"ท่านแม่ กลางวันกินซาลาเปานะเจ้าคะ มีกุยช่ายเหลืออยู่ เอามาสับผสมกากหมู หอมน่ากิน ท่านพี่จะต้องชอบแน่"จริง ๆ แล้วนางต่างหากที่อยากกินแ ต่ต้องอ้างพระเอก"เจ้านี่คิดถึงเหล่าซาน...""ท่านพี่ไม่อยู่ ข้ากลัวว่าเขาจะกินไม่ดี นอนไม่หลับ"เจียงเมี่ยวพูดเอาใจ ทว่าในใจกลับอยากให้พระเอกตั้งใจเรียนสอบให้ได้เร็ว ๆ"ไม่ละอายใจหรือ!"ฮูหยินจางหันไปมองก็เห็นเสิ่นเยี่ยนชิงยืนอยู่ที่ประตู"เหล่าซาน กลับมาแล้วหรือ? เมี่ยวเอ๋อร์กำลังคิดถึงเจ้าอยู่พอดีเลย!""ท่านแม่!"เจียงเมี่ยวหน้าแดงก่ำ นางเองก็ไม่คาดคิดว่าคำพูดที่น่าอายขนาดนี้จะถูกเจ้าตัวได้ยินเข้าเสิ่นเยี่ยนชิงทั้งดีใจทั้งเขิน เขาไม่คิดว่าเจียงเมี่ยวจะเป็นห่วงเขาขนาดนี้ ต่อไปเขาต้องหาเวลาอยู่กับนางบ้างแล้วถ้าหากว่าเจียงเมี่ยวรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ จะต้องย้อนกลับไปตบหน้าตัวเองสองทีแน่ ๆ แล้วด่าว่า "ให้พูดมั่วอีกสิ!" "จะทำกับข้าวหรือ? ข้าช่วยนะ"ตระกูลเสิ่นไม่ถือเรื่องผู้ชายเข้าครัว เสิ่นเยี่ยนชิงพับแขนเสื้อช่วยนางทำไส้ซาลาเปา เจียงเมี่ยวยังเขินอายอยู่จึงยื่นกะละมังให้เขา"ท่านแม่ ข้าไปย่างกระต่ายนะเจ้าคะ""เมี่ยวเอ๋อร์เขินน่ะสิ พอรู้ว่าเจ้า
"กินข้าวอยู่ก็หุบปากเสียบ้าง!"ฮูหยินจางตาเขียว จะมาประจบก็ช่างเถอะ นางก็แค่หวังให้ลูกชายคนที่สามกับเมี่ยวเอ๋อร์รักใคร่ปรองดองกัน อยู่ด้วยกันไม่แยกจากไปตลอดกาล เจียงเมี่ยวหน้าแดงทั่วทั้งใบหน้า ก้มหน้าแทะเนื้อกระต่าย ในใจด่าตัวเองว่าไม่เอาไหน ไม่รู้ว่าเสิ่นเยี่ยนชิงเป็นอะไร ช่วงนี้ถึงทำตัวแปลก ๆ หรือว่านางเอาใจเขามากเกินไป?เสิ่นเยี่ยนชิงมองใบหน้าแดง ๆ ของนางรู้สึกก็คันมือ อยากจะสัมผัสพอกินข้าวเสร็จ เจียงเมี่ยวช่วยเก็บจานชามแล้วก็ไปทำงานของตัวเองต่อน้ำมันหมูแข็งตัวแล้ว นางเคยเห็นคนอื่นทำครีม แต่ไม่รู้ว่านางจะทำได้หรือไม่?นางผสมน้ำมันหมูกับสมุนไพรต่าง ๆ ตามสูตร สุดท้ายได้แค่สองกระปุกเล็ก เนื้อครีมละเอียดนุ่ม มีกลิ่นหอม ถือว่าเป็นของชั้นดี แต่จะได้ผลอย่างไรต้องรอลองใช้ก่อน เจียงเมี่ยวเริ่มทำลูกหอม คราวนี้นางใช้ลูกพีชที่เหลือทำกลิ่นผลไม้ห้าลูก ร้านจินซิ่วเก๋อต่อไปจะขายแค่เดือนละยี่สิบลูก นางไม่ต้องไปเมืองทุกสามวันแล้ว เวลาที่เหลือก็ขึ้นเขาไปเก็บดอกไม้ที่ยังเหลืออยู่ให้หมดอีกอย่าง เจียงเมี่ยวคิดไกลกว่านั้น ตอนนี้นางยังเป็นว่าที่ภรรยาของเสิ่นเยี่ยนชิง สัญญาขายตัวอยู่ที่ตระกูลเ
เจียงเมี่ยวทั้งอายทั้งรำคาญ "เจ้ามันน่ารำคาญ!"ดวงตาของเด็กสาวชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตา เส้นผมสีดำขลับดุจน้ำตกสยายอยู่บนเตียง ยิ่งขับให้ใบหน้าของนางดูเล็กลงไปอีก น้ำเสียงของนางฟังดูน่ารักน่าเอ็นดู แม้จะเป็นคำบ่น แต่เมื่อได้ยินผ่านหูของเสิ่นเยี่ยนชิงแล้ว กลับฟังดูเหมือนเสียงออดอ้อนเขาเสียงแหบเล็กน้อย"ข้ากลัวเจ้าจะเป็นอะไร...""ข้าแค่แขนชา เดี๋ยวก็หายแล้ว อย่าถามอีกเลย"อายจะแย่อยู่แล้ว เขายังถามไม่เลิก ความเย็นชาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?"ข้านวดให้"เขาเห็นเจียงเมี่ยวแข็งทื่อไปครึ่งตัว ทำหน้าบิดเบี้ยว เสิ่นเยี่ยนชิงสมองร้อนวูบ คำพูดหลุดออกมาโดยไม่ทันคิด พูดจบก็รู้สึกเสียใจ กลัวว่าเมี่ยวเอ๋อร์จะคิดว่าเขาล่วงเกิน เจียงเมี่ยวไม่ได้รู้สึกว่าเขาทำเกินเลย แค่รู้สึกว่าพระเอกคนนี้จู้จี้เกินไป ไม่บรรลุเป้าหมายไม่ยอมเลิกรานางผุดลุกขึ้นนั่ง ตาโตกลมจ้องมอง แสดงท่าทางหมดอาลัยตายอยาก“นวดให้ข้าหน่อย!” นวดเสร็จก็รีบไปนอนซะดวงตาเสิ่นเยี่ยนชิงสั่นไหว มือที่มีข้อนิ้วชัดเจนจับแขนนาง เจียงเมี่ยวรูปร่างบอบบางแต่มีเนื้อนุ่มนิ่มเสิ่นเยี่ยนชิงรู้สึกเหมือนได้สัมผัสปุยฝ้ายนุ่ม เขาอดไม่ได้ที่จะบีบเบาๆ พอร
เมื่อเจียงเมี่ยวตื่นอีกครั้ง ฟ้าสว่างแล้ว นางล้างหน้าล้างตาเสร็จ หยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่ปาก "หวานเลี่ยน"สมัยโบราณน้ำตาลมีราคาแพง ร้านขนมหากไม่ใส่น้ำตาลเยอะก็ไม่กล้าขาย นางกินชิ้นเดียวก็กินไม่ลงแล้ว ดื่มชาเย็นครึ่งถ้วย รสหวานในปากก็ยังไม่จาง ยังมีรสขมด้วย ขนมนี่ยังสู้ที่นางทำเองไม่ได้เลย เจียงเมี่ยวใช้กิ่งหลิวจุ่มเกลือขัดฟัน บ้วนปากด้วยน้ำชาเข้มข้นสองครั้ง รสชาติจึงจางลงขนมที่เหลือนางแบ่งให้เอ้อร์หลางกับต้ายา เจียงเมี่ยวไม่ชอบกินหวาน แต่เด็ก ๆ ชอบมากท่าเรือคึกคักไปด้วยผู้คน เสียงตะโกนขายของดังระงมหน้าแผงพะโล้ของตระกูลเสิ่น มีลูกค้าไม่ขาดสาย กลิ่นหอมลอยไปตามลม แรงงานแบกหามต่างสูดกลิ่นอย่างอดใจไม่ไหวกลิ่นนี่ช่างหอมจริงๆ พวกเขาต้องรีบทำงาน เดี๋ยวจะได้ไปซื้อพะโล้ชามหนึ่ง ทั้งหอมทั้งเผ็ด กินแล้วมีแรงทั้งตัว ในฝูงชนมีชายร่างผอมเล็กคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น สกปรกมอมแมม เสื้อคลุมยังมีรูสองรู ผมมันเยิ้ม ตาจ้องแผงตระกูลเสิ่นไม่วางตา แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์ เสิ่นเหล่าต้าเป็นคนตักกับข้าว พะโล้สองกะละมังขายหมดอย่างรวดเร็ว บางคนที่ซื้อไม่ทันก็ขอน้ำซุป ถึงไม่มีเนื้อขอแค่ชิมรสชาติก็ยังดี
"พวกพี่ขายอะไรน่ะ หอมจัง คงจะกำไรงามน่าดูเลยสิท่า?"หวังเอ้อร์จู้หรี่ตามองด้วยแววตาเป็นประกาย เขาเห็นอยู่เต็มตาว่าขายดิบขายดีขนาดไหน"ก็พอเลี้ยงตัวได้ กินเสร็จแล้วรีบกลับบ้านไปเถอะ พวกข้าจะเก็บร้านแล้ว"หวังซื่อไม่อยากพูดมากเพราะเป็นธุรกิจของตระกูลเสิ่น ไม่อยากให้คนนอกรู้มากนัก"อื้อ งั้นพรุ่งนี้พี่กลับบ้านไปเยี่ยมหน่อยสิ ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ท่านพ่อท่านแม่คิดถึงพี่จะแย่""เอ่อ..."หวังซื่อก็คิดถึงพ่อแม่ แต่ก็ไม่กล้ารับปาก เพราะตระกูลเสิ่นต้องออกร้านขายของทุกวัน จะทำพะโล้นั้นขาดนางไม่ได้ แถมบ้านเกิดก็อยู่ไกล เดินทางไปกลับต้องเสียเวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ นางจึงหันไปมองเสิ่นเหล่าต้าด้วยสีหน้าลังเล"พรุ่งนี้เจ้าไปเถอะ ไปดูว่าท่านพ่อท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง จะได้ไม่ต้องกังวลใจ อย่างไรเสีย ข้ากับต้าหลางก็ดูแลร้านอยู่""เจ้าค่ะ"เห็นหวังซื่อตกลง หวังเอ้อร์จู้จึงจากไปอย่างพอใจออกจากท่าเรือ เขาไม่ได้กลับหมู่บ้านหวัง แต่ตรงไปยังเมืองฝูหรงตรอกซอยย่านตะวันตกเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน เขาตรงไปที่ร้านค้าแห่งหนึ่งที่คุ้นเคย"อ้าว จู้จื่อมาแล้วหรือ วันนี้จะมาลองเสี่ยงโชคหน่อยไหม?"หวังเอ้อร์จู้กำเห
"ท่านแม่ ช่างหัวไวจริง ๆ!" หวังเอ้อร์จู้ประจบจนฮูหยินหลิวยิ้มหน้าบานถ้าเขาได้ทำการค้าบ้าง คงจะร่ำรวยมหาศาล ถึงตอนนั้น เขาจะเอาคืนพวกที่เคยดูถูกเขา"หึ!"หวังซื่อมาถึงบ้าน เห็นหวังเหล่าตี้กับฮูหยินหลิวนอนอยู่บนเตียง หวังเอ้อร์จู้นั่งอยู่ในห้องโถงสีหน้าเป็นทุกข์ น้องสะใภ้หลี่ซื่อก้มหน้าเช็ดน้ำตา หวังซื่อตกใจ"เกิดอะไรขึ้น?""พี่มาแล้วหรือ? ถ้ามาช้ากว่านี้ คงไม่ได้เจอท่านพ่อท่านแม่แล้ว" พอเห็นหวังซื่อ หวังเอ้อร์จู้ก็ร้องไห้ น้ำมูกน้ำตาเลอะเสื้อหวังซื่อไปหมด วันนี้นางแต่งตัวมาเยี่ยมบ้านเกิดเป็นพิเศษ ตอนนี้แขนเสื้อเปื้อนรอยมือสกปรก หวังซื่อไม่ได้สนใจ นางจับแขนหวังเอ้อร์จู้ ถามอย่างร้อนใจ"เรียกหมอมาแล้วมิใช่หรือ? หมอว่าอย่างไรบ้าง?""หมอบอกว่า ท่านพ่อท่านแม่พลังชีวิตพร่องปอดกับตับบาดเจ็บ ทั้งยังมีโรคเรื้อรังกำเริบต้องบำรุงอย่างดีเพียงเท่านั้น"ก่อนหน้านี้ คนในครอบครัวหวังปรึกษากันแล้ว ซึ่งโรคนี้ไม่ถึงตาย แต่ค่ารักษาแพงหวังเอ้อร์จู้ส่งสัญญาณให้พ่อกับแม่ หวังเหล่าตี้กับฮูหยินหลิว แกล้งร้องครวญครางอยู่บนเตียง"ซิ่วจือ...""ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยู่นี่"หวังซื่อเป็นลูกกตัญญูพอเห็น
"งั้นเจ้าต้องสัญญากับพี่ว่าจะอยู่ให้ห่างจากร้านของตระกูลเสิ่น""แน่นอน!"ไข่ที่หวังซื่อเอามาถูกน้องสะใภ้เก็บไว้ พอหวังเอ้อร์จู้ฟังสูตรเสร็จก็อ้างว่าบ้านไม่มีข้าวให้นางรีบกลับ ระหว่างทางหวังซื่อรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ถ้าฮูหยินจางรู้เข้าจะเกิดอะไรขึ้น?...ตอนเจียงเมี่ยวออกจากบ้านเจอหวังซื่อกำลังกลับมาพอดี นางสะพายตะกร้า ท่าทางใจลอย"พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านลุงกับท่านป้าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?""