“ในเมื่อคุณชายจ้าวกล่าวชัดเจนถึงเพียงนี้แล้วว่าไม่ต้องการให้พวกเราช่วย หากว่าตามที่ข้าคิด พวกเราก็ไปกันเถิด” ซ่งรั่วเจินเหลือบมองจ้าวซวี่ไป๋ที่อารมณ์กำลังเดือดดาลแวบหนึ่ง ด้วยสภาพร่างกายของเขาในยามนี้ หากยังคงโต้เถียงต่อไปเช่นนี้อีกเพียงไม่กี่คำ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ฉู่อวิ๋นกุยลงมือ ตัวเขาเองคงจะโมโหจนหมดสติไปเอง สีหน้าของฉู่อวิ๋นกุยเปลี่ยนไปเล็กน้อย “พี่สะใภ้…” ซ่งรั่วเจิน “???” เหตุใดจึงเรียกว่าพี่สะใภ้เล่า! ฉู่จวินถิงสบสายตาที่เต็มไปด้วยความงุนงงของซ่งรั่วเจิน ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “เชื่อฟังพี่สะใภ้ของเจ้าเถิด” ฉู่อวิ๋นกุย “!!!” นายหญิงจ้าวเมื่อเห็นดังนั้นก็ยิ่งร้อนใจ “แม่นางซ่ง ตอนนี้สมองของซวี่ไป๋ไม่สมประกอบนัก เจ้าอย่าได้โกรธเขาเลย ขอร้องล่ะ โปรดช่วยเขาด้วยเถิด!” “ท่านป้าอย่าได้ร้อนใจไป พวกเราออกไปแล้วค่อยคุยกันเถิด” ซ่งรั่วเจินกล่าวปลอบโยน นายหญิงจ้าวพยักหน้า ก่อนเดินตามออกจากเรือนไปด้วยความสับสนและจนปัญญา “บัดนี้คุณชายจ้าวมีแต่เรื่องของสตรีนางนั้นอยู่เต็มหัว พวกเราจะกล่าวสิ่งใดไปก็ล้วนไร้ประโยชน์ ยันต์ใบนี้มอบให้ท่าน” ซ่ง
สภาพแวดล้อมในยุคปัจจุบันและยุคโบราณย่อมแตกต่างกัน หลายสิ่งจึงต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย ทว่าซ่งจิ่งเซินเดิมทีก็เป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีวิสัยทัศน์เฉพาะตัวในด้านการทำธุรกิจ แค่นางเสนอแนวคิดขึ้นมา ซ่งจิ่งเซินก็สามารถคิดหาหนทางที่เป็นไปได้และนำมาปฏิบัติได้จริงอย่างรวดเร็ว ซ่งจิ่งเซินได้ยินถ้อยคำของซ่งรั่วเจิน ดวงตาก็ยิ่งเปล่งประกายขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายต้องรีบคว้ามือของซ่งรั่วเจินอย่างมิอาจข่มกลั้นความตื่นเต้นได้ “น้องหญิงห้า เจ้าเป็นอัจฉริยะจริง ๆ วิธีนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!” สกุลซ่งของพวกเขาเดิมทีก็มีร้านค้าอยู่ในหลายเมือง บัดนี้เมื่อมีวิธีการนี้มาอีก แม้ว่ากระบวนการจะยุ่งยากอยู่บ้าง แต่หากประสบความสำเร็จ อิทธิพลของสกุลซ่งของพวกเขาย่อมมหาศาลอย่างแน่นอน! “การดำเนินการโดยละเอียดยังคงต้องพึ่งพาท่านอยู่ดี มันค่อนข้างจะเปลืองแรงไม่น้อย” ซ่งรั่วเจินกล่าว ซ่งจิ่งเซินโบกมือ “นี่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรกันล่ะ? ล้วนให้ข้าจัดการเถิด เมื่อถึงเวลานั้น กิจการสกุลซ่งของเราย่อมต้องเปิดทั่วทุกสารทิศ เพียงแค่คิดก็ดีใจยิ่งนัก!” เมื่อร้านค้าของสกุลซ่งได้รับ
