“ท่านคือเจ้าหนูใบ้ผู้นั้น...หรือ...เจ้าคะ”“ใช่ ไม่สิ ข้ามิใช่เจ้าหนู และข้าก็มิได้บ้าใบ้”เสียงเรียบแฝงความไม่พอใจเปล่งออกมาทำให้ซูเมิ่งเบิกตาโตและอ้าปากกว้างกว่าเดิมเนื่องจากภาพความทรงจำในอดีตเจ้าหนูตัวน้อยของนางนั้นทั้งผอมแห้ง เนื้อแทบไม่มี เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยแผลและที่จำได้คือเจ้าหนูมีรอยปานอยู่ที่แผ่นหลังช่วงเอวรอยใหญ่ซูเมิ่งดูเหมือนสติหลุดลอยไปแล้วนางจึงลืมว่าบุรุษร่างสูงใหญ่เบื้องหลังเป็นสามีที่นางเคยหวาดกลัวแค่ไหน มือบางถือวิสาสะแก้สายคาดเอว ปอกเปลือกเสื้อผ้าทั้งตัวในและตัวนอกออกถลกให้เสื้อมากองกันที่เอวของเจ้าของร่างสูงใหญ่และท้ายที่สุดนางจับเขาหันหลัง ส่วนนางก้มลงไปนั่งเพื่อให้ระดับสายตาอยู่ที่แผ่นหลังตรงเอวหยางเหวินมีปานแดงรูปใบไม้จริงด้วย“เจ้าหนูผู้นั้น!”ซูเมิ่งรู้สึกดีใจยิ่งนักที่สุดท้ายแล้วนางก็ได้เจอตัวเด็กน้อยผู้น่าสงสารผู้นั้นซูเมิ่งเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ในแต่ละวันนางมิยอมแพ้ในการตามหาตัวเด็กน้อยผู้น่าสงสาร คิดลบที่สุดเท่าที่คิดได้ นางเคยคิดถึงขนาดว่ามีคนจับตัวเด็กน้อยไปด้วยซ้ำ“โชคดียิ่งนัก ที่เจ้าปลอดภัยเช่นนี้”ซูเมิ่งน้ำตาคลอรื่นออกมาจนเอ่อล้น นิ้วเรียว
บทที่สิบสองภรรยาที่ไม่มีใครรักเช้าวันถัดมาแสงแดดส่องผ่านช่องว่างหน้าต่างเข้ามาให้ความสว่างภายในห้องนอนห้องใหญ่ที่เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสมรภูมิพิศวาสร้อนแรงระหว่างสองสามีภรรยา หากจำไม่ผิดกว่าที่สงครามรักจะสงบลงก็ปาเข้าไปยามอิ๋น [1] หากฝ่ายหญิงสาวมิหมดแรงยอมแพ้หลับใหลไปเสียก่อนมิอยากนึกภาพเลยว่าเวลาเช้าเช่นนี้ห้องจะเงียบเชียบแบบนี้หรือไม่เคยได้ยินหรือไม่ ความอดทนของคนเรามีขีดจำกัดเสมอ ยิ่งใครอดกลั้นไว้นานเท่าไหร่เวลาถึงคราวระเบิดปะทุออกมาก็มักจะหลั่งไหลออกมาอย่างเดือดพล่าน บ้าคลั่งอย่างมิอาจต้านทานไว้ได้หยางเหวินเองก็เช่นกันสามปีแล้วกระมังที่เขาอดใจมิลิ้มลองลูกท้อที่เพียงมองภายนอกก็รู้ว่าหวานกรอบรสชาติอร่อยแน่นอน แต่ต้องอดทนรอจนมันสุกงอมกำลังดีเสียก่อนจึงจะหวานอร่อยที่สุดยามนี้คิดไม่ผิดเลยที่อดทนอดกลั้นไม่ฝืนกินเสียก่อนหยางเหวินตื่นนอนก่อนอีกคนแม้ว่าเขาจะนอนไปเพียงหนึ่งชั่วยามนิดๆ เท่านั้นก็ตามตื่นมาเช้านี้รู้สึกสดชื่นยิ่งนัก คงเป็นเพราะอิ่มอกอิ่มใจจนล้นออกมาภายนอกจึงทำให้เหมือนร่างกายได้รับอาหารไปด้วยข้างกายของเขามีสตรีโฉมงามผู้ได้ชื่อเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของ
“วันนี้ฮูหยินของบ่าวตื่นสายยิ่งนัก นายท่านมิคิดอดใจไว้บ้างเลยนะเจ้าคะ เมื่อเช้าบ่าวสาวใช้ในจวนต่างไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาในเรือนใหญ่เชียวนะเจ้าคะ เกรงว่าจะรบกวนเวลาของพวกท่าน”คำเอ่ยแซวตามประสาบ่าวคนสนิททำให้ซูเมิ่งหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อขณะกำลังนั่งแปรงผมอยู่หน้าคันฉ่องดวงตากลมโตงดงามมองไปที่ใบหน้าตนเองในกระจกจึงรู้สึกตัวว่ามิควรคิดเรื่องพวกนี้ให้เลยเถิดไปไกลมากนัก....เกรงว่าเดี๋ยวจะสายเกินไปที่จะกลับลำและเป็นนางเองที่จะเจ็บปวด“ข้ามีเรื่องจะวานให้เจ้าทำ จิวซือ”“ได้เลยเจ้าค่ะ”บ่าวผู้ภักดีที่มิได้สังเกตอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเจ้านายตนเองฉีกยิ้มรับคำด้วยน้ำเสียงร่าเริง“เจ้านำเงินนี้ไปซื้อห้ามครรภ์มาให้ข้าทีสิ แอบออกไปอย่าให้ผู้ใดรู้เรื่องนี้โดยเด็ดขาด”“หะ หา ฮูหยินไยจึงเป็นเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”“เถอะน่า ข้ามีเหตุผลของข้า”“ตะ แต่ว่า นายท่านรังแกขืนใจฮูหยินของบ่าวหรือเจ้าคะ”ซูเมิ่งส่ายศีรษะนางส่งยิ้มละไมพลางมองใบหน้าสับสนวุ่นวายใจของบ่าวผู้ภักดีผ่านคันฉ่อง“มิใช่หรอก ข้าเต็มใจ ท่านหยางเหวินมิได้บังคับข้าหรอกจิวซือ เพียงแต่เขา เขา....”....มิได้รักนางที่ชายหนุ่มทำทั้งหมดเป็นเพราะต้อง
“หึ เจ้าเหมาะกับชุดนี้ยิ่งนัก แต่เหมือนมิใช่ชุดที่ข้าให้ทั้งหมดนี่”นั่งมาในรถสักพัก ภายในห้องโดยสารห้องใหญ่หยางเซียงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน“เจ้าค่ะ พอดีว่าช่วงนี้ข้ากินแล้วก็นอนอยู่เพียงในเรือนจึงรูปร่างอ้วนท้วนขึ้นสวมใส่ชุดของท่านแม่มิได้จึงใส่ชุดตนเองที่คิดว่าดูดีที่สุดมา ครั้นจะมิให้สนใจชุดอันแสนงดงามที่ท่านแม่อุตส่าห์ส่งมาให้เลยข้าเองก็เสียดายยิ่ง จึงสวมเพียงเสื้อคลุมตัวนอกสุดของท่านแม่มาเจ้าค่ะ สวมเสื้อคลุมตัวนั้นทำให้ข้าดูดีขึ้นมามากโข ต้องขอบพระคุณท่านจริงๆ เจ้าค่ะ”“หึ แน่นอนว่าข้าจะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกสะใภ้อย่างเจ้าอยู่แล้วแม้ว่าจะเป็นเพียงภรรยารองของบุตรชายข้าก็ตามที”“....”“พี่หญิงมิต้องประหม่าไปนะเจ้าคะ ไทเฮาพระนางเป็นคนใจดีท่านป้าเป็นญาติกับพระนางจึงมีโอกาสได้เข้าเฝ้าบ่อยครั้ง หนนี้เห็นว่าองค์ไทเฮาต้องการดูโฉมหน้าลูกสะใภ้ด้วยตัวเอง พี่หญิงปฏิบัติตามข้าก็ได้เจ้าค่ะหากกลัวว่าจะทำอันใดไม่เป็น”“....”“ถึงแล้วขอรับ”ทั้งหมดลงจากรถม้าโดยซูเมิ่งเดินลงมาทีหลังสุดซึ่งเรื่องลำดับการลงแบบนี้เป็นซูเมิ่งตั้งใจเองเพราะนางต้องการทำบางสิ่งก่อนลงจากรถม้า“ไป ซูเมิ่ง เจ้าอยะ
บทที่สิบสามภรรยากับอีกหนึ่งตัวตนลึกลับ“ถวายบังคมพะย่ะค่ะไทเฮา”“ท่านแม่ทัพหยางเหวินมาพอดี ข้ากำลังหารือกับมารดาของเจ้าเรื่องแต่งฮูหยินเอกเข้าเรือนเจ้าอยู่พอดี มาๆ เดินมานั่งคุยกันหน่อยตามประสาญาติพี่น้อง อย่าได้เกร็งหรือเกรงใจกันเลย”“....”อึดอัดใจยิ่งนักซูเมิ่งนั่งอยู่กับที่ไม่แม้หันมองผู้มาใหม่ นางยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาดื่มราวกับนางกำลังนั่งดูโรงละครโรงเล็กเล่นด้วยความรื่นเริงแม้ใบหน้าของนางจะไร้ซึ่งความสนุกก็ตามทีซูเมิ่งมิได้หันไปมองผู้มาใหม่นางจึงไม่รู้ว่าตั้งแต่ หยางเหวินเดินเข้ามาว่าสิ่งแรกที่ชายหนุ่มทำคือการถวายความเคารพผู้มีอำนาจสูงสุดในยามนี้ทว่าสองตาของเขาหาได้มองไทเฮาไม่หยางเหวินเห็นภรรยาของตนเองนั่งนิ่งยังคงรอดปลอดภัยในรั้ววังหลวงอันแสนอันตรายแห่งนี้ก็พลันรู้สึกโล่งใจไปด้วยทว่าพอได้ยินบทสนทนาที่พวกนางกำลังคุยกัน จากตอนแรกที่คลายความกังวล หัวคิ้วของชายหนุ่มก็พากันขมวดเข้าหากันโดยมิได้นัดหมายดวงตาสีดำสนิทจ้องเขม็งไปที่มารดาไม่แท้ของตนเองแสดงอาการไม่พอใจชัดเจน“ท่านพี่ ลี่เฉี่ยวดื่มชาตัวนี้ของที่นี่แล้วรสชาติดียิ่งเจ้าค่ะ ท่านพี่มาถึงเหนื่อยๆ จิบชาแก้กระหายดีหรือไม่เ
โพล๊ะ“นังสตรีหน้ามิอาย สตรีทุกท่านในที่นี้ได้โปรดระวังสามีของตนเองไว้ให้ดี เถ้าแก่เนี๊ยร้านนี้นอกจากขายของแล้วยังขายตัวเพื่อแลกเงินด้วย”ซูเมิ่งที่กำลังทำงานของตนเองอยู่จึงมิทันระวัง นางถูกคนกลุ่มใหม่เดินเข้ามาปาไข่เน่าใส่ตัวเอง โชคดีที่อีกฝ่ายเป็นเพียงสตรีในห้องหอธรรมดาทั่วไปจึงปาไข่พลาดไม่โดนใบหน้าแต่โดนเต็มเปาแตกส่งเหม็นเน่าคละคลุ้งเต็มชุดของซูเมิ่ง“ซูฮวา! นั่นเจ้าทำอันใด เลอะแม่นางหลันฮวาหมดแล้ว”เสียงร้อนรนของบุรุษในฝูงชนแหวกเข้ามาเรียกสตรีที่เข้ามาก่อความวุ่นวาย ทว่าชายหนุ่มผู้มาใหม่กลับเบี่ยงทิศทางมาทางซูเมิ่งแทน “เลอะหมดเลย ข้าช่วยเช็ดดีหรือไม่”ดังนั้นซูฮวาหรือนั่นก็คืออดีตน้องสาวตระกูลซูของซูเมิ่งจึงกระทืบเท้าด้วยความโมโห ที่เห็นคู่หมั้นของตนเองสนใจสตรีผู้อื่นมากกว่าอย่างออกนอกหน้า มือบางปาไข่เน่าอีกใบในมือหมายเล็งไปที่ใบหน้าสตรีแพศยาโพล๊ะทว่าคู่หมั้นของนางกับกระโดดรับแทนเสียนั่น!จึงยิ่งกลายเป็นเสมือนเชื้อเพลิงเร่งปฏิกิริยาให้เพลิงโทสะลุกโชนยิ่งกว่าเก่า“ท่านพี่เย่วเผิง ข้าต่างหากเป็นคู่หมั้นของท่าน ไยท่านจึงปกป้องสตรีอื่น....เห็นแล้วหรือไม่ทุกท่าน นางใช้ร้านค้าแห่งนี้บ
บทที่สิบสี่ภรรยาง้อสามีปากแข็ง“ท่านหยางเหวินรู้ว่าข้าคือเถ้าแก่เนี้ยร้านหลันฮวาตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ”หลังจากซูลั่วและหยางเหวินเดินทางไปแจ้งความหลายข้อหากับซูฮวาที่ศาลยุติธรรมกลางเมืองหลวงเสร็จเรียบร้อย นางและเขาก็นั่งรถม้าเดินทางกลับมายังจวนตระกูลหยางทันทีในระหว่างที่นั่งโดยสารรถม้าซูเมิ่งมีความสงสัยเกี่ยวกับการปรากฏตัวในครั้งนี้ของอีกฝ่ายในใจจึงอดไม่ได้ที่จะสอบถามใบหน้าของหยางเหวินเย็นชาดังเช่นทุกที เกรงว่าหากนางมิเป็นฝ่ายถามวันนี้เขาคงมิอ้าปากถามนางออกมากระมัง“....”“ท่านมิสอบถามข้า ราวกับรู้มานานแล้วใช่หรือไม่”“สิ่งใดที่ภรรยาทำทั้งลับหลังและต่อหน้าข้าล้วนสมควรรู้สิ ข้ารอวันแล้ววันเล่าให้เจ้าเป็นฝ่ายมาสารภาพด้วยตนเอง....ไร้ซึ่งวี่เวว หากวันนี้เกิดเรื่องขึ้นแล้วข้าไม่บังเอิญไปแถวนั้นพอดีเจ้าจะทำอย่างไร ซูเมิ่ง”“ขะ ข้า สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเองเจ้าค่ะ ก่อนที่ท่านจะมาข้าส่งคนไปตามเจ้าหน้าที่มาเรียบร้อยเช่นกัน”“....”“ซูฮวาเป็นสตรีในห้องหอ มารดาของนางเลี้ยงอย่างเอาแต่ใจ งานหนักมิเคยให้นางแตะ แรงนางมีไม่เยอะหรอกเจ้าค่ะ อย่างมากในตอนนั้นข้าอาจโดนข่วนได้บาดแผลมาเล็กน้อย”“....
“เมื่อวานมีบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งขอเข้าพบฮูหยินซูเมิ่งขอรับ”“แล้วนางได้ให้เข้าพบหรือไม่”“เอ่อ ให้ขอรับ แต่ว่าฮูหยินมิได้ให้พบกับคนผู้นั้นสองต่อสองนะขอรับท่านแม่ทัพ”“แล้วทำไมเจ้าเพิ่งบอกข้า เจ้าได้ส่งคนเข้าไปจับโยนมันผู้นั้นออกมาหรือไม่ มิรู้หรือว่านางแต่งงานแล้ว”“อะ เอ่อ ได้โปรดใจเย็นก่อนเถิดขอรับ ทะ ท่านแม่ทัพ....”หวงลู่เหงื่อตกเพราะอยู่ดีดีหัวหน้าของตนเองที่กำลังนั่งสีหน้าถมึงทึงอยู่หน้าโต๊ะทำงานเอกสาร ในมือเมื่อสักครู่กำลังจับพู่กันไม้ บัดนี้พู่กันหักคามืออย่างน่าเวทนายิ่ง“ท่านแม่ทัพหึงหวงฮูหยินเช่นนี้....จะมิเป็นการดีกว่าหรือขอรับถ้าท่านไปห้ามปรามนางด้วยตนเอง คราหน้านางจะมิได้ทำอีก”“ใครบอกว่าข้าหึงหวงนาง ข้าเกรงว่าจะมีบุรุษโดนนางกระทำใจร้ายใส่เหมือนข้าต่างหาก เจ้าอย่าเพ้อเจ้อ!”“ขอรับ ขอรับ มิได้หึงหวง”กลิ่นไหน้ำส้มแตกเหม็นคลุ้งทั่วห้องเช่นนี้ยังมีหน้ามาปฏิเสธเมื่อไหร่หนอหัวหน้าของเขาจะรู้ใจของตนเองเสียทีว่าชายหนุ่มนั้นรักและถนุถนอมภรรยาของตนเองมากเพียงใดขนาดมีโทสะยังเลือกเดินออกมาให้ห่างจากอีกฝ่ายเพราะเกรงว่าจะทำร้ายอีกฝ่ายอย่างไร้สติขนาดมานอนพักที่ค่ายทหารยังให้ส่งคนตา
บทส่งท้ายและวันนั้นทั้งวันหยางเหวินโดนพ่อตาของตนเองลากไปไหนมาไหนด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันจนซูเมิ่งนึกสงสัยว่าหรือสามีของนางจะเป็นลูกชายที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่งของบิดาตนเองซูเมิ่งทั้งวันไม่ไปนั่งพูดคุยกับญาติพี่น้องร่วมสายเลือดในจวนก็เข้าไปนั่งเล่นกับน้องชายสุดแสนน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหนาวเท่านั้นจวบจนตอนค่ำยามซวี [1] นั่นแหละนางจึงมีโอกาสขอตัวกลับเรือนของตนเองที่ครอบครัวนางเตรียมเอาไว้ให้เรือนหลังนี้ใหญ่ไม่แพ้หลังไหนๆ ในจวน การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ของใช้ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ยังมิเคยได้ใช้ เป็นวัสถดุเนื้อดีทั้งนั้นเรือนส่วนตัวสภาพดีขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกของนางเลยกระมังที่ได้รับการดูแลเช่นนี้“ยิ้มขนาดนั้น เจ้าชอบเรือนหลังนี้มากเลยหรือ”เสียงของหยางเหวินบุรุษที่วันนี้หายหน้าหายตาไปจากซูเมิ่งทั้งวัน พร้อมกับอ้อมกอดจากคนตัวโตสวมโอบนางจากข้างหลัง“เจ้าค่ะข้าชอบที่นี่ แต่มิใช่แค่เรือนหลังนี้ แต่เป็นทุกคนที่นี่ด้วย พวกเขาต้อนรับข้าอย่างดียิ่ง”“เช่นนั้นหากเรากลับแคว้นไปข้าให้คนสร้างจวนของพวกเราสองคนแยกออกมาดีหรือไม่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินทำเลดีมิหยอก ข้ายกให้เจ้า จะให้สร้างจวนห
บทที่ยี่สิบภรรยากับครอบครัวที่แท้จริงณ แคว้นหูอี๋ฉีจวนตระกูลโจวจวนหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพตั้งแต่รุ่นทวดลงมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับแคว้นเย่ ตระกูลโจวก็เปรียบได้ดั่งตระกูลหยางดีที่เวลานี้สองแคว้นสงบศึกเปลี่ยนมาสมานฉันท์กันหลายปีแล้ว มิเช่นนั้นสองทายาทตระกูลแม่ทัพคงเคยพบเจอกันบ้างในสงครามระหว่างแคว้นแม้ว่ารุ่นลูกอาจไม่เคยฟาดฟันกันแต่สำหรับรุ่นพ่อนั้นไม่แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขตระกูลหยางกับประมุขตระกูลโจวแห่งสองแคว้นจะเคยปะทะฟาดฟันวัดฝีมือกันมาก่อนเวลานี้ฝ่ายซูเมิ่งรวมฝ่ายของพี่ชายและคนของสามีนางแยกย้ายจากขบวนสินค้าของตระกูลลู่มาระยะหนึ่งแล้วเป็นเพราะไปคนละทาง ตระกูลลู่ต้องการไปเมืองชายแดนเพื่อส่งสินค้า แต่พวกนางต้องการไปเมืองหลวงดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรถม้าคันของโจวเฉิงเค่ออยู่นั่นเองเห็นพี่ชายบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงจวนของเราพี่ชายใช้คำว่าของเราทำให้ซูเมิ่งรู้สึกซาบซึ้ง....ในที่สุดนางก็กำลังมีบ้านและครอบครัวเป็นของตนเองสักที“ถึงจวนตระกูลโจวแล้วขอรับคุณชาย”เนื่องจากในห้องโดยสารมีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือนางและพี่ชาย
บทที่สิบเก้าภรรยากับคำสารภาพ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ขบวนของเราโชคดีได้หยุดพักที่สถานที่มิห่างไกลจากน้ำตกมากนัก คุณชายฝากถามว่าคุณหนูอยากชำระร่างกายหรือแช่น้ำหรือไม่เจ้าคะ เวลานี้ไม่มีคนใช้งานและเดี๋ยวให้คนไปกั้นเขตให้คุณหนูเจ้าค่ะ”“น้ำตกหรือ...อืม ก็ดีเหมือนกัน ข้าอยากแช่น้ำเย็นสักหน่อย มิได้อาบน้ำทุกวันดังเช่นปกติ รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก”“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวบ่าวรีบไปเรียนคุณชายให้จัดกั้นพื้นที่ให้นะเจ้าคะ รอบ่าวสักครู่”“ได้ ขอบใจมากนะ”พอหลิ่นปินไปภายในกระโจมหลังน้อยก็เงียบลงทันตา ซูเมิ่งหันหลังกับไปเตรียมชุดและของใช้อาบน้ำที่จำเป็นด้วยตนเองที่ด้านหลัง เวลาผ่านไปไม่ถึงถ้วยน้ำชานางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจมนาง“กลับมาเร็วยิ่ง คุณชายว่าอย่างไรบะ บ้าง....อ้าว ท่านพี่! อุ้บ!”คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่สาวใช้อย่างที่ซูเมิ่งคิด แต่เป็น หยางเหวิน บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พอก้าวเท้าเข้ามาในกระโจมก็ดูคับแคบขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มคงรู้ว่าซูเมิ่งไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายจึงก้าวเข้ามาประชิดตัวนางและใช้มือหนาปิดปากมิให้ส่งเสียงดังโวยวาย“อื้อ อ่านเอ้าอาไอ้อ่างไอ อ่อยอ้า!”“หากข้าปล่อยแล้วเจ้าจะเร
“นั่นเจ้าใช่หรือไม่ซูเมิ่ง เป็นเจ้า!” เสียงของหยางเหวิน บุรุษที่นางเคยรู้สึกปลอดภัยยามได้ยินเสียง ทว่าบัดนี้มิใช่อีกต่อไปแล้ว....“ข้าเอง พวกท่านกำลังทำสิ่งใด อย่าทำร้ายพวกเขานะ”ซูเมิ่งโดนจับได้นางจึงวิ่งออกไปขวางมิให้คนของหวางเหวินทำร้ายหรือมาต่อสู้กับคนของลู่เจ๋อทีแรกบุรุษทั้งสามเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหามาหลายวันก็พากันดีใจ รอยยิ้มปรากฏบนหน้าไปตามๆ กัน ทว่าพอเห็นนางวิ่งเข้ามาไม่เกรงกลัวอันตรายหรือลูกหลงท่ามกลางการต่อสู้ก็ตกใจ หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มกันหมด“พวกเจ้าหยุดลงมือ!”คนของฝ่ายหยางเหวินหยุดต้อนผู้คุ้มของขบวนสินค้าทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้ต้อนพวกนี้ให้จนมุมยอมศิโรราบเท่านั้นก็ตามซูเมิ่งบัดนี้ยืนอยู่กลางทางระหว่างขบวนสินค้าตระกูลลู่กับฝ่ายของพี่ชายและสามีนาง“น้องน้อยเจ้าอย่าเพิ่งวิ่งไปทั่วสิ มันอันตราย” เสียงของโจวเฉิงเค่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางมองเห็นบนใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีเหงื่อ แววตาดูตื่นตระหนกเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจริงอย่างที่พี่ชายเอ่ย“แม่นางซูทางนั้นอันตรายเข้ามาหลบพักในรถม้าก่อนเถิด”ลู่เจ๋อและผู้คุ้มกันของเข
บทที่สิบแปดภรรยามิยอมอีกต่อไปแล้ว“ทำไมเจ้ามิตามนางไปด้วย ปล่อยให้นางซึ่งเป็นสตรีปีนขึ้นรถม้าขบวนพวกพ่อค้าจิตใจเจ้าเล่ห์แสนกลไปได้เยี่ยงไร”“ขะ ข้าน้อยคิดไม่ทัน คุณหนูบอกมิให้ข้าตามไป บอกให้ข้ามาส่งข่าวท่านว่าให้ตามนางได้ที่ขบวนสินค้าตระกูลลู่ขอรับ”“เจ้าเป็นคนที่แคว้นนี้มิใช่รึ รู้จักหรือไม่ตระกูลพ่อค้าลู่”“รู้แล้วอย่างไร ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ”“เหอะ”“เหอะ”โจวเฉิงเค่อและหยางเหวินทะเลาะกันอีกหนหากมีช่องว่างโอกาสให้แขวะใส่กันเวลานี้ขบวนรถม้าของทั้งโจวเฉิงเค่อและขบวนม้าของหยางเหวินเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วยามแล้ว เดินทางติดต่อกันยาวนานระยะหนึ่งจนต้องหยุดพักให้ม้าพักกินอาหารกินน้ำก่อนส่วนคนที่เหลือก็มาดูแผนที่วางแผนหาทางตามหาขบวนขนสินค้าตระกูลลู่ตามเบาะแสที่ซูเมิ่งทิ้งไว้ให้“คนม้าของเรายังสืบมิได้ความอีกรึ ป่านนี้ยังมิมีใครมาถึงอีก” หยางเหวินเดินออกมาจากกระโจมอีกฝ่ายหลังจากรำคาญทั้งหน้าและน้ำเสียงจนทนไม่ไหวตัดสินใจเดินกับมาหาเบาะแสจากคนของตนดีกว่าพอยิ่งได้รู้ว่าซูเมิ่งไปกับตระกูลลู่ตระกูลที่เขาเคยให้คนไปสืบประวัติมาเพราะเขาเคยเห็นอีกฝ่ายทักทายเอ่ยสนทนาอย่างสนิทสนสน
“คุณหนูเจ้าคะ มิทราบว่าคุณหนูคิดถึงสิ่งใดอยู่ มีเรื่องใดเป็นกังวลหรือไม่ ระ....หรือบ่าวรับใช้ไม่ดีพอเจ้าคะ”“หะ หา เรียกข้าหรือ”“บ่าวดูแลไม่ดีตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ บอกให้บ่าวปรับปรุงแก้ไขได้หมดนะ ตะ แต่อย่าไล่บ่าวออกเลย”“ข้าจะไปไล่เจ้าได้ย่างไร ลุกขึ้นก่อน”ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ของตนเองมาก็เพราะตกใจที่อยู่ดีดีสาวใช้ที่ลู่เจ๋อส่งมาคอยช่วยอำนวยความสะดวกนางลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บนดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับกลัวว่าซูเมิ่งจะลงโทษเสียอย่างนั้น“ข้ามิได้ไม่พอใจเรื่องใด เพียงคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น”“คิดถึงครอบครัวที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“อืม....” ซูเมิ่งหยุดคิดจากคำเรียกของอีกฝ่าย “มิรู้ว่าข้าสามารถเรียกพวกเขาว่าครอบครัวได้หรือไม่”เพราะคนที่เมื่อสักครู่ซูเมิ่งเผลอคิดถึงคือหยางเหวินน่ะสิ...มิใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างโจวเฉิงเค่อซูเมิ่งรู้สึกเหมือนนางทิ้งสิ่งสำคัญบางอย่างไป มันทำให้ในหัวใจนางรู้สึกเหมือนโดนคนขโมยเฉือนเนื้อบางส่วนทิ้งไประยะเวลาผ่านมาไม่กี่เดือนกับการอยู่ร่วมกันกับหยางเหวินในฐานะสามีภรรยามันช่างดูยาวนาน มีหลายครั้งที่นางเผลอผูกพันกับชายหนุ่ม
บทที่สิบเจ็ดภรรยาห่างไกลออกไปหากแต่ในขณะที่ซูเมิ่งกำลังนั่งรถม้าอยู่ข้างในห้องโดยสาร อยู่ดีดีรถม้าก็หยุดชะงักทันทีทันใดจนตัวนางเซถลาไปชนผนังรถดีที่ไม่ได้บาดเจ็บอันใด“ขออภัยขอรับคุณหนู ข้างหน้ามีทหารของทางการเพร่นพร่านเต็มไปหมด เกรงว่าจะเป็นคนของท่านแม่ทัพหยางเหวิน พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับคุณหนู”“!!”ไม่ได้นะ นางจะให้เขารู้ว่านางอยู่ที่นี่มิได้ ความผิดเดิมพวกเขายังมิทันได้คลายปมเลยสักนิด ความผิดกระทงใหม่เช่นนี้จะมีเพิ่มมิได้เกรงว่าหยางเหวินบุรุษที่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่เช่นนั้น เขาจะมิยอมให้นางไปพบบิดาที่แคว้นหูอี๋ฉีแคว้นหูอี๋ฉีเป็นแคว้นที่ซูเมิ่งจำได้ว่าชายหนุ่มเคยทำสงครามด้วยมาก่อนเป็นหนึ่งในแคว้นที่อีกฝ่ายเกลียดชังยิ่งนักแม้ว่าในปัจจุบันสองแคว้นนี้จะกลายเป็นแคว้นพันธมิตรกันแล้วก็ตามซูเมิ่งเปิดม่านออกไปดูภาพความวุ่นวายภายนอกรถม้านางคาดเดาว่าแม่ทัพหยางอาจรู้แล้วว่านางหนีออกมาจากจวนของเขาซูเมิ่งไม่อยากกลับไปถูกกักขังเขาไม่สิทธิ์!แต่เนื่องจากซูเมิ่งเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องฉะนั้นการที่หยางเหวินทำเช่นนั้นจึงมิสามารถไปเรียกร้องกับใครได้เลยยุคโบราณที่บุรุษเป็นใหญ่เช่นนี้ช่างไม่ย
ส่วนทางด้านสตรีที่เป็นฝ่ายหนีออกมาจากจวนตระกูล หยาง นางหลบหนีออกมาโดยการปลอมตัวเป็นบ่าวสาวใช้ที่ติดตามหลงจู๊ร้านค้านางมานั่นเองในจดหมายซูเมิ่งได้ทำการบอกแผนการทั้งหมดตั้งแต่...ให้หลิ่งซานขนม้วนเอกสารมาเป็นกองใหญ่ๆ ไม่สามารถขนคนเดียวหมด โดยให้นำสาวใช้ใบหน้าเป็นแผลเป็นเหวอะหวะจนต้องคลุมหน้าเพราะอายสายตาผู้อื่นติดตามด้วยหนึ่งคนตอนขาเข้าให้เปิดใบหน้าให้ผู้คุ้มกันเรือนดู และให้อธิบายว่าซูเมิ่งสงสารจึงรับบ่าวคนนี้เข้ามาทำงานในร้านตอนขาออกแน่นอนว่าซูเมิ่งต้องสลับตัวกับสาวใช้ผู้นั้นเพื่อลอบออกไปข้างนอกอย่างแน่นอนนางก็เพียงสร้างรอยแผลปลอมบนหน้าและคลุมผ้าคลุมศีรษะออกจากจวนมาอย่างแนบเนียนที่ด้านข้างรั้วตระกูลหยางถัดออกไปอีกสองซอยมีรถม้าจอดรอรับซูเมิ่งอยู่แล้วหนึ่งคันโดยคนขับรถม้าเป็นลูกน้องของพี่ชายที่พลัดพรากกันของนางนั่นเอง“คุณชายโจวเฉิงเค่อให้มารับตัวคุณหนูขอรับ รีบขึ้นมาเถอะขอรับ”“ได้สิ แล้วพี่ชายข้าไปที่ใดรึ คิดว่าจะมารับด้วยตัวเองเสียอีก”“คุณชายไปจัดการธุระด่วนก่อนขอรับ ฝากบอกว่ามิต้องห่วงเดี๋ยวคุณชายจะตามคุณหนูมาอย่างแน่นอน”“หืม ธุระอันใดหรือ ไหนบอกว่าท่านพ่อส่งข่าวมาว่ามิสบายมิ
“ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านแม่ทัพ ได้ยินที่ข้าน้อยรายงานหรือไม่ขอรับ”หยางเหวินเหม่ออีกแล้ว เจ้านายเป็นเช่นนี้ลูกน้องเช่นเขาทำงานลำบากขึ้นทุกที หวงลู่ส่ายศีรษะอย่างทำใจในโชคชะตาตนเอง“ข้าได้ยิน นางต้องการให้นำหลงจู๊ไปพบนางที่เรือนใช่หรือไม่”“ขอรับ นายท่านมีความเห็นว่าเยี่ยงไรขอรับ”“หลงจู๊ของนางเป็นบุรุษหรือสตรี”“บุรุษขอรับ นามว่าหลิ่งซาน....”“ข้าไม่อนุญาต!”“เขามีลูกและภรรยาเรียบร้อยแล้วขอรับ”“ไยเจ้าไม่พูดให้จบตั้งแต่แรกหวงลู่”ก็เพราะท่านคัดค้านเสียงแข็งขึ้นก่อนน่ะสิ....หึหึ หวงลู่ได้แต่คิดในใจ“เช่นนั้น....อนุญาตหรือไม่ขอรับ”“ข้าจะห้ามทำได้เยี่ยงไร ในเมื่อร้านนั้นเป็นร้านที่นางรักยิ่ง แต่ให้บ่าวรับใช้เข้าไปอยู่เป็นเพื่อนระหว่างนางพูดคุยด้วยแล้วกัน”หวงลู่อยากจะบอกเหลือเกินว่าเมื่อสักครู่เป็นเจ้านายเองนั่นแหละที่หึงหวงภรรยาตนเองออกนอกหน้าเพียงรู้ว่าหลงจู๊เป็นผู้ชายใจบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ไยปากเจ้านายของเขาจึงมิตรงกับใจตนเองเลยสักนิดสงสัยรอให้รู้ซึ้งถึงการสูญเสียก่อนกระมังจึงจะรู้สึก“ขอรับ แล้วเมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะกลับจวนขอรับ หรือจะนอนถาวรที่ค่ายทหารแห่งนี้ไปตลอด”“....”“ข้าน้อยถามม