มื้อเย็นวันนี้ อาหารที่ฝูอวิ๋นทำก็คือบะหมี่มีดเฉือน เส้นบะหมี่หนึบนุ่มเด้ง คลุกกับผักชีล้อมสีเขียวอ่อน ชวนให้อยากอาหาร หลังจากเปิดใจพูดกับพวกเด็ก ๆ ฝูอวิ๋นสังเกตเห็นว่า ท่าทีบนโต๊ะอาหารของหลิงจิ่ง ดูผ่อนคลายกว่าเมื่อตอนก่อนหน้านี้มากทีเดียว ส่วนหลิงเสวี่ย เคารพพี่ชายมาโดยตลอด พี่ชายว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น หลังจากซดน้ำแกงบะหมี่ร้อน ๆ ฝูอวิ๋นเหงื่อออกท่วมร่างกาย อาการวิงเวียนศีรษะก็ทุเลาลงไม่น้อยแล้ว หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย หลิงจิ่งกำลังจะไปล้างถ้วยชาม ทว่าฝูอวิ๋นกลับกดเขาลง “ข้าล้างเอง มือเจ้ามีบาดแผล อย่าโดนน้ำดีที่สุด” แต่กระนั้นหลิงจิ่งก็แย่งชามกลับมา และวิ่งไปที่ห้องครัว ฝูอวิ๋นยิ้มอย่างชื่นใจ จากนั้นก็ไปตักน้ำให้หลิงเสวี่ยล้างหน้า ยามที่เด็กสาวตัวน้อยเผชิญหน้ากับนางยังคงสั่นสะท้านเหมือนเคย แต่ก็มิได้รุนแรงเท่ากับเมื่อวานแล้ว ภายในสองวันก็สามารถทำให้พวกเด็ก ๆ เริ่มเปิดใจยอมรับนางได้แล้ว นางปลื้มปริ่มพึงพอใจเป็นที่สุด จริงดังคาด นางเหมาะจะเป็นคนดีที่สุดแล้ว “ล้างหน้าเสร็จแล้ว ยื่นมือน้อย ๆ ของเจ้าออกมาสิ” ฝูอวิ๋นเอ่ยพลาง เอื้อมมือไปจับมือของแม่หนูน้อยเอาไว้ “น
หลังจากหลิงจิ่งตื่นนอน สิ่งแรกที่ทำก็คือคว้าเหรียญทองแดงเหล่านั้นมา และไปที่บ้านของหลี่ต้าหย่งเพื่อซื้อไข่ไก่ หลี่ต้าหย่งคนนี้ก็คือนายพรานในหมู่บ้าน มักจะขึ้นเขาเข้าป่าไปล่าสัตว์พร้อมกับหลิงหานโจวเสมอ ทำให้สองครอบครัวสนิทกันมากทีเดียว สวี่เถาเหนียงผู้เป็นภรรยาของหลี่ต้าหย่งเห็นว่าผู้เข้ามาคือหลิงจิ่ง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงไม่พอใจทันที “อาจิ่ง นี่หญิงใจร้ายคนนั้นทุบตีพวกเจ้าอีกแล้วหรือ? ไป ป้าจะไปสั่งสอนนางให้เจ้าเอง!” สวี่เถาเหนียงเอ่ยพลางถลกแขนเสื้อขึ้น หลิงจิ่งรีบร้องเรียกนางไว้ “ท่านป้า ไม่ใช่ขอรับ ท่าน ท่าน…ท่านแม่ข้านางไม่ได้ตีพวกข้าขอรับ” “เจ้าเรียกนางว่าอะไรนะ?” สวี่เถาเหนียงทำหน้าราวกับได้ยินเรื่องเหลือเชื่อ แม้แต่เส้นผมบนศีรษะยังแสดงออกว่าตกใจ หลิงจิ่งยิ้มอย่างเก้อเขิน “ท่านแม่ข้านางเป็นคนดีแล้ว นางบอกว่าจะไม่ตีพวกข้าแล้ว” “เป็นคนดีแล้ว? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?” สวี่เถาเหนียงอดไม่ได้นึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับหลี่ชุ่ยฮวาเมื่อสองวันก่อนขึ้นมา ทว่าสิ่งที่ทุกคนพูดมิใช่นางเป็นคนดีขึ้นแล้ว แต่บอกว่านางยิ่งบ้าหนักกว่าเดิม หากมิใช่ยิ่งบ้าหนักกว่าเดิม มีหรือจะกล้าลงมือ