อวิ๋นเฉิงเจ๋อมองใบหน้าเล็กที่ดื้อรั้นของหญิงสาว ก่อนกล่าวเสียงหนักแน่น “ข้ามิได้หลบหน้าเจ้า และก็มิได้มิอยากพูดกับเจ้า” “งั้นหรือ? ข้าเป็นคน ข้าย่อมรู้สึกได้เอง” อวิ๋นเนี่ยนชูคิดถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ นับตั้งแต่ที่มารดาจากไป พวกเขาก็ได้อยู่ด้วยกัน ปราศจากการรบกวนของอวิ๋นซีหว่าน นางจึงมีเวลาได้อยู่กับญาติผู้พี่มากขึ้นกว่าเดิม ทว่าเขากลับยุ่งมากในทุกวัน ยุ่งเสียจนตอนกลับมาก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว นางตั้งใจเฝ้ารอจนดึกดื่นเพียงเพื่อจะได้พบเขา ต้มยาบำรุงร่างกายให้เขา แต่กลับได้รับเพียงประโยคเดียวจากเขาว่า “อย่ารอข้าเลย รีบนอนเถิด” “ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะข้าเองที่ไม่รู้ความ ความชอบที่ข้าคิดไปเองว่าดี จะนำพาภาระมากมายให้แก่ท่าน บัดนี้ข้าละทิ้งมันแล้ว ต่อจากนี้จะไม่ตามรบกวนท่านอีก ท่านก็มิจำเป็นต้องหลบเลี่ยงข้าจนถึงขั้นไม่กลับบ้าน” อวิ๋นเนี่ยนชูกลืนความขมขื่นในใจลงไป นางคิดมาโดยตลอดว่าตนเองก็ดีไม่น้อย ต่อให้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นที่น่าชื่นชอบ แต่อย่างน้อยก็ไม่เป็นที่น่ารังเกียจของผู้ใด ทว่าเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าผู้ที่นางรักที่สุด นางกลับกลายเป็นคนที
นางวางไม่ลง ทุกครั้งที่ได้เห็นเขาก็ทรมานจนอยากร้องไห้ซ่งรั่วเจินเห็นอวิ๋นเนี่ยนชูมองกลับมาตาแดง เอ่ยถามอย่างห่วงใย “เกิดอันใดขึ้น?”“ไม่มีอันใด” อวิ๋นเนี่ยนชูส่ายหน้า เดิมทียังอยากฝืนเอาไว้ แต่มองเห็นท่าทางเข้าใจนางอย่างทะลุปรุโปร่งของซ่งรั่วเจิน โผกอดนางไว้อย่างอดไม่ได้“รั่วเจิน ข้าไม่ได้เรื่องเลย เดิมทีก็ไม่สามารถปล่อยวางได้ลง”ซ่งรั่วเจินตบหลังอวิ๋นเนี่ยนชูเบาๆ พลางพูดปลอบโยน “อย่าบังคับตนเองจนเกินไป ไฉนเลยจะปล่อยวางความรักลงได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น?”“แต่ก่อนหน้านี้เจ้าวางลงได้รวดเร็วยิ่งนัก” อวิ๋นเนี่ยนชูสะอื้นพลางพูดซ่งรั่วเจินหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเองก็ไม่ดูหลินจือเยว่ว่าเป็นชายชั่วเยี่ยงไร ใช้เงินของข้าเลี้ยงดูหญิงอื่น ยังพูดจาเหยียดหยามข้าอีกด้วย แม้แต่ครอบครัวข้าก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา”“ชายเช่นนี้ เปลี่ยนเป็นเจ้าจะยังลังเลอีกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีข้าและเขาก็ไม่ได้รักกัน ย่อมปล่อยวางได้ลง”“หากญาติผู้พี่เจ้าเหมือนกับหลินจือเยว่ ข้าว่าเจ้าเองก็คงไม่ชอบเขาหลายปีถึงเพียงนี้ คงไล่เขาไปตั้งนานแล้ว”เดิมทีอวิ๋นเนี่ยนชูกำลังรู้สึกแย่ จู่ๆ ถูกซ่งรั่วเจินพูดเช
คืนวันเดียวกัน สกุลจ้าวจ้าวซวี่ไป๋มองเห็นแม่นางเหมียวเหมี่ยวที่เขาเฝ้าคะนึงหาภายในความฝัน นางงดงามและใจดีเช่นนั้น เป็นนางฟ้าของเขาหลังเขาโมโหเล่าเรื่องในวันนี้ออกมา ภายในดวงตาเหมียวเหมี่ยวสะท้อนสีแปลกประหลาด จากนั้นจูงมือของเขา ภายในสายตาเปี่ยมความลึกซึ้ง“คุณชายจ้าว ข้าไม่ต้องการอันใดทั้งสิ้น ต้องการเพียงอยู่ร่วมกับท่าน”“ไม่ว่าพวกเขาเข้าใจข้าผิดเยี่ยงไร ขอเพียงท่านเชื่อข้าก็พอ”หัวใจจ้าวซวี่ไป๋อบอุ่น พูดว่า “ข้าย่อมเชื่อเจ้า ในสายตาข้าเจ้าดีที่สุด พวกเขาล้วนพูดเหลวไหลไร้สาระ เดิมทีก็ไม่เคยพบเจ้า กลับพูดจาว่าร้ายเจ้า ทำเลยเถิดเกินไปจริงๆ!”“คุณชายจ้าว ข้ากลัวยิ่งนัก” เหมียวเหมี่ยวโผเข้าอ้อมกอดของจ้าวซวี่ไป๋ “ข้ากลัวพวกเขาจะแยกพวกเราออกจากกัน บัดนี้ข้าไม่ต้องการสิ่งใด ขอเพียงพวกเราได้อยู่ร่วมกันก็พอ”พูดไป นางก็ปลดเสื้อออก ทันใดนั้นไหล่หอมก็เผยออกมาจ้าวซวี่ไป๋เห็นภาพตรงหน้างดงามและหอมถึงเพียงนี้ ทันใดนั้นใบหน้าแดงเรื่อ “เหมียวเหมี่ยว นี่เจ้าจะทำอันใด?”“คุณชายจ้าว ข้าไม่ใส่ใจขนบธรรมเนียม ขอเพียงได้เป็นคนของท่าน เรื่องอื่นข้าล้วนไม่ใส่ใจ ท่านรับข้าไว้ดีหรือไม่?”มือสองข้างข
“หรือท่านจำไม่ได้แล้วว่าตอนเด็กเรียกขานข้าเยี่ยงไร?”ภายในสมองจ้าวซวี่ไป๋ปรากฏภาพสมัยยังเด็กของทั้งคู่“เหมียวเหมียว น้องหญิงเหมียวเหมียว”เขาเรียกเฉียนชิ่งเหมียวเช่นนี้มาโดยตลอด...“ใช่แล้ว ข้าก็คือน้องหญิงเหมียวเหมี่ยวของท่านอย่างไรเล่า สมัยเด็กพวกเราเล่นด้วยกัน ท่านเป็นสามี ข้าเป็นฮูหยินของท่านมาโดยตลอดอย่างไรเล่า!”ดวงตาผีสาวเริ่มมีเลือดไหล “เป็นท่านพูดว่าโตแล้วจะแต่งกับข้า ท่านสมควรเป็นสามีของข้าสิ!”พูดไป สีหน้าคลุ้มคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในสายตาเจือความมุ่งมั่นจะต้องได้มาครอบครอง“ข้าอยู่เพียงลำพังเหงามากเกินไปแล้ว ท่านจะต้องเป็นสามีข้า อยู่ร่วมกับข้าตลอดชีวิต!”ครู่ต่อมา จ้าวซวี่ไป๋เห็นผีสาวโผเข้าหาเขาอย่างกะทันหัน เล็บของนางคมมากเป็นพิเศษ หากแทงเข้าคอของเขา เขาจะต้องตายแน่!“อ๊าก...”เขาตกใจกลัวจึงวิ่งหนี กลับพบว่าผีสาวเร็วยิ่งกว่าเขามาก เดิมทีเขาก็หนีไม่รอด ดิ้นพล่านต้องการตื่นขึ้น กลับพบว่าพยายามไปก็ไร้ผล“ล้มเลิกความคิดเถอะ ท่านตื่นขึ้นมาไม่ได้หรอก”เฉียนชิ่งเหมียวอ่านความคิดของเขาออก พูดเยาะหยัน “หรือว่าระยะนี้ท่านไม่สังเกต ช่วงเวลาตื่นนอนของท่านสั้นลงทุกที ช่ว
วันต่อมา ซ่งรั่วเจินลุกจากที่นอนและกลั้วปากดีแล้ว ก็พบว่าฉู่จวินถิงและฉู่อวิ๋นกุยล้วนมาแล้วนางเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “สกุลจ้าวให้คนมาส่งข่าวแล้วหรือ?”ฉู่อวิ๋นกุยพยักหน้าด้วยสีหน้าร้อนใจอยู่บ้าง “ส่งข่าวมาเช้าวันนี้ พูดว่าตกใจแทบแย่ เมื่อคืนล้วนไม่กล้านอนหลับ ข่าวถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อคืน แต่ข้าเพิ่งรู้เช้าวันนี้”ซ่งรั่วเจินกลับไม่แปลกใจ เมื่อวานทิ้งยันต์แผ่นนั้นไว้ย่อมสามารถทำให้จ้าวซวี่ไป๋ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายแต่ไหนแต่ไรมา ผีตายในน้ำนั้นน่าเกลียดมากนักเดิมทีคิดว่าเป็นหญิงงามน่าสงสารคนหนึ่ง เพียงหันหน้าก็กลายเป็นผีสาวหน้าตาบิดเบี้ยวน่ากลัวไปเสียแล้ว ความรักใคร่ลุ่มหลงของเขาย่อมมลายหายไป บัดนี้ต้องการเพียงมีชีวิตกับดักหญิงงามพรรค์นี้ นางเคยพบมาไม่น้อยแม้ต้องตายใต้อ้อมกอดหญิงงาม เป็นผีก็ยังสำราญมากนัก หากไม่ได้ฉู่อวิ๋นกุยมาหานางและขอความช่วยเหลือ จุดจบของจ้าวซวี่ไป๋ก็คงเป็นเช่นนี้“พวกเราไปดูตอนนี้ดีหรือไม่? ข้าเห็นบ่าวคนนั้นร้อนใจยิ่งนัก” ฉู่อวิ๋นกุยเอ่ยจากนั้นฉู่จวินถิงเห็นว่าซ่งรั่วเจินเพิ่งตื่นและอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยจึงพูดว่า “ไม่รีบ กินมื้อเช้าก่อนเถอะ”ซ่ง
“ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ”ฉู่อวิ๋นกุยตบมือของเขา “ปีนั้นข้าเองก็อยู่ด้วย ตกลงเรื่องราวเป็นเช่นไร ทุกคนล้วนรู้ดี พูดขึ้นมาแล้ว อันที่จริงพวกเราก็ไม่สามารถหนีความรับผิดชอบทั้งหมดพ้น”ปีนั้นอายุยังน้อยไม่รู้ความ หลังเอะอะโวยวายแล้วก็จากไป ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้น พวกเขาเองก็ต้องรับผิดชอบจริงๆเป็นความผิดของพวกเขาตอนนี้เอง จ้าวซวี่ไป๋มองเห็นซ่งรั่วเจนจึงรีบเอ่ยถาม “แม่นางซ่ง เหตุใดเหมียวเหมี่ยวจึงกลายเป็นเช่นนี้? ข้าได้ยินมาว่าคนตายไปแล้วจะได้เกิดใหม่ เหตุใดนางจึงยังอยู่ในแม่น้ำเย็นยะเยือกนั้นอยู่ตลอดเล่า?”แม้ว่าตอนนั้นเฉียนชิ่งเหมียวยังพูดไม่จบ แต่เขาได้ยินนางพูดว่าในน้ำหนาวมากปีนั้นนางยังเด็กก็ต้องสำลักน้ำเย็นยะเยือกในแม่น้ำตายไป ชนิดที่ว่าผ่านมานานหลายปีถึงเพียงนี้ก็ยังถูกสภาพแวดล้อมเย็นยะเยือกโอบล้อมไว้...ทีแรกเขาคิดจริงว่าเฉียนชิ่งเหมียวน่ากลัว แต่ตอนนี้คิดตกแล้ว เดิมทีทั้งหมดก็เป็นความผิดของเขา“เพราะนางมีความยึดติด” ซ่งรั่วเจินพูดตามตรงผีตายในน้ำสำลักน้ำจนตาย แม้อนาถมาก แต่สามารถเกิดใหม่ได้ ทว่านางยังอยู่ที่นั่นไม่ยอมจากไป คาดว่ามีความยึดติดจึงยังอยู่ที่นั่น“เช่
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที
เมื่อเห็นกู้ฮวนเอ๋อร์ภาคภูมิใจเช่นนี้ ซ่งรั่วเจินและคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ ว่าของล้ำค่าที่ว่าคือสิ่งใดกันแน่? “ผ่าม!” กู้ฮวนเอ๋อร์เปิดกล่องผ้าไหมออกด้วยความตื่นเต้นยิ่ง แต่ทว่าหลังจากที่ทุกคนในงานเห็นของในกล่องผ้าไหมแล้ว ล้วนนิ่งงันไปทันที เนื่องด้วยในกล่องนั้นมีเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรอยู่องค์หนึ่ง! “แค่กๆ” ฉู่อวิ๋นกุยกระแอมครั้งหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สตรีที่เขาชอบนั้น ช่างเป็นคนที่ชาญฉลาดนัก! ซ่งรั่วเจินพลันมองไปทางฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับเห่อแดงขึ้นมา แววตาของฉู่จวินถิงปรากฏแววขบขันวาบผ่าน ของขวัญชิ้นนี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าหลังจากที่ตนหยิบของขวัญออกมาแล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ”นี่มันสีหน้าอะไรของพวกเจ้ากัน? หรือว่าไม่ดีงั้นหรือ?“ “เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรองค์นี้ ข้าไปกราบขอมาโดยเฉพาะ ผ่านพิธีปลุกเสก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก!” ซ่งรั่วเจิน “...” หลายครั้งนางเองก็นับถือกู้ฮวนเอ๋อร์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่อายุน้อยขนาดนี้ แต่ความคิดที่จะมอบของขวัญให้กลับเหมือนค
ณ เวลาเดียวกันนั้น อวิ๋นเนี่ยนชูก็ได้มาหาซ่งรั่วเจินเช่นกัน “รั่วเจิน ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ข้าเองก็เห็นเหตุการณ์ในงานเทศกาลโคมไฟแล้ว เดิมทีอยากจะไปแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้าไป จึงต้องมามอบของขวัญแสดงความยินดีในวันนี้” อวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มพลางยื่นของขวัญแสดงความยินดีไปให้ “นี่คือของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนดีจริง ๆ เมื่อพวกเจ้าได้แต่งงานกันแล้วจักต้องครองรักกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จนผู้คนรอบข้างพากันริษยาแน่นอน” ซ่งรั่วเจินมองดูอวิ๋นเนี่ยนชูเปิดกล่องผ้าไหมออก ภายในบรรจุเครื่องประดับศีรษะของสตรีครบชุด เครื่องตกแต่งอื่น ๆ ไปจนถึงเครื่องประทินโฉม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด “ของมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ดูแล้วครบชุดเลย เจ้าให้จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะหรือ?” “ใช่แล้ว!” อวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่ก่อนข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าควรจะมอบสิ่งใดให้เจ้าเป็นของขวัญดี แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่มีสิ่งที่เหมาะสมที่สุดได้เลย” “หลังจากนั้น ข้าก็คิดว่า สิ่งที่สตรีมักจะใช้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็มิพ้นเคร
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จางเหวินพูด กู้หรูเยียนกับเยี่ยนชิงอวี้ต่างก็อดมิได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้จักความรักครั้งแรกก็ชอบพอเฉิงเจ๋อ ถ้าอย่างนั้น ก็ชอบพอหลายปีจริง ๆ พวกเขากลับมิรู้มาโดยตลอด คิดดูแล้ว ในใจเด็กทั้งสองคงมีสิ่งที่เก็บกลั้นไว้อยู่ “จะว่าไป ก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ที่ข้ามิได้ใส่ใจให้ดีนัก เอาแต่ให้เฉิงเจ๋อคอยดูแลน้องสาวให้ดี” “เนี่ยนชูชอบตามติดอยู่ข้างกายเฉิงเจ๋อมาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่เฉิงเจ๋อกลับจากสำนักศึกษา เป็นเวลาที่นางมักดีใจเป็นที่สุด ข้าก็นึกว่าเป็นเพียงความรักฉันพี่น้องมาโดยตลอด” “มาตรองดูดี ๆ แล้ว ตอนนั้นข้าก็ควรพบความผิดแผกได้ หากเป็นเพียงพี่น้องธรรมดา เหตุใดเด็กทั้งสองจึงมิยอมแต่งงานจนถึงตอนนี้?” จางเหวินยิ่งเอ่ยก็ยิ่งปวดใจ เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่อนุอวิ๋นยังหมายจะยกอวิ๋นซีหว่านที่ยังไม่ได้แต่งงานให้แก่เฉิงเจ๋อ เกรงว่าตอนนั้น หัวใจของเด็กทั้งสองคงรวดร้าวมิใช่น้อย ถึงขั้นที่ เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นในตอนนั้น นางยังเคยกล่าวกับเฉิงเจ๋อด้วยว่า เรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง นางมองเขาเป็นดั่งบุตรชายแท้ ๆ มาโดยตลอด อนาคตจะต้องเลือกคู่ค
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น นางกำนัลในตำหนักจงเฟยก็พลันเข้ามา“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” นางกำนัลก้มกายคำนับด้วยท่าทางเคารพนบนอบ แต่ในมือกลับถือเซียนบุปผาเอาไว้หนึ่งองค์ “แม่นางของบ่าว ให้บ่าวนำเซียนบุปผามาให้ฮองเฮา ขอเพียงทรงบูชาด้วยใจที่ตั้งมั่น ก็จะสามารถเปล่งปลั่งผุดผ่อง ทำให้เยาว์วัยตราบนานเท่านาน” เมื่อวาจาถูกเปล่งออกมาเช่นนั้น ฮองเฮาและลู่หมิ่นฮุ่ย ต่างพินิจพิจารณาเซียนบุปผาที่อยู่ตรงหน้า ต้องบอกเลยว่ารูปปั้นนี้ถูกทำขึ้นได้สมจริงยิ่งนัก เซียนบุปผานั้นก็งามวิจิตรด้วยรูปลักษณ์อันเย้ายวนตา “นี่มันเซียนบุปผาอะไรกัน? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” แววตาของฮองเฮาปรากฏแววประหลาดใจวาบหนึ่ง ในใจกับยิ่งรู้สึกสงสัย จงเฟยมีน้ำใจงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ จึงยอมมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้แก่นาง? นางสนมวังหลัง ต่างกำลังช่วงชิงแข่งขัน หวังเพียงให้ตนสามารถงามล้ำกว่าผู้อื่น เพื่อที่ฮ่องเต้จะได้ต้องตาในคราแรกเห็น จงเฟยในวันนี้ผุดผ่องไปทั้งตัวยิ่งกว่าทุกวัน แค่ฮ่องเต้ได้เห็น ราตรีนี้ย่อมต้องพลิกป้ายชื่อของนางเป็นแน่ หากความลับที่ทำให้จงเฟยงดงามขึ้นเป็นเพราะการบูชาเซียนบุปผ
นับตั้งแต่แต่งงานกันเป็นต้นมา ท่านอ๋องก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่งมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากแต่งงานแล้ว นั่นยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลยฮองเฮามองแหวนบนมือลู่หมิ่นฮุ่ยแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ท่านอ๋องของเจ้าดีต่อเจ้ามากมาแต่ไหนแต่ไร ส่งของขวัญมาให้รวดเร็วปานนี้ ข้าได้ยินมาว่าแหวนในร้านขายเครื่องประดับทั่วเมืองหลวงถูกขายหมดเกลี้ยงแล้ว เมื่อก่อนหาได้ขายดีเท่าปิ่นปักผมไม่”“ไม่รู้ว่าจวินถิงคิดวิธีแปลกใหม่เช่นนี้ได้อย่างไร แต่ข้าแค่ได้ยินก็รู้สึกว่าพวกเขาสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมโดยแท้ ช่างชวนให้คนอิจฉานัก”ลู่หมิ่นฮุ่ยดื่มชาจิบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “พี่หญิง ยามนี้ท่านคิดตกแล้วช่างดีเหลือเกิน ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่ไทเฮาทรงทราบว่าฝ่าบาทพระราชทานสมรส ยังให้คนนำของพระราชทานไปส่งที่สกุลซ่งไม่น้อยเลย เห็นได้ชัดว่าโปรดปรานแม่นางซ่งมาก”ฮองเฮาพยักหน้าน้อยๆ วันนี้ตอนที่นางได้ยินข่าวนี้ก็มีความคิดแบบเดียวกัน ความโปรดปรานที่ไทเฮามีต่อซ่งรั่วเจินช่างชวนให้คนประหลาดใจโดยแท้แต่สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นข่าวดียิ่งโดยไม่ต้องสงสัย“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าแม่นางสกุลหลิงผู้นั้นหมู่นี้ใกล้ชิดกับเช่ออ๋องมากทีเดียว คน
“ก่อนแต่งงานเขาสามารถคิดวิธีการนี้ออกมาได้ หลังแต่งงานก็ย่อมสามารถคิดวิธีอื่นออกมาได้เหมือนกัน เขาย่อมจะมีวิธีแก้ไข”ซ่งหลินมองไปทางกู้หรูเยียน “คิดถึงสมัยที่แม่ข้ายังอยู่ ข้าก็จัดการเรื่องต่างๆ ได้ดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”กู้หรูเยียนอึ้งไป คิดถึงเมื่อครั้งที่แม่สามียังอยู่ ระหว่างนางกับแม่สามีก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีความขัดแย้งอันใด ทุกครั้งซ่งหลินล้วนจัดการได้ดีมากตอนเริ่มแรก นางเข้าใจมาตลอดว่าเป็นเพราะแม่สามีนิสัยดี รู้สถานการณ์ที่นางอยู่ในตระกูลหลิ่วแล้วยังยินดียอมรับนางอย่างไรเสีย รูปแบบการทำเรื่องต่างๆ ของตระกูลหลิ่วหลายปีมานี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดื้อด้านไร้เหตุผล ชอบมาหาผลประโยชน์จากตระกูลซ่ง นางรู้สึกละอายใจต่อตระกูลซ่งมาโดยตลอดโชคดีที่ทั้งแม่สามีและพ่อสามีล้วนไม่เคยตำหนินางเพราะเรื่องนี้ นางย่อมเข้าใจว่าในเรื่องนี้ย่อมขาดความชอบของซ่งหลินไปไม่ได้เลย“ตอนนั้นท่านโน้มน้าวแม่สามีอย่างไรหรือ?” กู้หรูเยียนถามอย่างสงสัยตอนนั้นนางกังวลใจไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ทุกครั้งที่ซ่งหลินบอกนางว่าไม่เป็นไร พ่อสามีและแม่สามีจิตใจกว้างขวาง ไม่เคยเก็บเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ แต่กลับเห็นใจนางเป
“เมื่อวานข้าได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ การจัดเตรียมแสนอลังการแบบนี้ ไม่เพียงแค่ไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความจริงใจของฉู่อ๋อง”“ตอนที่ข้าเห็นฉู่อ๋องเป็นฝ่ายถามแม่นางซ่งว่ายินดีแต่งงานกับเขาหรือไม่ก็รู้สึกว่าถ้าบุรุษในใต้หล้าเป็นเหมือนเขากันทุกคนก็คงดี”“ไม่รู้ว่าการมอบแหวนมีความหมายพิเศษอันใดหรือไม่? ตอนข้าเห็นฉู่อ๋องสวมแหวนให้แม่นางซ่งก็รู้สึกว่าพิเศษเอามากๆ วันหน้าตอนข้าแต่งงานก็อยากทำเช่นนี้เหมือนกัน”ทันใดนั้น แหวนในร้านขายเครื่องประดับก็กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงเช้าวันนี้ แหวนทั้งหมดล้วนขายไปจนหมดเกลี้ยงขณะที่เวลานี้จวนสกุลซ่งเพิ่งได้รับราชโองการพระราชทานสมรส“ยินดีด้วย แม่ทัพซ่ง ซ่งฮูหยิน วันที่แปดเดือนหน้าเป็นวันดี หลังแต่งงานแล้ว แม่นางซ่งก็จะกลายเป็นพระชายาฉู่อ๋อง”ขันทีที่อัญเชิญราชโองการมามีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ตำแหน่งพระชายาฉู่อ๋องว่างเว้นมานานมากแล้ว ฉู่อ๋องควรแต่งงานตั้งแต่หลายปีก่อน แต่ก็ผัดผ่อนมาจนถึงตอนนี้บัดนี้ในที่สุดก็มีว่าที่พระชายาฉู่อ๋องเสียที ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองโดยแท้“เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งของพระราชทานจากในวัง ไม่เพ