหนึ่งกางอยู่พอดี บนกระดาษนั้นมีเขียนอยู่ไม่กี่บรรทัดเดิมทีนี่เป็นวันมง
นางในยามนี้ สวมเสื้อผ้าเบาบาง ผมดำขลับด้านหลังตรงสรวยเงางามหลินซวงเอ๋อร์เห็นเขาผ่านกระจกนางหันกลับมา ดวงตาชุ่มชื่นคู่นั้นในเวลานี้กำลังจับจ้องมาที่เขา“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือ?”หลินซวงเอ๋อร์หยักยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ลักยิ้มบนแก้มเผยออกมา ปอยผมที่ย้อยทั้งสองข้างปลิวไหวเบาๆ ยิ่งขับให้ดูดีมากขึ้นเยี่ยเป่ยเฉิงแอบกลืนน้ำลาย อารมณ์สั่นไหวที่อยู่ในใจใกล้จะปะทุออกมาดีจริงๆ ซวงเอ๋อร์ของเขา ทั้งใจทั้งกายล้วนเป็นของเขา…เยี่ยเป่ยเฉิงมิอาจอธิบายได้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร เขาแค่รู้สึกว่าใจของตัวเองได้รับการเติมเต็มอย่างมากเขาเดินไปหาหลินซวงเอ๋อร์ทีละก้าวๆ แล้วโอบนางจากด้านหลัง ร่างเพรียวถูกอกหนาของเขาโอบไว้อย่างแน่นหนา“วันนี้ซวงเอ๋อร์ดื่มยาอย่างเชื่อฟังไหมเอ่ย?” เยี่ยเป่ยเฉิงหลุบตามองนาง ในตาพรั่งพรู่ไปด้วยความต้องการหลินซวงเอ๋อร์กล่าว “ดื่มแล้ว เป็นยาที่ท่านหมอหลวงสั่งให้ข้า”เยี่ยเป่ยเฉิงจูบหน้าผากหลินซวงเอ๋อร์ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “ซวงเอ๋อร์เป็นเด็กดีจริงๆ ”ทว่าหลินซวงเอ๋อรกลับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาผละเยี่ยเป่ยเฉิงออก และมองดูเขา ก่อนถามด้วยท่าทางเคร่งขรึม
หลินซวงเอ๋อร์มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ ทว่าก็อดถามเขาด้วยตัวเองขึ้นมาไม่ได้ว่า “ท่านพี่รู้เรื่องที่ข้าแท้งนานแล้วใช่หรือไม่…”เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ครู่ใหญ่ๆ ถึงได้พยักหน้าเบาๆ “ซวงเอ๋อร์ หมอหลวงบอกแล้ว ขอแค่รักษาดูแลตัวเองให้ดี วันหน้าอาจจะยังมีลูกได้…”หลินซวงเอ๋อร์หลับตาลง ก่อนลืมตาขึ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ ความจริงเจียงหว่านตรวจข้าว่าท้องได้นานแล้ว แต่นางกลับปิดบังไม่รายงาน ให้ยาข้าดื่มทุกวันสุดท้ายก็ทำร้ายข้าจนแท้งลูก ท่านพี่ยังคงเลือกที่จะปกป้องนางอยู่หรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขารู้ว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะคิดไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งแยกไม่ออกว่าไหนความจริงไหนลวงตา เขาคิดว่า ซวงเอ๋อร์ของเขาต้องคิดมากเกินไปแล้วแน่ ถึงได้คิดจนดูผิดปกติเล็กน้อยเขารู้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่สามารถไปกระตุ้นได้ จึงแกล้งทำเป็นไม่กล้าคุยเสียงดังใส่นาง ได้แค่คุยกับนางด้วยเสียงอ่อนโยน “ซวงเอ๋อร์ จะฆ่าคนต้องมีหลักฐาน เจียงหว่านไม่ได้มีความกล้าไปทำร้ายเจ้าหรอก เป็นเจ้าที่คิดมากเกินไป…”“ท่านก็ยังไม่เชื่อข้า…”หลินซวงเอ๋อร์ใหล้จะแตกสลายไม่มีใครยอมเชื่อนาง ทว่านางเชื่
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก