บทที่ 29 บอกเรื่องการค้ากับครอบครัว“แม่ครับ วันนี้ผมกับเพ่ยหลันจะทำกับข้าวเองนะครับ แม่ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวค่ำนี้ผมมีข่าวดีจะบอกทุกคนด้วย”ซ่งเฟยหลงบอกกับแม่ของตนเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อเดินมาถึงครัว“ข่าวดีเหรอ นี่แสดงว่า....ตกลง ๆ แม่จะไปรอข้างนอกนะ”นางหยางเจี่ยเมื่อเห็นลูกชายและลูกสะใภ้เดินประคองกันเข้ามาและยังพูดเรื่องข่าวดีอีกก็ยิ้มกว้าง คิดว่าจะมีข่าวดีเกี่ยวกับทายาท เพราะทั้งสองคนก็แต่งงานกันมาหลายเดือนแล้วเมื่อถึงตอนเย็นทุกคนก็กินข้าวร่วมกันตามปกติหลินเพ่ยหลันและซ่งเฟยหลงตัดสินใจกันแล้วว่าจะบอกความจริงเรื่องที่เธอไปขายของในตลาดมืดให้ทุกคนรู้ในวันนี้ ทั้งสองจึงเอาเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ออกมาแล้วแจกจ่ายให้กับทุกคน“นี่เป็นเสื้อผ้าที่ผมกับเพ่ยหลันซื้อมาจากตลาดมืดครับ เห็นว่าเสื้อผ้าของทุกคนก็เก่าขาดกันหมดแล้ว เราเลยซื้อมาฝากคนละชุด” ซ่งเฟยหลงพูด พร้อมกับยื่นเสื้อกับกางเกงชุดหนึ่งให้กับซ่งตงลี่ก่อน จากนั้นก็มอบให้ทุกคนตามลำดับซ่งตงลี่กับนางหยางเจี่ยรับเสื้อผ้ามาด้วยอาการตกใจมาก ที่เห็นทั้งสองคนซื้อมาเยอะขนาดนี้ อีกทั้งเสื้อผ้าพวกนี้ยังเป็นผ้าเนื้อดี มองดูก็รู้ว่าราคาแพง แล้ว
บทที่ 30 การค้าดีขึ้นเรื่อย ๆสามวันผ่านไป... เมื่อหัวหน้าคอมมูนได้ลองใช้ปุ๋ยที่ซ่งเฟยหลงเอามาให้ลอง ก็พบว่าผักในแปลงทดลองนั้นดูดีขึ้นจนผิดหูผิดตา ผักทั้งดูแข็งแรงและสดใสขึ้น ใบก็เต่งตึง สีเขียวสดชวนรับประทาน หัวหน้าคอมมูนเห็นว่าผลลัพธ์เป็นไปได้ดีเกินคาด ก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ เขาเรียกซ่งเฟยหลงเข้ามาพบในเช้าวันต่อมาทันที“มาเถอะเฟยหลง นั่งก่อน ๆ” หัวหน้าคอมมูนเชิญชายหนุ่มให้มานั่งในห้องทำงานอย่างเป็นกันเอง“หัวหน้ามีอะไรเหรอครับ” ซ่งเฟยหลงถามออกไปอย่างสงสัย“คืออย่างนี้นะ ปุ๋ยที่นายเอามาให้ฉันทดลองใช้เมื่อหลายวันก่อนฉันได้ลองใช้มันในแปลงทดลองแล้ว ปรากฏว่าผักในแปลงดีขึ้นทันตาเห็นเลย ระยะเวลาเพียงแค่สองสามวัน ผักกลับมาแข็งแรงและดูสดใสขึ้นเยอะเชียวล่ะ นายตามฉันมาเถอะ เดี๋ยวฉันพาไปดู” พูดจบหัวหน้าคอมมูนก็ลุกขึ้นแล้วเดินพาอีกฝ่ายไปที่แปลงทดลองด้านหลังแปลงทดลองแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งทดลองใช้ปุ๋ยที่ซ่งเฟยหลงเอามาให้ อีกส่วนยังใช้ปุ๋ยชนิดเดิมที่ทางคอมมูนสั่งกับเจ้าเก่าอยู่ ปรากฏว่าผักที่อยู่ในแปลงทั้งสองส่วนแตกต่างกันอย่างชัดเจน จนซ่งเฟยหลงเองก็ทึ่งเหมือนกัน‘ไม่คิดว่าปุ๋ยของคนสมัยใหม