ฝูอวิ๋นสำรวจเส้นผมของหลิงเสวี่ยอย่างละเอียด ไม่เห็นก็ไม่คิดอะไรแต่เมื่อเห็นแล้วก็ตกใจไม่น้อย เมื่อแหวกเส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิงออก ก็เห็นเหาตัวใหญ่กำลังคลานไปคลานมาระหว่างเส้นผม ฝูอวิ๋นถึงกับสะดุ้งโหยง “เจ้าเด็กโกหก บนศีรษะของเจ้ามีเหาเยอะขนาดนี้เชียว ไยจึงกล้าโกหกข้าว่าไม่มีอีก?” ดวงหน้านุ่มนิ่มเล็กจ้อยของหลิงเสวี่ยแข็งค้างไปแล้ว เห็นนางไม่เชื่อ ฝูอวิ๋นก็จับเหาสองตัวมาวางไว้ตรงหน้านาง นางค่อย ๆ เบิกตากว้าง มองไปทางฝูอวิ๋นอย่างเขินอาย ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา แล้วก็ทนไม่ไหวเผลอเกาศีรษะแกร่ก ๆ อีกครั้ง “เจ้าเด็กขี้โกหก แบบนี้เหาของเจ้าจะกระโดดขึ้นมาบนหัวข้าหรือเปล่าเนี่ย?” ฝูอวิ๋นนิ่วหน้า ก่อนจะสางผมให้หลิงเสวี่ย “ยืนนิ่งไว้อย่าขยับนะ ข้าจะไปหาหวีมาให้” นางบอกว่าห้ามขยับ หลิงเสวี่ยก็ไม่ขยับจริง ๆ ตอนที่ออกมาอีกครั้ง นอกจากหวี และหวีเสนียดแล้ว ฝูอวิ๋นยังนำม้านั่งตัวเล็กตัวหนึ่งออกมาด้วย นางนั่งลงใต้แสงอาทิตย์ พลางกวักมือเรียกหลิงเสวี่ยเข้ามา “เสี่ยวเสวี่ย เจ้ามานี่สิ” หลิงเสวี่ยยืนนิ่งเหมือนกับตอไม้ มีเพียงดวงตากลมโตที่กำลังจับจ้องไปที่นาง ฝูอวิ๋นถอนหายใจอีกครั้ง “ข้า
“เสี่ยวเสวี่ย นางตีเจ้าตรงไหน? บอกป้ามา” สวี่เถาเหนียงดึงตัวหลิงเสวี่ยขึ้นมา เช็ดน้ำตาให้นางด้วยความสงสาร ก่อนต้าหย่งชายของนางออกไปข้างนอก ยังกำชับนางหลายครั้งให้ช่วยดูแลลูกสองคนของหลิงหานโจวให้ดี เห็นเด็กน้อยร้องไห้หนักเพียงนี้ นางทั้งรู้สึกผิดและรู้สึกทุกข์ใจ “ท่านป้า ข้า ข้าไม่เอาแม่ใจร้าย…” หลิงเสวี่ยร้องไห้จนไม่เป็นเสียง สวี่เถาเหนียงมือหนึ่งเท้าสะเอว มืออีกข้างชี้ฝูอวิ๋นพร้อมดุด่าอย่างโกรธเกรี้ยว “หลี่ชุ่ยฮวา เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่? เด็กตัวเล็กแค่นี้ เจ้ากล้าลงไม้ลงมือกับนางได้อย่างไร?” หลิงจิ่งจ้องฝูอวิ๋นตาเขม็ง ตอนที่เห็นเส้นผมในมือของนาง แววตาพลันมืดครึ้มลงทันที หมัดเล็ก ๆ ก็กำแน่นขึ้นเช่นกัน คนโกหก! ผู้หญิงคนนี้เป็นคนโกหก! ปากไม่เคยพูดความจริงแม้เพียงประโยคเดียว! หลอกให้เขาออกไปซื้อไข่ไก่ ตนเองกลับดึงทึ้งผมของเสี่ยวเสวี่ยอยู่ที่บ้าน! หลิงจิ่งกัดฟันแน่นจนได้ยินเสียง “กรอด ๆ” แววตาลุกวาวด้วยไฟโทสะ ฝูอวิ๋นมองเห็น ความผิดหวังที่ฉายวาบออกมาจากนัยน์ตาของเขา นางยิ้มเจื่อนทันที “พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าก็แค่หวีผมให้เสี่ยวเสวี่ย” หลิงจิ่งผงะไป ก่อนจะผินใบหน้า
“เจ้าตัวน้อย เจ้าเปลี่ยนสีหน้าเร็วเหลือเกินนะ” เมื่อสวี่เถาเหนียงกลับไปแล้ว ฝูอวิ๋นก็เอ่ยกับหลิงจิ่ง คนหลังแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย ฝูอวิ๋นจัดการนำไข่ไก่เข้าไปในห้องครัว ก็พบว่ามีไข่ไก่เกินมาสองฟอง ไข่ไก่หนึ่งฟองราคาหนึ่งอีแปะ ทว่าในนี้กลับมีไข่ทั้งหมดยี่สิบสองฟอง นางรีบเรียกหลิงจิ่งมาทันที “อาจิ่ง ป้าเถาเหนียงของเจ้าหยิบไข่ไก่เกินมาสองฟอง เจ้านำกลับไปคืนให้นางเถิด