ที่แท้ก็เป็นความฝันนี่เองเยี่ยเป่ยเฉิงหายใจหอบหนัก ยกมือสั่นเทาทาบที่หน้าอกของตน พลันพบว่าหัวใจเต้นเร็ว แม้จะหลุดพ้นจากความฝันมาแล้ว แต่หากยังนึกถึงภาพหลินซวงเอ๋อร์กระโดดลงหน้าผาทีไร ความเจ็บปวดรวดร้าวในใจก็ยังรู้สึกได้ตลอดความสิ้นหวังและปวดร้าวเช่นนั้น กดดันจนเขาแทบหายใจไม่ออกขอบตาคล้ายมีความชื้น จนต้องเอามือไปปาดดู กลับพบว่านั่นคือน้ำตา...“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์” เขาเอ่ยปากเรียก น้ำเสียงฟังดูแหบแห้งเขาอยากบอกนางให้รู้ ว่าได้สั่งให้ไป๋อวี้ถังไปช่วยฉีหมิงแล้ว ให้นางไม่ต้องเป็นห่วงเขามีความรู้สึก...ตกใจกับความฝันนั่นเต็มที แม้ไม่คิดจะถือหลักการใดๆ ทั้งสิ้น“ท่านอ๋อง ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” ท่ามกลางความมืดนั้น มีเสียงคุ้นหูดังขึ้น และถัดจากนั้น ก็เป็นเสียงจุดตะบันไฟ แล้วไม่นานภายในห้องก็ค่อยๆ สว่างขึ้นเยี่ยเป่ยเฉิงถูกความสว่างจ้าแยงตาจนต้องหรี่ลง หลังจากปรับสายตาให้เข้ากับแสงไฟในห้องแล้ว จึงค่อยๆ ลืมได้เต็มตามากขึ้นครั้นเมื่อเห็นคนที่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย“เหตุใดเจ้ามาอยู่ในห้องข้าได้ ซวงเอ๋อร์เล่า?”เจียงหว่านเป่าตะบันไฟดับ พร้อมนำตะเกียงมาครอบเทียนไขที
ในที่สุดเจียงหว่านก็ยอมเปลี่ยนคำพูด “ท่านอ๋องช่างมีความรักต่อแม่นางหลินสุดซึ้งนัก” นิ้วมือนางกำแน่น จนเกือบจิกเข้าถึงเนื้อฝ่ามือเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “ขาดเพียงยังมิได้เข้าพิธีเท่านั้น เจ้าควรเรียกนางว่าพระชายา”เจียงหว่านยิ่งขมขื่นในใจ แต่ภายนอกยังคงยิ้มแย้มเช่นเดิม เสแสร้งคล้ายกับไม่ยี่หระ “ข้าเพียงแต่ไม่คุ้นชินเท่านั้น จู่ๆ ข้างกายท่านอ๋องก็สาวงามผู้หนึ่งมาเคียงข้าง ข้ายังนึกว่า...ท่านไม่แยแสอิสตรีเสียอีก”เพราะอย่างไรเสีย ในอดีตนางก็เคยใช้มารยาร้อยแปดเพื่อให้ท่าเขา เขากลับไม่ใยดีแม้แต่จะชายตามองเจียงหว่านรู้สึกอนาถใจยิ่งมีกุลสตรีบ้านใดบ้าง ที่ยินยอมพร้อมใจไปอยู่ในค่ายทหาร คลุกคลีกับบุรุษมากหน้าหลายตาเพียงแต่ ตอนนั้นนางคิดว่าเยี่ยเป่ยเฉิงไม่เหมือนชายอื่น เขาอาจไม่ชอบหญิงสาวที่บอบบางอ้อนแอ้น นางจึงแสร้งทำตัวห้าวหาญดั่งเช่นบุรุษ เพื่อหวังว่าเขาจะมาเหลียวแลบ้างแต่มาบัดนี้ เขากลับไปหลงรักสาวใช้ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นสตรีบอบบางยิ่งกว่ากลีบดอกไม้...เจียงหว่านนึกดูแคลนหลินซวงเอ๋อร์อยู่ในใจ นางเป็นสาวใช้ที่ไม่รู้อะไรสักอย่างเดียว จะคู่ควรกับเยี่ยเป่ยเฉิงได้อย่างไรและเจียงหว่านก็ย
เสวียนอู่กล่าวตอบ “พระชายาถูกนายหญิงส่งไปอยู่ห้องเก็บฟืน และสั่งให้นางทบทวนตนเองขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงสีหน้าเย็นชาทันควัน “ทบทวนเรื่องอันใด?”เสวียนอู่กล่าวตอบ “นายหญิงกล่าวว่าหากไม่เพราะพระชายา ท่านคงไม่ต้องบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ซ้ำยังเกือบเสียชีวิต...”เยี่ยเป่ยเฉิงถามด้วยความแปลกใจ “ ข้าหลับไปนานเพียงใด?”เสวียนอู่กล่าวตอบ “เจ็ดวันขอรับ ตอนนั้นท่านเข้าวังแล้วถูกธนูพิษยิงเข้า พิษนั้นร้ายแรงมาก หมอต่างบอกว่าหมดทางเยียวยา นายหญิงโกรธเคืองเป็นอย่างมาก...”เยี่ยเป่ยเฉิงนิ่งอึ้งเขาแทบไม่รู้ว่าตนได้นอนหลับไปถึงเจ็ดวันเต็มเสวียนอู่กล่าวอธิบายต่อ “แต่ท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวล พิษในกายได้ถูกขับออกหมดแล้ว พระชายาขึ้นเขาไปช่วยตามหางูวิเศษ งูตัวนั้นหายากนัก สามารถแก้ได้สารพัดพิษจริงๆ”“เจ้าว่ากระไรนะ?” เยี่ยเป่ยเฉิงตะลึงอีกครั้ง “เจ้าบอกว่าพระชายาขึ้นเขาไปจับงูให้ข้ารึ?”เสวียนอู่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องตกใจเช่นนี้ แต่ก็ยังกล่าวตอบตามตรง “ขอรับ เดิมทีข้าน้อยจะติดตามไปด้วย แต่พระชายาบอกว่างูตัวนั้นกลัวคน หลบหนีได้ว่องไว ยิ่งคนมากจะยิ่งทำให้มันตื่นกลัว จึงไม่อนุญาตให้ข้าน้อยติดตามไป”“แล้วเจ้
ทันทีที่เห็นหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์ก็ผุดรอยยิ้มบาน แววตาคล้ายมีดอกหลีฮวาเบ่งบานเป็นพันต้น“ท่านพี่ ท่านฟื้นมาแล้วหรือเจ้าคะ...”หลินซวงเอ๋อร์คิดลุกขึ้นยืน แต่อาจเพราะนั่งอยู่นานไป ขาจึงเริ่มรู้สึกเป็นเหน็บชา บวกกับอาการบาดเจ็บที่ขายังไม่หายดี จึงทำให้ลุกลำบากนางเอาสองมือยันพื้นไว้ พร้อมพิงผนังเพื่อจะลุกขึ้นยืน พลันรู้สึกเหนือศีรษะมีเงาดำทาบลงมา พร้อมกลิ่นแก่นจันทร์อันคุ้นเคยโอบล้อมตัวนางเอาไว้ หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงมายืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า หน้าตาเขาในยามนี้ ริมฝีปากเม้มแน่น คิ้วขมวดมุ่น ดวงตาดำขลับจับจ้องมาที่ตน ความรู้สึกภายใต้ดวงตานั้น เป็นสิ่งที่นางอ่านไม่ออกรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าหลินซวงเอ๋อร์ ค่อยๆ หุบลงโดยไม่รู้ตัว“ท่านพี่ ท่านยังโกรธข้าอยู่หรือเจ้าคะ?” หลินซวงเอ๋อร์ยื่นมือออกไปช้าๆ ค่อยๆ จับชายเสื้อของเขา ดวงตาใสจ้องมองเขาคล้ายกับหวาดกลัวคิดแล้วก็สมควรอยู่ นางแอบขโมยป้ายคำสั่งของเขาลักลอบเข้าวัง ยังทำให้เขาบาดเจ็บเจียนตาย ต่อให้เขารักนางเพียงไหน อารมณ์โกรธขึ้งก็คงไม่จางหายง่ายๆหลินซวงเอ๋อร์จึงอธิบายให้เขาฟัง “วันนั้นข้าก็ลังเลอยู่ ใ
มือใหญ่ของเยี่ยเป่ยเฉิงจับอุ้งเท้านางไว้ พร้อมนำขาน้อยทั้งสองข้างวางลงในน้ำร้อนเบาๆน้ำร้อนสัมผัสถึงหลังเท้าของหลินซวงเอ๋อร์ พลันรู้สึกแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เกิดความสบายอย่างบอกไม่ถูกแต่นางก็ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน ได้แต่นั่งหลังตรง ท่านั่งดูเรียบร้อยเป็นอย่างมาก แทบไม่กล้ากระดุกกระดิกนางมีความรู้สึกว่า คืนนี้เยี่ยเป่ยเฉิงดูอ่อนโยนผิดปกติอย่างไรชอบกลแม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะรักและตามใจนางมาก แต่นับแต่รู้จักมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาปรนนิบัตินางด้วยการแช่เท้าเขาเป็นถึงท่านอ๋อง และเป็นสามีของนางด้วย จะมาล้างเท้าให้นางได้อย่างไร...ไม่ว่าจะโดยเหตุผล หรือโดยฐานะยศศักดิ์ เหล่านี้ล้วนผิดธรรมเนียมทั้งสิ้น หากจะล้างจริง ก็ควรให้นางเป็นฝ่ายรับใช้เขามากกว่าครั้นเมื่อเห็นเขาจ้องมองน่องของตน หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกเขินจนต้องหดเท้ากลับ พลางกล่าว “ท่านพี่ ให้ข้าทำเองจะดีกว่า”เยี่ยเป่ยเฉิงพยายามระงับอารมณ์ไว้ พลางถามเสียงแหบ “แผลที่น่องเกิดขึ้นได้อย่างไร?”หลินซวงเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ “แผลเล็กน้อย ข้าซุ่มซ่ามจึงได้หกล้ม”เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วมุ่น “แต่หมอบอกว่าขาเจ้าถูกแง่หินบาดเ
เมื่อถูกเยี่ยเป่ยเฉิงขับออกจากห้องมา เจียงหว่านก็ถูกพาไปพักผ่อนยังห้องรับรองห้องหนึ่งทางเรือนตะวันตกห้องพักที่นี่แม้จะตกแต่งงดงาม ซ้ำยังหรูหรากว่าห้องส่วนตัวของนางที่จวนแม่ทัพเสียด้วยซ้ำ แต่อยู่ห่างจากเรือนตะวันออกไกลที่สุด ห่างจากเรือนอวิ๋นซวนก็ไกล และยิ่งไกลห่างจากเยี่ยเป่ยเฉิง...เพื่อรักษาระยะกับนางไว้ เยี่ยเป่ยเฉิงคล้ายจงใจจัดให้นางมาพักอยู่ที่นี่หลังจากอาบน้ำชำระกาย โม่อวิ๋นจึงช่วยนางดึงเอาปิ่นปักผมออกมาเจียงหว่านในชุดสีม่วงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใบหน้าในคันฉ่องแลดูหมดจดงดงาม ริมฝีปากได้รูป ผมยาวสยายเต็มแผ่นหลัง ยิ่งพาให้เลอโฉมมากยิ่งขึ้นโม่อวิ๋นหยิบเอาเครื่องประทินโฉมอวี้เหยียนเกาที่พกติดตัวมา ค่อยๆ ทาลงใบหน้าของเจียงหว่านครั้นเมื่อมองดูคุณหนูในคันฉ่อง โม่อวิ๋นก็ต้องทอดถอนใจ “คุณหนูเลอโฉมถึงเพียงนี้ ไฉนท่านอ๋องจึงตาต่ำนัก ไปชอบพอสาวใช้ผู้หนึ่ง มองไม่เห็นความดีของคุณหนูบ้าง”เดิมโม่อวิ๋นเพียงแค่เปรยไปตามอารมณ์ แต่คนพูดไม่ตั้งใจ คนฟังกลับคิดไปไกลดวงตาเจียงหว่านดั่งสายน้ำ แฝงด้วยแววไม่สบอารมณ์“เช่นนั้นเจ้าว่า ข้างามกว่า หรือหลินซวงเอ๋อร์ผู้นั้นงามกว่า?”เจียงห
เดิมทีเจียงหว่านไม่คิดสนใจ แต่เมื่อได้ยินเสวียนอู่กล่าวเช่นนี้ นางกลับตาสว่างขึ้น“ไปเรือนอวิ๋นซวน? ท่านอ๋องให้ข้าไปกระนั้นรึ?” เจียงหว่านหน้าบาน ดีใจจนแทบลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้เสวียนอู่กล่าว “ใช่ขอรับ ขอเชิญแม่นางเจียงตามข้าน้อยไปที่เรือนอวิ๋นซวนสักครั้ง”เดิมเสวียนอู่คิดไปหาหมอจากภายนอกจวน แต่มาคิดว่าไหนๆ ก็มีเจียงหว่านอยู่ และนางก็เป็นหมออยู่แล้ว จึงมาหานางแทนเมื่อได้ยินว่าเยี่ยเป่ยเฉิงเรียกหาตน เจียงหว่านแทบไม่ต้องคิดก็รีบกล่าวตอบ “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ไปบอกให้ท่านอ๋องรอประเดี๋ยว ข้า...ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าเล็กน้อย”เสวียนอู่นึกถึงท่าทีรีบร้อนของเยี่ยเป่ยเฉิง จึงได้กล่าวต่อเจียงหว่าน “รบกวนแม่นางเจียงโปรดเร่งมือหน่อย”โม่อวิ๋นก็ดีใจแทนเจียงหว่านด้วย พลางกล่าว “เห็นมั้ยเล่า ท่านอ๋องเริ่มคิดถึงคุณหนูขึ้นมาบ้างแล้ว”เจียงหว่านแสร้งทำดุ “เพ้อเจ้ออันใดกัน?”โม่อวิ๋นกล่าวตอบ “มิเช่นนั้นค่ำมืดดึกดื่น เขายังให้ท่านไปเรือนอวิ๋นซวนทำอะไรเจ้าคะ”เจียงหว่านดุนางซ้ำ “อย่าทำปากดีนัก ท่านอ๋องเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้...” นางพูดพลาง มือก็เปิดห่อผ้าที่พกติดตัวมา ควานหาเสื้อผ้าหลายตัวที่อยู่ในนั้น
“นางเป็นอย่างไรกันแน่” เยี่ยเป่ยเฉิงหมดความอดทน เดินหน้าขึ้นมาถามเจียงหว่านจึงค่อยปล่อยมือจากหลินซวงเอ๋อร์ ก่อนยิ้มเบาๆ “ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ข้าเพียงต้องการตรวจให้แน่ชัด ว่าพิษในกายนางหมดสิ้นแล้วจริงหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงถามต่อ “แล้วรู้แน่หรือยัง?”น้ำเสียงเขาเย็นชายิ่ง คล้ายไม่มีน้ำใจแอบแฝง แต่เจียงหว่านก็มิได้สนใจ เพราะรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว จึงได้กล่าวตอบ “พิษในตัวหมดไปแล้ว งูที่กัดแม้มีพิษร้ายแรง แต่พิษในร่างกายนางกลับไม่เหลืออยู่”หลินซวงเอ๋อร์อธิบาย “อาจเพราะข้าได้กินสมุนไพรไปสองต้น จึงสามารถแก้พิษของงูได้”เจียงหว่านกล่าวต่อ “แต่ว่า พิษงูในร่างกายแม้จะหมดสิ้น แต่แผลภายนอกยังต้องรักษาอีกสักระยะ จะปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้ มิฉะนั้นอาจกลายเป็นแผลเป็น”ระหว่างที่พูด นางหยิบยาทาขวดหนึ่งออกมามอบให้แก่หลินซวงเอ๋อร์ พลางกล่าว “นี่คือยาสมานแผลชั้นดี แม่นางหลินใช้อันนี้จะดีกว่า หากใช้ต่อเนื่องไป ต่อให้บาดแผลลึกเพียงใด ก็จะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้”หลินซวงเอ๋อร์รับยามา กล่าว “ขอบคุณแม่นางเจียงมาก ช่างรบกวนเจ้าโดยแท้”เจียงหว่านกล่าว “ยาตัวนี้ข้าเคยใช้มาก่อน จึงเหลืออยู่ไม่มาก หา
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก