เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เพียงแค่คนไข้ไม่กี่คน ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ไม่ต้องให้เจ้ามาขวางหน้า ช่วยรับมีดแทนข้า!”น้ำเสียงเขาเย็นชาถึงขีดสุด คำพูดแสดงความห่างเหินอย่างเห็นได้ชัดเจียงหว่านรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นในใจ พลางกล่าวตอบเสียงสะอื้น “ข้า...ข้าเพียงห่วงว่าท่านจะบาดเจ็บ จึงรีบไปปกป้องตามสัญชาตญาณ ข้าทำอะไรผิดอีกหรือเจ้าคะ...”กล่าวพลางนางก็น้ำตาร่วง สะอึกสะอื้นจนตัวโยน ให้ใครเห็นเข้าก็ล้วนแต่รู้สึกสงสารแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับนึกรำคาญมากกว่า ซ้ำยังหงุดหงิดเหลือจะกล่าว“เจ้าทำผิดไปจริงๆ แส่ไม่เข้าเรื่อง หาเรื่องใส่ตัวโดยแท้”เจียงหว่านหยุดชะงัก แม้แต่เสียงร้องไห้ก็หยุดด้วยนางยอมเสียสละตนเองช่วยเขาต้านรับมีด เขาไม่เพียงไม่สงสารเห็นใจ ยังตำหนิว่านางหาเรื่องใส่ตัวอีก?เยี่ยเป่ยเฉิงยังมีหัวใจอยู่หรือเปล่า?มิเช่นนั้นแล้ว เขาจะเอ่ยปากกับตนเช่นนี้ได้อย่างไร?กงชิงเยวี่ยสุดจะทนฟังได้อีก จึงรีบตวาดลั่น “เยี่ยเอ๋อร์ เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร เจียงหว่านบาดเจ็บก็เพื่อช่วยเจ้า เหตุใดเจ้าจึงได้กล่าวเหลวไหลเช่นนี้?”เยี่ยเป่งเฉิงกล่าวตอบ “ข้าบอกแล้วว่า สิ่งที่นางทำคือไม่จำเป็น แม้ไม่มีนางมาขวาง
เยี่ยเป่ยเฉิงระงับความโกรธในใจ และกล่าวต่อเจียงหว่าน “เจ้าต้องการความปลอดภัยอันใดอีก แม้เจ้าจะไม่มีพ่อแม่ แต่ยังมีจวนตระกูลเจียง มีพี่ชายและพี่สะใภ้ พวกเขาก็ดีต่อเจ้ามาก หากยังต้องการความปลอดภัยอีก ข้าสามารถส่งเจ้ากลับจวนได้ ให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ดูแลแทน”ให้เจียงหว่านลำบากเพียงไหน ก็ยังมีญาติพี่น้องที่ห่วงใยนาง แต่ซวงเอ๋อร์กลับไม่มีอะไรเลย มีแต่เขาผู้เป็นสามีเท่านั้น“ถ้าเจ้ายังมาสำออยไม่เลิกอีก ข้าจะให้คนส่งกลับจวนเดี๋ยวนี้” กล่าวจบ เขาไม่คิดต่อความยาวสาวความยืดอีก หันหลังกลับออกไปทันทีเจียงหว่านรู้สึกเจ็บปวดในใจยิ่ง นางกัดริมฝีปาก มองดูแผ่นหลังที่จากไปของเยี่ยเป่ยเฉิง หยาดน้ำตารื้นขึ้น...ตงเหมยกลับจากเรือนตะวันตกมา นำความทั้งหมดไปแจ้งแก่หลินซวงเอ๋อร์เมื่อรู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงคงมาไม่ได้ หลินซวงเอ๋อร์มิได้กล่าวอันใด ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง สายตาเหม่อลอยจับจ้องไปยังม่านคลุมเตียงในยามนี้ ใจนางรู้สึกว่างเปล่า คล้ายถูกสิ่งใดมาคว้านออกไปร่ายกายนางอ่อนแรงลงไปมาก ตงเหมยจึงต้มยามาให้นางดื่มอีกยาขมนัก แต่หลินซวงเอ๋อร์หวังให้สุขภาพดีขึ้น จึงดื่มรวดเดียวจนหมดสิ้นเมื่อเห็นนางกินยาจนหม