อ๊ะ"หวังซื่อสะดุ้งตกใจ"สบายดี สบายดี"นางตอบตะกุกตะกักรีบเดินเข้าบ้านไปเจียงเมี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ดูมีพิรุธแต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจ คิดว่าหวังซื่อคงเหนื่อยจากการเดินทาง ฤดูร้อนผ่านพ้นไป ฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาเยือนใบไม้ข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ถนนเพิ่งฝนตกจึงมีดินโคลนเละเทะ เจียงเมี่ยวจับชายกระโปรงเดินเลือกที่แห้งเมืองฝูหรงคึกคักไปด้วยผู้คน พอถึงหน้าประตูเมือง นางเกือบโดนรถม้าที่วิ่งมาด้วยความเร็วชน โชคดีที่หญิงวัยกลางคนข้าง ๆ ดึงนางไว้ไม่งั้นคงบาดเจ็บ"ให้ตายเถอะ! เป็นบ้าหรือไง? ขับรถเร็วบนถนนรีบไปเกิดใหม่งั้นหรือ?"หญิงวัยกลางคนคนนั้นเป็นคนใจร้อน จึง
"มีสิ เมิ่งเอ๋อร์ปีนี้ก็หกขวบแล้ว"พูดถึงตรงนี้น้ำตาก็ไหล ลูกสองคนอยู่กับบ้านสามี ชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้พบหน้าอีกแล้ว เจียงเมี่ยวเห็นว่าเป็นเรื่องเศร้าของเถ้าแก่เนี้ยฉินจึงไม่ถามต่อ เถ้าแก่เนี้ยฉินเช็ดน้ำตาแล้วฝืนยิ้ม "ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว"ทั้งสองคุยกันพลางดื่มชาก็มีคนรู้จักเดินเข้ามาในร้าน"มีลูกหอมเหลือไหม?""คุณหนูสวีมาพอดี วันนี้มีลูกหอมมาใหม่เจ้าค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยฉินยิ้มเดินเข้ามาวางลูกหอมสามกลิ่นบนโต๊ะ"นี่กลิ่นผลไม้หรือ?"ซูจื่อหลานได้กลิ่นลูกพีช หวานอ่อนๆ ไม่ฉุน "ใช่แล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นสินค้าใหม่ลูกหอมกลิ่นผลไม้""ข้าเอาทั้งหมดนี่แหละ"ทั้งสามกลิ่นนางชอบหมด อีกอย่างสิบลูกที่ซื้อครั้งก่อน เมื่อเอาไปให้คนอื่น ทุกคนต่างก็ชมนาง"เอ่อ...คุณหนูคงยังไม่รู้ ตอนนี้ร้านจำกัดจำนวนขายคนละสองลูกเจ้าค่ะ คุณหนูก็รู้ว่าร้านเล็ก ๆ มีลูกหอมแค่นี้ ถ้าคุณหนูซื้อไปหมด พวกเราจะทำการค้าได้อย่างไร?"ซูจื่อหลานไม่ได้มาหลายวันจึงไม่รู้เรื่องนี้ นางขมวดคิ้วเสียดายนางอยากได้ทั้งหมดนี่นาแต่นางก็เข้าใจความลำบากในของเถ้าแก่เนี้ยฉิน สุดท้ายจึงจำใจเลือกมาแค่สองลูก"งั้นข้าเอากลิ่นดอกกล้วยไม้กับกลิ่นผ
เจียงเมี่ยวหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลวกน้ำเพื่อขจัดกลิ่นคาว แล้วนำน้ำตาลกรวดไปผัดในกระทะฮูหยินจางไม่เสียดายน้ำตาลและน้ำมันอีกต่อไป มองอย่างตื่นตาตื่นใจ นางใช้ชีวิตมาทั้งชีวิตก็ไม่เคยเห็นการทำอาหารที่มีความหลากหลายขนาดนี้พอผัดน้ำตาลจนได้ที่ เจียงเมี่ยวก็ใส่เนื้อลงไปผัดให้ทั่ว เติมน้ำพะโล้หนึ่งทัพพี กลิ่นหอมก็โชยออกมา"หอมจัง!"สวีซื่อเป็นคนก่อไฟ กลิ่นหอมลอยไปทางนางตลอด ทำให้นางรู้สึกหิวจนท้องก็ร้องจ๊อกๆเที่ยงนี้นางต้องแย่งหมูสามชั้นตุ๋นเพิ่มอีกสองชิ้นระหว่างตุ๋นเนื้อ เจียงเมี่ยวก็ไปเด็ดแตงกวาจากสวนมาสองลูกมาทำยำ หากกินแต่เนื้อก็จะเลี่ยน ซึ่งผักจะช่วยตัดเลื่อนทำให้กินอาหารอร่อยมากขึ้น"ท่านแม่ เที่ยงนี้กินข้าวสวยนะเจ้าคะ"นางมาอยู่ในโลกยุคโบราณนานแล้ว ยังไม่ได้กินข้าวสวยเลย น้ำหมูสามชั้นตุ๋นราดข้าวสวยร้อน ๆ แค่คิดนางก็อยากกินแทบอดใจไม่ไหว"ข้าวที่บ้านยังมีพอหรือ?"ปกติตระกูลเสิ่นกินแค่ข้าวต้มตอนเช้า ข้าวสารจึงมีไม่มาก"เมื่อวานข้าซื้อมาจากเมืองแล้วเจ้าค่ะ""งั้นเจ้าก็ผสมข้าวไม่ขัดสีลงไปด้วย"ข้าวสารในเมืองขายชั่งละสามอีแปะ ข้าวไม่ขัดสีชั่งละอีแปะเดียว ข้าวที่ตระกูลเสิ่นปลูกก็เอ
เขาแสร้งทำเป็นสงบ เจียงเมี่ยวพยักหน้าอย่างไม่แน่ใจ"ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านพี่ ที่นี่มีควันเยอะ ท่านพี่เข้าไปในห้องเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะสำลัก""ไม่เป็นไร"ข้าแค่อยากอยู่กับเจ้า...เสิ่นเยี่ยนชิงกลืนคำพูดที่เหลือลงคอ ปลายนิ้วยังรู้สึกถึงความนุ่มของแก้มหญิงสาว เจียงเมี่ยวไม่ได้สนใจเขา นางกำลังกลั่นน้ำมันหอมระเหยขั้นตอนสุดท้าย หม้อที่ซื้อมาใหม่นำความร้อนได้ดี น้ำมันหอมระเหยที่กลั่นออกมาจึงไม่มีสิ่งเจือปน ไม่นานน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบก็เสร็จ เจียงเมี่ยวจึงใส่ขี้ผึ้งลงไปผสมให้แข็งตัวเสิ่นเยี่ยนชิงมองลูกหอมกลมใสในมือเจียงเมี่ยว กลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยมา ทำเอาเขารู้สึกแปลกใจเจียงเมี่ยวไม่ได้ปิดบังเรื่องทำลูกหอม ลูกหอมเป็นของที่ผู้หญิงใช้ เสิ่นเยี่ยนชิงอาจจะไม่รู้ว่านางทำอะไรอยู่ อาจจะคิดว่า นางกำลังเล่นอะไรแปลก ๆ ถ้าเขารู้ก็ไม่เป็นไร พอดีเลยจะได้อธิบายเรื่องที่นางหาเงินได้ เพราะช่วงนี้นางใช้เงินเปลืองเสิ่นเยี่ยนชิงต้องสงสัยแน่ ๆ ว่านางเอาเงินมาจากไหนเสิ่นเยี่ยนชิงเคยสงสัยจริง แต่คิดว่าเจียงเมี่ยวทำแต่ถุงหอม เพราะถุงหอมในมือซูจื่อเหวินมีฝีมือการปักเหมือนที่เจียงเมี่ยวให้เขาไม่มีผิด ตามท
"ถ้าเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะไม่ได้กินข้าวบ้านเจ้าแล้ว"ซูจื่อเหวินยิ้มแหยๆ เขาเป็นคนติดรสชาติอาหาร ตั้งแต่อาหารบ้านตระกูลเสิ่นอร่อยขึ้น เขาก็แอบมากินทุกที ทั้งอาหารหมักดองรสเผ็ดหอม กุยช่ายทอดเหลืองกรอบหอมฟุ้ง อร่อยกว่าอาหารในโรงเตี๊ยมบ้านเขาเสียอีก ทำให้รู้สึกว่าอาหารที่เคยกินมาไม่มีรสชาติเลย ถ้าได้ไปกินที่บ้านตระกูลเสิ่นให้หนำใจล่ะก็...ซูจื่อเหวินคิดพลางกลืนน้ำลายเสิ่นเยี่ยนชิงมองเขาด้วยความรังเกียจ แค่นี้น่ะหรือ?"ไม่ได้!"เขาไม่ยอมเด็ดขาด วันหยุดมีแค่วันเดียว เขาอยากอยู่กับเมี่ยวเอ๋อร์ตามลำพัง พาเพื่อนกลับบ้านจะดูเป็นอย่างไร "บ้านข้าจน ต้อนรับเจ้าไม่ได้หรอก"เสิ่นเยี่ยนชิงปฏิเสธอย่างหนักแน่น ซูจื่อเหวินหน้าสลดห่อเหี่ยวสุดๆ"ข้าจะจ่ายเงิน ไม่กินฟรี ๆ หรอก"เขาพยายามอ้อนวอน แต่เสิ่นเยี่ยนชิงไม่สะทกสะท้าน ซูจื่อเหวินจึงต้องล้มเลิก พูดต่อไปคงน่ารำคาญ ถึงตอนนี้เสิ่นเยี่ยนชิงก็รำคาญเขามากแล้ว "เฮ้อ ไม่มีพะโล้รสจัดจ้านกิน วันนี้ข้าคงอดตายแน่ๆ""หึ!"เสิ่นเยี่ยนชิงไม่สนว่าซูจื่อเหวินจะอดตายหรือไม่ ตอนนี้เขาแค่อยากกลับบ้านเร็วๆแต่เมี่ยวเอ๋อร์จะทำอะไรอร่อยๆ ให้เขากินนะ ชายหนุ่มที่ไ
เจียงเมี่ยวมองดูแม่สามีลูกสะใภ้ทะเลาะกัน อารมณ์ก็ดีขึ้นเยอะ"ท่านแม่ ข้ายังซื้อข้าวสาร แป้ง น้ำตาลมาด้วย พรุ่งนี้ท่านพี่หยุดเรียน ข้าจะทำขนมให้ท่านพี่กิน"เสิ่นเยี่ยนชิงอยากกินไหม นางไม่รู้ จริงๆ แล้วนางอยากกินเองต่างหากขนมที่เสิ่นเยี่ยนชิงซื้อมาให้หวานเกินไป นางกินแล้วเลี่ยน แต่เพราะเหตุนั้นนางเลยอยากกินขนมขึ้นมาขนมนุ่ม ๆ หอม ๆ ไม่ได้กินนานแล้วสิฮูหยินจางพูดไม่ออก"ทำก็ทำสิ"นางดูออกว่าเมี่ยวเอ๋อร์อยากกินต่างหากสะใภ้สามถึงจะขยันขึ้น แต่ก็ยังตะกละเหมือนเดิมเจียงเมี่ยวยังไม่รู้ตัวว่าถูกจับได้ ตอนนี้นางกำลังบดแป้งอยู่ต้ายานั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ มองเจียงเมี่ยวใส่ข้าวที่แช่น้ำไว้แล้วลงในโม่หิน เมล็ดข้าวขาวใสถูกบดเป็นผง เจียงเมี่ยวเทน้ำเชื่อมลงไปคนให้เข้ากัน หมักหนึ่งชั่วโมงแล้วนำไปนึ่งไอร้อนพวยพุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมของข้าวและน้ำตาลแดง ขนมหอมนุ่มน่ากินสุด ๆเจียงเมี่ยวป้อนขนมให้ต้ายาหนึ่งชิ้น รสชาติหวานละลายในปากทำให้นางยิ้มตาหยี"หวาน""อร่อยไหม?""อร่อยเจ้าค่ะ!อร่อยมาก"เจียงเมี่ยวลองชิมดูเช่นกัน ข้าวสมัยโบราณปลูกแบบปลอดสารพิษ กลิ่นจึงหอมกว่า เนื้อขนมเหนียวนุ่มหนึบอร
ซูจื่อหลานไม่ได้คะยั้นคะยอ นางมองเจียงเมี่ยวลงจากรถแล้วจากไป"กลับจวน"...เจียงเมี่ยวถือของกลับบ้าน เดินช้าๆ มาตลอดทาง ใบหน้าของนางยังคงซีดเล็กน้อยนางฮูหยินจางกับสวีซื่อกำลังทำงานอยู่ที่ลานบ้าน เห็นนางดูใจลอยก็เป็นห่วง"เมี่ยวเอ๋อร์เป็นอะไรไป?เจอเรื่องอะไรมาหรือ?"ฮูหยินจางจับมือของนาง มือเย็นเฉียบมีเหงื่อเย็น ๆ เต็มฝ่ามือ"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าคงเหนื่อยที่เดินเยอะ พักสักหน่อยก็หายแล้ว"นางรู้สึกอบอุ่นใจ ความกังวลหายไป เจียงเมี่ยวนั่งลงดื่มน้ำแล้วหยิบของในตะกร้าออกมา"ท่านแม่ ข้าซื้อผ้ามาให้ท่านเจ้าค่ะ ใกล้จะเปลี่ยนฤดูแล้วพอดีจะได้ตัดเสื้อใหม่""ซื้อของมาให้ข้าอีกแล้ว!เสื้อผ้าข้ายังดีอยู่ ไม่เห็นต้องตัดใหม่เลย เก็บไว้ให้เหล่าซานเถอะ"ฮูหยินจางบ่น สะใภ้สามใช้เงินเปลืองจริงๆแต่พอมองผ้าสีครามผืนนั้น นางก็รู้สึกชื่นชอบขึ้นมาหน่อยๆตระกูลเสิ่นไม่ได้ซื้อผ้ามาสองปีแล้ว เสื้อผ้าของทุกคนก็มีแต่รอยปะชุน"ท่านพี่มีแล้วเจ้าค่ะ"าแล้วนางก็หยิบผ้าสีขาวอมฟ้าผืนนั้นออกมา "ข้าคิดว่าจะตัดชุดยาวให้เขาไว้ใส่ตอนสอบในระดับมณฑล จะได้ดูดีมีหน้ามีตา" เดือนหน้าเสิ่นเยี่ยนชิงจะไปสอบในระดับมณฑ
"หึ! เจ้าเป็นตัวอะไร? กล้าคิดเกินตัว หมายปองคุณหนูของข้างั้นหรือ!"ไฉ่อวิ๋นโกรธจนตัวสั่น เป็นแค่คางคกริอาจกินเนื้อหงส์ ไม่ดูสารรูปตัวเองเสียเลยซูจื่อหลานจิกเล็บจนจมเนื้อ ดวงตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ในเมื่อไม่ยอมดื่มสุราคารวะ ชอบสุราลงทัณฑ์ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำดีด้วย"ลุงเจิง ซ้อมมันให้หนัก!"คนขับรถระงับความโกรธไว้ไม่อยู่ ไอ้สารเลวนี่กล้าลบหลู่คุณหนูของพวกเขา คงอยากตายแล้วกระมังลุงเจิงเคยเป็นทหาร ถูกบิดาของซูจื่อหลานจ้างมาคุ้มครองนางด้วยเงินจำนวนมาก เขาปล่อยหมัดไม่ยั้ง ลูกน้องทั้งสองของซุนหยวนเป่าถูกซ้อมจนหน้าตาบวมปูด ส่วนซุนหยวนเป่าก็โดนเตะล้มลงแล้วต่อยท้องซ้ำซุนหยวนเป่าถูกซ้อมจนปัสสาวะราด ปวดท้องเหมือนไส้จะทะลัก"โอ๊ยๆ หยุดซ้อม หยุดซ้อมได้แล้ว โอ๊ย เจ็บปางตายแล้ว...""ตีให้ตายไปเลย ไอ้สารเลวกล้าล่วงเกินคุณหนูข้า!"ลุงเจิงไม่ปรานี ซุนหยวนเป่าถูกซ้อมจนหัวบวม ปากมีเลือดไหล ฟันหลุดออกมาหลายซี่"ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่กล้าแล้ว คุณหนูสวีไว้ชีวิตข้าเถอะ"พอได้สติซุนหยวนเป่าก็รู้ตัวว่าทำเรื่องโง่ ๆ ลงไป พี่ชายเขาเจอตระกูลสวียังต้องหลีกทาง เขาทำเช่นนี้ หาเรื่องใส่ตัวชัด ๆเขาห
บุรุษที่ยืนอยู่ข้างหน้านั้นเตี้ยอ้วน ร่างกายกลมป้อม สวมชุดผ้าไหมชั้นดี ทว่ากลับดูตลกขบขัน ใบหน้าบวมเต็มไปด้วยไขมัน ตาเล็ก จมูกแดงเบียดกัน เขามองเจียงเมี่ยวอย่างหื่นกระหายยื่นมือจะมาลวนลามนางซุนหยวนเป่าดื่มเหล้ามาจากหอมงคล อยู่ในสภาวะมึนเมาเห็นเจียงเมี่ยวเลยคิดว่าเป็นนางฟ้า"สาวงามให้ข้าจุ๊บหน่อยสิ"เจียงเมี่ยวขยะแขยงจนทนไม่ไหว อาหารที่เพิ่งกินเกือบพุ่งออกมา ไม่คิดว่ากลางวันแสกๆ จะเจออันธพาล นางขมวดคิ้ว สายตาเย็นชา คว้าม้านั่งจากแผงบะหมี่ฟาดใส่"โอ๊ย! เจ็บ!"ซุนหยวนเป่าโดนตีที่แขน เจ็บปางตาย จึงได้สติ"บัดซบ !นังตัวดี กล้าตีข้างั้นหรือ?จับมันไป!"เขาโบกมือลูกน้องก็เข้ามามาดหมายจับเจียงเมี่ยว ทั้งสองยิ้มอย่างหื่นกระหาย ดูก็รู้ว่าทำเรื่องแบบนี้บ่อยครั้ง"กลางวันแสก ๆ แบบนี้ไม่มีกฎหมายหรือไง?"เจียงเมี่ยวถือม้านั่งขวางไว้พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว"กฎหมาย? ในเมืองฝูหรง ข้าคือกฎหมาย!"ซุนหยวนเป่าพูดอย่างอวดดีปกติเขามักใช้อำนาจของพี่ชายรังแกคนอื่น พอเห็นหญิงสาวคนไหนถูกใจก็ให้ลูกน้องไปลักพาตัวมา โดยไม่มีใครกล้าหืออือพ่อค้าแม่ค้าข้าง ๆ รู้นิสัยเขาดีจึงหลบไปไกล ๆ ไม่กล้าช่วยนางลูกน้อ
"มีสิ เมิ่งเอ๋อร์ปีนี้ก็หกขวบแล้ว"พูดถึงตรงนี้น้ำตาก็ไหล ลูกสองคนอยู่กับบ้านสามี ชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้พบหน้าอีกแล้ว เจียงเมี่ยวเห็นว่าเป็นเรื่องเศร้าของเถ้าแก่เนี้ยฉินจึงไม่ถามต่อ เถ้าแก่เนี้ยฉินเช็ดน้ำตาแล้วฝืนยิ้ม "ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว"ทั้งสองคุยกันพลางดื่มชาก็มีคนรู้จักเดินเข้ามาในร้าน"มีลูกหอมเหลือไหม?""คุณหนูสวีมาพอดี วันนี้มีลูกหอมมาใหม่เจ้าค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยฉินยิ้มเดินเข้ามาวางลูกหอมสามกลิ่นบนโต๊ะ"นี่กลิ่นผลไม้หรือ?"ซูจื่อหลานได้กลิ่นลูกพีช หวานอ่อนๆ ไม่ฉุน "ใช่แล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นสินค้าใหม่ลูกหอมกลิ่นผลไม้""ข้าเอาทั้งหมดนี่แหละ"ทั้งสามกลิ่นนางชอบหมด อีกอย่างสิบลูกที่ซื้อครั้งก่อน เมื่อเอาไปให้คนอื่น ทุกคนต่างก็ชมนาง"เอ่อ...คุณหนูคงยังไม่รู้ ตอนนี้ร้านจำกัดจำนวนขายคนละสองลูกเจ้าค่ะ คุณหนูก็รู้ว่าร้านเล็ก ๆ มีลูกหอมแค่นี้ ถ้าคุณหนูซื้อไปหมด พวกเราจะทำการค้าได้อย่างไร?"ซูจื่อหลานไม่ได้มาหลายวันจึงไม่รู้เรื่องนี้ นางขมวดคิ้วเสียดายนางอยากได้ทั้งหมดนี่นาแต่นางก็เข้าใจความลำบากในของเถ้าแก่เนี้ยฉิน สุดท้ายจึงจำใจเลือกมาแค่สองลูก"งั้นข้าเอากลิ่นดอกกล้วยไม้กับกลิ่นผ
"งั้นเจ้าต้องสัญญากับพี่ว่าจะอยู่ให้ห่างจากร้านของตระกูลเสิ่น""แน่นอน!"ไข่ที่หวังซื่อเอามาถูกน้องสะใภ้เก็บไว้ พอหวังเอ้อร์จู้ฟังสูตรเสร็จก็อ้างว่าบ้านไม่มีข้าวให้นางรีบกลับ ระหว่างทางหวังซื่อรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ถ้าฮูหยินจางรู้เข้าจะเกิดอะไรขึ้น?...ตอนเจียงเมี่ยวออกจากบ้านเจอหวังซื่อกำลังกลับมาพอดี นางสะพายตะกร้า ท่าทางใจลอย"พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านลุงกับท่านป้าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?""อ๊ะ"หวังซื่อสะดุ้งตกใจ"สบายดี สบายดี"นางตอบตะกุกตะกักรีบเดินเข้าบ้านไปเจียงเมี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ดูมีพิรุธแต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจ คิดว่าหวังซื่อคงเหนื่อยจากการเดินทาง ฤดูร้อนผ่านพ้นไป ฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาเยือนใบไม้ข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ถนนเพิ่งฝนตกจึงมีดินโคลนเละเทะ เจียงเมี่ยวจับชายกระโปรงเดินเลือกที่แห้งเมืองฝูหรงคึกคักไปด้วยผู้คน พอถึงหน้าประตูเมือง นางเกือบโดนรถม้าที่วิ่งมาด้วยความเร็วชน โชคดีที่หญิงวัยกลางคนข้าง ๆ ดึงนางไว้ไม่งั้นคงบาดเจ็บ"ให้ตายเถอะ! เป็นบ้าหรือไง? ขับรถเร็วบนถนนรีบไปเกิดใหม่งั้นหรือ?"หญิงวัยกลางคนคนนั้นเป็นคนใจร้อน จึง