ตงเหมยกลับมายังเรือนอวิ่นซวน นางมองหน้าเหงาหงอยของหลินซวงเอ๋อร์ พลางปลอบโยนด้วยความเห็นใจ “พระชายาโปรดอย่าคิดมาก ท่านอ๋องจัดการธุระเสร็จแล้วก็จะมาที่นี่เอง”หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกเจ็บหน้าอกอีกครั้ง นางถามตงเหมยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “เจียงหว่านบาดเจ็บมากหรือไม่? ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?”ตงเหมยหยุดชะงักเล็กน้อย “คำพูดเมื่อสักครู่ ท่านได้ยินหมดแล้วหรือเจ้าคะ?”หลินซวงเอ๋อร์ยิ้มเจื่อนพลางกล่าวตอบ “ตงเหมย ข้าเพียงแค่ไม่สบายเท่านั้น ไม่ได้หูหนวกเสียหน่อย...”นางแสร้งทำท่าทีสบายๆ “สุขภาพข้าไม่สู้ดี ลุกไม่ไหวจริงๆ เจ้าเป็นตัวแทนข้า ไปเยี่ยมเยียนพวกเขาหน่อย”ตงเหมยกล่าวตอบ “ได้ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้ และจะพาท่านอ๋องกลับมาด้วย”หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองนาง น้ำเสียงแฝงความหมองเศร้า “เจียงหว่านบาดเจ็บก็เพื่อช่วยท่านอ๋อง คืนนี้ท่านอ๋องจะกลับมาหรือไม่? หรือจะอยู่เรือนตะวันตกคอยดูแลนาง?”ตงเหมยพูดไม่ออกนางจะรู้ได้อย่างไร?เพราะแท้จริงแล้ว เมื่อครู่ที่เยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มเจียงหว่านไปยังเรือนตะวันตกนั้น สีหน้าลนลานของเขาไม่ใช่การเสแสร้งแน่ตงเหมยไม่อยากเห็นหลินซวงเอ๋อร์เสียใจ จึงกล่าวปลอบโยนนาง “พระชา
โม่อวิ๋นเห็นนายหญิงของตนมาถึง สีหน้าก็รีบเปลี่ยนไปทันที รีบยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหา “นายหญิง ทำไมถึงมาด้วยตนเองเจ้าคะ?” พูดพลางยังไม่วายกระทบถึงตงเหมย “นายหญิงมาด้วยตนเองแล้ว เจ้ายังมายืนทำอะไรอีก จะให้นางโมโหหรืออย่างไร?”ตงเหมยกล่าวตอบ “พระชายาล้มป่วย บ่าวเพียงมาขอพบท่านอ๋อง เชิญท่านอ๋องกลับไปดูนางบ้างก็เท่านั้น”กงชิงเยวี่ยกล่าว “ไม่สบายก็ไปเชิญหมอมา เยี่ยเอ๋อร์มีงานรัดตัวมาก ไหนจะมีเวลามาห่วงถึงเรื่องของเรือนหลังอีก”ตงเหมยอดไม่ได้ที่จะเถียงกลับ “แม่นางเจียงก็เชิญหมอได้เช่นกัน ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าอยู่นี่...”กงชิงเยวี่ยได้ยินคำโต้เถียง จึงกล่าวด้วยความไม่พอใจ “เจียงหว่านทำเพื่อช่วยลูกข้าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แล้วเยี่ยเอ๋อร์จะไม่ดูแลนางได้อย่างไร”กล่าวจบ กงชิงเยวี่ยสั่งคนให้ขวางตงเหมยอยู่ด้านนอกไว้ ตนเองเดินเข้าข้างในไป บอกว่าต้องการเยี่ยมเจียงหว่านให้ได้เมื่อกงชิวเยวี่ยจากไปแล้ว โม่อวิ๋นจึงกล่าวด้วยความสะใจ “เห็นหรือยังว่าอยู่ในจวนนี้ พวกเจ้าต่างหากที่เป็นคนนอก”จากนั้น โม่อวิ๋นยังกล่าวประชดตงเหมยต่อ “กลับไปบอกให้นายเจ้าเลิกสำออยได้แล้ว วันนี้ท่านอ๋องไม่ว่างกลับไปแน่ จะ