สติสัมปชัญญะค่อยๆ กลับคืนมา หลินซวงเอ๋อร์จึงตระหนักว่าตนมิได้อยู่ในความฝันเยี่ยเป่ยเฉิงกลับมาจริงๆ และยามนี้ก็นอนอยู่ข้างกายตนด้วยหลินซวงเอ๋อร์ขอบตาแดงเรื่อขึ้น ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจถาโถมเข้ามา จนนางต้องรีบยื่นมือออกไปโอบกอดเขาแน่นเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกถึงความผิดปกติของนาง มือใหญ่จึงจับไหล่นางเอาไว้ ให้นั่งตัวตรงแล้วจ้องมองนางนิ่งๆ เมื่อเห็นนางน้ำตาคลอเบ้า คล้ายมีเรื่องอัดอั้นตันใจ ก็ให้รู้สึกปวดใจยิ่ง“ซวงเอ๋อร์เป็นอะไร? ผู้ใดรังแกเจ้าอีก”หลินซวงเอ๋อร์ทำเสียงสูดจมูก พร้อมซุกหน้าลงที่อ้อมอกเขาอีกครั้ง“เจ้าเป็นอะไรกันแน่” เยี่ยเป่ยเฉิงถามนางด้วยความอดทนเพราะใบหน้ายังติดกับหน้าอกเขา เสียงที่ออกมาจึงค่อนข้างอู้อี้ “ข้าเสียใจนัก...”เยี่ยเป่ยเฉิงหางคิ้วกระตุก ยังนึกว่านางโกรธที่ตนไม่มาอยู่เป็นเพื่อนทันเวลา จึงรีบกล่าวขอโทษ “เจ้าโกรธที่หลายวันนี้ข้าละเลยต่อเจ้าใช่หรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้ามิใช่รึ?เยี่ยเป่ยเฉิงถามต่ออีก “ถ้าเช่นนั้นคือโกรธที่ข้าดุเจ้า?”หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้าอีกยังไม่ใช่อีก?แม้จะไม่ใช่สาเหตุเหล่านี้ เยี่ยเป่ยเฉิงก็ยังอธิบายกับนางด้วยความอดทน “ซวงเ
โชคดีที่ซวงเอ๋อร์ของเขาเป็นคนอารมณ์ดีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเจ็บช้ำน้ำใจเพียงไหน แค่เอาใจเล็กน้อยก็จะหายเป็นปกติ“โครม”จู่ๆ เกิดฟ้าแล่บกลางนภา ส่องทั่วแผ่นดินจนเห็นเป็นสีขาวโพลนและตามด้วยสายฝนเทกระหน่ำ กระทบถูกพื้นหินขั้นบันไดเป็นชั้นๆ พลางแตกกระจายดั่งเม็ดไข่มุก เห็นแล้วพาให้หวาดหวั่นใจหลินซวงเอ๋อร์กลัวเสียงฟ้าร้องเป็นอย่างมาก ทันทีที่เกิดเสียงโครมคราม นางก็สะดุ้งสุดแรง พร้อมซุกตัวเข้าในอ้อมแขนของเยี่ยเป่ยเฉิงอีก“ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว เพียงเสียงฟ้าร้องเท่านั้น” เยี่ยเป่ยเฉิงกอดนางแน่น อ้อมกอดเขาทั้งแข็งแรงและอบอุ่น จนทำให้หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกวางใจได้มากขึ้นหลายวันมานี้นางฝันร้ายอยู่ตลอด จนแทบไม่อยากคาดคิด หากไม่มีเยี่ยเป่ยเฉิงอยู่ข้างกาย นางจะผ่านค่ำคืนยาวนานเหล่านี้ได้อย่างไร...ทันใดนั้น ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นรัวๆ เป็นการมาผิดจังหวะที่ทำลายความสงบในจิตใจของหลินซวงเอ๋อร์ได้อย่างราบคาบ“ท่านอ๋อ รีบไปดูคุณหนูหน่อยเถิดเจ้าค่ะ นางใกล้จะตายแล้ว”ด้านนอกห้อง โม่อวิ๋นยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ร่ำไห้ปานจะขาดใจเยี่ยเป่ยเฉิงค่อยหลับตาลงช้าๆ คิ้วขมวดมุ่น คล้ายพยายามอดกลั้นต่อเรื่องบ
เยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆ แกะมือของหลินซวงเอ๋อร์ออก พลางกล่าวปลอบเสียงอ่อนโยน “ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเพียงออกไปดูเล็กน้อย ประเดี๋ยวก็กลับมา”หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้า พลางโผเข้าซบอกอีกครั้ง ทั้งยังกอดเขาไว้แน่น“ข้าไม่ให้ท่านไป” นี่เป็นครั้งแรกที่นางเอาแต่ใจเช่นนี้ ใช้คำพูดราวกับออกคำสั่งใส่เขาอาจเพราะคืนนี้ฝนตกหนักมาก เสียงฟ้าคำรามก็ยิ่งน่ากลัว อีกทั้งลมพัดแรง ครางกระหึ่มอยู่นอกหน้าต่างแต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใด คืนนี้ นางไม่ยินยอมให้เขาออกไป แม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่ได้!เยี่ยเป่ยเฉิงหันมากอดนางไว้ พลางลูบผมนางเบาๆ ถามนางว่า “เป็นอะไรไป? เดี๋ยวนี้เจ้าก็เอาแต่ใจเป็นด้วยรึ?”หลินซวงเอ๋อร์สะอื้นไห้เบาๆ มือน้อยจับเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย“ไม่ให้ไป อย่างไรก็ไม่ให้ไป ซวงเอ๋อร์ต้องการอยู่กับท่าน ห้ามท่านไปเยี่ยมนาง บอกให้นางไปเสีย ข้าเกลียดนางที่สุด” นางแทบจะตะโกนใส่เขา ดีที่เสียงฟ้าคำรามด้านนอกกลบเสียงนางไปสิ้นเยี่ยเป่ยเฉิงถอนหายใจ กอดนางพร้อมล้มตัวลงนอน “ได้ ซวงเอ๋อร์อย่างอแง ข้าจะไม่ออกไป”ดวงตาสองข้างของหลินซวงเอ๋อร์แดงก่ำราวกับลูกเหอเถา นางย้ำเตือนเขาอีกครั้ง “หากท่านผิดคำพูดต่อข้า วันห
เจียงหว่านสวมใส่เพียงเสื้อผ้าบางเบา ยืนอยู่กลางสายฝน ปล่อยให้หยาดน้ำกระหน่ำลงสู่ร่างกายไม่ยั้งสภาพนางในยามนี้ สองเท้าเปลือยเปล่า บาดแผลที่ถูกห่อหุ้มไว้เริ่มมีโลหิตซึมออกมารางๆโลหิตสดรวมเข้ากับน้ำฝน ทำให้นางเปียกชุ่มไปเกือบทั่วร่างสีหน้านางซีดเผือด แลดูดั่งผีสาง บอบบางเสียจนหากมีลมพัดมาก็พร้อมจะหอบเอาร่างของนางไปได้เยี่ยเป่ยเฉิงเดินปรี่มายังเบื้องหน้าเจียงหว่าน สองตาดำขลับราวกับเหวลึกที่ไม่เห็นก้นบึ้ง จ้องเขม็งไปยังนาง ประหนึ่งจะอ่านให้ทะลุถึงหัวใจ“เจียงหย่าง เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่” น้ำเสียงเขาแหบต่ำ แฝงด้วยความเย็นชา ไร้ซึ่งความอบอุ่นเจียงหว่านปล่อยให้น้ำตานองหน้า นางพาเอาหัวใจที่แตกสลายค่อยๆ เดินเข้าหาเขา รวมกับต้องการโอบกอดสักครั้งเยี่ยเป่ยเฉิงถอยหลังกรูด ไม่ยอมให้นางมาประชิดตัวเจียงหว่านกัดริมฝีปากมองหน้าเขา พร้อมกล่าวด้วยความน้อยใจ “ข้าก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ไยท่านอ๋องจึงไม่คิดเมตตาบ้าง ซ้ำยังเพิ่งรอดตายมาหมาดๆ ข้ารู้สึกปวดใจนัก ท่านจะอยู่เป็นเพื่อนสักคืนก็ไม่ได้หรือเจ้าคะ? ถือว่าเห็นแก่พ่อข้าก็ได้”“ข้ากลัวเสียงฟ้าร้อง ในคืนที่ท่านพ่อจากไป ก็มีฝนตกหนักดั่งเช่นวันนี้ ท
เยี่ยเป่ยเฉิงจากไปแล้ว เจียงหว่านยังคงนั่งอยู่ที่พื้นไม่ไหวติง โม่อวิ๋นเรียกอยู่ด้านข้างเสียนาน นางจึงค่อยรู้สึกตัวกลับมาบ้าง“คุณหนู เรากลับไปจวนตระกูลเจียงเถอะนะเจ้าคะ ท่านอ๋องเค้า...”เจียงหว่านยืนกรานกล่าวตอบ “ไยจึงต้องกลับไป? เขาเคยสัญญากับพ่อข้าว่าจะดูแลข้าอย่างดี...”ฝนยังคงตกหนัก และเจียงหว่านก็ยืนอยู่กลางสายฝน ฟ้าแลบแปลบปลาบสะท้อนใบหน้านางจนคล้ายกับภูตผี ดวงตาแข็งกร้าวราวกับคนเสียสติโม่อวิ๋นเองก็เจ็บหนักอยู่แล้ว ยังต้องยืนเป็นเพื่อนนางกลางสายฝนอีก นางไอเล็กน้อย มุมปากมีเลือดไหลซึมออกมา“ท่านอ๋องทำถึงเพียงนี้แล้ว ไฉนท่านจึงยังยึดติดอีก เรากลับบ้านตระกูลเจียงเถิดนะเจ้าคะ อย่างน้อยคุณชายใหญ่ก็ยังดูแลท่านได้...”เจียงหว่านถลึงตาใส่โม่อวิ๋น พลางกล่าวเสียงดุ “ข้าบอกว่าไม่กลับก็คือไม่กลับ เขาสัญญาว่าจะดูแลข้าอย่างดี เขาเคยพูดไว้ชัดๆ...”โม่อวิ๋นเอามือค้ำเอวด้วยความเจ็บปวดก่อนก้มตัวลงเบื้องหน้าเจียงหว่าน กระดูกซี่โครงของนางถูกเตะจนหัก ทั้งเนื้อทั้งตัวราวกับจะแตกสลาย แต่เจียงหว่านแทบไม่เหลียวมองนาง ในใจนางมีเพียงเยี่ยเป่ยเฉิงผู้เดียว“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนั้นท่านอ๋องรับปากท่านแม่ท
และเจียงหว่านในเวลานั้น นิสัยเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบพูดจากับใคร จึงไม่อาจเทียบเท่าเจียงหลิงได้ แม้แต่พี่ชายของพวกนาง ก็ยังรักแต่เจียงหลิงมากกว่า ไม่ใคร่สนใจเจียงหว่านเท่าใดนักและทั่วทั้งตระกูลเจียง มีเพียงเจียงหลิงที่รักเจียงหว่านเป็นอย่างมากตอนนั้นโม่อวิ๋นเพิ่งมาอยู่ในจวน อายุราวเจ็ดแปดขวบ และนางก็คอยรับใช้เจียงหลิงเจียงหลิงดีต่อนางมาก ไม่เคยดุด่าเฆี่ยนตี เจ็บไข้ได้ป่วยก็เชิญหมอมาดู ช่วงเวลาที่อยู่กับเจียงหลิง เป็นชีวิตที่โม่อวิ๋นรู้สึกว่ามีความสุขเป็นอย่างมากเสียดายคนดีมักอายุสั้น เกิดอุบัติเหตุคร่าชีวิตของเจียงหลิงไปแปดปีก่อน ค่ำคืนที่มีหิมะตกหนัก คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจียงพลัดตกบึงน้ำแข็งจนเสียชีวิตไป ทุกคนในบ้านต่างเศร้าโศกเป็นอย่างมากโม่อวิ๋นยังจดจำวันนั้นได้ดี ผู้คนในตระกูลเจียงต่างพากันร้องไห้ระงม มีเพียงเจียงหว่านที่นิ่งเฉย น้ำตาไม่มีสักหยด สองตาจ้องเขม็งไปยังป้ายชื่อของเจียงหลิงที่อยู่ในงานศพโม่อวิ๋นคิดเพียงว่านางคงเสียใจมาก จึงไม่ได้ใส่ใจนักและนับแต่นั้นมา ตระกูลเจียงก็ไม่มีทายาทอีก เจียงหว่านจึงกลายเป็นคุณหนูใหญ่ไปโดยปริยาย และโม่อวิ๋นก็ถูกส่งตัวไปรับใช้เจียงหว่
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