ณ เรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่ท้ายจวนเจ้าเมืองเหอเฟย ไม่มีใครสนใจว่าเด็กน้อยวัยหกหนาวย่างเจ็ดหนาว ที่ล้มป่วยซ้ำซ้อนจากการตกน้ำ และต้องลมเย็นของวสันต์ฤดูได้หมดลมหายใจ แม้แต่สาวใช้ทั้งสองที่สงสารเจ้านายตัวน้อย ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้านายตัวจริงได้ตายจากไป และบัดนี้มีดวงจิตของหญิงสาวจากโลกอนาคต ได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว
ร่างเล็ก ๆ ที่ผ่ายผอมเล็กน้อย เริ่มขยับเปลือกตาไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จนดวงตางดงามประหนึ่งดอกท้อค่อย ๆ ลืมตา เมื่อรู้สึกว่าตนเองไม่มีแรงที่จะขยับตัวเอาเสียเลย
ที่นี่ที่ไหน? ทำไมฉันถึงไม่อยู่ในนรกหรือสวรรค์ล่ะ ฉันถูกไอ้สารเลวนั่นใช้มีดแทงจนตายเชียวนะ!
จางหมิ่นได้แต่กรอกตาไปมามองไปทั่วห้อง ที่มีเพียงเตียงไม้เก่า ๆ และโต๊ะสีซีดกลางห้อง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ โอ๊ย!! ปวดหัวทำไมถึงปวดแบบนี้
จางหมิ่นนึกทบทวนเรื่องราวของตนเอง หลังจากมีภาพเรื่องราวของเด็กหญิงตัวน้อย จากอาการปวดหัวจนแทบระเบิดนั่น ครอบครัวนี้เป็นอะไรกันไปหมด รังเกียจได้แม้แต่ลูกแท้ ๆ ของตนเอง มีเพียงสาวใช้สองคนคอยเลี้ยงดูตั้งแต่แรกคลอดจนถึงปัจจุบัน แต่เรื่องราวของร่างนี้ยังไม่น่าตกใจเท่า หน้าจอโปร่งแสงที่ปรากฏอยู่ตอนนี้
[ติ๊ง! ขอต้อนรับเข้าสู่ระบบออนไลน์ขั้นเทพ]
[มีคนใจดีมอบระบบออนไลน์ขั้นเทพนี้ให้กับท่าน ระบบนี้สามารถเปลี่ยนสินค้าทุกอย่างให้เป็นเงินได้ หรือจะเลือกซื้อสินค้าจากโลกอนาคตก็ได้อีกเช่นกัน]
[กรุณากดยืนยันเพื่อลงทะเบียน ก่อนเริ่มทำการซื้อขายกับระบบ]
ฉู่จางหมิ่นที่ยังมึนกับอาการปวดหัว นั่งจ้องหน้าจอสีใสตรงหน้าอย่างงุนงง พอคิดดูอีกทีนี่มันเหมือนในซี่รี่ย์แนวทะลุมิติ และมีตัวช่วยสุดโกงแถมมาให้ นางจึงใช้นิ้วน้อย ๆ จิ้มลงไปเพื่อยืนยันตัวตน
[ติ๊ง ท่านได้ทำการยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว หากต้องการซื้อขายสินค้ากับระบบ สามารถเรียกได้ตลอดเวลา]
ฉู่จางหมิ่นหันซ้ายหันขวามองไปทั่วห้อง จึงสะดุดเข้ากับกระจกทองเหลือง จึงใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดเดินไปหยิบที่โต๊ะ และยื่นไปตรงหน้าจอของระบบทันที
[ท่านต้องการขายกระจกทองเหลืองโบราณ เป็นวัตถุที่มีความต้องการสูงในตลาด ระบบกำลังประเมินราคาสินค้าของท่าน โปรดรอสักครู่]
ฉู่จางหมิ่นนั่งมองหน้าจอที่กำลังหมุนไปมา และเริ่มลุ้นกับการขายสินค้า ว่าจะได้ราคากี่ตำลึงเพื่อใช้ซื้ออาหารบำรุงตนเอง กับสาวใช้อีกสองคนที่คอยดูแลไม่ห่าง
[ติ้ง กระจกทองเหลืองโบราณประเมินราคาได้ หนึ่งร้อยตำลึงทองท่านต้องการขายทันทีหรือไม่]
ขายสิ! จะเก็บไว้ทำไมในเมื่อขายได้เงิน ต่อไปจะได้กินอิ่มท้องเสียที ไหนจะสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองคนของนางอีก หรือจะหาหนทางทำการค้าเพื่อหาเงินก็มิใช่เรื่องยาก เมื่อมีตัวช่วยสุดแสนวิเศษนี้อยู่กับตัว
[สินค้าของคุณมีนักสะสมของโบราณรับซื้อเรียบร้อยแล้ว เงินจากการขายสินค้าจะส่งไปยังช่องเก็บของด้านขวามือ ขอบคุณที่ใช้บริการระบบออนไลน์ขั้นเทพ ติ๊ง]
หมับ! “หนึ่งร้อยตำลึงทองก็ไม่น้อยเลยนะเนี่ย แต่คำอธิบายกับสาวใช้ของเด็กคนนี้น่ะสิ หนักใจไม่ใช่เล่น”
“หนิงอวี่เร็วเข้า ไม่รู้ตอนนี้คุณหนูจะฟื้นหรือยัง มีไข้สูงมาหลายวันข้ารู้สึกหวั่นใจพิกล” ฮุยอินเอ่ยเร่งสหายให้เพิ่มความเร็วของฝีเท้า
“หากวันนี้ไข้ยังไม่ยอมลด ข้าจะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากฮูหยินเอง ถึงจะถูกโบยขอแค่มีท่านหมอมารักษาคุณหนู จะเจ็บหนักข้าก็ยอมนะฮุยอิน” หนิงอวี่ที่มาจากครอบครัวยากจน ขายตัวมาเป็นสาวใช้ที่จวนแห่งนี้ ไม่คิดว่าคุณหนูฐานะสูงส่ง จะพบเจอความอดสูยิ่งกว่าชาวบ้านเช่นนางเสียอีก
ฉู่จางหมิ่นได้ยินเสียงสาวใช้ทั้งสอง ก็รีบกลับไปที่เตียงและซ่อนถุงเงินไว้ ก่อนจะแสร้งนอนหลับเป็นคนป่วยอีกครั้ง
สาวใช้ทั้งสองยกอ่างน้ำมาเช็ดตัวให้ฉู่จางหมิ่น และมีถ้วยโจ๊กที่มีเม็ดข้าวอยู่น้อยนิด กับผัดผักไม่กี่ชิ้นสำหรับมื้อนี้ หนิงอวี่เช็ดตัวฉู่จางหมิ่นอย่างระมัดระวัง แต่นางกลับรู้สึกว่าความร้อนจากพิษไข้ แทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่เช่นก่อนหน้านี้
ฉู่จางหมิ่นที่ทนนอนต่อไม่ไหว จึงทำทีว่าตนเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อมีผ้าชุบน้ำมาถูกร่างของนาง ทำเอาหนิงอวี่เรียกเจ้านายตัวน้อยด้วยความดีใจฮุยอินก็รีบเข้ามาดูอาการด้วยอีกคน
“อืม”
“คุณหนู! คุณหนูของบ่าวฟื้นแล้ว ในที่สุดท่านก็ยอมฟื้นขึ้นมาเสียที ฮุยอิน ๆ คุณหนูได้สติจากพิษไข้แล้ว”
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ยังปวดศีรษะอยู่หรือไม่” ฮุยอินดีใจไม่ต่างจากหนิงอวี่ ที่กำลังแตะตัวเพื่อตรวจดูความร้อนจากพิษไข้
“ไม่ปวดแล้วเจ้าค่ะแต่ยังรู้สึกเพลียอยู่เล็กน้อย พวกพี่สองคนเล่าได้พักผ่อนกันบ้างหรือไม่ มัวแต่ดูแลข้าเช่นนี้คงจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ ขอบคุณพวกท่านสองคนมาจริง ๆ ที่คอยดูแลข้าเสมอ” ฉู่จางหมิ่นมองใบหน้าของสาวใช้ ดูอิดโรยจากการคอยดูแลตนเอง
“ฮึก บ่าวไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงคุณหนูหายป่วยไข้ก็พอ” หนิงอวี่ทั้งดีใจทั้งโล่งใจจนร้องไห้ออกมา นางกลัวมากกว่าคุณหนูน้อยที่เลี้ยงมากับมือ จะต้องมาตายตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้
“ตอนที่ข้าล้มป่วยคงมีเพียงพวกพี่สองคน คอยดูแลอยู่ข้าง ๆ สินะเจ้าคะ คนในครอบครัวไม่มีใครมาสนใจตัวเสนียดเช่นข้า”
“คุณหนูอย่าพูดเช่นนั้นสิเจ้าคะ ท่านไม่ใช่ตัวเสนียดอันใดสักนิด ใครไม่สนใจก็ช่าง แต่คุณหนูยังมีข้ากับฮุยอิน ที่จะอยู่เคียงข้างคอยดูแลคุณหนูเช่นนี้ตลอดไปนะเจ้าคะ” หนิงอวี่รีบเอ่ยห้ามมิให้ฉู่จางหมิ่นกล่าวว่าตนเองเป็นตัวเสนียด จนคนในครอบครัวรังเกียจ
“ใช่เจ้าค่ะคุณหนูใครจะคิดอย่างไรก็ช่างเถิด แต่สำหรับพวกบ่าวสองคนคุณหนูคือดาวนำโชคมากกว่าเจ้าค่ะ” ฮุยอินเห็นด้วยกับคำพูดนี้
“อย่าพูดถึงเรื่องไม่สบายใจดีกว่าเจ้าค่ะ บ่าวว่าคุณหนูทานโจ๊กเสียหน่อย จะได้แข็งแรงไว ๆ นะเจ้าคะ” หนิงอวี่รีบเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
“ขอบคุณพวกพี่สองคนมากจริง ๆ ที่ไม่ทอดทิ้งข้าไว้เพียงลำพัง วันหน้าหากข้าได้ดีมีฐานะร่ำรวย ย่อมตอบแทนพวกท่านอย่างดีเจ้าค่ะ” ฉู่จางหมิ่นซึ้งใจแทนเจ้าของร่าง ที่มีสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์สองคนนี้อยู่เคียงข้าง
ฉู่จางหมิ่นรับถ้วยโจ๊กมาทานเอง และยังนึกถึงเรื่องที่สาเหตุที่ทำให้ดวงจิตของตน ทะลุมิติย้อนมายังโลกคู่ขนาน ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริงก็น้ำตาคลอเล็กน้อย ความเจ็บปวดเสียใจยังคงมีอยู่ รวมกับความโดดเดี่ยวของเด็กน้อยเจ้าของร่างที่จากไป คนในครอบครัวคงมีชีวิตที่ดีขึ้นจากเงินประกันของนาง ส่วนผู้ชายสารเลวเช่นนั้น นางขอตัดวาสนาต่อกันทุกชาติไป
ขณะที่ฉู่จางหมิ่นตักโจ๊กกลืนลงท้องได้ไม่กี่คำ เสียงพูดจาดูถูกก็ดังขึ้นด้านหน้าประตูเรือน นางจึงหันไปถามหนิงอวี่กับฮุยอินด้วยสายตา ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นใคร
“อี๋! ท่านแม่เจ้าคะทำไมพวกเราต้องมาที่นี่ด้วย มีแต่เศษฝุ่นเต็มไปหมดชายกระโปรงข้าสกปรกแล้วเจ้าค่ะ” ฉู่เฟินเยว่เดินมากับมารดาผู้เป็นอนุ ที่พาตนเองมาดูว่าฉู่จางหมิ่นใกล้จะตายหรือยัง
“เยว่เอ๋อร์แค่ชายกระโปรงเลอะเพียงเล็กน้อย เจ้าอดทนเสียหน่อยประเดี๋ยวกลับเรือนถอดชุดนี้ให้ซินอี๋เอาไปทิ้งก็ยังได้” ชุยเยี่ยนฟางก้มลงมองบุตรสาว ที่ยามนี้เป็นที่รักของครอบครัว มากกว่าบุตรสาวสายตรงของฮูหยินเอกอย่างฉู่จางหมิ่น
“เจ้าค่ะท่านแม่”
หนิงอวี่เห็นสายตาของเจ้านายน้อย ที่มีคำถามแม้จะสงสัยว่าทำไมถึงจำไม่ได้ แต่ยังคงตอบคำถามให้ฉู่จางหมิ่น
“..?..”
“เป็นอนุชุยกับคุณหนูรองฉู่เฟินเยว่เจ้าค่ะ พวกนางคงมาซ้ำเติมหรือไม่ก็มาดูว่าคุณหนูเป็นอย่างไรกระมัง”
“อ่อ บุตรสาวคนโปรดของคนทั้งจวน ที่ช่วยหนุนดวงชะตาให้ท่านพ่อ ได้ดิบได้ดีก้าวหน้าในตำแหน่งขุนนางน่ะหรือ”
“คุณหนูอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรท่านก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉู่” ฮุยอินพยายามปลอบใจฉู่จางหมิ่น
“หึ พวกพี่สองคนไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้ารอดพ้นจากแม่น้ำเหลืองมาได้ ถึงจะมีอายุเพียงหกหนาว แต่ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาหยามเกียรติได้แน่เจ้าค่ะ” ฉู่จางหมิ่นจากโลกอนาคต ที่ฟันฝ่าเรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย จะกลัวกับเรื่องบ้านเล็กของบุรุษได้อย่างไร
ถ้วยโจ๊กอุ่น ๆ ยังคงอยู่ในมือน้อย ๆ แต่ผู้ถือกลับหยุดกินมันเสียอย่างนั้น และใช้สายตาจ้องมองไปที่ประตู ว่าแขกที่มาเยือนจะปรากฏเมื่อใด เพียงชั่วลมหายใจทั้งนายและบ่าว ก็ก้าวเข้ามาด้านในห้องพร้อมสายตาดูแคลนอย่างชัดเจน
อนุชุยยืนมองคุณหนูใหญ่ของจวน และแอบยิ้มเยาะออกมาเล็กน้อย “อา จางหมิ่น ข้าไม่ได้พบเจ้ามาพักใหญ่ ข้าก็ได้ยินข่าวมาว่าเจ้าล้มป่วยงั้นหรือเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”
ฉู่เฟินเยว่หัวเราะเบา ๆ มองจางหมิ่นด้วยแววตาดูแคลน “ท่านแม่จะถามไปทำไมเจ้าคะโชคดีแค่ไหนที่นางยังไม่ตาย ไม่เช่นนั้นงานศพของนาง จะทำให้ท่านพ่อโชคร้ายได้นะเจ้าคะ”
ฉู่จางหมิ่นยิ้มบาง ๆ มองพวกนางด้วยแววตาที่สงบนิ่ง แต่ซ่อนความความไม่พอใจเอาไว้ “ขอบคุณอนุชุยที่เป็นห่วง บังเอิญข้ายังไม่ถึงเวลาตายกระมัง ขอโทษด้วยที่ทำให้พวกเจ้าต้องผิดหวัง"
อนุชุยยิ้มเหยียดกับคำพูดของฉู่จางหมิ่น “เชอะ แล้วอย่างไรเจ้าอยู่หรือตาย ทุกคนในจวนก็มิได้สนใจชีวิตนี้ของเจ้า เมื่อลองเทียบกับเยว่เอ๋อร์ของข้าแล้วเจ้าไม่มีทางเทียบได้ แม้แต่มารดาแท้ ๆ ของเจ้ายังไม่คิดมาเยี่ยม ลองตรองดูเถิดว่าเจ้าควรทำตัวเช่นไร”
ฉู่เฟินเยว่กอดอกเชิดหน้าอย่างถือดี “ท่านแม่อย่าพูดกับนางให้เสียเวลาดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าอยากเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว”
“ได้สิจ๊ะลูกแม่ หึ จางหมิ่นเจ้าอยู่ที่เรือนนี้เงียบ ๆ ทำตัวให้ดีอย่าได้เสนอหน้าไปวุ่นวายที่เรือนใหญ่ เพราะอีกเจ็ดวันจะมีขุนนางจากเมืองหลวงนำราชโองการมาที่นี่ ถ้าไม่อยากถูกบิดาของเจ้าทำโทษจงอยู่อย่างเจียมตัวต่อไป พวกเจ้าสองคนก็เช่นกัน ควบคุมดูแลนางให้ดีอย่าปล่อยออกไปนอกเรือนเด็ดขาด หากการรับราชโองการเกิดมีปัญหา นายท่านจะขายพวกเจ้าสองคนออกไปเสีย” อนุชุยหันไปสั่งหนิงอวี่กับฮุยอิน ด้วยน้ำเสียงที่วางอำนาจกับบ่าวไพร่
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่จางหมิ่นยังคงจ้องมองสองแม่ลูก ด้วยแววตาที่แข็งกร้าวและไม่พอใจอย่างมาก
“อนุชุยไม่ต้องกังวลไป เชิญพวกท่านเสพสุขกันตามสบายเถิด ทางที่ดีอย่าได้มาเหยียบที่เรือนสกปรกของข้าอีกประเดี๋ยวเกิดโชคร้ายขึ้นมา จะกล่าวโทษว่าข้าเป็นคนทำไม่ได้หรอกนะ ถ้าหมดธุระแล้วก็เชิญ”
“หึ ก็ดี! ข้าจะรอดูน้ำหน้าคนอย่างเจ้า ว่าจะอยู่ในจวนนี้ได้นานแค่ไหนไปกันเถิดเยว่เอ๋อร์” อนุชุยไม่คิดว่าฉู่จางหมิ่น ที่ไม่เคยมองสบตา หรือแม้แต่ตอบโต้ตนเอง ยามนี้กลับเป็นคนละคนไปเสียได้
ฉู่จางหมิ่นยิ้มมุมปาก “รอดูต่อไป บางทีความจริงที่ท่านเห็นกับสิ่งที่ข้าสร้างอาจต่างกัน ข้าจะให้พวกท่านได้เห็นว่าชีวิตข้าไม่ได้จบลงที่นี่”
“แล้วข้าจะคอยดู ฮึ”
ชุยเยี่ยนฟางที่ตั้งใจมาตอกย้ำความต่ำต้อย ที่ฉู่จางหมิ่นไม่อาจได้รับเช่นบุตรสาวของนางได้ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อเด็กหญิงอ่อนแออย่างฉู่จางหมิ่น จะกล้าพูดจาโต้ตอบนางกลับมา ซึ่งแตกต่างจากเดิมยิ่งนักถึงอย่างไรชุยเยี่ยนฟางมิได้สนใจนาน ขอเพียงบุตรสาวของนางได้รับทุกสิ่ง ที่ควรจะเป็นของฉู่จางหมิ่นทั้งหมดก็เพียงพอแล้ว
ฉู่จางหมิ่นมองจนสองแม่ลูกพ้นไปจากสายตา แต่ยังไม่ยอมพูดสิ่งใดออกมา สาวใช้ทั้งสองจึงคิดว่าเจ้านายน้อย คงสะเทือนใจกับคำพูดเยาะเย้ยของอนุชุย ก็สรรหาคำพูดมาปลอบใจ ทำเอาฉู่จางหมิ่นอดขำไม่ได้“คิ คิ พวกพี่สองคนสบายใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่ใช่คนอ่อนแอเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว ถึงจะยังเป็นเด็กอายุหกหนาว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับข้า ย่อมทำให้เติบโตรู้ความกว่าเด็กคนอื่น ไม่มีบิดามารดาญาติพี่น้องแล้วอย่างไร อย่าลืมว่าคนที่คอยเลี้ยงดูข้าฉู่จางหมิ่นคือพวกท่าน ฉะนั้นคนที่มีพระคุณจริง ๆ คือพี่ทั้งสองคนต่างหาก” เรื่องนี้คือสิ่งที่ทำให้ฉู่จางหมิ่นซาบซึ้งใจเป็นที่สุด“โธ่ คุณหนูของบ่าว อย่าได้กล่าวว่าหน้าที่ของพวกเราสองคน เป็นบุญคุณอันใดเลยนะเจ้าคะ ใครไม่รักก็ช่างแต่บ่าวรักคุณหนูและจะปกป้องท่านให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ” ฮุยอินไม่คิดว่าเจ้านายน้อยของนาง จะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินวัยเช่นนี้“พี่หนิงอวี่ พี่ฮุยอิน หากข้าถูกครอบครัวทิ้งขว้าง พวกท่านยังยินดีที่จะติดตามข้าหรือไม่เจ้าคะ” คำถามนี้ฉู่จางหมิ่นจริงจังมาก เพราะนางคิดว่าคนตระกูลฉู่ ไม่มีทางนำตัวนางกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอีกแน่นอน จึงคิดจะหาทางหนีทีไล
ด้านเรือนใหญ่ต่างสั่งบ่าวไพร่เร่งมือเก็บของ เพื่อต้องการออกเดินทางให้เร็วที่สุด แต่ด้วยข้าวของที่มีมากจำต้องใช้เวลาสองสามวัน กว่าจะเก็บทั้งหมดให้แล้วเสร็จได้ส่วนจางหมิ่นที่นอนเอกเขนกรอสาวใช้ หลังจากคิดเรื่องอาชีพของตนไว้เรียบร้อยแล้ว ก็นึกถึงระบบขึ้นมาได้ว่าวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆที่จำเป็นต้องใช้สำหรับค้าขาย ย่อมมีให้นางได้เลือกซื้อจึงเรียกระบบออกมาอย่างเร็วรี่“ระบบ ข้าต้องการค้นหาสิ่งจำเป็นในการสร้างอาชีพ”[ติ๊ง ระบบออนไลน์ขั้นเทพยินดีรับใช้ ไม่ทราบว่าท่านต้องการสิ่งของประเภทใด]“ข้าอยากรู้ราคาพวกเตาและตะแกรง สำหรับอาหารจำพวกเสียบไม้ย่าง รวมถึงราคาของลูกชิ้น ไม้เสียบลูกชิ้น น้ำจิ้มแบบหวานและเผ็ด ถาดดินเผาสำหรับวางอาหาร หรือสิ่งที่จำเป็นต้องใช้อื่น ๆ เพื่อคำนวณค่าใช้จ่ายก่อนจะสร้างอาชีพ” จ้าวจางหมิ่นต้องคำนวณต้นทุนการค้าเสียก่อน นางจะได้ตั้งราคาขายที่ทุกคนสามารถซื้อกินได้[กรุณารอสักครู่ ระบบกำลังเรียกรายการสินค้าที่เกี่ยวข้อง]“ขอบใจมาก”[ติ๊ง สิ่งที่ท่านต้องการปรากฏตามหน้าจอ พร้อมราคาขายท่านสามารถคำนวณเงินไว้ล่วงหน้าได้ พร้อมเมื่อใดแจ้งกับระบบได้ทุกเวลา]จางหมิ่นใช้นิ้วป้อม ๆ เลื่อนหน้
ยามเหม่าของวันต่อมา จ้าวจางหมิ่นตื่นพร้อมกับสาวใช้ทั้งสอง เพื่อเตรียมของสำหรับการค้าวันแรก รถเข็นที่มีวัตถุดิบและอุปกรณ์ครบครัน ถูกเข็นออกจากจวนมุ่งหน้าไปยังตลาดเช้า ซึ่งแผงขายของนี้ของจ้าวจางหมิ่น อยู่ข้าง ๆ กับแผงขายผักพอดีทั้งสามคนแบ่งงานกันทำเช่นเมื่อวาน เมื่อเตาถ่านเริ่มร้อนลูกชิ้นที่เตรียมไว้ ถูกนำออกมาวางลงบนเตา เพื่ออุ่นให้ร้อนอีกครั้งสำหรับขายให้ลูกค้า และกลิ่นหอมของลูกชิ้นปิ้ง ก็เรียกความสนใจของคนที่เดินผ่านไปมา จนมีบุรุษวัยกลางคนเดินเข้ามาถาม ด้วยความสนใจอาหารของจ้าวจางหมิ่น“เอ่อ แม่ค้าเจ้าทำอันใดมาขายเช่นนั้นหรือ กลิ่นมันคล้ายเนื้อแต่ทำไมมันถึงเป็นลูกกลม ๆ ไปเสียได้เล่า”“นั่นน่ะสิ แต่ข้าสองคนทนกลิ่นหอมนี้ไม่ไหว ถึงได้มาถามดูเสียก่อนว่ามันคือสิ่งใด”“ท่านอาทั้งสองช่างมีจมูกที่ดีมากเจ้าค่ะ เจ้าลูกกลม ๆ นี้ข้าเรียกมันว่าลูกชิ้น และมันทำมาจากเนื้อหมูจริง ๆ พอนำมาปิ้งกับเตาถ่านจึงมีกลิ่นหอม นอกจากนี้ยังมีน้ำจิ้มสองรสให้เลือก หากท่านอาสนใจข้าจะหั่นให้พวกท่านลองชิมดู ถ้าถูกใจในรสชาติค่อยซื้อก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นตอบคำถามลูกค้าอย่างเป็นกันเองบุรุษทั้งสองรับไม้จิ้มขนา
ยามเฉินของเช้าวันที่สี่ หลังจากเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จ จ้าวจางหมิ่นและสาวใช้กำลังจะกลับจวนของตน ก็ได้ยินเสียงแสดงความยินดีกับอดีตเจ้าเมือง ที่ได้เลื่อนตำแหน่งเข้าทำงานในราชสำนัก ถึงจะไม่มีใครพูดชื่อตระกูลจ้าวจางหมิ่นย่อมรู้ดีว่าคือใครหนิงอวี่เห็นเจ้านายน้อยหยุดมองนิ่ง ๆ ก็ฉุกคิดได้และจะพานางกลับจวน แต่กลับได้รับคำปฏิเสธ นอกจากนี้จ้าวจางหมิ่นยังเดินเข้าไปใกล้อีกนิด เพื่อจดจำคนตระกูลฉู่นี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ และมีคำอวยพรที่พึมพำออกมาเบา ๆหึ ขอให้พวกเจ้าตระกูลฉู่อยู่กับความสุขเหล่านี้มาก ๆ วันใดที่ถูกหลอกใช้จนหมดประโยชน์ ผู้มีอำนาจเฉดหัวทิ้งขึ้นมาจะได้รู้เสียทีว่าการถูกทอดทิ้งมันสิ้นหวังเพียงใด“คุณหนูเจ้าคะ” ฮุยอินเรียกเพียงสั้น ๆจ้าวจางหมิ่นได้ยินเสียงสาวใช้ จึงดึงสติของตนกลับมา “พี่ฮุยอินไม่ต้องคิดมากเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากยืนส่งพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย และรอคอยให้เวรกรรมตามสนองคนตระกูลนี้เท่านั้น”หนิงอวี่ได้ยินคำนี้ของจ้าวจางหมิ่น ก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง “คุณหนูพูดถูกสักวันหนึ่งสิ่งที่พวกเขาทำไว้กับท่าน ย่อมสนองกลับหลายร้อยหลายพันเท่า แต่ตอนนี้กลับจวนไปพักเถิดเจ้าค่ะ”“อืม ไปกันเถิด พวก
