บทที่ 35 สัญชาตญาณเดิมถังอี้คุนขับไปอย่างคล่องแคล่วเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถังลู่เหมยนำรถมอเตอร์ไซค์ออกมา ทั้งสองทำแบบนี้หลายครั้งแล้วในตอนที่อยู่ในหมู่บ้านนั่นเองขับขี่รถมาไม่นานถังอี้คุนก็ขับมาจอดหน้าชุมชนแห่งหนึ่งและเอารถเข้าเก็บในมิติเพื่อความปลอดภัยและเพื่อไม่ให้สะดุดตาของผู้คนสถานที่แห่งนี้มีแต่คนทำงานใช้แรงงานอาศัยอยู่ ทั้งสองเห็นว่าทุกบ้านปิดไฟนอนหมดแล้ว จึงเดินเอาถึงเสบียงมาแจกจ่ายโดยแขวนไว้ที่ประตูทุกบ้านแต่พอจะกลับออกมาก็ได้ยินเสียงพูดคุยคล้ายกับกระซิบกัน แต่เพราะความเงียบสงัดของบริเวณนี้ จึงทำให้ได้ยินอย่างชัดเจน ทำให้สองพี่น้องต้องหาที่หลบเพื่อแอบฟัง“แกว่าอะไรนะ ยังมีคนตามจับตัวฉันอีกเหรอ มันคือใคร” ชายที่ดูจะเป็นหัวหน้าพูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด“ผู้กองฉินครับลูกพี่” อาซินตอบกลับไป ตอนแรกที่พาเจ้านายหลบมาที่เมืองนี้เขาคิดว่าจะรอดแล้ว ไม่เข้าใจว่าผู้กองฉินคนนั้นตามดมกลิ่นมาได้ยังไง“แต่จะว่าไป ที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ของผู้กองฉินนะครับ ทำไมเราจะต้องกลัวด้วย ที่ผมอยากรู้คือเรื่องที่เรายังต้องหาสินค้าส่งไปอีกหรือเปล่าต่างหาก” อาจ้าวพูดขึ้นพร้อมกับเลียริมฝีปากเมื่อคิดถึงสินค้า
บทที่ 36 ข่าวการฆาตกรรมการใช้ชีวิตของบ้านรองถังยังคงอาศัยอยู่ที่โรงแรมในเมือง เพราะช่ายเหมยฮวาต้องการให้บ้านเสร็จเรียบร้อยก่อน จวบจนเข้าวันที่สามจึงได้รับรายงานว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเช้านี้เมื่อทุกคนเข้ามาถึงหมู่บ้าน จึงได้แต่ตกใจกับข้าวของเครื่องใช้ที่อีกฝ่ายนำเข้ามาไว้ในบ้านพัก“ค่าใช้จ่ายเท่าไรครับ เดี๋ยวผมนำเงินมาคืนให้” ถังอี้คุนพูดขึ้นกับช่ายเหมยฮวา เพราะถึงอย่างไรเมื่อบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว ย่อมต้องขนของพวกนี้ไปด้วย การที่เขาจะจ่ายเงินให้หญิงสาวนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร“เรื่องนั้นค่อยว่ากันเถอะค่ะ ตอนนี้ฉันมีเรื่องจะสอบถามพี่สักหน่อย เมื่อคืนฉันยังไม่นอนจึงออกมาที่ระเบียงและเห็นพี่กับอาเหมยออกไปข้างนอก พี่ไปไหนกันหรือคะ แล้วกลับมาเมื่อไร ไม่รู้หรือไงว่าในเมืองช่วงมืดค่ำจะอันตรายมากพอสมควร” ช่ายเหมยฮวาไม่สนใจเรื่องเงินที่ชายหนุ่มจะคืนมา แต่เธอกลับถามในเรื่องที่สงสัย เธอไม่ได้อยากรู้อะไรมากนักว่าทั้งสองจะไปทำอะไร แต่เธอกลับเป็นห่วงทั้งสองคนเสียมากกว่าถังลู่เหมยสบตากับพี่ชายด้วยความตกใจ ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นมา “อาเหมย ยะ อยากเที่ยว อาเหมย ขอโทษ พี่สะใภ้ไม่ตีอาเหมยใช่ไหม” พู
บทที่ 37 เข้ามาตีสนิทสัญชาตญาณเดิมของถังลู่เหมยบอกว่าเรื่องนี้มีอะไรที่ดูน่าจะซับซ้อนอย่างมากและคงหาสาเหตุการตายได้ยากมาก เพราะการสืบสวนของยุคนี้คงไม่เหมือนยุคของเธอที่มีเครื่องมือและความล้ำหน้าของวิทยาศาสตร์ ที่สามารถไขคดีจากศพได้ “แล้วทางตำรวจว่าอย่างไรบ้างพี่จู พอจะรู้สาเหตุการตายของเธอบ้างไหม” ถังอี้คุนนิ่งเงียบอยู่นานก็สอบถามขึ้นมาเมื่อถังลู่เหมยสะกิดแขนของเขาและเขาก็รับรู้ว่าเธออยากรู้เรื่องนี้ไม่น้อย“เห็นตำรวจพูดว่าน่าจะถูกปล้นฆ่านะ เพราะทรัพย์สินไม่มีติดตัวมาเลย ผู้หญิงตัวเล็กอย่างนั้นจะมีศัตรูที่ไหนกัน เฮ้อ...คนเราต้องฆ่ากันเพราะเงินไม่กี่หยวนเท่านั้นหรือ ที่รู้เพราะได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านพูดให้ฟังน่ะ” ชายคนนี้พูดไปก็ส่ายหน้าไปอย่างเหนื่อยใจ ไม่คิดว่าจะมีคนฆ่ากันตายเพราะเงินไม่กี่หยวนเมื่อรับฟังเรื่องราวแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้าย ส่วนคนที่ช่วยบ้านรองถังทำอาหารก็กลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ชาวบ้านเหล่านี้หวังแค่มีอาหารกลับไปกินเท่านั้นถังลู่เหมยเดินแยกจากทุกคนแล้วหลบขึ้นมาบนเขาเพราะต้องการคิดทบทวนในเรื่องที่เกิดขึ้น ความคิดของเธอมองว่านี่จะเป็นเพียงแค่คดีฆ่าชิงทรัพย์เท่านั้นหรือ“
บทที่ 38 แผนการของฉินหยางตง“ผู้กองครับ เรื่องที่ผู้กองให้สืบแน่ชัดแล้วครับว่าลั่วเค่อหยางอยู่ที่เมืองนั้นจริง ๆ” ฉีหยวนเดินเข้ามารายงานข่าวที่โต๊ะทำงานของฉินหยางตงในสำนักงานตำรวจ“ในเมื่อรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ทำไมเบื้องบนไม่ออกคำสั่งให้คนในพื้นที่จัดการล่ะ หรือว่าต้องการให้เรื่องร้ายแรงมากกว่านี้เสียก่อน” ฉินหยางตงพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเบื้องบนถึงทำงานล่าช้าอย่างนี้ ต่อให้เขาและทีมจะมีความสามารถมาก แต่ถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตให้สืบสวนต่อ และยังไม่ได้มีคำสั่งให้ลงพื้นที ก็อย่าหวังว่าจะปิดคดีนี้ได้เลย“สำหรับเจ้าหน้าที่ปักกิ่งอย่างพวกเราไม่แปลกหรอกที่จะไม่มีคำสั่งให้ไปจัดการมันที่เมืองนั้น เพราะมันเปลืองงบประมาณ แต่ทำไมตำรวจในพื้นที่ยังไม่ได้รับคำสั่งให้รื้อแฟ้มคดีของลั่วเค่อหยางขึ้นมาจัดการสักที ทั้ง ๆ มันคืออาชญากรตัวร้าย!!”นี่คือคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ เพราะลูกน้องคนสนิททั้งสองไม่มีใครตอบได้ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น ทีมของฝ่ายสืบสวนก็เดินเข้ามาพอดี ชายที่เป็นหัวหน้าจึงหันมาพูดกับฉินหยางตงคล้ายกับเยาะเย้ย“ว่าอย่างไรตงหยาง นายยังไม่วางมือจากคดีค้ามนุษย์อีกเห
บทที่ 39 ขายดิบขายดีเวลาผ่านไปพักใหญ่ หมอจางก็เสร็จจากการตรวจคนไข้แล้วก็รีบเดินมาหาทั้งคู่ และถามขึ้นมาอย่างอบอุ่นใจดี“ว่าอย่างไรอาเหมย วันนี้มากับแม่เหรอ สวัสดีครับ” หมอจางไม่ลืมที่จะทักทายคนที่เขาคิดว่าเป็นแม่ของหญิงสาว“สวัสดีค่ะ” เหนียงฟางก็ทักทายตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน“สวัสดีค่ะท่านหมอ” ถังลู่เหมยตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “วันนี้มากับแม่ อาเหมยมีของดีมาขายด้วยนะคะ” หญิงสาวมองซ้ายมองขวาและกระซิบเบา ๆ คล้ายกับจะเป็นความลับซึ่งหมอจางรู้ได้ทันทีว่าเธอต้องมีของที่เขาต้องการมาขายอีกแน่ จึงแสดงสีหน้าดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด เพราะที่รับซื้อมาสองครั้งเวลานี้ล้วนมีลูกค้าจับจองแล้วทั้งสิ้น“จริงหรือ แล้วนี่อี้คุนไม่ว่างล่ะสิถึงต้องมากับแม่ ไหนฉันขอดูหน่อยเถอะ” หมอจางพูดออกมาอย่างดีใจ เขาพอจะรู้ว่าถังอี้คุนนั้นทำงานกับคุณหนูช่าย นี่คงเป็นเหตุผลที่เธอมากับแม่“ใช่ค่ะ พี่ใหญ่ไม่ว่าง นี่อาเหมยมีของมาขาย”พูดจบถังลู่เหมยก็เปิดแง้มตะกร้าให้ดู ทำให้หมอจางรีบพาทั้งคู่เข้ามาด้านในเพื่อเจรจาเรื่องการค้า“ทำไมครั้งนี้ถึงจำนวนน้อยลงล่ะอาเหมย” หมอจางถามขึ้นอย่างสงสัย“มันจะหมดแล้ว มันน้อยลง” ถั
บทที่ 40 คนร้ายคนเดียวกันหลังจากลูกค้ากลับหมดแล้ว สองแม่ลูกจึงรีบเก็บของเพื่อจะได้รีบกลับบ้าน ในใจนั้นถังลู่เหมยคิดว่าพรุ่งนี้จะทำมามากหน่อย และไม่แน่อาจจะต้องให้พ่อออกมาช่วย หรือไม่บางส่วนก็ต้องทอดในมิติเก็บไว้ เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่ทันเหมือนวันนี้ถังลู่เหมยไม่รู้เลยว่าการค้าของเธอและแม่นั้นตกอยู่ในสายตาของสะใภ้สามบ้านถังที่กำลังจะกลับบ้านเดิม ในใจของเจียยิ่นนั้นอิจฉาไม่น้อย เพราะตั้งแต่บ้านรองแยกบ้านมาก็มีแต่เรื่องดี ๆ แล้วตอนนี้ยังมีการค้าอีก แถมยังขายดิบขายดีคงได้เงินไม่น้อย“คอยดูเถอะ ฉันจะร้องเรียนเรื่องนี้ และบอกแม่สามีด้วยเพื่อให้มาจัดการกับพวกแก”เธอพูดอย่างนั้นเพราะรู้ดีว่าการค้าสำหรับชาวบ้านนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม และคิดว่าหากเธอแจ้งเรื่องนี้กับทางการ พี่สะใภ้รองจะต้องถูกลงโทษ บางทีอาจจะรวมถึงบ้านรองด้วยที่ต้องร่วมรับโทษ คิดได้ดังนั้นเธอจึงรีบกลับเข้าหมู่บ้านเพื่อแจ้งเรื่องนี้กับแม่สามีตลอดสองข้างทางเข้าหมู่บ้านนั้น แม้ว่าบรรยากาศจะร่มรื่น แต่สายตาของชาวบ้านที่มองสองแม่ลูกนั้นกลับดูจะอิจฉาตาร้อน นั่นเพราะเหนียงฟางที่หัดปั่นจักรยานในมิติจนชำนาญ ได้ปั่นจักรยานคันใหม่ผ่านพวกเข
บทที่ 41 เตรียมตัวเดินทางส่วนทางด้านถังลู่เหมยและแม่นั้นหลังจากขายของเสร็จแล้วและกลับมาถึงบ้าน เหนียงฟางก็แยกตัวไปช่วยงานสามีทำงานที่คอมมูน“อาเหมย แม่จะไปช่วยพ่อทำงานสักหน่อย ลูกอยู่บ้านก็ปิดประตูดีๆ นะ” เหนียงฟางไม่ลืมกำชับลูกสาวก่อนจะเดินออกไป“ค่ะแม่” ถังลู่เหมยพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แต่พอคล้อยหลังแม่ไปแล้ว เธอก็แอบเดินไปสถานที่เกิดเหตุที่ใหม่อีกครั้งในช่วงกลางวัน และเมื่อสำรวจโดยรอบแล้วแต่กลับไม่พบอะไรเลย‘ทำไมไม่มีเบาะแสอะไรเลยนะ ไม่รู้ว่าเพราะตำรวจเก็บหลักฐานไปหมดแล้ว หรือว่าคนร้ายเก่งกันแน่ จึงไม่มีร่องรอยอะไรทิ้งไว้เลยสักนิด’ หญิงสาวครุ่นคิดในใจ เธออยากจะเห็นศพสักครั้ง เผื่อว่าจะเดาอะไรได้บ้าง!!หลายวันต่อมา...ถังถงซินเข้าเมืองมาเรียนตามปกติ เพราะเวลานี้เธออยู่ชั้นมัธยมปลายแล้ว ทุกวันจะมีรถยนต์มารอรับที่หน้าหมู่บ้าน ซึ่งคนที่มารับก็คือลั่วเค่อหยางนั่นเอง “ฉันเกรงใจมากเลย พี่ไม่ต้องมารับส่งฉันแบบนี้ทุกวันก็ได้” แม้ปากจะปฏิเสธ แต่ในใจกลับพอใจที่ชายหนุ่มนำรถยนต์มารับเธอทุกวัน“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่มารับเพราะพี่เป็นห่วงน่ะ ตอนนี้ข่าวลือในเมืองน่ากลัวเหลือเกิน พี่ไม่อยากให
บทที่ 42 พบเจอกันโดยบังเอิญ“มีผู้หญิงหนีออกจากบ้านเหรอ” เธอถามเหมือนคนอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้าน“ครับ หลายคนเลยที่พูดกันในตลาดมืด แต่มีบางบ้านที่บอกว่าให้ลูกสาวไปทำงานต่างเมือง ให้ตายผมก็ไม่เชื่อหรอก มีแต่คนพวกนั้นจะขายลูกน่ะสิ” เด็กคนนี้พูดขึ้นมาอย่างรู้ดี เพราะเขาเองคือหนึ่งในนั้นที่บ้านขายพี่สาวให้กับคนมีเงิน จนเขาต้องระหกระเหินเพื่อออกตามหาพี่สาวจนมาที่เมืองนี้ และกลายเป็นเด็กเร่ร่อนอย่างไรล่ะ ได้คุยกับเด็กเหล่านี้ ถังลู่เหมยจึงมีความคิดบางอย่างเรื่องสายข่าว จึงรีบเสนอขึ้นมา “เอาอย่างนี้ดีไหม ฉันต้องการให้พวกเธอหาข่าวมาแลกกับอาหาร หรือใครต้องการเงินก็บอกได้น่ะ ฉันมีเงิน” น้ำเสียงของเธอเวลานี้กลับมาพูดอย่างจริงจังเหมือนเป็นปกติ แต่ก็ไม่มีใครสนใจนอกจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งเงียบ ๆ มาตลอด“พี่สาวต้องการให้พวกเราหาข่าวให้ โดยมีค่าตอบแทนเป็นอาหารหรือเงินตามที่เราต้องการใช่ไหม” เด็กหนุ่มถามขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมาถังลู่เหมยหันไปมองเขาทันทีเมื่อเจอคำถามนี้‘เด็กหนุ่มคนนี้อายุราว ๆ สิบสี่ปี หน่วยก้านใช้ได้ ดูแล้วมีแววไม่น้อย’ เมื่อพิจารณาคนตรงหน้าในใจแล้วเธอจึงตอบย้ำสิ่งที่เธอบอกก่
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั
บทที่ 82 นี่คือลูกสะใภ้ฉันหลังจากที่หลี่ซินหงกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลี่ เธอเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จากับใคร จนผู้เป็นแม่ต้องเอ่ยถามด้วยความไม่สบายใจ“ลูกยังคิดมากเรื่องของผู้กองฉินเหรอ”“ฉันก็ไม่อยากคิดมากหรอกนะคะแม่ แต่เมื่อใจมันรักไปแล้วก็ยากที่จะห้าม เวลานี้ฉันเลยรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ต้องทำใจว่าฉันคงไม่มีวาสนาได้เป็นคนที่เขารัก”หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและแสร้งบีบน้ำตาออกมาเล็กน้อย เพื่อให้ผู้เป็นแม่เห็นใจและสงสาร แต่ความจริงแล้วเธอไม่ได้รักเขามากมายขนาดนั้น เธอเพียงแค่ต้องการเขามาเป็นของเธอก็เท่านั้นเอง อีกทั้งตระกูลฉินก็ร่ำรวยอีกด้วย “ดีแล้วที่ลูกทำใจได้ อย่างไรก็มองหาคนใหม่ก็ได้นะลูก เผื่อว่าเขาจะรักลูกแม่ด้วยใจจริง”หย่วนเฟิงพูดกับลูกสาวอย่างอ่อนโยนและดีใจที่ลูกทำใจได้แล้ว เพราะต่อให้อยากเกี่ยวดองกับตระกูลฉินมาก แต่เธอก็ไม่อยากให้ลูกไปแย่งสามีของใคร อย่างน้อยในปักกิ่งนี่ก็ไม่ได้มีแค่ลูกชายจากตระกูลฉินเท่านั้นที่คู่ควรกับลูกสาวของเธอขณะที่กำลังปลอบใจลูกอยู่นั้น เธอไม่รู้เลยว่าเวลานี้หลี่ซินหงมีประกายตาอย่างชิงชังขึ้นมา โดยที่ไม่รู้ว่าในใจของเธอนั้นกำลังคิดอะไ
บทที่ 81 เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เองเขาไม่คิดจะโทษภรรยาที่จะพูดอย่างนั้นกับแม่ตนเอง เพราะเชื่อว่าเธอคงจะเหลืออดแล้วเหมือนกัน ถึงได้โต้แย้งแบบนั้น“หยางตง” ป๋ายหลานเรียกลูกชายเสียงดังเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ส่วนสองแม่ลูกก็หน้าซีดลงทันควัน“สามี อาเหมยเหนื่อยแล้ว” ถังลู่เหยเห็นสถานการณ์เริ่มตึงเครียดก็พูดออดอ้อนสามีและแสร้งอ่อนแอออกมาเพื่อแก้สถานการณ์ เธอนั้นตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะส่งข่าวหาอู่เหลย เพื่อให้คนของเขาสืบเรื่องลูกสาวตระกูลหลี่คนนี้ เพราะท่าทางที่เธอเห็นคือแม่ดอกบัวขาวชัด ๆอีกทั้งยังมองสามีของเธอเหมือนอยากจะกลืนกินเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ขณะเธอเป็นผู้หญิงด้วยกันยังกลัวอีกฝ่ายเลย ที่บอกว่ากลัวไม่ได้กลัวอะไรหรอกนะ แต่กลัวสายตาของเธอจะฉกสามีไป ฉินหยางตงเป็นคนตรงๆ คงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมมายาของแม่ดอกบัวขาวคนนี้“ถ้าอย่างนั้นเราขึ้นข้างบนเถอะครับ สามีจะพาภรรยาไปพักผ่อนเอง”ฉินหยางตงเห็นแบบนั้นก็โอบเอวภรรยาไว้อย่างรักใคร่และพูดกับเธออย่างอ่อนหวาน ก่อนจะหันไปพูดกับพ่อแม่ด้วยน้ำเสียงที่ปกติ“ผมขอตัวก่อนนะครับ พวกเราสองคนเดินทางมาเหนื่อย ๆ ยังไงก็ขอไปพักผ่อนสักหน่อย หากแม่ยังอยากจะรับแขกต่
บทที่ 80 มาถึงก็เจอแม่ดอกบัวขาวทันทีฉินหยางตงและถังลู่เหมยทั้งสองนั่งรถรับจ้างกลับมาที่ตระกูลฉิน เมื่อมาถึงชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเพราะเห็นว่ารถของตระกูลหลี่จอดอยู่ที่หน้าบ้าน จนทำให้ถังลู่เหมยสงสัยขึ้นมา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอเอียงหน้าถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าของสามี“น่าเบื่อครับ พี่ปฏิเสธแล้วแต่บ้านหลี่ก็ยังไม่...เฮ้อ” ชายหนุ่มมองไปที่รถยนต์ที่จอดอยู่แล้วพูดขึ้น เขาไม่รู้จะบอกอย่างไร เนื่องจากกลัวว่าภรรยานั้นจะโกรธที่พอมาถึงวันแรกก็มีผู้หญิงมารอที่บ้าน“ลูกสาวบ้านหลี่คือคนที่แม่พี่อยากจะให้พี่แต่งงานด้วยใช่ไหมคะ” เธอมองตามสายตาของสามีและถามกลับไปอย่างไม่อ้อมค้อม เนื่องจากเรื่องนี้ชายหนุ่มเล่าให้เธอฟังบ้างแล้ว“ครับ” ฉินหยางตงพยักหน้ารับอย่างไม่สบายใจ“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรค่ะ ฉันเชื่อใจพี่ เพราะไม่ว่าอย่างไรพี่คือสามีของฉันคนเดียว ฉันเชื่อว่าพี่รักฉันคนเดียว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ” ถังลู่เหมยพูดออกมาไปพร้อมยิ้มหวานให้กับสามีเธอนั้นเชื่อใจสามี เพราะตลอดเวลาที่แต่งงานกันมา เขาไม่เคยทำเธอหวาดระแวงเลยสักครั้งเดียว มีแต่แสดงความรักกับเธอจนเธอจะเป็นเบาหวานตายอยู่แล้ว“แ