พวกเราห้ามรับของคนอื่นมาเกินกว่าจำนวนที่ควรได้” “อืม!” หลิงจิ่งไม่คิดอะไรมาก หยิบไข่ไก่มาก็วิ่งตามสวี่เถาเหนียงไปทันที สวี่เถาเหนียงเห็นหลิงจิ่งวิ่งตามมาและนำไข่ไก่สองฟองที่เกินมาคืนให้นาง นางก็เอ่ยยิ้ม ๆ “ไม่เกินสักหน่อย ไม่เกิน ให้เจ้าแบ่งกินกับน้องหญิงพอดีเลย” “ท่านป้า แต่มันเกินมาสองฟองขอรับ ท่าน…ท่านแม่ข้าบอกว่าห้ามรับของคนอื่นมาเกินกว่าจำนวนที่ควรได้” หลิงจิ่งยืนกรานจะคืนไข่ไก่ให้นางให้ได้ สวี่เถาเหนียงอึ้งไปอีกครั้ง “เจ้าว่าอย่างไรนะ? หลี่ชุ่ยฮวาพูดกับเจ้าแบบนี้หรือ?” “อืม” “นางบอกเจ้าจริงหรือว่าห้ามเอาสิ่งของของคนอื่นไป?” แบบนี้ไม่คล้ายวิสัยของหลี่ชุ่ยฮวาเลยแม้แต่น้อย! ผู้หญิงคนนั้นโลภมากยิ่งกว่าอ
“หลี่ชุ่ยฮวา นังหญิงชั่ว! ทุบตีลูกอีกแล้ว เจ้าต้องไม่ตายดี!”“หลี่ชุ่ยฮวา เจ้าทารุณลูกอีกแล้ว หลิงหานโจวผู้เป็นสามีกลับมาแล้วได้ถลกหนังเจ้าแน่!”“เหอะ ถลกหนังอะไรกัน? เจ้าไม่ได้ยินที่แม่ม่ายหลิวพูดหรือ? นางมีฝีมือดี สามารถปรนเปรอสามีจนรู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ จะถลกหนังนางลงได้เยี่ยงไร? หากจะถลกก็คงถลกเสื้อผ้านางออกมากกว่า”“คิกๆๆๆ…”ฝูอวิ๋น “…”ให้ตายเถอะ นางอยู่บ้านเฉยๆ ก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย?หมู่บ้านสกุลหลี่ก็ไม่ได้อยู่ติดทะเลสักหน่อย เหตุใดจึงมีคนใจกว้างชอบออกทะเลไปยุ่งเรื่องชาวบ้านมากขนาดนี้?“พวกเจ้าเป็นแม่ไก่หรือ? มาร้องกุ๊ก ๆ ๆ อะไรที่กำแพงบ้านข้าตั้งแต่เช้า” ฝูอวิ๋นเหลือบตามองอย่างดุดันแม่ไก่ ไม่สิ ต้องใช้คำว่าอริยมารดาที่เสียงดังที่สุดพูดตำหนิว่า “หลี่ชุ่ยฮวา เจ้าไม่เพียงใจคอโหดเหี้ยมแต่ยังปากคอเราะราย สวรรค์สอนให้มีเมตตาธรรม…”“ไสหัวไป!” ฝูอวิ๋นหยิบขันมาตักน้ำสาดไปทางกำแพง “อย่ามามัวแต่ร้องโหวกเหวกน่ารำคาญอยู่ที่นี่!”วิญญาณชั่วร้ายถอยไปทันทีหลิงเสวี่ยหยุดร้องไห้แล้ว ปากมุ่ยลง หยาดน้ำตาเม็ดใสยังคงคลออยู่ในดวงตา เพียงแค่กะพริบก็ร่วงหยดลงมาฝูอวิ
หลังจากอาบน้ำให้หลิงเสวี่ยเสร็จเรียบร้อย ฝูอวิ๋นก็ทำการเช็ดผมให้กับนาง ครั้นตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีเหาอีกก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อผมขึ้นมานางห่อตัวเด็กหญิงด้วยผ้าฝ้ายที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว อุ้มนางกลับไปที่ห้องตัวเอง นำเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ออกมาให้ใส่“หนาวเหลือเกิน หนาวเหลือเกิน…” หลิงเสวี่ยสั่นเทิ้มไปทั้งตัว“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงรู้สึกหนาวหลังจากอาบน้ำ?” ฝูอวิ๋นสวมเสื้อผ้าให้นางไปพลาง ถามไปพลาง“เพราะเหตุใดหรือ?”“เพราะว่า…ในอากาศมีปีศาจที่ชอบดูดน้ำ เมื่อมีหยาดน้ำเกาะบนร่างกาย เจ้าปีศาจก็จะเป่าน้ำบนตัวเรา แบบนี้...”ฝูอวิ๋นเป่าไอเย็นไปที่คอของเด็กหญิง เย็นจนอีกฝ่ายต้องหดคอ“น่ากลัวเหลือเกิน!”“เร็วเข้า รีบเข้าไปใต้ผ้าห่ม เช่นนั้นเจ้าปีศาจก็จะเป่าเจ้าไม่ได้แล้ว”“คิกๆๆ…”“นังหนู ตอนนี้ยังกลัวการอาบน้ำอีกหรือไม่?”“ไม่กลัวแล้ว การอาบน้ำของท่านแม่สบายตัว ไม่เจ็บเหมือนท่านพ่อ” เด็กหญิงยิ้มตาหยี ส่วนนี้เหมือนฝูอวิ๋นมาก“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” ฝูอวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจเ“เปล่า…” เด็กหญิงเม้มปากแล้วมุดตัวเข้าผ้าห่มอย่างเขินอายฝูอวิ๋นส่ายหน้าด้วยความจนใจ เด็กคนนี้เปลี่ยนหน้
หลิงจิ่งเข้าห้องมาพบกับความว่างเปล่าก็ตกใจดวงตาแทบถลน จะอ้าปากร้องเรียกนางแต่ก็ไม่รู้ว่าควรเรียกอย่างไรฝูอวิ๋นเปิดหน้าต่างและปัดฝุ่นออกกวาดหยากไย่ใต้เตียงให้สะอาดและกวาดฝุ่นผงจำนวนมากออกมาหลิงจิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “คือว่า…ท่านเผาฟางเช่นนี้ คืนนี้ข้ากับน้องหญิงจะนอนอย่างไร…”“ไม่ต้องถามมาก ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าห้องนี้มีแต่เหา อุตส่าห์อาบน้ำพวกเจ้าจนสะอาดทั้งที ย่อมนอนเตียงที่มีเหาไม่ได้อีก”ฝูอวิ๋นมองไปที่ขอบเตียง เอาแต่รู้สึกว่าปกคลุมไปด้วยเหาเช่นกันเมื่อหลับตาลงก็ราวกับเห็นเหาที่คลานยั้วเยี้ยเต็มเตียง นางรู้สึกขนลุกซู่ รีบตักน้ำมาเช็ดให้ทั่ว แม้แต่โต๊ะหนังสือก็ไม่เว้นบนพื้นเป็นดินเปลือยเปล่า ไม่อาจเช็ดทำความสะอาด ทำได้เพียงกวาดให้ทั่วกว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็เลยเวลาเที่ยงไปโดยไม่รู้ตัวฝูอวิ๋นปวดเอวปวดหลังไปหมด เพิ่งจะนั่งพักหายใจก็ถามตัวเองว่าเหตุใดทำงานแค่เล็กน้อยก็หมดแรงแล้ว?จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าตัวเองกินไข่ไก่แค่สองฟองและอยู่มาจนถึงตอนนี้นางเดินไปทำอาหารที่ห้องครัวโดยพลันเนื่องจากตอนนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิว นางจึงไม่มีเวลามาทำอาหารที่ซับซ้อนเก
ฝูอวิ๋นสัมผัสได้ถึงสายตาอันแรงกล้าที่จ้องตัวเองอยู่ก็ขมวดเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น จากนั้นหันตัวไป ได้พบกับเซียวหรานผู้เป็นตำนานมิน่าเล่า หลี่ชุ่ยฮวาจึงจำไม่ลืมเลือน เป็นความจริงที่เขารูปหล่อมาก มีกลิ่นอายของบัณฑิตผู้สุภาพและให้ความรู้สึกเหมือนคุณชายผู้สง่างามเซียวหรานขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจเมื่อเห็นฝูอวิ๋นมองมา “หลี่ชุ่ยฮวา วันก่อนข้าก็พูดกับเจ้าอย่างชัดเจนแล้วนะว่าข้ามีภรรยาแล้ว ส่วนเจ้าก็แต่งงานแล้วเช่นกัน อย่าตามตื๊อข้าอีก”จู่ๆ ฝูอวิ๋นก็หัวเราะออกมา ดวงตาเย็นชาถึงขีดสุด“คุณชายเซียวพูดอันใด? ข้าเพียงนำของมาจำนำเท่านั้น ท่านก็รีบเดินเข้ามาพูดคุยกับข้าแล้ว หากไม่รู้มาก่อนคงคิดว่าท่านยังหลงเหลือความรู้สึกต่อข้า”ฝูอวิ๋นลูบใบหน้าตัวเองพูดอย่างน่าสงสาร “แต่ท่านจะลืมข้าไม่ได้ก็ไม่แปลก ผู้ใดใช้ให้ข้ามีใบหน้าที่งดงามจนสรรพชีวิตต้องเกลียดชังกันล่ะ?”“ขนาดสามีของข้าก็ยังมองข้าด้วยความหลงใหลเหมือนท่านตอนนี้ในทุกๆ วัน”ภายในถ้อยคำของฝูอวิ๋น นอกจากประโยคที่ว่าสามีชอบมากนางแล้ว เรื่องอื่นล้วนแต่เป็นความจริงสกุลหลิงหาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ ไม่ได้ทำการเกษตร ประกอบกับเดิมทีหลี่ชุ่ยฮว
จากหมู่บ้านสกุลหลี่มาถึงตำบลผิงไม่ถือว่าไกล หากใช้เส้นทางที่ตัดผ่านป่าจะมีระยะทางไม่ถึงสิบห้าลี้ ด้วยฝีเท้าของฝูอวิ๋นแล้ว เดินเพียงครึ่งชั่วยามก็ถึงตำบลผิงตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและค่อนข้างล้าหลัง มีตลาดนัดแค่เดือนละสามครั้ง แบ่งเป็นวันที่ห้า วันที่สิบห้า และวันที่ยี่สิบห้า หรือก็คือทุกครั้งที่ในวันมีเลขห้านั่นเองวันนี้เป็นวันที่สิบห้า ตรงกับวันที่มีตลาดนัดพอดีเวลานี้บนถนนมีผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่ง เสียงเชิญชวนให้ซื้อสินค้า เสียงพูด และเสียงโต้เถียงดังผสมปนเปกัน บรรยากาศคึกคักมีชีวิตชีวามากฝูอวิ๋นเดินไปทางโรงรับจำนำโดยอาศัยจากความทรงจำ ทำการจำนำเครื่องประดับทั้งสองชิ้นแต่นางเพิ่งจะก้าวเข้าไปยังโรงรับจำนำก็คือหญิงสาวหน้าตาหยาดเยิ้มนางหนึ่งยกมือขวางไว้“หืม นี่มันนังบ้าหลี่ชุ่ยฮวาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมิใช่หรือ? เซียวหรานของข้าเพิ่งจะก้าวเข้ามาที่นี่ เจ้าก็ตามเข้ามาทันที จมูกสุนัขดีไม่เลวเลยนี่”หญิงสาวนางนี้คืออนุของเซียวหราน มีนามว่าเจี่ยอิ๋งอิ๋ง ทั้งที่รูปโฉมงดงาม ทว่าเอ่ยปากพูดแล้วกลับมีแต่ความเหน็บแนมประชดประชัน ทำให้อดที่จะรู้สึกรังเกียจไม่ได้“หลีกไป” ฝูอวิ๋นเม้มริมฝี
หลิงจิ่งยกน้ำหนึ่งชามมาให้อย่างรวดเร็ว ฝูอวิ๋นเงยหน้าดื่มหมดในอึกเดียวนางลูบศีรษะน้อยๆ ของหลิงจิ่ง “เมื่อก่อนข้าทำแบบนั้นกับเจ้า ไม่เกลียดข้าหรือ?”ความจริงแล้วนางอยากจะสลัดตัวเองทิ้งและถามหลี่ชุ่ยฮวาเพียงผู้เดียวหลิงจิ่งเม้มปากแน่น ดวงตาคู่กลมส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงตะเกียงขนาดเท่าเม็ดถั่วฝูอวิ๋นยิ้มแล้วถามอีกครั้ง “เจ้าทำดีกับข้าเช่นนี้ คงไม่ได้กำลังวางแผนทำข้าตายกระมัง?”“ข้า…” หลิงจิ่งมองฝูอวิ๋น รู้ว่าค่ำคืนนี้นางแปลกประหลาดมาก“ช่างเถอะ นอนดีกว่า พรุ่งนี้ข้าจะปูเตียงแล้วให้พวกเจ้ากลับไปนอนที่เดิม มิเช่นนั้นข้ากลัวว่าเจ้าจะลอบฆ่าในยามที่ข้าหลับ”ดวงตาของทอประกายเหมือนคนที่ผ่านโลกมาโชกโชน ค่ำคืนนี้ นางรู้สึกซึมเศร้าหลิงจิ่งขมวดคิ้ว เนิ่นนานก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านตกใจจนเสียขวัญไปแล้วหรือ?”“ก็คงใช่กระมัง” ฝูอวิ๋นใช้นิ้วสางผมไปไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดจู่ๆ หลิงจิ่งก็เข้ามากอดเอวนางฝูอวิ๋นตกใจผงะ นางยิ้มขมขื่นว่า “ข้าทำให้เจ้ากลัวหรือ?”“ท่านกลับไปทุบตีพวกข้าเหมือนเดิมเถิด” หลิงจิ่งพูดแบบนี้ออกมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดจึงพูดเ
หลิงจิ่งชอบตบหมอนก่อนเข้านอน เนื่องจากหมอนที่พวกเขาใช้แข็งทื่อมาก ทำจากฝ้ายคุณภาพต่ำจึงมักจะราบเรียบไม่เสมอกัน ตบแล้วจะช่วยให้หนอนหนุนสบายยิ่งขึ้นคืนนี้เขาลืมตัวจึงเผลอยกหมอนขึ้นมาตบ เมื่อยกหมอนขึ้นมาแล้วก็ได้พบกับปิ่นเงิน กำไลหยก และเงินทองแดงอีกสิบกว่าเหรียญที่อยู่ใต้หมอนเขาตกใจผงะเขาไม่ได้รู้สึกแปลกตากับของสองชิ้นนี้กำไลหยกนั่นเป็นของน้าเล็ก น้าเล็กสวมไว้ที่ข้อมืออยู่ตลอด ส่วนปิ่นเงินนั่น ได้ยินมาว่าเป็นของแทนใจที่ชายชู้มอบให้หลี่ชุ่ยฮวานางเก็บไว้ใต้หมอนเช่นนี้เพื่อไว้คะนึงหาเวลาเห็นของอย่างนั้นหรือ?สีหน้าของหลิงจิ่งหมองหม่นลงเล็กน้อยหลิงเสวี่ยเห็นเขาแน่นิ่งก็หันมามอง เมื่อเห็นของสองสิ่งที่อยู่ใต้หมอนก็ร้องออกมาว่า “เอ๋” จากนั้นหยิบกำไลหยกขึ้นมา “นี่มันกำไลของน้าเล็กมิใช่หรือ? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”ฝูอวิ๋นถอดชุดตัวนอกไปพาดไว้ที่เก้าอี้ ครั้นได้ยินถ้อยคำของหลิงเสวี่ยถึงค่อยนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่นางตอบว่า “นี่เป็นของที่ข้าเคยให้น้าเล็กของพวกเจ้ายืมไปใส่ เมื่อวานนางนำมาคืน ตอนนี้จึงเป็นของข้าแล้ว”“อ้อ คืนให้ท่าน” หลิงเสวี่ยยื่นกำไลหยกใ
ฝูอวิ๋นเห็นสีหน้าหวาดกลัวลนลานของแม่ม่ายหลิวก็เกิดความคิดชั่วร้ายบางอย่าง ใช้ปลายเท้าเตะก้อนหินให้กระเด็นไปที่น่องของอีกฝ่าย“โอ๊ย! ผู้ใดกัน!”ความเจ็บปวดที่ขาทำให้แม่ม่ายหลิวกรีดร้องเสียงดังทว่ารอบข้างกลับไม่มีผู้ใด ส่วนพวกฝูอวิ๋นก็เดินห่างออกไปค่อนข้างไกลแล้วแม่ม่ายหลิวตัวแข็งทื่อ ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเขียวซีด พูดพึมพำไม่หยุด “อมิตตาพุทธ พระ พระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครอง…”“บะ บะ บาปมีผู้ก่อ นะ นะ หนี้มีเจ้าหนี้ ข้าเป็นคนดี ข้าเป็นคนดี…ข้าเป็นคนดีจริงๆ นะ…”หลิงจิ่งกุมท้องหัวเราะลั่นเมื่อเห็นแม่ม่ายหลิววิ่งกรีดร้องกลับบ้านไปหลิงเสวี่ยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “ท่านพี่ ท่านหัวเราะอะไรหรือ?”“ฮ่าๆๆ…แม่ของเสี่ยวหู่ตกใจฉี่ราดกางเกงแล้ว!” หลิงจิ่งพูดเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวแม่ม่ายหลิวที่เพิ่งจะวิ่งไปได้ไม่ไกลสะดุดล้มหน้าคะมำ นางรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งต่อโดยไม่หันกลับไปมองสายลมช่างเป็นอะไรที่อัศจรรย์ยิ่ง ทั้งที่ตอนนี้รอบข้างไม่มีผู้ใด ทว่าถ้อยคำของหลิงจิ่งกลับถูกผู้ใดก็ไม่รู้ได้ยินเข้าโดยปกติแล้วชาวหมู่บ้านสกุลหลี่ก็เป็นคนใจดี กระตือรือร้น และชอบใส่ใจผู้อื่นไม่ช้า คนทั้งหมู่บ้านก
ไม่ต้องหันไปมอง ฟังจากแค่น้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนี้ ฝูอวิ๋นก็รู้ว่าแม่ม่ายหลิวมาหาเรื่องอีกแล้ว จะด่านางก็ตามสบาย แต่การที่ใช้ถ้อยคำเช่นนั้นกับเด็กๆ นี่มัน…น่าโมโหเกินไป!ฝูอวิ๋นโยนเสื้อผ้าที่บิดเสร็จแล้วลงในถัง ยืดเอวที่ปวดร้าวลุกขึ้นพูดว่า “เจ้าคนโสโครกด่าใคร?”“ยังจะว่าผู้ใดได้อีก ก็ต้องสองคนนี้…” เสียงของแม่ม่ายหลิวขาดหายอย่างฉับพลัน ใบหน้ากลายเป็นสีดำทะมึน “หลี่ชุ่ยฮวา อยู่ดีๆ ก็มาด่ากันมันหมายความว่าอย่างไร?”หา!ฝูอวิ๋นแทบจะกระอักเลือดผู้ใดกันแน่ที่อยู่ดีๆ ก็มาด่า?นางกัดฟันกรอดพร้อมกับยิ้มบางๆ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าก็หมายความตามนั้นแหละ”“หมายความว่าอยากมีเรื่องสินะ?” แม่ม่ายหลิววางท่าทันที “ปล่อยม้ามาเลย[1]อย่าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้า!”“ขออภัย เมื่อวานนี้ม้าของข้ากลายเป็นหมูไปแล้ว และตอนนี้ก็กำลังอยู่เบื้องหน้าข้า”แม่ม่ายหลิวมองซ้ายแลขวาด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่เห็นหมูสักตัว ครั้นเห็นฝูอวิ๋นหัวเราะคิกคักถึงค่อยเข้าใจว่าตัวเองกำลังถูกด่า!“หลี่ชุ่ยฮวา เจ้า เจ้า เจ้า!” แม่ม่ายหลิวชี้หน้าฝูอวิ๋น อึกอักอยู่นานแต่กลับด่าอะไรไม่ออกฝูอวิ๋นยิ้มหวาน “ท่าทีที่เจ้า เจ้า เจ้า
“งานวันนี้ต้องเสร็จวันนี้ ไปเถิด พวกเราไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ พรุ่งนี้ยังต้องทำอย่างอื่นอีก” ฝูอวิ๋นถือถังไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจูงมือหลิงเสวี่ย ร้องเรียกหลิงจิ่งแล้วเดินออกไปด้านนอก“พรุ่งนี้ต้องทำอะไรหรือ?” หลิงจิ่งถาม“มีเรื่องต้องทำมากมาย”เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดก็คือซื้อเสบียงอาหารเสบียงอาหารอันน้อยนิดที่บ้านเพียงพอแค่สำหรับคืนนี้เท่านั้นพรุ่งนี้ก็จะไม่มีอาหารกินแล้วลองนับวันดูแล้ว นับตั้งแต่ที่หลิงหานโจวออกจากบ้านเป็นครั้งแรก จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาสี่วันแล้วตอนนั้นเขาบอกว่าครั้งจะใช้เวลาอย่างน้อยเจ็ดวัน มากสุดก็ครึ่งเดือน…จากไปนานขนาดนั้นแต่กลับทิ้งเสบียงไว้แค่นี้ กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?ตอนนี้เป็นเวลาหลังเที่ยง หลายคนในหมู่บ้านสกุลหลี่จะซักผ้าตั้งแต่ช่วงสาย เวลานี้ริมแม่น้ำจึงไม่มีผู้ใด ฝูอวิ๋นหาตำแหน่งที่พื้นค่อนข้างเรียบมานั่งลงแล้วเริ่มทำงานนางตักน้ำจากในแม่น้ำมาหนึ่งกะละมัง ใส่จ้าวเจี่ยวลงไปและบดให้ละเอียด ยิ่งละเอียดมากเท่าใดก็ยิ่งดี ตามด้วยขยี้เบาๆ ให้เกิดฟอง เท่านี้ก็เป็นอันใช้ได้แล้วนางเรียนรู้วิธีนี้จากความทรงจำของหลี่ชุ่ยฮวา ฝูอวิ๋นไม่เคยใช้เจ้าสิ่