ภายหลังพาเหล่าทาสที่ซื้อมาถึงจวน จ้าวจางหมิ่นให้สาวใช้ทั้งสองคน ช่วยกันหุงหาอาหารสำหรับสมาชิกใหม่ ซึ่งยามนี้พวกเขายังคงอ่อนแรง แม้จะพยายามทำให้นางเห็นว่าเข้มแข็งก็ตาม นางรอจนกระทั่งพ่อบ้านกับทาสอีกสามคนกลับมา และแจกจ่ายเสื้อผ้าให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว จึงได้พูดคุยในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้“เอาล่ะ ตอนนี้พวกท่านทุกคนก็มาอยู่ในจวนของข้าแล้ว ตัวข้ามีนามว่าจ้าวจางหมิ่น สาวใช้ทั้งสองมีชื่อว่าหนิงอวี่และฮุยอินอย่างที่พวกท่านเห็นว่า จวนของข้ามีขนาดกลางลำพังเด็กและสตรีสองคนไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง นอกจากนี้ข้ายังต้องทำการค้า ถึงได้ตัดสินใจไปซื้อตัวพวกท่านมา” จ้าวจางหมิ่นหยุดพูดเมื่อเห็นว่ามีคนอยากถามบางอย่าง“เอ่อ ทำไมคุณหนูจ้าวถึงเลือกเฉพาะพวกข้า ที่มีวรยุทธ์ทั้งหมดเล่าขอรับ แม้แต่คนที่จะทำหน้าที่พ่อบ้านยังมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา”“ที่ข้าเลือกพวกท่านทุกคน เพราะมองเห็นถึงความซื่อสัตย์ สตรีคอยดูแลรับผิดชอบภายในเรือน พ่อบ้านความหมายย่อมบ่งบอกอยู่แล้ว ส่วนพวกท่านหลังจากรักษาตัวจนหาย มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและทำสินค้าไว้สำหรับนำไปขาย ในอนาคตอันใกล้ข้าจะมีร้านเป็นของตนเอง จากนั้นจะมีการค้าชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากม
ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ในคืนแรกของการได้รับอิสระห้าวเหลียงได้หารือกับคนอื่น ๆ เกี่ยวกับหน้าที่ต่าง ๆ ที่ต้องทำในแต่ละวัน พวกเขาได้ข้อสรุปที่ตรงกันก็คือ การเรียนรู้ทำสินค้าของจ้าวจางหมิ่นจะทำร่วมกัน เผื่อวันใดวันหนึ่งคนในกลุ่มไม่อยู่ พวกเขาสามารถทำแทนกันได้โดยเฉพาะเหว่ยหงกับเสียอี้สองคนนี้ เคยทำงานในสำนักคุ้มภัยมาก่อน ในอนาคตหากการค้าของเจ้านายขยายไปต่างเมือง ทั้งสองจะเป็นกำลังหลักสำหรับการส่งสินค้าทันที ดังนั้นห้าวเหลียงและทุกคนจึงลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันเมื่อได้กินอิ่มท้องและพักผ่อนเต็มที่ ทำให้สมาชิกใหม่ของจวนตระกูลจ้าว พร้อมใจกันตื่นตั้งแต่ยามเหม่า และเป็นเวลาที่จ้าวจางหมิ่นเตรียมออกไปขายของเช่นทุกวัน ห้าวเหลียงเห็นอุปกรณ์บนรถเข็น ก็รู้สึกเห็นใจสาวใช้ของจ้าวจางหมิ่น ที่เป็นสตรีรูปร่างบอบบาง แต่กลับต้องมายกข้าวของที่มีน้ำหนักมากเช่นนี้ จึงให้เป่าเฟิงกับจงเหลียนช่วยเข็นไปที่ตลาดแทน คนที่เหลือก็คิดไม่ต่างจางห้าวเหลียงนัก“พ่อบ้าน อย่าหาว่าข้าสอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่องเลย คนในครอบครัวของคุณหนูหายไปที่ใดหมด ถึงปล่อยให้เด็กที่ควรได้วิ่งเล่น ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานหาเงินเช่นน
ลูกจ้างของจ้าวจางหมิ่นต่างตื่นตาตื่นใจ สำหรับเครื่องมือที่นางได้สอนพวกเขา แต่ละคนคิดว่านี่คือสิ่งที่อัศจรรย์มาก และขั้นตอนการทำมิได้ยุ่งยากเลยสักนิด พอทำจนถึงขั้นตอนสุดท้ายนำลูกชิ้นสะเด็ดน้ำ ก็มานั่งช่วยกันเสียบลูกชิ้นไม้ละห้าลูก ซึ่งเป็นลูกขนาดพอดีไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป แค่ให้สมกับราคาที่ตั้งเอาไว้เท่านั้นก็พอเนื่องจากครั้งทดลองทำและได้ลูกชิ้นถึงเจ็ดร้อยไม้ จ้าวจางหมิ่นจึงให้นำเตามาย่างลูกชิ้นหนึ่งร้อยไม้ เพื่อให้ทุกคนได้ชิมฝีมือของตนเอง ดังนั้นในยามอู่อาหารมื้อเที่ยงจึงเป็นลูกชิ้นปิ้ง และไม่ลืมให้เป้ยอิงแบ่งใส่จาน นำไปให้กับคนสนิทของเสิ่นหนิงเทียนที่เรือนเล็กด้วยนับตั้งแต่ได้เรียนวิธีการทำลูกชิ้น จ้าวจางหมิ่นได้มอบเงินให้ห้าวเหลียงจำนวนหนึ่ง สำหรับให้แม่ครัวหงชิงใช้ซื้อวัตถุดิบทำอาหาร และซื้อเนื้อหมูสำหรับทำลูกชิ้นไว้รอจ้าวจางหมิ่นเสมอ แต่เรื่องที่พวกห้าวเหลียงได้พูดคุยไว้ ก็เป็นหยางไห่ที่ออกไปสืบหาข้อมูล เกี่ยวกับครอบครัวของเจ้านายและเขาก็เลือกมาถูกที่เสียด้วยหน้าจวนเจ้าเมืองที่ปิดประตูเอาไว้ ยังคงมีทหารผลัดเปลี่ยนมาคอยดูแล เพื่อป้องกันมิให้มีใครฉวยโอกาส เข้าไปอยู่อาศัยจนทำให้เร
เนื่องจากวัตถุดิบมีหลายอย่าง จ้าวจางหมิ่นจึงให้ฮุยอินไปตามพ่อบ้าน และคนอื่นมาช่วยเพื่อนำไปเก็บที่ห้องเสบียง โดยแบ่งส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำเป็นมื้อเย็น แม้จะรู้สึกแปลกใจว่าสิ่งของเหล่านี้ มาอยู่ในห้องของเจ้านายพวกตนได้อย่างไร แต่นั่นเป็นคำถามที่ต้องเก็บไว้ในใจเท่านั้นเมื่อเลือกที่จะซื่อสัตย์ภักดีกับจ้าวจางหมิ่นแล้ว ถึงจะอยากรู้ถ้าเจ้านายไม่บอกด้วยตนเอง พวกเขาไม่สมควรก้าวก่าย พ่อบ้านห้าวและเพ่ยตงที่มาช่วยยกของ จึงทำเพียงหน้าที่ของตนเท่านั้นจ้าวจางหมิ่นเดินตามทุกคนไปถึงห้องครัว เพื่ออธิบายถึงวัตถุดิบทั้งหมดว่าใช้สำหรับทำอะไร รวมถึงบอกว่าจะสอนแม่ครัวหงชิงหรือคนอื่น ๆ ที่สนใจอยากทำอาหารชนิดนี้เป็น เผื่อวันใดอยากกินจะได้ลงมือทำด้วยตนเองได้ทันที ไม่ต้องร้องขอให้แม่ครัวหงชิงทำให้“คุณหนูเจ้าคะ ของพวกนี้จะใช้ทำอาหารชนิดใดหรือเจ้าคะ บ่าวไม่เคยเห็นผักที่เป็นหัวหรือเจ้าลูกสีแดงนี่มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” แม่ครัวหงชิงมองผักที่นางไม่รู้จัก เพราะตั้งแต่เล็กจนโตนางรู้จักอยู่ไม่กี่อย่าง“อ้อ วัตถุดิบที่ทุกคนเห็นตรงหน้าทั้งหมด คือส่วนประกอบของอาหารชนิดใหม่ ที่ข้าจะทำให้ลองชิมก่อนจะทำขายเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นตอบ
ภายหลังเสร็จสิ้นการแจกอาหารในวันเกิดแล้ว จ้าวจางหมิ่นให้หลิวฉีพาไปดูจวนหลังดังกล่าว ที่เจ้าของปิดป้ายประกาศขายจวนไว้ ซึ่งมีบ่าวไพร่อยู่ดูแลที่นี่สองคน เพื่อรอให้ขายจวนเรียบร้อยถึงจะตามเจ้านายไปทีหลังกันพ่ายกับกันเตี้ยวสองพี่น้องที่อาสาเฝ้าจวน ได้ยินเสียงเคาะประตูจวนจึงชวนกันออกมาดู กันพ่ายเห็นแขกสี่คนยืนอยู่จึงถามออกไป “เอ่อ ไม่ทราบว่าพวกท่านมาเรื่องซื้อขายจวนใช่หรือไม่ขอรับ?”หลิวฉีทำหน้าที่แทนจ้าวจางหมิ่นในการตอบคำถาม “ใช่แล้วน้องชาย คุณหนูของข้าอยู่จวนหลังติดกันกับจวนหลังนี้ และสนใจอยากซื้อจวนไว้จึงต้องการมาดูด้านในจวนเสียก่อน หากคุณหนูถูกใจก็มาคุยเรื่องราคา พวกเจ้าพอจะพาคุณหนูของข้าเดินชมจวนได้ไหม”กันเตี้ยวได้ยินเช่นนั้นก็หูผึ่งทันที เพราะถ้าขายจวนได้เร็วก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่อีก “ได้สิขอรับ เชิญคุณหนูตามพวกข้าเข้าไปดูเรือนทุกหลังเถิด รับรองว่าคุณหนูต้องชอบจวนหลังนี้ขอรับ”จ้าวจางหมิ่นทำเพียงพยักหน้าตอบ และเดินตามสองพี่น้องไปด้านใน ไล่ตั้งแต่โถงรับรองติดเรือนใหญ่ ไปจนถึงเรือนหลักเล็กสำหรับเหล่าอนุ พื้นที่ทั้งหมดดูกว้างขวางกว่าเรือนของนางเล็กน้อยจ้าวจางหมิ่นคิดว่าจะเก็บเรือนใหญ่เอา
หลังจากวันที่ทำสัญญาการค้า นายท่านหลี่จัดการเรื่องสินค้าแล้วเสร็จ จึงได้พาหลี่ลู่เหอไปพบจ้าวจางหมิ่นที่จวน ทั้งสองคนนอกจากได้ทานอาหารและของว่างที่อร่อย ยังได้เห็นวิธีทำลูกชิ้นก่อนคนของตนจะมาร่ำเรียนสิ่งนี้ เมื่อได้เห็นการทำงานของเครื่องมือสองชิ้นนี้ นายท่านหลี่ยิ่งดีใจที่ตนคิดถูก เรื่องมาเจรจาการค้ากับจ้าวจางหมิ่นเมื่อถึงกำหนดต้องกลับเมืองเชาหู สองพ่อลูกยังได้อาหารไว้ทานระหว่างวัน จากจวนตระกูลจ้าวอีกเล็กน้อย ภายหลังนายท่านหลี่กลับไปได้ไม่นาน คนจากตระกูลหลี่ก็ถือจดหมายมาพบจ้าวจางหมิ่น และการเรียนวิธีทำลูกชิ้นจึงเริ่มขึ้น พวกเขาเรียนรู้ได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ พอมั่นใจแล้วว่าทุกอย่างไม่มีปัญหา ทั้งคนทั้งเครื่องมือสองชิ้นนี้ก็เดินทางกลับเมืองเชาหูพวกเหล่ยหงที่ออกเดินทางจากเมืองหลวง ภายหลังพาเสิ่นหนิงเทียนไปส่งถึงจวนเสิ่นอันโหว ก็เดินทางกลับมาถึงเมืองเหอเฟยเมื่อผ่านไปเกือบสามเดือน และนำของตอบแทนจากเสิ่นอันโหว ซึ่งเป็นตำลึงทองรวมถึงหีบใบชาชั้นดีขึ้นชื่อของเสิ่นฮูหยิน จ้าวจางหมิ่นไม่คิดว่าครอบครัวของเสิ่นหนิงเทียน จะมอบของตอบแทนมีราคากลับมาให้นางภารกิจใหญ่ครั้งแรกสำเร็จลุล่วงด้วยดี ทำใ
ระหว่างสองวันที่พวกเหล่ยหงพักอยู่ในโรงเตี๊ยมชุ่ยฮวา มีคนในเมืองหลวงไม่น้อยที่แอบเมียงมองไปที่รถม้า เนื่องจากมันดูงดงามแปลกตาจากรถม้าทั่วไป จนกลายเป็นที่กล่าวถึงอย่างรวดเร็ว ไม่แพ้ข่าวของเสิ่นหนิงเทียนเลยสักนิดเมื่อถึงวันออกเดินทางกลับเมืองเหอเฟย อวี่หรงได้มาเชิญเหล่ยหงกับพวกไปที่จวนเสิ่นอันโหว เพื่อนำของตอบแทนจากเจ้าตระกูล ไปมอบให้กับจ้าวจางหมิ่น เหล่ยหงคิดว่าคงเป็นของตอบแทนเล็กน้อย แต่ผิดคาดมันเป็นหีบขนาดใหญ่ถึงสามหีบ และหีบขนาดเล็กอีกหนึ่งหีบซึ่งผู้ที่ออกมาส่งมอบของตอบแทนในครั้งนี้ ก็คือเสิ่นอันโหวและเสิ่นหนิงเทียน “เจ้าคงเป็นเหล่ยหงที่บุตรชายข้าพูดถึงกระมัง ขอบใจพวกเจ้าทุกคนมากที่ดูแลบุตรชายของข้าเป็นอย่างดี และฝากขอบใจคุณหนูจ้าวผู้ที่ช่วยบุตรชายผู้นี้ของข้า ออกมาจากสถานที่อัปมงคลเช่นนั้น หีบที่พวกเจ้าเห็นอยู่คือน้ำใจจากตระกูลเสิ่น วันหน้าหากมีเรื่องเดือดร้อนอันใด พวกข้ายินดียื่นมือให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แน่นอน”เหล่ยหงที่ถูกกล่าวถึงทำความเคารพเสิ่นอันโหว “ข้าน้อยเหล่ยหงคารวะเสิ่นอันโหวขอรับ สิ่งของเหล่านี้ข้าจะนำไปมอบให้ถึงมือคุณหนู หวังว่าวันหน้าที่ได้พบกันคุณชายเสิ่นจะแข็
เช้าวันถัดมาจากกลุ่มเดินทางไม่กี่คน ยามนี้เปลี่ยนเป็นขบวนเดินทางที่ใหญ่ขึ้น เนื่องจากมีองครักษ์ของตระกูลเสิ่น มาช่วยคุ้มกันบุตรชายของเจ้านายพวกเขา เพื่อพาไปถึงเมืองหลวงโดยไร้ซึ่งบาดแผลภายหลังกำจัดกลุ่มของจิ้งหยิ่งได้ ขบวนของเสิ่นหนิงเทียนก็มิได้สนใจอันใดอีก ทั้งหมดเร่งเดินทางให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะต้องการหลีกเลี่ยงสายตาคนของเสนาบดีเจาเต๋อหมิงนั่นเอง หลังจากการเดินทางเกือบสามเดือน ท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำที่ผ่านตา ยามนี้เสิ่นหนิงเทียนจับจ้องไปที่เส้นขอบฟ้า ที่เริ่มปรากฏเป็นภาพของเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ตรงหน้า กำแพงเมืองสูงใหญ่ปกคลุมไปด้วยแสงสีทองจากดวงอาทิตย์ที่ใกล้ตกดิน ตัวกำแพงหนาที่แข็งแกร่งมีผู้คนบางตา ด้วยใกล้ถึงเวลาปิดประตูเมืองเข้ามาเต็มทีเมื่อต้องถูกตรวจค้นก่อนเข้าเมือง เฉิงตงจึงอ้างว่าด้านในรถม้าที่สวยแปลกตานี้ เป็นญาติของฮูหยินเสิ่นอันโหว ซึ่งได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนก่อนถึงงานปีใหม่ พอเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มเพียงสามคน ทหารยามก็มิได้คิดอันใดมากนัก ทุกคนผ่านเข้าเมืองหลวงได้อย่างสบายใจ จนกระทั่งรถม้าหยุดลงด้านหน้าจวนอันใหญ่โตโออ่า ที่บนป้ายเขียนชื่อเอาไว้อย่างชัดเจน“น้าเหล่ย
ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วกับการเปิดร้านอาหาร ไม่มีวันไหนที่ลูกค้าไม่นั่งทานเต็มร้าน บางคนถึงกับนำเถาใส่อาหารติดตัวมาเพื่อซื้อกลับไปฝากคนในครอบครัวของตน แม้แต่แขกที่เข้าพักในโรงเตี๊ยมของเถ้าแก่เย่ ยังอยากซื้อไปกินระหว่างเดินทางเมื่อทุกอย่างของร้านอาหารลงตัวแล้ว ทุกคนจึงขอให้จ้าวจางหมิ่นอยู่พักผ่อนที่จวน หากต้องการไปที่ร้านสามสี่วันไปหนึ่งครั้งก็พอ เพราะพวกเขาอยากให้จ้าวจางหมิ่น ได้ใช้เวลาเป็นส่วนตัวมากขึ้น และได้ยินว่าเจ้านายกำลังคิดจะส่งสินค้าไปต่างเมืองการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นอิสระ จากตระกูลที่มีความเชื่อผิด ๆ ของจ้าวจางหมิ่นเป็นไปอย่างมีความสุข ทั้งเจ้านายและลูกจ้างทั้งหลาย แต่การเดินทางของเสิ่นหนิงเทียน กลับต้องพบเจอปัญหากลางทาง เมื่อเหลืออีกสี่หัวเมืองก็จะถึงเมืองหลวงอยู่แล้วเสียอย่างนั้นกลางภูเขาเฟิงซานรถม้าคันใหญ่งดงาม ซึ่งกลุ่มเดินทางเล็ก ๆ ของเสิ่นหนิงเทียน มาถึงบริเวณนี้ใกล้จะเข้ากลางยามเซินไปทุกที เหล่ยหงจึงส่งสัญญาณให้สหายหยุดรถม้า “เสียอี้เจ้าไปดูที่โล่งด้านหน้าเสียหน่อย ว่าสามารถใช้เป็นที่พักสำหรับคืนนี้ได้หรือไม่”“ได้ข้ากับหยางไห่จะไปดูเพื่อความปลอดภัย” เสียอี้พูดแล
หลังจากที่ส่งเสิ่นหนิงเทียนออกเดินทาง จ้าวจางหมิ่นและลูกจ้างอีกที่เหลือ จึงไปช่วยกันทำความสะอาดร้านค้า พร้อมกับนำอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่าง นำมาจัดวางให้เข้าที่เข้าทางภายในร้าน ชั้นสองของร้านมีห้องส่วนตัวสองห้อง จ้าวจางหมิ่นนำวัสดุออกมาตกแต่งจนงดงาม โต๊ะเก้าอี้ที่สีซีดก็นำมาทาสีเสียใหม่ส่วนแม่ครัวหงชิงกับสาวใช้ที่เหลือ จ้าวจางหมิ่นให้อยู่ที่จวนและทำแหนมซี่โครงหมูเพิ่ม โดยไม่ลืมให้พวกนางแยกตะกร้าเอาไว้ ว่าตะกร้าไหนทำก่อนหรือหลังเพื่อง่ายต่อการนำไปขายที่ร้าน ทุกคนร่วมแรงร่วมใจทำงานอย่างขยันขันแข็งจ้าวจางหมิ่นไม่ได้จ้างใครมาทำงานเพิ่ม เนื่องจากแค่ลูกจ้างที่มีอยู่ตอนนี้ ก็สามารถช่วยกันทำงานได้ แต่ต่อไปก็ไม่แน่หากกิจการทำเงินได้ดี นางอาจจะหาลูกจ้างมาเพิ่มและให้คนอื่น ๆ ถอนตัวเพื่อไปช่วยจัดการกิจการใหม่ ๆ ในอนาคต และก่อนจะถึงวันเปิดร้านหนึ่งวัน จ้าวจางหมิ่นได้ให้พ่อบ้านห้าวกับหมิงเช่อ ไปซื้อเสื้อผ้ามาให้ทุกคนเพิ่มอีกคนละสองชุด เพราะพวกเขาต้องมีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนทุกวันพ่อบ้านห้าวเป็นตัวแทนของทุกคนพูดกับจ้าวจางหมิ่น “ขอบคุณคุณหนูที่ใส่ใจพวกเราขอรับ"“อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ นี่ยัง
กลางดึกของคืนวันเดียวกันนั้น จ้าวจางหมิ่นได้เลือกซื้อข้าวสารอาหารแห้ง ยาชนิดต่าง ๆ สำหรับสามคน ที่สำคัญนางไม่ลืมซื้อรถม้าเพิ่ม ซึ่งมันเป็นรถม้าที่คันใหญ่กว่าเดิม โดยใช้ม้าตัวใหญ่แข็งแรงถึงสามตัว เนื่องจากรถม้าคันนี้เสิ่นหนิงเทียนกับคนสนิท สามารถนอนพักระหว่างเดินทางได้สบาย จ้าวจางหมิ่นยังไม่ลืมซื้อกระโจมที่กางง่าย มอบให้เหล่ยหงเพิ่มเพราะไม่อยากให้ใครต้องนอนตากยุงนั่นเองต้นยามเหม่าคนที่รับหน้าที่คุ้มกันเสิ่นหนิงเทียน ก็มาพบจ้าวจางหมิ่นที่เรือนเพื่อรับสิ่งของที่จำเป็น ก็รู้สึกแปลกตามากแล้ว แต่พอได้เห็นรถม้าคันใหม่ยิ่งทำให้ตาโตเป็นไข่ห่าน พวกเขาต่างหยิกแขนตบหน้าตนเอง เพราะคิดว่ากำลังอยู่ในความฝันเสียอี้ลูบแขนตนเองไปมาและถามอย่างไม่เชื่อ กับสิ่งที่เห็นตรงหน้ากับเหล่ยหง “พะ พะ พี่เหล่ยหงนี่มันใช่รถม้าจริง ๆ รึ ข้าไม่เคยเห็นรถม้าเช่นนี้มาก่อน”“คุณหนูเป็นคนซื้อมาก็ต้องใช่รถม้าแล้วล่ะ อึก แต่ข้าไม่อยากนึกถึงราคาของมันเลยนะเสียอี้”“ใช่เจ้าคนเดียวที่ไหนเสียอี้ พวกข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน แต่ข้าคิดว่ามันงดงามกว่ารถม้าของเชื้อพระวงศ์เสียอีกนะ พวกเจ้าคิดเช่นเดียวกับข้าหรือไม่” หยางไห่ที่ตะล
เมื่อกลับมาถึงจวนจ้าวจางหมิ่นขอแยกกลับเรือนตนเอง โดยไม่ลืมให้พ่อบ้านห้าวบอกทุกคน ไปรวมตัวกันที่ห้องครัวรอนาง พ่อบ้านห้าวรับคำยังไม่ทันหันหลังกลับ จงเหลียนที่ยืนอยู่ด้วยกันกลับหายตัวไปก่อนแล้ว ด้วยความตื่นเต้นที่จ้าวจางหมิ่นจะสอนทำอาหารจ้าวจางหมิ่นนั่งคิดมาในรถม้าระหว่างกลับจวน ว่านางจะทำสิ่งใดเพิ่มอีกพอคิดไปคิดมา ก็คิดถึงอาหารที่ชอบขึ้นมาได้ และมันยังเป็นวิธีการถนอมอาหารอย่างหนึ่งเช่นกัน นั่นก็คือแหนมซี่โครงหมูและสามชั้นต้มจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด แค่จ้าวจางหมิ่นคิดก็เริ่มน้ำลายสอเสียเองพอเข้ามาในห้องไม่พูดพร่ำทำเพลง สาวใช้ยังไม่ทันได้เอ่ยถามเรื่องร้านค้า จ้าวจางหมิ่นกลับเรียกหาระบบทันที “ระบบข้าต้องการซื้อสินค้ากับเจ้า”[ติ๊ง ระบบออนไลน์ขั้นเทพยินดีให้บริการ ไม่ทราบว่าท่านต้องการซื้อสินค้าชนิดใด จากโลกไหนบ้างกรุณาแจ้งต่อระบบได้เลย]“ข้าต้องการซี่โครงหมูหนึ่งร้อยชั่ง สามชั้นมันน้อยหนึ่งร้อยชั่ง ข้าวเหนียวหนึ่งร้อยชั่ง กระเทียม น้ำปลา มะนาว พริกขี้หนู ผักชี ผักกาดขาว ผักสลัด ขิงดอง อย่างละห้าสิบจิน และใบเซียงเจียวพร้อมเชือกป่าน จำนวนหนึ่งร้อยพับนะระบบ”[ตกลง รายการสินค้าที่ท่านต้องการ ระบบจ
ระหว่างนั่งรถม้ากลับเข้าเมือง จ้าวจางหมิ่นยังโมโหไม่หาย เมื่อเห็นใบหน้าของหนิงอวี่เริ่มเห็นรอยนิ้วมือชัดเจนขึ้น “ฮึ่ย! ข้าไม่น่าให้น้าเหล่ยหงสั่งสอนแค่นั้นเลยจริง ๆ พี่หนิงอวี่จากนี้ไปท่านสนใจแค่ตัวเองก็พอ ตัดครอบครัวเช่นนั้นออกไปจากชีวิตเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรเสียก็มีข้ากับทุกคนเป็นครอบครัว ภายหน้าท่านต้องแต่งงานมีคู่ชีวิตที่ดีได้แน่”“บ่าวจะมีครอบครัวได้อย่างไรเจ้าคะ คุณหนูยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ รอคุณหนูปักปิ่นเมื่อใดบ่าวค่อยแต่งงานเจ้าค่ะ หากคนรักของบ่าวรับข้อนี้ไม่ได้ ก็แค่ไม่แต่งและอยู่ดูแลคุณหนูจนแก่ รอเลี้ยงคุณชายน้อยคุณหนูน้อยก็ไม่เป็นอันใดนะเจ้าคะ” หนิงอวี่คิดเอาไว้เช่นนั้นจริง ๆ“บ่าวก็คิดแบบเดียวกับหนิงอวี่เจ้าค่ะ แม้จะแต่งงานแล้วเราสองคนก็จะติดตามคุณหนูเช่นเดิม ไม่มีทางแยกไปสุขสบายไม่สนใจคุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ” ฮุยอินเคยพูดคุยเรื่องนี้กับหนิงอวี่อยู่บ้าง“อืม ก็ดีเหมือนกันนะไว้ข้าสร้างกิจการให้มั่นคง ค้าขายมีกำไรร่ำรวยเป็นเศรษฐีนีมีเงินเหลือกินเหลือใช้ จะมอบเป็นสินเดิมเจ้าสาวให้พวกพี่สองคนก็แล้วกันนะเจ้าคะ อิ อิ” จ้าวจางหมิ่นพิจารณาสิ่งที่สาวใช้พูดมา ก็เห็นจะจริงนางยังเ