เมิ่งเจียวซินมองหลี่อวิ้นกุยที่กำลังแสดงท่าทีไม่พอใจขุนนางคนหนึ่ง เนื่องจากอีกฝ่ายได้เอ่ยพาดพิงมาถึงนาง แล้วในขณะนั้นโจวหลิวอิงก็ขยับเข้ามากระซิบบอกกับนางว่า ให้สังเกตสีหน้าขุนนางคนนั้น
พอเมิ่งเจียวซินสังเกต...ก็เห็นว่า ยามนี้ใบหน้าของขุนนางคนนั้นซีดเผือด มีเหงื่อไหลซึมตามกรอบหน้า
จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินโจวหลิวอิงอธิบายต่อว่า ตอนนี้หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้พลังสายหนึ่งกดข่มให้ขุนนางคนนั้นต้องนั่งคุกเข่า แล้วยังใช้บรรยากาศกดดันที่มีเฉพาะในตัวของคนเผ่ามารโอบล้อมรอบตัวขุนนางคนนั้นเอาไว้
ซึ่งโจวหลิวอิงยังกล่าวติดตลกทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า หากหลี่อวิ้นกุยไม่ชิงลงมือตัดหน้า เมื่อครู่นางคงใช้พลังหักขา และฉีกปากปีศาจเสือตนนั้นไปแล้ว
ผ่านไปสักพักเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินราชาปีศาจสั่งให้ขุนนางที่กำลังถูกหลี่อวิ้นกุยเล่นงานอยู
หลี่อวิ้นกุยกัดฟันกรอด แล้วรีบขยับตัวเข้าไปบังร่างกายของเมิ่งเจียวซินเอาไว้ คราแรกเขาคิดว่า ไม่เป็นไรหากเจ้านั่นทำเพียงได้แค่มอง...แต่พอหันกลับไปเห็นสายตา และท่าทีของหลี่อวิ้นหยางเมื่อครู่! ยานนี้หลี่อวิ้นกุยจวนเจียนจะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว พอหันกลับมา...เขาก็ได้เห็นสายตาที่คล้ายกับกำลังรู้สึกสงสัยของเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ข่มใจของตัวเอง ก่อนจะฝืนยกยิ้มให้กับนาง จากนั้นเขาก็หันไปถามโจวหลิวอิงว่า “ท่านอาหญิงโจว พวกท่านจะกลับเรือนแล้วหรือ?” “ใช่เพคะ แล้วนี่องค์ชายสามก็กำลังจะกลับตำหนักหรือเพคะ?” “ข้า...พวกท่านไม่อยู่ดูดอกไม้ไฟด้วยกันก่อนหรือ?” “กลับไปนั่งดูที่เรือนพักชั่วคราวก็เห็นเช่นกันเพคะ” ตอนนี้โจวหลิวอิงอยากจะพาเมิ่งเจียวซิน ตัวนางเอง และปิงหลงกลับเรือนพักชั่วครา
เมิ่งเจียวซินกัดริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ พร้อมกับกำมือที่อยู่ใต้ชายเสื้อทั้งสองข้างจนแน่น ในขณะที่ยืนมองหลี่อวิ้นกุยเดินห่างออกไปจากนางเรื่อย ๆ แม้ว่าภายในใจอยากจะกล่าวบางคำ และอยากจะเอ่ยรั้ง แต่ทว่า...การปล่อยให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนี้ ปล่อยมือกันเสียตั้งแต่ในตอนนี้ มันก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับนางกับหลี่อวิ้นกุย แล้วพอเมิ่งเจียวซินดึงสายตาของตัวเองกลับมา นางก็เห็นว่า ยามนี้โจวหลิวอิงกับปิงหลงกำลังจ้องมองมาที่นาง เมิ่งเจียวซินจึงรีบสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์ ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา จากนั้นนางก็เดินออกจากศาลา เพื่อไปกล่าวคำอวยพรคนทั้งคู่ รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในเรือนพักชั่วคราวด้วย เนื่องจากยามนี้ได้ล่วงเลยเข้าสู่วันแรกของปีใหม่แล้ว ‘วันแรกของปี!’ เมิ่งเจียวซินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงรีบหันไปมองยังทิศทางที่
หลี่อวิ้นกุยจ้องมองตะกร้าใบใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมามองเมิ่งเจียวซิน เมื่อคืนที่ไฟในห้องพักของนางไม่ดับ เป็นเพราะนางทำของที่อยู่ในตะกร้าให้เขาเช่นนั้นหรือ? ความรู้สึกหงุดหงิดใจที่ทำได้แค่เพียงเฝ้ามองห้องพักของนาง และความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกสตรีตรงหน้าทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขาเมื่อคืน ก็ดูเหมือนจะทุเลาลง แต่พอหลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงองครักษ์ของโจวหลิวอิงที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก จนทำให้เขาไม่อาจลอบเข้าไปพูดคุยกับสตรีตรงหน้าได้ ถึงแม้ว่า...ในยามนี้จำนวนองครักษ์จะลดลงไปบ้างแล้ว เพราะส่วนหนึ่งต้องตามโจวหลิวอิงไปเข้าเฝ้าราชาปีศาจ ซึ่งที่จริงหลี่อวิ้นกุยได้วางแผนเอาไว้ว่า พอโจวหลิวอิงออกไปเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดา ตัวเขาก็จะลอบเข้าไปหาเมิ่งเจียวซินในห้องพัก จากนั้นเขาก็จะ... แต่ในเมื่อคนที่หลี่อวิ้นกุยจะลอบเข้าไปหา ได้ออกมายืนอยู่ที่นี่กับเขาแล้ว
หลังจากได้ยินคำพูดของสตรีตรงหน้า หลี่อวิ้นกุยก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะขยับเข้าไปถามนางใกล้ ๆ “ซินซิน เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เมิ่งเจียวซินมองไปที่หลี่อวิ้นกุย ก่อนจะยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ข้าบอกว่า ข้ายินดีแต่งงานกับเจ้า” คงด้วยเพราะคำถามเมื่อครู่ของหลี่อวิ้นกุย จึงทำให้เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงช่วงเวลาที่นางเผชิญหน้ากับโรคระบาดในโลกใบเดิม... โดยช่วงแรกที่โรคระบาดแพร่เข้ามาในประเทศ ยามนั้นผู้ป่วยทุกคนต้องแยกจากคนรัก แยกจากคนในครอบครัว แล้วต้องไปกักตัวตามสถานพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งสำหรับผู้ป่วยบางคนการแยกออกมากักตัวในครั้งนั้น มันคือ...การลาจากตลอดกาล ในช่วงเวลาสุดท้ายของผู้ป่วยบางคนนั้นไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เห็นหน้า หรือบอกลาคนที่ตัวเองรักเลยด้วยซ้ำ พอเมิ่งเจียวซินมองย้อนกลับมาที่เรื่องของนางกั
เมิ่งเจียวซินลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำตอบของหลี่อวิ้นกุย แต่ทว่าคำตอบต่อมาของอีกฝ่าย ทำให้นางแทบอยากจะหายไปจากตรงนี้! “ส่วนเรื่องพิธีอาบแสงจันทร์ ที่ลูกยินยอมเข้าทำพิธี ก็เพียงเพราะต้องการทำให้เสด็จพ่อ และคนอื่น ๆ สบายใจเท่านั้น ลูกหาได้สนใจเรื่องเพิ่มพลังหยางจากพิธีนั้นไม่ อีกอย่างพลังที่ลูกมีอยู่ในกายยามนี้ มันก็เพียงพอที่จะใช้ปกป้องคุ้มครองคนที่ลูกรักได้แล้ว นี่ยังไม่รวมวรยุทธ และความสามารถด้านอื่น ๆ ของลูกนะพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งลูกขอบอกกับเสด็จพ่อตามตรง หลังจากผ่านเหตุการณ์โดนวางยาพิษครั้งล่าสุด มันสอนให้ลูกรู้ว่า ไม่ควรทุ่มเวลาไปกับการเพิ่มฐานพลังในร่างกายเพียงอย่างเดียว เพราะยามที่เรียกใช้พลังไม่ได้ ลูกก็ไม่ต่างไปจากบุรุษมนุษย์ธรรมดา หลังจากนี้ลูกจึงคิดจะแบ่งเวลาให้กับการฝึกวรยุทธ และการฝึกความสามารถด้านอื่น ๆ เพิ่มพ่ะย่ะค่ะ แล้วที่จริงเมื่อครู่...หากคุณหน
เมิ่งเจียวซินพอเดินเข้าไปในห้องพักของหลี่อวิ้นกุย นางก็เลือกไปนั่งที่เก้าอี้ของชุดโต๊ะกลมกลางห้อง จากนั้นหลี่อวิ้นกุยก็ตามมาคุกเข่าทั้งสองข้างลงอยู่ตรงหน้านาง แล้วยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้เอ่ยห้าม อีกฝ่ายก็โน้มตัวเข้ามาโอบกอดช่วงเอวของนาง แล้วกล่าวว่า “ซินซิน ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษที่ล่วงเกินเจ้าทั้งทางร่างกาย และทางวาจา ข้าขอโทษที่ตัดสินใจทำเรื่องต่าง ๆ โดยไม่ถามความสมัครใจของเจ้าก่อน แล้วข้าก็ขอโทษที่ยัดเยียดตัวเองให้กับเจ้าเช่นนั้น แต่ข้าต้องทำ เพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ อย่างที่เจ้ารับรู้ไปเมื่อครู่...ทางวังได้ฤกษ์วันทำพิธีอาบแสงจันทร์ของข้ามาแล้ว ซึ่งมันก็เท่ากับว่า ได้ฤกษ์วันมงคลสมรสของข้ามาด้วย ชีวิตนี้ข้าก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่า จะมีเพียงหนึ่งภรรยา ซึ่งภรรยาของข้าก็ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น แล้วก็ด้วยเพราะคำพู
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ เพราะนางนึกไปถึงบทบรรยายในนิยายของอาหวง... ซึ่งเป็นช่วงที่หลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้รู้ตัวแล้วว่า ไม่อาจถอนยาพิษค่ำคืนเหมันต์ออกจากร่างกายได้ แต่เขาก็โชคดีที่ในระหว่างการเดินทางกลับมายังวังราชาปีศาจ เขาได้พบกับหมอท่านหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายสามารถปรุงยาที่มีฤทธิ์ช่วยลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษให้กับเขาได้ หลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้จึงเชิญหมอท่านนั้นเข้ามาพักที่ตำหนัก ในระหว่างที่เจ้าตัวลงมือปรุงยาให้กับเขา แต่ทว่าหมอท่านนั้นกลับถูกนักฆ่าลอบเข้ามาทำร้ายถึงในตำหนัก แล้วก่อนที่เจ้าตัวจะสิ้นใจจากไป ก็ได้มอบสูตรปรุงยาลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ให้กับหลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้ โดยแลกกับการที่อีกฝ่ายจะต้องรับบุตรเพียงคนเดียวของเจ้าตัวเข้ามาอยู่ในความดูแล โดยในยามนั้นหลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้ก็ได้ตกปา
เมิ่งเจียวซินเผลอมองท่าทียั่วยวนของหลี่อวิ้นกุยไปชั่วขณะ จากนั้นนางก็รีบดึงสติของตัวเองกลับมา แล้วกล่าวว่า “ไม่!” “เจ้าไม่ลองคิดก่อนตอบสักหน่อยหรือ...ซินซิน?” “กุยกุย เจ้านี่ช่าง!” เมิ่งเจียวซินพยายามปรับลมหายใจ และปรับอารมณ์ของตัวเองให้คงที่ แต่ทว่าในขณะนั้น... “หึ ๆ” “เจ้าหัวเราะ! กุยกุย นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ข้าได้ยินเสียงหัวเราะของเจ้า” กล่าวจบ เมิ่งเจียวซินก็เห็นบุรุษตรงหน้านิ่งไปชั่วขณะ แล้วเจ้าตัวก็เบือนหน้าหลบสายตา จากนั้นนางก็ได้เห็นริ้วสีแดงพาดผ่านใบหน้า และใบหูของหลี่อวิ้นกุย ก่อนที่อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นว่า “ตั้งแต่เกิดมา ข้าก็เพิ่งเคยหัวเราะแบบนี้เป็นครั้งแรก”
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง
เมิ่งเจียวซินหลังจากต้องนั่งกดข่มความรู้สึกเจ็บ และข่มกลั้นความรู้สึกอาย จนการทายาที่ยาวนานสิ้นสุดลงไปได้ พอสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ นางก็สังเกตเห็นว่า หลี่อวิ้นกุยยังคงนั่งมองมาที่รอยแดงบนต้นคอของนาง แล้วด้วยสีหน้า และสายตาของเจ้าตัว ทำให้นางรู้ว่า อีกฝ่ายยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่า นางกำลังจ้องมองอยู่...เจ้าตัวก็รีบก้มหน้า หลบตา ซึ่งในขณะนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของหลี่อวิ้นกุยยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา นางจึงกล่าวว่า “กุยกุย เงยหน้าขึ้นมา” พอเห็นบุรุษตรงหน้ายอมทำตามที่นางบอก เมิ่งเจียวซินจึงขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับปลายคางของหลี่อวิ้นกุยเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือด จากนั้นบาดแผลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง... แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้ดีว่า ร่างกายของหลี่