หลิงจิ่งเข้าห้องมาพบกับความว่างเปล่าก็ตกใจดวงตาแทบถลน จะอ้าปากร้องเรียกนางแต่ก็ไม่รู้ว่าควรเรียกอย่างไรฝูอวิ๋นเปิดหน้าต่างและปัดฝุ่นออกกวาดหยากไย่ใต้เตียงให้สะอาดและกวาดฝุ่นผงจำนวนมากออกมาหลิงจิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “คือว่า…ท่านเผาฟางเช่นนี้ คืนนี้ข้ากับน้องหญิงจะนอนอย่างไร…”“ไม่ต้องถามมาก ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าห้องนี้มีแต่เหา อุตส่าห์อาบน้ำพวกเจ้าจนสะอาดทั้งที ย่อมนอนเตียงที่มีเหาไม่ได้อีก”ฝูอวิ๋นมองไปที่ขอบเตียง เอาแต่รู้สึกว่าปกคลุมไปด้วยเหาเช่นกันเมื่อหลับตาลงก็ราวกับเห็นเหาที่คลานยั้วเยี้ยเต็มเตียง นางรู้สึกขนลุกซู่ รีบตักน้ำมาเช็ดให้ทั่ว แม้แต่โต๊ะหนังสือก็ไม่เว้นบนพื้นเป็นดินเปลือยเปล่า ไม่อาจเช็ดทำความสะอาด ทำได้เพียงกวาดให้ทั่วกว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็เลยเวลาเที่ยงไปโดยไม่รู้ตัวฝูอวิ๋นปวดเอวปวดหลังไปหมด เพิ่งจะนั่งพักหายใจก็ถามตัวเองว่าเหตุใดทำงานแค่เล็กน้อยก็หมดแรงแล้ว?จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าตัวเองกินไข่ไก่แค่สองฟองและอยู่มาจนถึงตอนนี้นางเดินไปทำอาหารที่ห้องครัวโดยพลันเนื่องจากตอนนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิว นางจึงไม่มีเวลามาทำอาหารที่ซับซ้อนเก
หลังจากอาบน้ำให้หลิงเสวี่ยเสร็จเรียบร้อย ฝูอวิ๋นก็ทำการเช็ดผมให้กับนาง ครั้นตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีเหาอีกก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อผมขึ้นมานางห่อตัวเด็กหญิงด้วยผ้าฝ้ายที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว อุ้มนางกลับไปที่ห้องตัวเอง นำเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ออกมาให้ใส่“หนาวเหลือเกิน หนาวเหลือเกิน…” หลิงเสวี่ยสั่นเทิ้มไปทั้งตัว“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงรู้สึกหนาวหลังจากอาบน้ำ?” ฝูอวิ๋นสวมเสื้อผ้าให้นางไปพลาง ถามไปพลาง“เพราะเหตุใดหรือ?”“เพราะว่า…ในอากาศมีปีศาจที่ชอบดูดน้ำ เมื่อมีหยาดน้ำเกาะบนร่างกาย เจ้าปีศาจก็จะเป่าน้ำบนตัวเรา แบบนี้...”ฝูอวิ๋นเป่าไอเย็นไปที่คอของเด็กหญิง เย็นจนอีกฝ่ายต้องหดคอ“น่ากลัวเหลือเกิน!”“เร็วเข้า รีบเข้าไปใต้ผ้าห่ม เช่นนั้นเจ้าปีศาจก็จะเป่าเจ้าไม่ได้แล้ว”“คิกๆๆ…”“นังหนู ตอนนี้ยังกลัวการอาบน้ำอีกหรือไม่?”“ไม่กลัวแล้ว การอาบน้ำของท่านแม่สบายตัว ไม่เจ็บเหมือนท่านพ่อ” เด็กหญิงยิ้มตาหยี ส่วนนี้เหมือนฝูอวิ๋นมาก“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” ฝูอวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจเ“เปล่า…” เด็กหญิงเม้มปากแล้วมุดตัวเข้าผ้าห่มอย่างเขินอายฝูอวิ๋นส่ายหน้าด้วยความจนใจ เด็กคนนี้เปลี่ยนหน้