บทที่ 31 จูบแรกของกันและกันตอนนี้หลินเพ่ยหลันกับซ่งเฟยหลงเริ่มจะเหมือนสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกันแล้ว ทั้งสองต่างช่วยกันทำมาหากิน ไม่เพียงแค่ดูภายนอกที่เหมือน แต่ภายในนั้นความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นก็พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดแล้วเช่นกันซ่งเฟยหลงคิดอยากจะเก็บเงินให้ได้จำนวนเยอะ ๆ เพื่อจะได้รักษาตาให้กับหลินเพ่ยหลันอย่างจริงจัง ดังนั้นตอนนี้เขาจึงขยันทำงานเก็บเงินเป็นพิเศษแล้วพาเธอไปรักษา แต่เพราะครอบครัวไม่ได้มีเส้นสายอะไร ทำให้การรักษานั้นไปไม่ถึงไหน ทำได้เพียงแค่พาไปรักษาที่โรงพยาบาลที่อยู่ในเมืองเท่านั้น เขารู้สึกปวดใจมาก แต่หลินเพ่ยหลันก็ช่วยปลอบใจบอกว่าตอนนี้ที่เป็นอยู่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร ค่อย ๆ รักษาไปก็ได้ เธอเองก็ไม่ได้รีบร้อนหรอก“พี่สัญญานะเพ่ยหลันว่าพี่จะพาน้องไปรักษาจนน้องมองเห็นให้ได้” ชายหนุ่มพูดกับภรรยาในตอนที่อยู่ด้วยกันในห้อง“ขอบคุณนะคะที่ห่วงฉัน แต่ตอนนี้ฉันก็มีความสุขแล้ว เพราะมีพี่กับทุกคนในบ้านซ่งเป็นดวงตาแทนฉันอย่างไรล่ะ” หลินเพ่ยหลันตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม“ไม่รู้ล่ะ ถ้าจะต้องไปรักษาที่เมืองหลวง พี่ก็จะพาเพ่ยหลันไปให้ได้” ชายหนุ่มจับมือภรรยาไว้แล้วพูดอย่
บทที่ 32 เหล้ามงคล“ทุกคน มานี่ก่อน” ซ่งเฟยหลงเรียกคนในบ้านมารวมตัวกันที่โต๊ะกินข้าวในครัว“มีอะไรเหรอเฟยหลง ถึงได้เรียกประชุมทุกคนแบบนี้เนี่ย” ซ่งชุนเหยาที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดการหน่อไม้ที่ตนหามาได้ ก็ต้องวางมือลงเพื่อมารวมตัว จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น“วันนี้ผมกับเพ่ยหลันไปขายของมา พอดีเห็นของน่าสนใจในตลาดมืดก็เลยซื้อมาฝากทุกคน นี่ไง” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยกถุงใหญ่ ๆ ขึ้นมาวางบนโต๊ะ“ซื้ออะไรกันมามากมายอีกแล้ว แม่แทบจะไม่มีที่ใส่เสื้อผ้าแล้วนะ” นางหยางเจี่ยถึงแม้จะบ่น ทว่าก็ยิ้มอย่างดีใจที่ลูกชายกับลูกสะใภ้มีของมาฝาก“คราวนี้ไม่ใช่เสื้อผ้าค่ะ เป็นของขวัญให้กับทุกคน ไหน ๆ บ้านเรากำลังจะมีงานมงคล ฉันกับพี่เฟยหลงเลยคิดว่าจะให้ของขวัญทุกคนต้อนรับเรื่องมงคลนี้” หลินเพ่ยหลันพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มยินดี“อ้อ” ซ่งตงลี่พยักหน้ารับรู้ แม้ว่าใบหน้าของเขาจะสงบเงียบแต่ก็มีแววตาแห่งความยินดีอยู่มากซ่งเฟยหลงแจกจ่ายของขวัญให้กับทุกคน ยกเว้นก็แต่ของขวัญแต่งงานของซ่งชุนเป้ย ซึ่งเธอและสามีจะเก็บเอาไว้ให้ในวันแต่งงาน คนอื่น ๆ ในบ้านเมื่อได้รับของขวัญเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ชื่นชมอย่างมีความสุข“อ้าว แล้วของฉ
บทที่ 33 ต้องรักษาหายแน่ ๆท่าทีของซ่งเฟยหลงดูเหมือนจะเป็นกังวลเล็กน้อย ทว่าในน้ำเสียงของเขากลับไม่แสดงออกให้หลินเพ่ยหลันได้ยิน แต่แล้วทำไมก็ไม่รู้เธอจึงรู้สึกได้ถึงความกังวลนั้น จึงพูดให้เขาคลายกังวล“ถ้าพี่กังวลเรื่องรายได้แล้วละก็ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ฉันคุยกับแม่เรื่องนี้แล้วเมื่อตอนกลางวัน ตอนนี้พวกเรามีเงินพอที่จะใช้ให้ผ่านช่วงนี้ไปได้อย่างไม่มีปัญหาค่ะ อีกอย่างของกินของใช้ ฉันก็ยังเอาออกจากมิติมาได้โดยที่ไม่ต้องซื้อ พวกเราไม่อดอยากแน่นอนค่ะ”“จริงด้วย พี่ลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย ตอนนี้ก็ค่อยโล่งใจได้แล้ว” ซ่งเฟยหลงยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าคนบ้านซ่งจะไม่ต้องอดอยากตอนนี้เงินเก็บของบ้านซ่งนั้นมีมากมาย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีเงินพอใช้ให้ผ่านช่วงนี้เลย ต่อให้เหตุการณ์ไม่สงบต่อไปอีกห้าปี พวกเขาก็สามารถอยู่ได้อย่างไม่มีปัญหา และอีกอย่างทุกคนก็ยังคงไปทำงานที่คอมมูนได้อยู่ อย่างน้อยก็ได้แต้มได้ตั๋ว ไม่ถึงกับขาดแคลนหรอก และอย่างที่หลินเพ่ยหลันบอกว่าของในมิติของเธอมีมากมาย และสามารถเอาออกมาได้ไม่มีวันหมด ถึงอย่างไรคนบ้านซ่งก็ไม่มีทางอดตาย“ถ้าไม่มีเรื่องหนักใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นวันนี้พี่จะพา
บทที่ 34 ส่งไปแค่ของก็พอสองปีต่อมา...ในที่สุดช่วงปฏิรูปก็ผ่านพ้นไป สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ทางการอนุญาตให้เปิดการค้าเสรีได้บ้างแล้ว ทำให้ประชาชนสามารถเปิดร้านค้าของตัวเองเพื่อขายของ ทุกคนทำมาหากินได้อิสระขึ้น ในเมืองเริ่มกลับมาครึกครื้นแล้ว มีร้านค้าเพิ่มขึ้นมากมายแต่ว่าตลาดมืดก็ยังไม่หมดไป ยังคงมีพ่อค้าแม่ค้าบางกลุ่มเปิดร้านขายของอยู่ หลินเพ่ยหลันกับซ่งเฟยหลงก็ยังนำสินค้าจากมิติมาขายเหมือนกัน นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขายังไม่มีพื้นที่ทำเลดีในการเปิดร้านขายของของตัวเอง จึงต้องอาศัยวิธีนี้ไปก่อน บรรดาลูกค้าก็ยังแวะเวียนมาซื้อของที่ตลาดมืดกันอย่างไม่ขาดสายเพราะมีของแปลกใหม่และราคาไม่แพงอีกทั้งสินค้าแปลกใหม่แถมยังล้ำสมัยของหลินเพ่ยหลันก็ยังขายดิบขายดีในตลาดมืดวันนี้เป็นวันตรุษจีน ที่บ้านซ่งมีการจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ภายในครอบครัวเพื่อที่จะกินดื่มกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ถึงเสียว่าเป็นการหยุดผ่อนคลายและฉลองที่ช่วงปฏิวัติได้ผ่านพ้นไปแล้ว“เมื่อไรชุนเป้ยกับโหย่วอิ๋นจะมาถึงนะ นี่ก็เลยเวลาอาหารเย็นมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ชุนเหยาไปตามน้องหน่อยดีไหมว่าถึงไหนแล้ว พ่อละเป็นห่วงจริง ๆ” ซ่งตงลี่
บทที่ 35 ซื้อตึกสร้างร้านค้าหลังจากพยุงภรรยามานั่งลงแล้วก็รีบปั่นจักรยานไปที่บ้านของหมอเหลียงทันที เพื่อไปรับเขามาตรวจดูอาการของภรรยาเมื่อตรวจดูอาการเรียบร้อยแล้วก็เป็นข่าวดีอย่างที่ซ่งชุนเป้ยพูดมา“ยินดีด้วยนะจ้าวจินเยว่ตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว” หมอเหลียงบอกอย่างยินดีด้วย สิ้นสุดคำบอกของหมอ คนบ้านซ่งต่างก็ดีใจกันมาก โดยเฉพาะนางหยางเจี่ยที่ดีใจจนน้ำตาไหล จากนั้นก็ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนหลังจากที่แยกย้ายกันแล้ว หลินเพ่ยหลันกับซ่งเฟยหลงก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปในมิติ เพื่อปรึกษากันเรื่องหลังจากนี้ไปจะทำการค้าอย่างไรดีเพราะต่อจากนี้ไปจะเป็นยุคของการเปิดการค้าเสรีแล้ว ดังนั้นต้องวางแผนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อจะคว้าโอกาสให้ได้ก่อนใครอื่น และที่ต้องเข้าไปคุยกันในมิตินั้น ก็เป็นเพราะว่าเวลาที่อยู่ในมิติหลินเพ่ยหลันสามารถมองเห็นได้ เวลาพูดคุยปรึกษากันก็จะสะดวกกว่า อีกอย่างสินค้าของพวกเขาล้วนก็อยู่ในมิติทั้งหมด การเข้ามาในมิตินั้น ไม่ว่าจะเข้ามาในเวลาไหน ที่นี่ก็สว่างไสวตลอด จึงไม่มีปัญหาหากทั้งสองจะเข้ามาในเวลาดึกดื่นแค่ไหนก็ตามทั้งสองมานั่งจิบชากันที่ร้านกาแฟที่เดิม ซ่งเฟยหลงเลือกที่
บทที่ 36 ไม่มีใครเชื่อว่าซื้อตึกแล้วหลังจากกินมื้อเย็นเสร็จแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้าห้อง ซ่งเฟยหลงจับมือภรรยาเดินเข้ามาในห้องส่วนตัว จากนั้นก็ปิดประตูลงกลอนทันทีทั้งสองพากันเข้าไปในมิติอีกครั้งเพื่อที่จะเลือกสินค้าออกมาขาย ครั้งที่แล้วที่วางแผนกันเอาไว้คร่าว ๆ ว่าจะเอาอะไรออกไปขายบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้เลือกออกมาอย่างจริงจัง วันนี้จึงต้องเลือกใส่รถเข็นเอาไว้ก่อน เพราะพรุ่งนี้จะได้เอามาไว้ที่ร้านแต่เช้า“เราไปที่แผนกอาหารกันก่อนเถอะ สินค้าพวกนี้เป็นของจำเป็นที่ทุกคนจะต้องกินทุกวัน ฉันคิดว่าอย่างไรก็ต้องได้ขายดีแน่ ๆ” หลินเพ่ยหลันพูดขึ้น ก่อนจะเดินนำสามีตรงไปยังแผนกอาหาร“แล้วพวกอาหารสดนี่ล่ะจะทำอย่างไรดี ถ้าเอาออกไปวางขายข้างนอกจะเน่าเสียก่อนไหม” ซ่งเฟยหลงพูดขึ้นอย่างสงสัย พร้อมกับมองดูเนื้อหมูเนื้อไก่และผักในแผนกอาหารไปด้วย“ฉันคิดว่าจะเอาตู้เย็นออกไปหนึ่งหลังค่ะ เอาตู้ที่เป็นกระจกเหมือนแบบนั้น คนจะได้มองเห็นของข้างในด้วย” หญิงสาวตอบพร้อมกับชี้ไปที่ตู้แช่ที่มีในห้าง“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ว่าแต่ไฟฟ้าในเมืองน่ะไม่ขัดข้องจริง ๆ นะชายหนุ่มไม่มั่นใจในระบบไฟฟ้ามากนัก หากวันใดเกิดดับขึ้นมา
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร
บทที่ 60 กลับมาเยี่ยมบ้านพวกเขาอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันอยู่นาน ดื่มด่ำกับความรู้สึกของความคิดถึงที่รอคอยมานาน ขณะนั้นเสียงลมหายใจของทั้งสองคลอเคลียกันอย่างอบอุ่น“พี่รู้ไหมว่าเวลาไม่กี่เดือนสำหรับฉันแล้ว เหมือนมันนานเป็นหลายปีเชียวล่ะ” หลินเพ่ยหลันกล่าวเบาๆ“พี่เข้าใจ ต่อไปพี่จะพยายามกลับมาหาเพ่ยหลันให้มากขึ้น ถ้าทำภารกิจเสร็จ พี่ก็จะขอลาหยุดแล้วมาหาภรรยาเลยครับ” ซ่งเฟยหลงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นหลินเพ่ยหลันยิ้มทั้งน้ำตาและสัมผัสแก้มของซ่งเฟยหลงอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ฉันอยากให้พี่ทุ่มเทให้กับหน้าที่การงานของพี่มากกว่า อยู่ทางนี้ต่อให้คิดถึงพี่มากแค่ไหน ฉันก็ทนได้”“ไม่ได้หรอก ถึงแม้ว่าหน้าที่จะสำคัญ แต่ว่าครอบครัวก็สำคัญเหมือนกัน ต่อไปนี้พี่จะพยายามทำทั้งสองอย่างให้ดีนะ” ซ่งเฟยหลงยืนยันด้วยความรักอันยิ่งใหญ่พวกเขานั่งลงข้างกันบนเตียง จับมือกันแน่น และแลกเปลี่ยนคำพูดหวาน ๆ ที่สะท้อนความรักและความผูกพันที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความคิดถึง หัวใจของทั้งคู่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกัน และรู้ว่าความรักที่มีต่อกันนั้น
บทที่ 59 ผู้กองซ่งหลินเพ่ยหลันมาถึงห้างสรรพสินค้าตอนบ่ายกว่า ๆ ก็ตรงขึ้นมาที่ห้องประชุมเลย เธอบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเป็นผู้น้อยไม่ควรจะมาสาย และให้เหล่าผู้บริหารอาวุโสรอนาน มาถึงเธอก็จัดแจงเรื่องสถานที่ประชุมต่าง ๆ อย่างเสร็จสรรพการประชุมครั้งนี้เป็นความคิดของเธอเอง ที่จะเสนอให้ห้างสรรพสินค้าของตระกูลจงไปเปิดสาขาที่เมืองอื่นด้วย ก่อนหน้าที่เธอยื่นเสนอเรื่องนี้ไป ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งจงหยวนต้าและเหล่าผู้บริหารอาวุโสต่างก็เห็นด้วยและเชื่อใจเธอ เพราะผลงานที่ผ่านมาของเธอนั้นสร้างกำไรให้กับห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มากมาย จึงได้มีการเปิดประชุมเพื่อชี้แจงแผนงานอย่างละเอียดในบ่ายวันนี้“สวัสดีค่ะผู้บริหารทุกท่าน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันขอเข้าเรื่องเลยนะคะ อย่างที่ได้พูดคุยกันบ้างอย่างไม่เป็นทางการก่อนหน้านี้แล้วว่า ฉันอยากจะเสนอให้ห้างสรรพสินค้าของเราไปเปิดสาขาที่เมืองอื่น” หลินเพ่ยหลันเปิดการประชุมอย่างตรงไปตรงมา“ว่ามาเถอะเพ่ยหลัน พวกเราตื่นเต้นอยากฟังแล้ว” จงหวง ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเธอรอฟังอย่างใจจดใจจ่อหลินเพ่ยหลันบอกให้เลขาแจกจ่ายเอกสารที่เธอทำเป็นชุด ๆ ไว้ให้ผู้บริหารแต
บทที่ 58 เป็นที่ยอมรับของทุกคนหลินเสี่ยวหรงถึงแม้ว่าจะไม่ชอบหลินเพ่ยหลัน แต่ครั้งนี้ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของแม่ตัวเอง จึงพูดออกมาว่า“จะบ้าเหรอแม่ ใครเขาจะรับพวกเราไปอยู่ด้วยกัน อย่าลืมสิว่าพวกเราไม่ได้ดูแลนังเพ่ยหลันดีสักเท่าไร แถมมันก็คงจะคิดว่าที่มันตาบอดเพราะพวกเราไม่สนใจไยดีพามันไปหาหมอ แล้วแบบนี้มีเหรอนังเพ่ยหลันมันจะยอมรับเรา มีเหรอคนตระกูลจงจะยอมให้พวกเราไปอยู่ด้วย”“แต่ตอนนี้มันรักษาตาจนกลับมามองเห็นแล้วนะ และถ้ามันจะอกตัญญูต่อพ่อก็ให้มันรู้ไปสิ ถ้าถึงขั้นจะทิ้งพ่อมันได้ลงคอ ก็คอยดูว่าฉันจะประจานมันยังไง” นางหลิวอี้พูดเสียงดังลั่น ทำให้ทั้งหลินตงและหลินเสี่ยวหรงต่างก็ส่ายศีรษะให้กับความดื้อดึงของนางหลิวอี้แต่ที่สุดแล้วหลินตงก็ทนความกดดันจากภรรยาไม่ไหว จนต้องเดินมาที่บ้านซ่งเพื่อขอที่อยู่ของหลินเพ่ยหลัน“แกจะเอาที่อยู่ของเพ่ยหลันไปทำอะไร” ซ่งตงลี่ถามหลินตงออกไป“ฉันก็แค่คิดถึงลูกสาวไม่ได้หรืออย่างไร เห็นว่าเพ่ยหลันไปรักษาตัวที่ปักกิ่ง ฉันก็จะเขียนจดหมายไปถามข่าว” หลินตงตอบกลับไปตามที่ได้ซักซ้อมกันมากับนางหลิวอี้“หึ อย่ามาโกหกเลย ฉันรู้หรอกว่าจะเขียนไปขอเงินเพ่ยหลันล่ะส