ที่แท้ก็เป็นความฝันนี่เองเยี่ยเป่ยเฉิงหายใจหอบหนัก ยกมือสั่นเทาทาบที่หน้าอกของตน พลันพบว่าหัวใจเต้นเร็ว แม้จะหลุดพ้นจากความฝันมาแล้ว แต่หากยังนึกถึงภาพหลินซวงเอ๋อร์กระโดดลงหน้าผาทีไร ความเจ็บปวดรวดร้าวในใจก็ยังรู้สึกได้ตลอดความสิ้นหวังและปวดร้าวเช่นนั้น กดดันจนเขาแทบหายใจไม่ออกขอบตาคล้ายมีความชื้น จนต้องเอามือไปปาดดู กลับพบว่านั่นคือน้ำตา...“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์” เขาเอ่ยปากเรียก น้ำเสียงฟังดูแหบแห้งเขาอยากบอกนางให้รู้ ว่าได้สั่งให้ไป๋อวี้ถังไปช่วยฉีหมิงแล้ว ให้นางไม่ต้องเป็นห่วงเขามีความรู้สึก...ตกใจกับความฝันนั่นเต็มที แม้ไม่คิดจะถือหลักการใดๆ ทั้งสิ้น“ท่านอ๋อง ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” ท่ามกลางความมืดนั้น มีเสียงคุ้นหูดังขึ้น และถัดจากนั้น ก็เป็นเสียงจุดตะบันไฟ แล้วไม่นานภายในห้องก็ค่อยๆ สว่างขึ้นเยี่ยเป่ยเฉิงถูกความสว่างจ้าแยงตาจนต้องหรี่ลง หลังจากปรับสายตาให้เข้ากับแสงไฟในห้องแล้ว จึงค่อยๆ ลืมได้เต็มตามากขึ้นครั้นเมื่อเห็นคนที่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย“เหตุใดเจ้ามาอยู่ในห้องข้าได้ ซวงเอ๋อร์เล่า?”เจียงหว่านเป่าตะบันไฟดับ พร้อมนำตะเกียงมาครอบเทียนไขที
ในที่สุดเจียงหว่านก็ยอมเปลี่ยนคำพูด “ท่านอ๋องช่างมีความรักต่อแม่นางหลินสุดซึ้งนัก” นิ้วมือนางกำแน่น จนเกือบจิกเข้าถึงเนื้อฝ่ามือเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “ขาดเพียงยังมิได้เข้าพิธีเท่านั้น เจ้าควรเรียกนางว่าพระชายา”เจียงหว่านยิ่งขมขื่นในใจ แต่ภายนอกยังคงยิ้มแย้มเช่นเดิม เสแสร้งคล้ายกับไม่ยี่หระ “ข้าเพียงแต่ไม่คุ้นชินเท่านั้น จู่ๆ ข้างกายท่านอ๋องก็สาวงามผู้หนึ่งมาเคียงข้าง ข้ายังนึกว่า...ท่านไม่แยแสอิสตรีเสียอีก”เพราะอย่างไรเสีย ในอดีตนางก็เคยใช้มารยาร้อยแปดเพื่อให้ท่าเขา เขากลับไม่ใยดีแม้แต่จะชายตามองเจียงหว่านรู้สึกอนาถใจยิ่งมีกุลสตรีบ้านใดบ้าง ที่ยินยอมพร้อมใจไปอยู่ในค่ายทหาร คลุกคลีกับบุรุษมากหน้าหลายตาเพียงแต่ ตอนนั้นนางคิดว่าเยี่ยเป่ยเฉิงไม่เหมือนชายอื่น เขาอาจไม่ชอบหญิงสาวที่บอบบางอ้อนแอ้น นางจึงแสร้งทำตัวห้าวหาญดั่งเช่นบุรุษ เพื่อหวังว่าเขาจะมาเหลียวแลบ้างแต่มาบัดนี้ เขากลับไปหลงรักสาวใช้ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นสตรีบอบบางยิ่งกว่ากลีบดอกไม้...เจียงหว่านนึกดูแคลนหลินซวงเอ๋อร์อยู่ในใจ นางเป็นสาวใช้ที่ไม่รู้อะไรสักอย่างเดียว จะคู่ควรกับเยี่ยเป่ยเฉิงได้อย่างไรและเจียงหว่านก็ย
เสวียนอู่กล่าวตอบ “พระชายาถูกนายหญิงส่งไปอยู่ห้องเก็บฟืน และสั่งให้นางทบทวนตนเองขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงสีหน้าเย็นชาทันควัน “ทบทวนเรื่องอันใด?”เสวียนอู่กล่าวตอบ “นายหญิงกล่าวว่าหากไม่เพราะพระชายา ท่านคงไม่ต้องบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ซ้ำยังเกือบเสียชีวิต...”เยี่ยเป่ยเฉิงถามด้วยความแปลกใจ “ ข้าหลับไปนานเพียงใด?”เสวียนอู่กล่าวตอบ “เจ็ดวันขอรับ ตอนนั้นท่านเข้าวังแล้วถูกธนูพิษยิงเข้า พิษนั้นร้ายแรงมาก หมอต่างบอกว่าหมดทางเยียวยา นายหญิงโกรธเคืองเป็นอย่างมาก...”เยี่ยเป่ยเฉิงนิ่งอึ้งเขาแทบไม่รู้ว่าตนได้นอนหลับไปถึงเจ็ดวันเต็มเสวียนอู่กล่าวอธิบายต่อ “แต่ท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวล พิษในกายได้ถูกขับออกหมดแล้ว พระชายาขึ้นเขาไปช่วยตามหางูวิเศษ งูตัวนั้นหายากนัก สามารถแก้ได้สารพัดพิษจริงๆ”“เจ้าว่ากระไรนะ?” เยี่ยเป่ยเฉิงตะลึงอีกครั้ง “เจ้าบอกว่าพระชายาขึ้นเขาไปจับงูให้ข้ารึ?”เสวียนอู่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องตกใจเช่นนี้ แต่ก็ยังกล่าวตอบตามตรง “ขอรับ เดิมทีข้าน้อยจะติดตามไปด้วย แต่พระชายาบอกว่างูตัวนั้นกลัวคน หลบหนีได้ว่องไว ยิ่งคนมากจะยิ่งทำให้มันตื่นกลัว จึงไม่อนุญาตให้ข้าน้อยติดตามไป”“แล้วเจ้
ทันทีที่เห็นหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์ก็ผุดรอยยิ้มบาน แววตาคล้ายมีดอกหลีฮวาเบ่งบานเป็นพันต้น“ท่านพี่ ท่านฟื้นมาแล้วหรือเจ้าคะ...”หลินซวงเอ๋อร์คิดลุกขึ้นยืน แต่อาจเพราะนั่งอยู่นานไป ขาจึงเริ่มรู้สึกเป็นเหน็บชา บวกกับอาการบาดเจ็บที่ขายังไม่หายดี จึงทำให้ลุกลำบากนางเอาสองมือยันพื้นไว้ พร้อมพิงผนังเพื่อจะลุกขึ้นยืน พลันรู้สึกเหนือศีรษะมีเงาดำทาบลงมา พร้อมกลิ่นแก่นจันทร์อันคุ้นเคยโอบล้อมตัวนางเอาไว้ หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงมายืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า หน้าตาเขาในยามนี้ ริมฝีปากเม้มแน่น คิ้วขมวดมุ่น ดวงตาดำขลับจับจ้องมาที่ตน ความรู้สึกภายใต้ดวงตานั้น เป็นสิ่งที่นางอ่านไม่ออกรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าหลินซวงเอ๋อร์ ค่อยๆ หุบลงโดยไม่รู้ตัว“ท่านพี่ ท่านยังโกรธข้าอยู่หรือเจ้าคะ?” หลินซวงเอ๋อร์ยื่นมือออกไปช้าๆ ค่อยๆ จับชายเสื้อของเขา ดวงตาใสจ้องมองเขาคล้ายกับหวาดกลัวคิดแล้วก็สมควรอยู่ นางแอบขโมยป้ายคำสั่งของเขาลักลอบเข้าวัง ยังทำให้เขาบาดเจ็บเจียนตาย ต่อให้เขารักนางเพียงไหน อารมณ์โกรธขึ้งก็คงไม่จางหายง่ายๆหลินซวงเอ๋อร์จึงอธิบายให้เขาฟัง “วันนั้นข้าก็ลังเลอยู่ ใ
มือใหญ่ของเยี่ยเป่ยเฉิงจับอุ้งเท้านางไว้ พร้อมนำขาน้อยทั้งสองข้างวางลงในน้ำร้อนเบาๆน้ำร้อนสัมผัสถึงหลังเท้าของหลินซวงเอ๋อร์ พลันรู้สึกแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เกิดความสบายอย่างบอกไม่ถูกแต่นางก็ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน ได้แต่นั่งหลังตรง ท่านั่งดูเรียบร้อยเป็นอย่างมาก แทบไม่กล้ากระดุกกระดิกนางมีความรู้สึกว่า คืนนี้เยี่ยเป่ยเฉิงดูอ่อนโยนผิดปกติอย่างไรชอบกลแม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะรักและตามใจนางมาก แต่นับแต่รู้จักมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาปรนนิบัตินางด้วยการแช่เท้าเขาเป็นถึงท่านอ๋อง และเป็นสามีของนางด้วย จะมาล้างเท้าให้นางได้อย่างไร...ไม่ว่าจะโดยเหตุผล หรือโดยฐานะยศศักดิ์ เหล่านี้ล้วนผิดธรรมเนียมทั้งสิ้น หากจะล้างจริง ก็ควรให้นางเป็นฝ่ายรับใช้เขามากกว่าครั้นเมื่อเห็นเขาจ้องมองน่องของตน หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกเขินจนต้องหดเท้ากลับ พลางกล่าว “ท่านพี่ ให้ข้าทำเองจะดีกว่า”เยี่ยเป่ยเฉิงพยายามระงับอารมณ์ไว้ พลางถามเสียงแหบ “แผลที่น่องเกิดขึ้นได้อย่างไร?”หลินซวงเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ “แผลเล็กน้อย ข้าซุ่มซ่ามจึงได้หกล้ม”เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วมุ่น “แต่หมอบอกว่าขาเจ้าถูกแง่หินบาดเ
เมื่อถูกเยี่ยเป่ยเฉิงขับออกจากห้องมา เจียงหว่านก็ถูกพาไปพักผ่อนยังห้องรับรองห้องหนึ่งทางเรือนตะวันตกห้องพักที่นี่แม้จะตกแต่งงดงาม ซ้ำยังหรูหรากว่าห้องส่วนตัวของนางที่จวนแม่ทัพเสียด้วยซ้ำ แต่อยู่ห่างจากเรือนตะวันออกไกลที่สุด ห่างจากเรือนอวิ๋นซวนก็ไกล และยิ่งไกลห่างจากเยี่ยเป่ยเฉิง...เพื่อรักษาระยะกับนางไว้ เยี่ยเป่ยเฉิงคล้ายจงใจจัดให้นางมาพักอยู่ที่นี่หลังจากอาบน้ำชำระกาย โม่อวิ๋นจึงช่วยนางดึงเอาปิ่นปักผมออกมาเจียงหว่านในชุดสีม่วงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใบหน้าในคันฉ่องแลดูหมดจดงดงาม ริมฝีปากได้รูป ผมยาวสยายเต็มแผ่นหลัง ยิ่งพาให้เลอโฉมมากยิ่งขึ้นโม่อวิ๋นหยิบเอาเครื่องประทินโฉมอวี้เหยียนเกาที่พกติดตัวมา ค่อยๆ ทาลงใบหน้าของเจียงหว่านครั้นเมื่อมองดูคุณหนูในคันฉ่อง โม่อวิ๋นก็ต้องทอดถอนใจ “คุณหนูเลอโฉมถึงเพียงนี้ ไฉนท่านอ๋องจึงตาต่ำนัก ไปชอบพอสาวใช้ผู้หนึ่ง มองไม่เห็นความดีของคุณหนูบ้าง”เดิมโม่อวิ๋นเพียงแค่เปรยไปตามอารมณ์ แต่คนพูดไม่ตั้งใจ คนฟังกลับคิดไปไกลดวงตาเจียงหว่านดั่งสายน้ำ แฝงด้วยแววไม่สบอารมณ์“เช่นนั้นเจ้าว่า ข้างามกว่า หรือหลินซวงเอ๋อร์ผู้นั้นงามกว่า?”เจียงห
เดิมทีเจียงหว่านไม่คิดสนใจ แต่เมื่อได้ยินเสวียนอู่กล่าวเช่นนี้ นางกลับตาสว่างขึ้น“ไปเรือนอวิ๋นซวน? ท่านอ๋องให้ข้าไปกระนั้นรึ?” เจียงหว่านหน้าบาน ดีใจจนแทบลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้เสวียนอู่กล่าว “ใช่ขอรับ ขอเชิญแม่นางเจียงตามข้าน้อยไปที่เรือนอวิ๋นซวนสักครั้ง”เดิมเสวียนอู่คิดไปหาหมอจากภายนอกจวน แต่มาคิดว่าไหนๆ ก็มีเจียงหว่านอยู่ และนางก็เป็นหมออยู่แล้ว จึงมาหานางแทนเมื่อได้ยินว่าเยี่ยเป่ยเฉิงเรียกหาตน เจียงหว่านแทบไม่ต้องคิดก็รีบกล่าวตอบ “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ไปบอกให้ท่านอ๋องรอประเดี๋ยว ข้า...ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าเล็กน้อย”เสวียนอู่นึกถึงท่าทีรีบร้อนของเยี่ยเป่ยเฉิง จึงได้กล่าวต่อเจียงหว่าน “รบกวนแม่นางเจียงโปรดเร่งมือหน่อย”โม่อวิ๋นก็ดีใจแทนเจียงหว่านด้วย พลางกล่าว “เห็นมั้ยเล่า ท่านอ๋องเริ่มคิดถึงคุณหนูขึ้นมาบ้างแล้ว”เจียงหว่านแสร้งทำดุ “เพ้อเจ้ออันใดกัน?”โม่อวิ๋นกล่าวตอบ “มิเช่นนั้นค่ำมืดดึกดื่น เขายังให้ท่านไปเรือนอวิ๋นซวนทำอะไรเจ้าคะ”เจียงหว่านดุนางซ้ำ “อย่าทำปากดีนัก ท่านอ๋องเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้...” นางพูดพลาง มือก็เปิดห่อผ้าที่พกติดตัวมา ควานหาเสื้อผ้าหลายตัวที่อยู่ในนั้น
“นางเป็นอย่างไรกันแน่” เยี่ยเป่ยเฉิงหมดความอดทน เดินหน้าขึ้นมาถามเจียงหว่านจึงค่อยปล่อยมือจากหลินซวงเอ๋อร์ ก่อนยิ้มเบาๆ “ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ข้าเพียงต้องการตรวจให้แน่ชัด ว่าพิษในกายนางหมดสิ้นแล้วจริงหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงถามต่อ “แล้วรู้แน่หรือยัง?”น้ำเสียงเขาเย็นชายิ่ง คล้ายไม่มีน้ำใจแอบแฝง แต่เจียงหว่านก็มิได้สนใจ เพราะรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว จึงได้กล่าวตอบ “พิษในตัวหมดไปแล้ว งูที่กัดแม้มีพิษร้ายแรง แต่พิษในร่างกายนางกลับไม่เหลืออยู่”หลินซวงเอ๋อร์อธิบาย “อาจเพราะข้าได้กินสมุนไพรไปสองต้น จึงสามารถแก้พิษของงูได้”เจียงหว่านกล่าวต่อ “แต่ว่า พิษงูในร่างกายแม้จะหมดสิ้น แต่แผลภายนอกยังต้องรักษาอีกสักระยะ จะปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้ มิฉะนั้นอาจกลายเป็นแผลเป็น”ระหว่างที่พูด นางหยิบยาทาขวดหนึ่งออกมามอบให้แก่หลินซวงเอ๋อร์ พลางกล่าว “นี่คือยาสมานแผลชั้นดี แม่นางหลินใช้อันนี้จะดีกว่า หากใช้ต่อเนื่องไป ต่อให้บาดแผลลึกเพียงใด ก็จะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้”หลินซวงเอ๋อร์รับยามา กล่าว “ขอบคุณแม่นางเจียงมาก ช่างรบกวนเจ้าโดยแท้”เจียงหว่านกล่าว “ยาตัวนี้ข้าเคยใช้มาก่อน จึงเหลืออยู่ไม่มาก หา
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