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เพียงแค่คนไข้ไม่กี่คน ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ไม่ต้องให้เจ้ามาขวางหน้า ช่วยรับมีดแทนข้า!”น้ำเสียงเขาเย็นชาถึงขีดสุด คำพูดแสดงความห่างเหินอย่างเห็นได้ชัดเจียงหว่านรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นในใจ พลางกล่าวตอบเสียงสะอื้น “ข้า...ข้าเพียงห่วงว่าท่านจะบาดเจ็บ จึงรีบไปปกป้องตามสัญชาตญาณ ข้าทำอะไรผิดอีกหรือเจ้าคะ...”กล่าวพลางนางก็น้ำตาร่วง สะอึกสะอื้นจนตัวโยน ให้ใครเห็นเข้าก็ล้วนแต่รู้สึกสงสารแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับนึกรำคาญมากกว่า ซ้ำยังหงุดหงิดเหลือจะกล่าว“เจ้าทำผิดไปจริงๆ แส่ไม่เข้าเรื่อง หาเรื่องใส่ตัวโดยแท้”เจียงหว่านหยุดชะงัก แม้แต่เสียงร้องไห้ก็หยุดด้วยนางยอมเสียสละตนเองช่วยเขาต้านรับมีด เขาไม่เพียงไม่สงสารเห็นใจ ยังตำหนิว่านางหาเรื่องใส่ตัวอีก?เยี่ยเป่ยเฉิงยังมีหัวใจอยู่หรือเปล่า?มิเช่นนั้นแล้ว เขาจะเอ่ยปากกับตนเช่นนี้ได้อย่างไร?กงชิงเยวี่ยสุดจะทนฟังได้อีก จึงรีบตวาดลั่น “เยี่ยเอ๋อร์ เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร เจียงหว่านบาดเจ็บก็เพื่อช่วยเจ้า เหตุใดเจ้าจึงได้กล่าวเหลวไหลเช่นนี้?”เยี่ยเป่งเฉิงกล่าวตอบ “ข้าบอกแล้วว่า สิ่งที่นางทำคือไม่จำเป็น แม้ไม่มีนางมาขวาง
เยี่ยเป่ยเฉิงระงับความโกรธในใจ และกล่าวต่อเจียงหว่าน “เจ้าต้องการความปลอดภัยอันใดอีก แม้เจ้าจะไม่มีพ่อแม่ แต่ยังมีจวนตระกูลเจียง มีพี่ชายและพี่สะใภ้ พวกเขาก็ดีต่อเจ้ามาก หากยังต้องการความปลอดภัยอีก ข้าสามารถส่งเจ้ากลับจวนได้ ให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ดูแลแทน”ให้เจียงหว่านลำบากเพียงไหน ก็ยังมีญาติพี่น้องที่ห่วงใยนาง แต่ซวงเอ๋อร์กลับไม่มีอะไรเลย มีแต่เขาผู้เป็นสามีเท่านั้น“ถ้าเจ้ายังมาสำออยไม่เลิกอีก ข้าจะให้คนส่งกลับจวนเดี๋ยวนี้” กล่าวจบ เขาไม่คิดต่อความยาวสาวความยืดอีก หันหลังกลับออกไปทันทีเจียงหว่านรู้สึกเจ็บปวดในใจยิ่ง นางกัดริมฝีปาก มองดูแผ่นหลังที่จากไปของเยี่ยเป่ยเฉิง หยาดน้ำตารื้นขึ้น...ตงเหมยกลับจากเรือนตะวันตกมา นำความทั้งหมดไปแจ้งแก่หลินซวงเอ๋อร์เมื่อรู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงคงมาไม่ได้ หลินซวงเอ๋อร์มิได้กล่าวอันใด ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง สายตาเหม่อลอยจับจ้องไปยังม่านคลุมเตียงในยามนี้ ใจนางรู้สึกว่างเปล่า คล้ายถูกสิ่งใดมาคว้านออกไปร่ายกายนางอ่อนแรงลงไปมาก ตงเหมยจึงต้มยามาให้นางดื่มอีกยาขมนัก แต่หลินซวงเอ๋อร์หวังให้สุขภาพดีขึ้น จึงดื่มรวดเดียวจนหมดสิ้นเมื่อเห็นนางกินยาจนหม
สติสัมปชัญญะค่อยๆ กลับคืนมา หลินซวงเอ๋อร์จึงตระหนักว่าตนมิได้อยู่ในความฝันเยี่ยเป่ยเฉิงกลับมาจริงๆ และยามนี้ก็นอนอยู่ข้างกายตนด้วยหลินซวงเอ๋อร์ขอบตาแดงเรื่อขึ้น ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจถาโถมเข้ามา จนนางต้องรีบยื่นมือออกไปโอบกอดเขาแน่นเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกถึงความผิดปกติของนาง มือใหญ่จึงจับไหล่นางเอาไว้ ให้นั่งตัวตรงแล้วจ้องมองนางนิ่งๆ เมื่อเห็นนางน้ำตาคลอเบ้า คล้ายมีเรื่องอัดอั้นตันใจ ก็ให้รู้สึกปวดใจยิ่ง“ซวงเอ๋อร์เป็นอะไร? ผู้ใดรังแกเจ้าอีก”หลินซวงเอ๋อร์ทำเสียงสูดจมูก พร้อมซุกหน้าลงที่อ้อมอกเขาอีกครั้ง“เจ้าเป็นอะไรกันแน่” เยี่ยเป่ยเฉิงถามนางด้วยความอดทนเพราะใบหน้ายังติดกับหน้าอกเขา เสียงที่ออกมาจึงค่อนข้างอู้อี้ “ข้าเสียใจนัก...”เยี่ยเป่ยเฉิงหางคิ้วกระตุก ยังนึกว่านางโกรธที่ตนไม่มาอยู่เป็นเพื่อนทันเวลา จึงรีบกล่าวขอโทษ “เจ้าโกรธที่หลายวันนี้ข้าละเลยต่อเจ้าใช่หรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้ามิใช่รึ?เยี่ยเป่ยเฉิงถามต่ออีก “ถ้าเช่นนั้นคือโกรธที่ข้าดุเจ้า?”หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้าอีกยังไม่ใช่อีก?แม้จะไม่ใช่สาเหตุเหล่านี้ เยี่ยเป่ยเฉิงก็ยังอธิบายกับนางด้วยความอดทน “ซวงเ
โชคดีที่ซวงเอ๋อร์ของเขาเป็นคนอารมณ์ดีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเจ็บช้ำน้ำใจเพียงไหน แค่เอาใจเล็กน้อยก็จะหายเป็นปกติ“โครม”จู่ๆ เกิดฟ้าแล่บกลางนภา ส่องทั่วแผ่นดินจนเห็นเป็นสีขาวโพลนและตามด้วยสายฝนเทกระหน่ำ กระทบถูกพื้นหินขั้นบันไดเป็นชั้นๆ พลางแตกกระจายดั่งเม็ดไข่มุก เห็นแล้วพาให้หวาดหวั่นใจหลินซวงเอ๋อร์กลัวเสียงฟ้าร้องเป็นอย่างมาก ทันทีที่เกิดเสียงโครมคราม นางก็สะดุ้งสุดแรง พร้อมซุกตัวเข้าในอ้อมแขนของเยี่ยเป่ยเฉิงอีก“ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว เพียงเสียงฟ้าร้องเท่านั้น” เยี่ยเป่ยเฉิงกอดนางแน่น อ้อมกอดเขาทั้งแข็งแรงและอบอุ่น จนทำให้หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกวางใจได้มากขึ้นหลายวันมานี้นางฝันร้ายอยู่ตลอด จนแทบไม่อยากคาดคิด หากไม่มีเยี่ยเป่ยเฉิงอยู่ข้างกาย นางจะผ่านค่ำคืนยาวนานเหล่านี้ได้อย่างไร...ทันใดนั้น ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นรัวๆ เป็นการมาผิดจังหวะที่ทำลายความสงบในจิตใจของหลินซวงเอ๋อร์ได้อย่างราบคาบ“ท่านอ๋อ รีบไปดูคุณหนูหน่อยเถิดเจ้าค่ะ นางใกล้จะตายแล้ว”ด้านนอกห้อง โม่อวิ๋นยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ร่ำไห้ปานจะขาดใจเยี่ยเป่ยเฉิงค่อยหลับตาลงช้าๆ คิ้วขมวดมุ่น คล้ายพยายามอดกลั้นต่อเรื่องบ
เยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆ แกะมือของหลินซวงเอ๋อร์ออก พลางกล่าวปลอบเสียงอ่อนโยน “ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเพียงออกไปดูเล็กน้อย ประเดี๋ยวก็กลับมา”หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้า พลางโผเข้าซบอกอีกครั้ง ทั้งยังกอดเขาไว้แน่น“ข้าไม่ให้ท่านไป” นี่เป็นครั้งแรกที่นางเอาแต่ใจเช่นนี้ ใช้คำพูดราวกับออกคำสั่งใส่เขาอาจเพราะคืนนี้ฝนตกหนักมาก เสียงฟ้าคำรามก็ยิ่งน่ากลัว อีกทั้งลมพัดแรง ครางกระหึ่มอยู่นอกหน้าต่างแต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใด คืนนี้ นางไม่ยินยอมให้เขาออกไป แม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่ได้!เยี่ยเป่ยเฉิงหันมากอดนางไว้ พลางลูบผมนางเบาๆ ถามนางว่า “เป็นอะไรไป? เดี๋ยวนี้เจ้าก็เอาแต่ใจเป็นด้วยรึ?”หลินซวงเอ๋อร์สะอื้นไห้เบาๆ มือน้อยจับเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย“ไม่ให้ไป อย่างไรก็ไม่ให้ไป ซวงเอ๋อร์ต้องการอยู่กับท่าน ห้ามท่านไปเยี่ยมนาง บอกให้นางไปเสีย ข้าเกลียดนางที่สุด” นางแทบจะตะโกนใส่เขา ดีที่เสียงฟ้าคำรามด้านนอกกลบเสียงนางไปสิ้นเยี่ยเป่ยเฉิงถอนหายใจ กอดนางพร้อมล้มตัวลงนอน “ได้ ซวงเอ๋อร์อย่างอแง ข้าจะไม่ออกไป”ดวงตาสองข้างของหลินซวงเอ๋อร์แดงก่ำราวกับลูกเหอเถา นางย้ำเตือนเขาอีกครั้ง “หากท่านผิดคำพูดต่อข้า วันห
เจียงหว่านสวมใส่เพียงเสื้อผ้าบางเบา ยืนอยู่กลางสายฝน ปล่อยให้หยาดน้ำกระหน่ำลงสู่ร่างกายไม่ยั้งสภาพนางในยามนี้ สองเท้าเปลือยเปล่า บาดแผลที่ถูกห่อหุ้มไว้เริ่มมีโลหิตซึมออกมารางๆโลหิตสดรวมเข้ากับน้ำฝน ทำให้นางเปียกชุ่มไปเกือบทั่วร่างสีหน้านางซีดเผือด แลดูดั่งผีสาง บอบบางเสียจนหากมีลมพัดมาก็พร้อมจะหอบเอาร่างของนางไปได้เยี่ยเป่ยเฉิงเดินปรี่มายังเบื้องหน้าเจียงหว่าน สองตาดำขลับราวกับเหวลึกที่ไม่เห็นก้นบึ้ง จ้องเขม็งไปยังนาง ประหนึ่งจะอ่านให้ทะลุถึงหัวใจ“เจียงหย่าง เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่” น้ำเสียงเขาแหบต่ำ แฝงด้วยความเย็นชา ไร้ซึ่งความอบอุ่นเจียงหว่านปล่อยให้น้ำตานองหน้า นางพาเอาหัวใจที่แตกสลายค่อยๆ เดินเข้าหาเขา รวมกับต้องการโอบกอดสักครั้งเยี่ยเป่ยเฉิงถอยหลังกรูด ไม่ยอมให้นางมาประชิดตัวเจียงหว่านกัดริมฝีปากมองหน้าเขา พร้อมกล่าวด้วยความน้อยใจ “ข้าก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ไยท่านอ๋องจึงไม่คิดเมตตาบ้าง ซ้ำยังเพิ่งรอดตายมาหมาดๆ ข้ารู้สึกปวดใจนัก ท่านจะอยู่เป็นเพื่อนสักคืนก็ไม่ได้หรือเจ้าคะ? ถือว่าเห็นแก่พ่อข้าก็ได้”“ข้ากลัวเสียงฟ้าร้อง ในคืนที่ท่านพ่อจากไป ก็มีฝนตกหนักดั่งเช่นวันนี้ ท
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก