“ฟองทางนี้!” จันทร์เจ้าเอ่ยเรียกหญิงสาวรุ่นน้องเจ้าถิ่นอย่างฟองคลื่นให้เข้ามาหา วันนี้เธอมีนัดกับฟองคลื่นด้วยเรื่องที่จะไปตรวจดูกล้องวงจรปิดที่บีชบาร์เพื่อดูว่าปลาดาวออกจากบาร์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่หรือไปกับใคร
“พี่จันทร์มารอฟองนานหรือยังคะเนี่ย” ฟองคลื่นฉีกยิ้มน่ารักก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่นาน เรารีบไปกันเถอะ พี่เป็นห่วงดาว” จันทร์เจ้าพูดด้วยความกระวนกระวายใจ
“ค่ะ”
หลังจากนั้นสองสาวก็ตรงไปที่บีชบาร์ทันที บางคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่ลองเช็กห้องพักของโรงแรมดูก่อนว่ามีห้องไหนที่ปลาดาวเข้าพักหรือเปล่า ต้องบอกก่อนว่าฟองคลื่นให้คนจัดการเรื่องนี้แล้วทั้งยังให้ไปตรวจสอบโรงแรมใกล้ ๆ แล้วว่ามีที่ไหนที่ปลาดาวเช็กอินบ้างก็ปรากฏว่าไม่พบ ดังนั้นทั้งสองจึงเลือกที่จะตรงไปที่บีชบาร์เลย
“พี่จันทร์อย่าเครียดไปเลยค่ะ ฟองเชื่อว่าพวกเราต้องเจอพี่ดาวแน่” เมื่อเห็นว่าคนข้างตัวหน้านิ่วคิ้วขมวด ฟองคลื่นจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปลอบและให้กำลังใจ มือนิ่มของเธอยื่นไปจับมือนิ่มของจันทร์เจ้าก่อนจะกุมไว้หลวม ๆ จันทร์เจ้าที่ได้รับสัมผัสนั้นและรับรู้ถึงความห่วงใยก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็ยังไม่วางใจนัก
“สวัสดีค่ะ”
“อ้าวคุณฟองคลื่น สวัสดีครับ มาถึงที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้จัดการบีชบาร์เอ่ยทักก่อนจะถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นฟองคลื่นเดินเข้ามาทั้งที่ปกติผู้หญิงตรงหน้าแทบจะไม่มายุ่งวุ่นวายตรงส่วนนี้เลย
“คือพอดีฟองมีเรื่องให้ช่วยน่ะค่ะ”
“เรื่องอะไรครับ”
“ฟองต้องการดูกล้องวงจรปิด”
“ดูกล้องวงจรปิด?” ผู้จัดการร้านถามย้ำพร้อมมองมาที่เธอด้วยความสงสัย ก่อนที่สายตาของเขาจะเลื่อนมายังจันทร์เจ้าที่ยืนฟังด้วยความกระวนกระวายใจแทน
“พอดีเพื่อนของฉันไม่ได้กลับห้องน่ะค่ะ ที่สุดท้ายที่เพื่อนฉันอยู่คือที่บาร์นี้ ดังนั้นขอฉันดูกล้องวงจรปิดหน่อยได้ไหมคะ” จันทร์เจ้าที่อดรนทนไม่ไหวเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเอง
ขณะเดียวกันสีหน้าของผู้จัดการก็มีท่าทีสับสนทั้งยังดูเหมือนจะยุ่งยากใจอีกด้วย หญิงสาวจึงส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาที่ฟองคลื่น
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะคนที่หายไปก็เป็นพี่ของฟองเช่นกัน ให้ฟองดูกล้องวงจรปิดเถอะนะคะ” ฟองคลื่นพูดขึ้นอีกครั้ง
ผู้จัดการจากที่ลำบากใจอยู่ก่อนแล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่สะดวกใจมากเข้าไปอีก หากเป็นเวลาปกติตัวเขาคงทำตามคำขอร้องของลูกเจ้าของโรงแรมในทันที แต่ว่าวันนี้กลับต่างออกไป เพราะหุ้นส่วนรายใหญ่ผู้ควบตำแหน่งเจ้าของบาร์กำลังจะเข้ามาดูงานในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า หากคนคนนั้นรู้ว่าเขาถือวิสาสะแหกกฎให้ฟองคลื่นและเพื่อนดูกล้องวงจรปิด งานจะต้องเข้าแบบไม่ต้องสงสัย ทว่ายิ่งมองตากับสองสาวทีไรก็อยากจะใจอ่อน แต่ก็อึดอัดจนไม่เกรนแทบขึ้นเพราะทำอะไรไม่ได้
“นะคะ”
“นะคะคุณผู้จัดการ ให้ฉันดูกล้องเถอะนะคะ” จันทร์เจ้าเอ่ยขอร้องเธอแทบจะยกมือขึ้นไหว้คนตรงหน้าอยู่แล้ว
“เอ่อ... เรื่องนี้”
“นะคะผู้จัดการ” ฟองคลื่นพูดขึ้นมาบ้าง
“ผมค่อนข้างยุ่งยากใจนะครับ ความจริงมาตรการและกฎบ้อบังคับต่าง ๆ คุณฟองคลื่นก็น่าจะรู้ดี”
ได้ยินผู้จัดการบีชบาร์พูดเช่นนั้นฟองคลื่นก็มีสีหน้าสลดลง จันทร์เจ้ามองอย่างเข้าใจ แต่ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเธอจึงไม่คิดสนใจนัก แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เธอร้องขอมันไม่ถูกต้องและไม่เป็นไปตามกฎข้อบังคับแต่เธอก็เลือกที่จะทำ หากจะให้เธอเขียนคำร้องหรือแจ้งความ กว่าที่เธอจะได้ดูกล้องวงจรปิดมันไม่นานเกินไปหรอกเหรอ หากในระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกับปลาดาวเธอจะทำยังไง
“ฉันขอร้องล่ะค่ะคุณผู้จัดการ ให้ฉันดูกล้องวงจรปิดเถอะนะคะ”
“เอ่อ คือว่า...”
“นะคะ นะ...”
“มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าครับ”
จันทร์เจ้ายังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงทุ้มของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เธอมองใบหน้าซีดเผือดของผู้จัดการแล้วขมวดคิ้วมุ่น หันไปมองข้างตัวก็เห็นฟองคลื่นเอาแต่ก้มหน้ามองปลายเท้า หญิงสาวจึงตัดใจหันมามองข้างหลังของตัวเธอเองบ้าง แล้วดวงตาทั้งสองข้างของเธอก็ต้องเบิกกว้าง เมื่อผู้ชายคนนั้นคือคนที่เธอปะทะฝีปากด้วยเมื่อคืน!
“คุณ!”
“ไง?”
หนึ่งหญิงสาวทักด้วยความตกใจ หนึ่งชายหนุ่มทักด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่ามุมปากกลับยกยิ้มยียวนส่งไปให้ จันทร์เจ้าเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะสะบัดหน้าหนี ถึงเธอจะไม่ชอบขี้หน้าเขาแต่เธอก็รู้สถานการณ์ว่าเวลาไหนควรรุก เวลาไหนควรถอย
ดูจากอากัปกิริยาของผู้จัดการบาร์และฟองคลื่นแล้ว จันทร์เจ้าเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า ผู้ชายร่างยักษ์ตรงหน้าเธอคงมีความสำคัญมากแน่ ๆ ดังนั้นสงบปากสงบคำไว้ก่อนเป็นดี เพื่อเพื่อนของเธอ
นี่เธอไม่ได้กลัวนะ ที่นิ่งก็เพื่อจะได้ดูความเป็นไปของปลาดาวล้วน ๆ เห็นไหมว่าเธอไม่ได้กลัวเขาเลยสักนิด หึ! ฉายาตัวแสบประจำแก๊งรวมดาวอย่างเธอจะมากลัวผู้ชายร่างยักษ์ที่ครอบครองใบหน้าหล่อเหลาจอมกวนแบบคนตรงหน้าได้ยังไง
ร้อยไม่มีวัน พันไม่มีวัน!
“ว่าไงครับ มีอะไรกันหรือเปล่าคุณชัยกิจ” ชัยกิจคือชื่อของผู้จัดการบีชบาร์นั่นเอง
“คือว่าคุณฟองคลื่นและคุณผู้หญิงมาขอดูกล้องวงจรปิดครับ” ชัยกิจที่ถูกถามก็เอ่ยตอบไปตามตรง สำหรับเขาแล้วชายหนุ่มตรงหน้านอกจากจะเป็นเจ้านายแล้วยังเป็นบุคคลอันดับต้น ๆ ที่ไม่ควรยุแหย่อีกด้วย และเรื่องที่เจ้านายถามก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจึงไม่มีอะไรต้องปิดบังหรือไม่บอก ถึงเรื่องที่คนตรงหน้าเอ่ยถามจะใหญ่กว่านี้อีกสักกี่เท่า ถ้าถูกถามเขาก็ต้องตอบอยู่ดี ในเมื่อเขาเป็นลูกน้องชายหนุ่ม ขืนไม่ตอบดูสิได้เด้งออกจากงานแน่
“กล้องวงจรปิด... ดูไปทำไม” ชายหนุ่มเลือกที่จะหันไปถามหญิงสาวคู่กรณีเมื่อคืนของตนโดยตรง
จันทร์เจ้าแม้จะไม่อยากสนทนาไม่อยากตอบหรือพูดคุยผู้ชายตรงหน้าก็ได้กล้ำกลืนความไม่ชอบนั้นไว้ในใจ เพราะตอนนี้เพื่อนของเธอสำคัญที่สุด ดังนั้นหญิงสาวจึงตอบกลับไปว่า “เพื่อนฉันหาย เลยอยากจะดูว่าก่อนหน้าที่เพื่อนฉันจะหายไปมีใครมาลักพาตัวเพื่อนฉันไปหรือเปล่า”“หึ! เพื่อนคุณหาย เลยอยากจะมาดูกล้องวงจรปิดของบาร์?”“ใช่!”“ตลกแล้ว นี่คุณรู้กฎระเบียบของที่นี่หรือเปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยถาม จันทร์เจ้าไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาจึงได้หลุดหัวเราะจนหญิงสาวต้องส่งสายตาไม่พอใจให้ถึงได้หยุด“คุณนี่ตลกดีนะ รู้ทั้งรู้ว่าระเบียบเป็นยังไงก็ยังจะมาขอดู ทำไมไม่รีบทำตามกฎระเบียบล่ะ หรือไม่ก็แจ้งความสิ”“ถ้ามันแจ้งได้ฉันก็แจ้งแล้วสิ นี่...” ‘คุณไม่รู้เหรอว่ามันยังไม่ครบ 24 ชั่วโมง’ คือคำพูดในหัว เพราะต้องหยุดพูดเมื่อฟองคลื่นเข้ามากระตุกเสื้อเธอไว้ก่อนจะพูดว่า“พี่จันทร์คะ ใจเย็นค่ะคนตรงหน้าคือคุณชลธีเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของโรงแรมค่ะและเป็นเจ้าของบาร์นี้ ถ้าพี่จันทร์ต้องการดูกล้องวงจรปิดต้องขออนุญาตจากเขาแล้วค่ะ ที่สำคัญเลยคนคนนี้ค่อนข้างมีอำนาจนะคะ ฟองไม่ค่อยกล้ายุ่งด้วยหรอกค่ะ เขาค่อนข้างน่ากลัว” จันทร์เจ้าเอ่ยบอกถึงสถานะ
“ว่ายังไง ตกลงหรือเปล่า”จันทร์เจ้ามองคนหน้าตายด้วยสายตาขุ่นเคือง เธอได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปมา ในขณะเดียวกันสมองของเธอก็ขบคิดอย่างหนัก“ถ้ายังไม่ตกลงจะกลับไปคิดก่อนก็ได้นะ ผมไม่รีบ” ผู้ชายตรงหน้าเธอพูดออกมาอย่างสบายใจ ในขณะที่เธอนั้นร้อนรนเพราะเป็นห่วงเพื่อนอย่างเห็นได้ชัด“เอ่อ... คุณชลคะ” ในขณะที่ฟองคลื่นจะพูดอะไรบางอย่างก็ต้องหุบปากลงเมื่อเจอสายตาคมกริบมองมา จันทร์เจ้าเห็นแบบนั้นก็ไม่พอใจเธอจ้องเขากลับอย่างเอาเรื่องราวกับงูพิษที่พร้อมจะฉกเขาตลอดเวลา ในสายตาของชลธีแล้วเธอช่าง น่าเอ็นดู...“คิดดูดี ๆ นะ เพราะผมไม่ได้เดือดร้อน แต่ถ้าคุณไม่ตกลงก็แค่ทำตามกฎระเบียบมาตรการต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ทางที่ดีคุณจะแจ้งความก็ได้นะ แต่ถ้าให้ดีผมแนะนำให้คุณทำตามข้อตกลงของผมดีกว่า เร็วกว่าเยอะ”“ฉันขอเวลาคิดก่อน ขอตัว” พูดจบจันทร์เจ้าก็คว้ามือฟองคลื่นมากุมไว้แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ชลธีมองตามแผ่นหลังของเธอไปจนสุดสายตาก่อนจะหลุดยิ้มออกมา สายตาแสดงออกถึงความพอใจและถูกใจอย่างสุดซึ้ง“เอ่อ... คุณชลธีครับ”“มีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวผมจะไปดูกล้องวงจรปิดสักหน่อย อ้อเรียกพนักงานที่ทำงานเมื่อคืนมาพบผมด้วย” ชล
ทว่าเมื่อนึกถึงปลาดาวที่ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง ใบหน้าของเพื่อนสนิทก็ลอยเข้ามาในความคิด บวกกับที่ตอนนี้ยังติดต่อไม่ได้ ความคิดที่ว่าจะไม่ยอมรับข้อตกลงก็มลายหายไป ใบหน้าของจันทร์เจ้าสลดลงอีกครั้ง มือบางยกน้ำมะพร้าวขึ้นดื่มแล้วมองไปยังท้องทะเลสายตามาดมั่น แล้วจึงพูดออกมาว่า“เป็นเบ๊ก็เป็นเบ๊สิ กลัวที่ไหนกัน ถ้าเรารู้ความเป็นไปของไอ้ดาว ก็ไม่จำเป็นต้องทำตามข้อตกลงสั่ว ๆ ของอีตาบ้านั่นก็ได้ หึ! คิดจะกดขี่ข่มเหงไอ้จันทร์เจ้าคิดน้อยเกินไปแล้ว”“... แล้วเจอกันนะไอ้คุณชลธี!”“ตอนนี้ยังแจ้งความไม่ได้ ต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมง แล้วนี่กี่โมงแล้วเนี่ย” จันทร์เจ้าพูดกับตัวเอง ก่อนจะยกแขนซ้ายที่มีนาฬิกาข้อมือสวมไว้อยู่ขึ้นเพื่อดูเวลา แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นเวลาที่ปรากฏบนหน้าปัดนาฬิกาชัด ๆ“บ่ายแล้วเหรอเนี่ย! นี่เรานั่งนานแค่ไหนกัน... เอาไงดีจะกลับไปบอกนายชลธีว่ายอมรับข้อตกลงเลยดีไหม”“ไม่เอาดีกว่า รอก่อน รอแจ้งความก่อนดีกว่า แต่กว่าจะแจ้งความได้คงต้องเป็นพรุ่งนี้ ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ งั้นกลับห้องพักไปตั้งตัวก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”จันทร์เจ้าพูดและตกลงกับตัวเองเสร็จสรรพ ก็เดินกลับโรง
เช้าวันถัดมาจันทร์เจ้าตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น หญิงสาวรีบแต่งตัวด้วยชุดทะมัดทะแมงเพราะวันนี้เธอตั้งใจจะไปแจ้งความเรื่องคนหายดู อาศัยการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกแรงเผื่อว่าจะได้รู้ความเป็นไปของปลาดาวเร็วขึ้นหลังจากทานข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ตรงดิ่งไปที่สถานีตำรวจในท้องที่ ทว่าเพียงเธอแจ้งความประสงค์ไป ทางตำรวจกลับไม่รับเรื่อง! ทั้งยังอ้างว่ายังไม่ครบ 24 ชั่วโมง มันจะไม่ครบได้ยังไง มันครบตั้งแต่ตีหนึ่งที่ผ่านมาแล้ว!แต่แล้วจันทร์เจ้าก็เข้าใจได้ไม่ยาก เมื่อเธอเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของเจ้าหน้าที่ ทั้งยังดูหลุกหลิกชอบกล หญิงสาวก็เข้าใจแล้วว่าที่เจ้าหน้าที่ไม่รับเรื่องของเธอต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ ๆ ซึ่งมันก็มีไม่กี่อย่าง ถ้าเธอเดาไม่ผิดคงจะมีคนใช้อำนาจในทางมิชอบแน่ และแล้วก็เป็นจริงอย่างที่จันทร์เจ้าคิดเมื่อเธอเดินทางมาที่บีชบาร์อีกครั้งมาเพื่อพบชลธี!“ไง? ตำรวจไม่รับแจ้งเหรอคุณ”“เป็นฝีมือคุณใช่ไหม” เห็นสีหน้าเย้ยหยันสายตาท้าทายของผู้ชายตรงหน้าแล้ว จันทร์เจ้าก็มั่นใจว่าสิ่งที่เธอคิดมันถูก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคุยกันดี ๆ หญิงสาวก็ถามชลธีด้วยน้ำเสียงห้วนจัด ใบหน้าดุกร้าว
“เพราะแบบนี้ใช่ไหมคุณถึงโทรไปนัดแนะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้”“ใช่! ก็นะผู้ชายคนนั้นเป็นญาติกับหุ้นส่วนผมนี่ ถ้ามีเรื่องทำนองนี้ออกไปคงไม่ดีใช่ไหมล่ะ”“แต่นั่นเพื่อนฉันนะ ฉันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้หรอก” จันทร์เจ้าที่ได้ฟังชลธีพูดก็ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมทั้งหมุนตัวหันหลังเตรียมเดินออกจากห้องทำงานของชายหนุ่มไป แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อถูกชลธีเอ่ยทัก“นั่นคุณจะรีบไปไหน”“ก็ไปบอกฟองคลื่นเพื่อหาทางจัดการเรื่องนี้น่ะสิ” หญิงสาวมองมาที่ชายหนุ่มด้วยสายตารำคาญ ขณะเดียวกันชลธีที่ได้ฟังคำพูดของเธอก็มองมาที่เธอด้วยสายตาระอาเช่นกัน“หึ! นี่คุณคิดว่าฟองคลื่นจะทำอะไรได้งั้นเหรอ คุณคิดว่าหลังจากคุณบอกฟองคลื่นและฟองคลื่นไปบอกพ่อของเธอแล้ว พรุ่งนี้คุณจะสามารถไปพาเพื่อนคุณกลับมาเลยได้รึไง”“ก็ใช่น่ะสิมีอะไรยากกัน” ได้ฟังคำตอบของเธอแล้วชลธีได้แต่ส่ายหัวก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ“คุณฟังผมนะ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า คุณครามไม่ได้อยู่ที่นี่หรือบ้านพักของเขา ผมคิดว่าเขาคงกลับเกาะส่วนตัวที่เลี้ยงฟาร์มมุกไว้แล้วล่ะ”ได้ยินดังนั้นตัวของจันทร์เจ้าก็ทรุดนั่งลงที่เก้าอี้เช่นเดิม สีหน้าของเธอเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด“และที่สำ
จะว่าไปผู้ชายคนนี้ก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ หรือเธอควรจะจับเขาดี? ไม่ ๆ มีผู้ชายคนนี้ใครได้เป็นสามีต้องปวดหัวเพราะตามเขาไม่ทันแน่ ๆ คนที่ไม่ต้องการให้ตัวเองเจ็บปวดเพราะความรักและเป็นคนไม่เชื่อในความรักอย่างเธออยู่คนเดียวนี่แหละ ดีที่สุดแล้วความคิดแผลง ๆ เริ่มหลุดรอดออกมาจากหัวสมองก่อนที่หญิงสาวจะส่ายศีรษะไปมาแล้วกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดอะไรบ้า ๆ อีก ‘เอาวะตกลงเป็นเบ๊ก็ได้มีแต่ได้กับได้ชัด ๆ’ “แล้วฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าฉันจะปลอดภัย” เมื่อมีทางเลือกไม่มาก เธอก็ต้องถามทางเพื่อหาความปลอดภัยให้กับตัวเอง“ผมไม่มีรสนิยมรังแกผู้หญิง” ‘แต่ถ้าคุณสมยอม... นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง’ แน่นอนว่าประโยคหลังชลธีพูดกับตัวเองในใจจันทร์เจ้าที่ได้ฟังคำพูดของเขาก็รู้สึกย้อนแย้ง บอกว่าไม่นิยมรังแกผู้หญิง แล้วที่เอาหน้าที่การงานเธอมาล่อและบังคับทางอ้อมให้เธอยอมตกลงกับเขาไปนี่มันคืออะไร อันตราย ผู้ชายคนนี้อันตราย!“อ้อ! หากคุณไม่มั่นใจไปอยู่กับผมที่เกาะ คุณจะบอกฟองคลื่นก็ได้ว่าไปกับผม ถึงยังไงผมกับพ่อของเธอก็ทำธุรกิจร่วมกัน หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณแน่นอนว่าพวกเขาจะเพ่งเล็งมาที่ผมทันที”“หมายความว่าไงว่าต้องไ
ณ ร้านอาหารตามสั่งริมทะเลด้วยความที่บีชบาร์อยู่ไม่ไกลกับร้านอาหารแห่งนี้นักเดินไม่นานหญิงสาวก็ถึงจุดหมาย“ไง?” หลังจากสอดส่องสายตาหาเพื่อนสนิทที่บอกว่าจะมานั่งรอจนเจอแล้ว จันทร์เจ้าก็เดินเข้ามาเอ่ยทักพร้อมมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วงจะไม่ให้เธอเป็นห่วงได้ยังไงก็ในเมื่อตอนนี้สภาพเพื่อนเธอเหมือนคนกำลังจะตาย แววตาที่สมควรเปล่งประกายอย่างคนที่สมควรมีความสุขกลับเศร้าหมอง เห็นแล้วทำให้เธออดเป็นห่วงและกังวลไม่ได้“กินอะไรไหม” มารินถามและส่งยิ้มให้บาง ๆ ทว่าไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าเธอกำลังฝืนแค่ไหน“เฮ้อ!” จันทร์เจ้าพ่นลมหายใจก่อนจะรีบทรุดกายนั่งตรงข้าม แล้วส่ายหัว ก่อนที่เธอจะเรียกพนักงานมาสั่งเอง ซึ่งก็เป็นอาหารง่าย ๆ อย่างผัดกะเพราทะเล“แกไม่ต้องคิดมากหรอก มันไม่ใช่ความผิดของแก” จันทร์เจ้าพูดอย่างรู้เท่าทันความคิดของเพื่อนสนิทรับบทนางปลอบแล้วหนึ่ง ทุกวันนี้ตัวเองแทบจะเป็นทุกอย่างในชีวิตเพื่อนอยู่แล้วมั้ง เฮ้อ! แต่ก็นะในเมื่อคบหากันแล้วก็มีแต่ต้องช่วยเหลือกันต่อไปนั่นแหละ“แต่ที่ดาวต้องหายไปส่วนหนึ่งก็มาจากฉันนะ ฉันหยุดคิดว่ามันไม่ใช่ความผิดฉันไม่ได้หรอก” มารินแย้งก่อนจะก้มหน้าลงมองมือที่ตักส
มารินที่ได้ฟังคำพูดของจันทร์เจ้าแล้วก็ทำใจยอมรับได้ จิตใจของเธอก็เริ่มสงบลง และเพื่อเป็นการตอบแทนเธอจึงอาสาเลี้ยงข้าวจันทร์เจ้าแทน สำหรับจันทร์เจ้านั้นเมื่อมีคนออกปากว่าจะเลี้ยงเธอจะปฏิเสธได้ยังไง ทุกวันนี้ประหยัดได้ต้องประหยัด ดังนั้นหญิงสาวจึงพยักหน้าตอบรับด้วยความยินดีหลังจากจ่ายค่าข้าวแล้วสองสาวก็แยกกันไปพักผ่อนตามความต้องการของแต่ละคน มารินเลือกกลับห้อง ส่วนจันทร์เจ้าเธอไม่อยากไปอุดอู้อยู่ในห้อง จึงเลือกที่จะมาเดินเล่นริมชายหาดและนอนเก้าอี้ชายหาดมองวิวทะเลแทน“พรุ่งนี้ค่อยไปหาซื้อสเปรย์กับเครื่องช๊อตไฟฟ้าก็แล้วกันจะได้เอาไว้ป้องกันตัวเอง เผื่ออิตาบ้าชลธีเกิดโรคจิตจะได้มีเครื่องทุ่นแรงไว้ต่อสู้กับเขา ส่วนวันนี้ขอนอนโง่ ๆ มองวิวทะเลนี่ก่อน เราควรบอกพวกมันไหมวะว่าพอจะรู้แล้วว่าปลาดาวอยู่ไหน... บอกไปเถอะอย่างน้อยก็พอจะคลายกังวลได้บ้าง”ไลน์กลุ่มจันทร์เจ้า : ทุกคนฉันพอจะรู้แล้วนะว่าไอ้ดาวอยู่ไหนFong : อยู่ไหนคะกอหญ้า : อยู่ไหน? รีบบอกมา แกจะช้าไม่ได้นะจันทร์เจ้า : ปลาดาวอยู่กับคุณคราม ครามที่เป็นญาติของฟอง คลื่น ฟองน่าจะรู้จักใช่ไหม?Fong : อ๋อ พี่คราม รู้จักค่ะ แต่ว่าพี่ดาวไปอยู
จันทร์เจ้าอึ้งของจริงแล้วตอนนี้ ก็ว่าอยู่ทำไมเขามีท่าทางจริงจังผิดปกติ และเหมือนว่าจะทำเรื่องสำคัญ แต่เธอไม่คิดว่าเรื่องสำคัญที่ว่าคือการขอเธอแต่งงานแบบนี้ หญิงสาวพูดไม่ออกตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่ยืนนิ่งอยู่แบบนั้นจนคนที่เพิ่งพูดว่าขอแต่งงานใจเสีย“จันทร์ครับ พี่รักจันทร์นะ รักจันทร์คนเดียว เรายังไม่ต้องแต่งกันตอนนี้ก็ได้ แต่จันทร์อย่าปฏิเสธพี่เลยนะครับ” พูดแล้วก็จะร้อง ใบหน้าของชลธีเหยเก ชายหนุ่มรับไม่ได้ถ้าเขาจะถูกคนที่รักปฏิเสธ มาถึงตอนนี้จันทร์เจ้าเรียกสติคืนกลับมาได้แล้ว“พี่ชลใจเย็น ๆ นะคะ จันทร์ไม่ได้จะปฏิเสธสักหน่อย”“จริงนะครับ”“จริงสิคะ”ชลธีได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ“แต่จันทร์ขอเวลาหน่อยนะคะ จันทร์ไม่อยากให้เราด่วนตัดสินใจ ทุกวันนี้ที่เราอยู่และเข้าใจกันมันก็ดีอยู่แล้ว ให้ความสัมพันธ์ของเราเป้นแบบนี้ไปก่อนนะคะ”“เรายังมีหลายเรื่องที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน โดยเฉพาะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรามองข้ามอาจจะกลายเป็นปัญหาในอนาคตได้ ถึงแม้ตอนนี้เราสองคนจะยังไม่แต่งงานกันแต่เราก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอคะ พี่ชลอย่ารีบไปเลยนะคะ และก็อย่ากังวลด้วย ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหนก
วันนี้จันทร์เจ้าและชลธีมาร่วมแสดงความยินดีกับฟองคลื่น รุ่นน้องสาวคนนี้กำลังเข้าพิธีแต่งงานกับภาสกรเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาบรรยากาศงานแต่งงานยามเย็นที่จัดริมทะเลเป็นอะไรที่ลงตัวมาก จันทร์เจ้าชื่นชอบซุ้มดอกไม้ทางเข้างานที่สุด เพราะว่านอกจากจะหอมแล้วยังสวยด้วยแต่ที่สวยที่สุดเห็นที่จะเป็นเจ้าของอย่างเจ้าสาวป้ายแดงที่ชื่อว่า ฟองคลื่นคนนี้นี่แหละจันทร์เจ้ารู้สึกยินดีกับรุ่นน้องสาวมาก เห็นคนที่ตัวเองรักและเอ็นดูมีความสุขกับคู่ชีวิตและสิ่งที่เจ้าตัวเลือก ตัวเธอเองก็ดีใจและมีความสุขไปด้วยส่วนเพื่อน ๆ ในกลุ่มก็เอ่ยทักทายกันตามปกติก่อนจะแยกไปอยู่ที่คู่ใครคู่มันจันทร์เจ้าไม่ได้ร่วมแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวจนจบงาน ไม่ได้อยู่สนุกในช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี เพราะเพียงแค่เจ้าสาวโยนช่อดอกไม้มาแล้วปลาดาวรับได้ เธอก็ถูกชลธีพาตัวกลับมาที่เกาะทันทีชายหนุ่มพูดกับเธอว่า วันนี้เธอสวยแปลกตาจึงไม่อยากให้ผู้ชายที่มาร่วมงานมองเธอเยอะเกินไป เขาหึงหวงเกินกว่าจะเห็นเธอยิ้มให้คนอื่นได้ แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่เธอรู้จักก็ตามตอนแรกก็ตั้งใจจะต่อว่าเขาอยู่หรอกที่เขาพาเธอกลับออกจากงานก่อนงานเลิก ครั้นพอได้ยินคำพูดของ
“มานั่งสิครับ จันทร์บ่นว่าอยากกินซูชิไม่ใช่เหรอ นี่พี่สั่งให้คนงานซื้อมาให้เลยนะ เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เอง”‘นั่นไง ว่าแล้วเชียว นี่คงจะสั่งตั้งแต่เช้าก่อนที่คนงานจะเอารังนกที่เพิ่งเก็บใหม่ออกไปส่งสินะ บวกลบเวลากลับมาถึงเกาะก็น่าจะเวลาประมาณนี้พอดี ซื้อหวยทำไมไม่ถูกนะ’ เธอพูดคนเดียวในใจ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้เงียบ ๆชลธีจัดการส่งจานซูชิและสลัดต่าง ๆ ให้เธอ ส่วนเขานั่งทานข้าวสวยกับต้มยำแทน ระหว่างทานชลธีก็บริการจันทร์เจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง“ไวน์ไหมครับ”“จะมอม?”“เปล่าครับเปล่า ไวน์นี้มีกลิ่นหอม จันทร์น่าจะดื่มได้พี่เลยลองชวนน่ะครับ ถ้าจันทร์ไม่สนใจก็ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มพูดกลบเกลื่อนความเสียดายเอาไว้เขาอุตส่าห์วางแผนนี้ไว้ในใจ ตั้งใจให้เธอดื่มไวน์ เธอจะได้เมา หลังจากนั้นจะได้คุยกันง่ายขึ้น ไม่คิดเลยว่าเธอจะไม่ยอมดื่ม“คิดนานไหมแผนนี้”“แผน?”“อย่ามาทำหน้าซื่อตาใส มันไม่เนียน แล้วก็เอาไปไกล ๆ คนไม่ถูกโฉลกกับไวน์ยังจะเอาเข้ามาใกล้อีก” ได้ยินหญิงสาวพูดด้วยความไม่พอใจ ชลธีก็รีบหยิบแก้วไวน์ออกห่างจากหญิงสาวทันที“จันทร์ครับ ดีกันเถอะนะ อย่างอนเลยนะครับ พี่ไม่รู้จะง้อจันทร์ยังไงแล้ว” ชายหน
วันเวลาขับเคลื่อน หมุนเวียนผ่านไป ตอนนี้ก็ผ่านมาได้หลายเดือนแล้ว นับตั้งแต่ที่จันทร์เจ้าและชลธีกลับมาจากกรุงเทพฯ ตลอดเวลาที่จันทร์เจ้าอยู่กับชลธีที่เกาะรังนกแห่งนี้ทั้งคู่ก็ได้เรียนรู้นิสัยกันมากขึ้น ได้ปรับตัวเข้าหากัน ความรู้สึกที่มีให้กันก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันทว่าสุขมักคู่กับทุกข์ คนเราจะมีสุขเพียงอย่างเดียวหรือทุกข์เพียงอย่างเดียวไม่ได้มันต้องคละเคล้ากันไปเพื่อเป็นสีสันของชีวิต จันทร์เจ้าและชลธีก็เช่นกัน พวกเขาทะเลาะกันบ้างในบางครั้ง งอนบ้างในบางคราตามปกติของคู่รักทั่วไปทว่าวันนี้ดูจะต่างออกไป เพราะเหมือนว่าจันทร์เจ้าจะงอนชลธีหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ส่วนเรื่องอะไรนั้นเป็นเพราะว่า ชลธีแอบดูหนังโป๊! แถมยังเป็นหนังโป๊ญี่ปุ่นซะด้วย เรื่องนี้ทำเอาจันทร์เจ้าที่น้อยนักจะงอนชายหนุ่มสักครั้งถึงกับงอนไปเลยสองวันเต็ม และวันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้วที่เธอไม่ยอมคุยกับเขาแต่จะพูดว่าเธองอนเขาก็ไม่ถูกนัก จันทร์เจ้าไม่ได้งอนเสียทีเดียว เธอแค่ไม่พอใจและหึงหวงเขามากกว่า หึงที่เขาดูผู้หญิงคนอื่น หึงที่เขาไปนั่งดูหนังรักผู้ใหญ่ที่ผู้หญิงสวย ๆ ลีลาเร่าร้อนนำแสดงเธอหึง หึงมากด้วย!“จันทร์ครับ ไม่คุยก
“สวยจังเลยนะคะ” จันทร์เจ้าพูดขึ้นมาท่ามกลางเสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งสุดสายตาของหญิงสาวกำลังมองดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบน้ำ ตั้งแต่อยู่ที่เกาะรังนกนี้ หญิงสาวจะชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกมาก ทว่าถึงจะชอบเธอก็ไม่ได้มีโอกาสดูบ่อยนักนั่นก็เพราะว่าหญิงสาวมักจะถูกชายหนุ่มรบกวนทุกที บางครั้งก็ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินจนมดค่ำ บางครั้งก็รบกวนเธอยามเช้า ทำให้หญิงสาวพลาดภาพสวย ๆ นี้ทุกนี้ดังนั้นทุกครั้งที่เธอเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกดินเธอจะชมว่าสวยอยู่เสมอ“ใช่สวย สวยมาก” คนพูดไม่ได้มองไปที่พระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นแต่อย่างใด สายตาของชายหนุ่มจับจ้องไปยังใบหน้าใสไร้เครื่องสำอางเนียนนุ่มนั่นต่างหากวันนี้เป็นวันสบาย ๆ ของเขาและเธอ งานในเกาะก็มีคนคอยดูแลอยู่แล้ว พวกเขามาที่เกาะรังนกแห่งนี้ก็เหมือนกับปลีกวิเวกมาพักผ่อนเสียมากกว่า อ้อ ถึงจะปลีกวิเวกแต่ก็ยังสามารถติดต่อได้เช่นเคยจันทร์เจ้าหันหน้ากลับมามองชลธีก่อนจะเห็นว่าเขามองเธออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวยิ้มให้บาง ๆ ในใจของเธอกำลังรู้สึกมีความสุขอย่างมาก นอกจากแม่ที่จากไปและเพื่อน ๆ ในกลุ่มยังจะมีใครดีกับเธอเท่าเขาอีก“ขอบคุณนะคะ” เธอพูดออกมาโด
3 วันต่อมา“สรุปพี่ชลจะบอกจันทร์ได้หรือยังคะ ว่าเราจะไปไหนกัน” จันทร์เจ้าหันไปถามชลธีที่กำลังขับรถ ซึ่งเธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาจะพาเธอไม่ไหนตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมาชลธีก็ให้เธออาบน้ำแต่งตัวจากนั้นก็ขับรถออกมาโดยที่ไม่บอกอะไรเธอเลย พอถามก็ไม่ตอบ“ถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้ครับ” ชลธีตอบก่อนจะหันกลับไปขับรถต่อหนึ่งชั่วโมงต่อมาจันทร์เจ้าก็เห็นรั้วบ้านหลังใหญ่รั้วหนึ่ง ชลธีขับรถไปยังรั้วหน้าบ้านนั้นช้า ๆ รอไม่นานก็มีคนเปิดประตูรถให้แล้วเขาก็ขับเข้าไปภายในพร้อมทั้งขับไปจอดยังโรงจอดรถอย่างคุ้นเคย“สรุปที่นี่คือ?”“บ้านพี่เองครับ”“หา!!!”“ไม่หาครับ ไปครับลงพ่อแม่พี่รอแล้ว”“เดี๋ยวสิพี่ชล หมายความว่ายังไงที่บอกพ่อแม่พี่รอ นี่อย่าบอกนะว่า”“ใช่แล้วครับ พี่พาจันทร์เจ้ามาเปิดตัวกับที่บ้าน ไปครับ ลงรถ” ไม่พูดเปล่าชลธีเปิดประตูรถลงไปอย่างรวดเร็ว ส่วนจันทร์เจ้าที่ยังไม่หายตกจเธอยังนั่งนิ่งอยู่ เดือดร้อนชายหนุ่มต้องเปิดประตูปลดเข็มขัดนิรภัยและประคองเธอลงจากรถ“ไม่ไปไม่ได้เหรอคะ” จันทร์เจ้าพูดพร้อมยึดประตูรถไว้แน่น“ไม่ได้ครับ อย่าให้พ่อแม่พี่รอนาน ไปเร็ว”“แต่ว่า”“ไม่มีแต่แล้วครับ จันทร์อย่าลืมสิว่าเราไม่ได
โดยปกติหากไม่มีเรื่องอะไรในใจปลาดาวจะต้องสดใสซึ่งผิดกับตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ตอนเธอถามและอีกฝ่ายตอบกลับว่าสบายดี จันทร์เจ้าจึงไม่ได้เชื่อมากนัก ด้วยความที่สนิทกันจึงดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังโกหก ทั้งยังโกหกไม่เนียนจันทร์เจ้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนและมีอะไรเกิดขึ้นที่เกาะหรือเปล่า พอจี้ถามมากเข้า ปลาดาวก็เอาแต่บอกว่าขอเวลา หากสบายใจเมื่อไหร่จะเล่าให้เธอฟังเป็นคนแรก จันทร์เจ้าถึงได้ยอมหยุดไม่เอ่ยปากถามให้เพื่อนต้องอึดอัดใจอีก“อยากกอดแกจังเลยไอ้จันทร์ ขอฉันกอดแกได้มั้ย”จันทร์เจ้าไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้ารับส่งยิ้มให้เพื่อนพร้อมทั้งกางแขนออกกว้าง เพียงเท่านั้นปลาดาวก็พุ่งเข้ากอดเธอทันที จันทร์เจ้ากอดปลาดาวกลับด้วยความเป็นห่วง มือของเธอลูบหลังเพื่อนไปมาอย่างปลอบโยน แม้เธอจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร แต่ก็พอคาดเดาได้ลาง ๆ ว่าคงมีเรื่องไม่สบายใจมาก ๆ แน่‘เฮ้อ ช่างเถอะ มันบอกแล้วว่าถ้าดีขึ้นจะเล่าให้ฟังเอง แกก็ไม่ต้องคิดมากหรอกจันทร์ เรื่องบางเรื่องก็ต้องให้เจ้าตัวคิดและตัดสินใจเอง เราจะเข้าไปยุ่งมากไม่ได้หรอก’ พูดในใจเสร็จจันทร์เจ้าก็ดันตัวเพื่อนออกพร้อมยิ้มกว้างให้ปลาดาว“ยิ้มทำไม”“เรามาถ่า
2 เดือนต่อมา“เตรียมเอกสารสำคัญเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ”“เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่ชลจะเอาอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าคะ”“ไม่แล้วครับ เราไปกันเลยดีกว่า เดี๋ยวตกเครื่อง”จบคำพูดของชลธีจันทร์เจ้าก็พยักหน้ารับก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปนั่งในรถ ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้านั้นทั้งสองไม่ได้เก็บตั้งแต่แรกแล้ว เพราะไม่ตั้งใจเอาไปตั้งแต่แรกหลังจากจัดเตรียมเอกสารและตรวจสอบเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็ขับรถออกจากบ้านพักทันทีเพื่อไปที่สนามบิน เพื่อที่จะได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ กลับเมืองแห่งแสงศรีนั่นเองในที่สุดชลธีและจันทร์เจ้าก็เดินทางมาถึงสนามบินได้ตรงเวลา ทั้งสองขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินในที่สุด และใช้ช่วงเวลาระหว่างเครื่องบินออกเดินทางหลับพักผ่อนเอาแรง กระทั่งเครื่องบินมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งสองคนจึงได้ลงจงจากเครื่องบินแล้วนั่งแท็กซี่กลับคอนโดของจันทร์เจ้าเดิมทีชลธีต้องกลับบ้านแต่ด้วยความที่ตั้งแต่จันทร์เจ้ากับเขาอยู่ด้วยกันตลอดทำให้ชายหนุ่มติดเธอมาก สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจกลับไปที่คอนโดของหญิงสาวนั่นเอง อ้อ ก่อนมาคอนโดจันทร์เจ้า ชลธีได้ให้แท็กซี่ชับไปที่คอนโดเขาก่อนเพื่อไปเอาเสื้อผ้า เสร็จแล้วทั้งสองก็เดินทางด้วยรถยนต์คัน
รุ่งเช้ามาเยือน จันทร์เจ้าตื่นและลุกออกมาจากที่นอนด้วยความกระปรี้กระเป่า เธอเข้าไปอาบน้ำด้วยความสดชื่น ก่อนจะลงมาทำอาหารอย่างง่ายเช่นไข่ดาวทอดกับขนมปังปิ้งเป็นมื้อเช้า“ไปกับพี่ไหมครับ พี่จะเข้าโรงแรม” ชายหนุ่มเอ่ยถามหลังทานอาหารเช้าเสร็จ“ไปค่ะ จันทร์จะไปนอนอาบแดด” ชายหนุ่มได้ยินก็ขมวดคิ้วลงส่งสายตาไม่พอใจไปหาหญิงสาว“อะไรคะ”“ห้ามสั้น”“จันทร์ไม่ใส่สั้นหรอกน่า ทำอย่างกับว่าใส่เสื้อผ้าโชว์ได้อย่างนั้นแหละ รอยที่พี่ทำไว้เมื่อวันก่อนยังเด่นชัดอยู่ขนาดนี้ ใครเขาจะกล้าใส่กัน”“จะไปรู้เหรอ พี่ก็บอกไว้ก่อน เคยได้ยินว่าสามารถเอาเครื่องสำอางกลบรอยได้นี่”“โอ๊ย! จันทร์ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ เปลือง! รอยสองรอยพอว่า นี่เป็นสิบรอยใครมันจะไปกลบไหว ซื้อมาตั้งแพงจะมาหมดเพราะรอยดูดแบบนี้ไม่ได้ มันเปลืองเข้าใจไหมคะ”“เอ่อ... ครับ” ชลธีพูดเพียงเท่านี้ เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาอีกเช่นกัน เพราะอึ้งตั้งแต่ที่ได้ยินเธอพูดว่าเปลืองแล้ว เพิ่งจะได้รู้ว่าเธอค่อนข้างงกก็ครั้งนี้แหละจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก ชลธีไปหยิบเอกสารในห้องทำงาน จันทร์เจ้าก็เก็บจานไปแล้ว พร้อมแล้วทั้งสองถึงได้ขับรถออกมาจากบ