“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลง
ชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดหแสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“เอาล่ะ... อ่านจบในวันนี้แน่นอน!” หลินเข่อซิงพูดกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น มือข้างหนึ่งถือแก้วชานมไข่มุก ส่วนอีกข้างกำลังไถนิ้วผ่านหน้าจอมือถือที่แสดงหน้าแอพนิยายออนไลน์ เธอนั่งพิงโซฟานุ่มๆ ในห้องนอน พลางห่อหมอนใบใหญ่ไว้ในอ้อมแขน เสมือนเป็นอุปกรณ์เสริมในการอ่านที่ขาดไม่ได้นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เธออ่านต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว มันคือ “บุปผาซ่อนใจ คุณชายไร้รัก” นิยายจีนโบราณที่เข่อซิงหลงใหลตั้งแต่บทแรก นางเอกเรื่องนี้คือคุณหนูหลินผู้อ่อนหวานและบริสุทธิ์ ส่วนพระเอกคืออวิ๋นเฟยหลง คุณชายสุดหล่อที่เย็นชาแต่เท่ห์เหลือเกิน นี่มันสูตรสำเร็จของนิยายจีนโบราณชัดๆ!“ฮ่า ๆ ๆ” เข่อซิงหัวเราะออกมาเมื่อถึงฉากที่นางร้าย “หยางเฟยฮุ่ย” ทำหน้าเหมือนจะชนะนางเอก แต่ก็โดนตลบหลังอย่างงดงาม เธออดที่จะนึกขำไม่ได้ หยางเฟยฮุ่ยนะเหรอ! ตัวร้ายที่ทำทุกอย่างเพื่อพระเอก ร้ายลึกจนแทบไม่มีที่ว่างให้ความดีเข้ามาแทรก “แหม... คนแบบนี้ในชีวิตจริงนี่คงปวดหัวน่าดู แต่ก็ทำให้เรื่องสนุกใช่เล่นนะ!”หลินเข่อซิงถอนหายใจยาว เมื่อเลื่อนหน้าจอไปยังบทสุดท้าย ความตื่นเต้นเริ่มค่อยๆ ลดลงเมื่อเธอนึกถึงการจากลานิยายเรื่องนี้“เอาจริงดิ..
หลินเข่อซิงสูดหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสติไว้ในใจ “เอาล่ะ! เรามาทำตามแผนกัน... ฉันจะต้องทำตัวเรียบร้อยและสง่างามที่สุดเหมือนผ้าพับไว้ ไม่มีทางทำพลาดแน่นอน!”หลังจากได้รับการเรียกตัวให้ไปพบอวิ๋นเฟยหลง หลินเข่อซิงก็ยืนเตรียมพร้อมอยู่ในลานหน้าตำหนักใหญ่ ชุดผ้าฝ้ายโบราณสีอ่อนยิ่งทำให้เธอดูเหมือนคุณหนูหลินที่แสนจืดชืดจากนิยายไม่มีผิด “อืม... ถ้าฉันเดินด้วยก้าวเล็กๆ ค่อยๆ ก้มหน้าไว้ คงจะดูเรียบร้อยพอสมควรสินะ” เธอคิด ขณะที่พยายามเดินอย่างสงบเสงี่ยมไปทางที่เขายืนอยู่ตึก ตึก ตึก...แต่พอใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ความตื่นเต้นก็เริ่มประทุขึ้น เธอเคยอ่านเรื่องนี้ไม่รู้กี่รอบ แต่ตอนนี้ต้องเจอกับพระเอกสุดหล่อในชีวิตจริง หัวใจของหลินเข่อซิงเต้นระรัวราวกับกลองศึก!อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ตรงหน้าเข่อซิง ใบหน้าคมเข้มของเขาดูสง่างามจนเธอเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะ โอ้โห...หล่อจริง ๆ... แต่ก็เย็นชาเหมือนในนิยายไม่มีผิด เข่อซิงคิดในใจ ขณะที่พยายามทำท่าเรียบร้อยสงบเสงี่ยมที่สุดเท่าที่จะทำได้“ข้าคืออวิ๋นเฟยหลง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ดูเย็นชาตามแบบฉบับของเขา ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องที่หลินเข่อซิงอย่างเฉยชาหลินเข่อซิงรีบโค้งตัวลงอย่างสุ
หลังจากคำพูดเย็นชาของอวิ๋นเฟยหลงที่บอกเธอว่า “จืดชืด” หลินเข่อซิงยังคงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ใจหนึ่งเธอยังไม่อยากเชื่อว่าพระเอกในนิยายที่เธออ่านมานานจะพูดแบบนั้นออกมา...กับเธอ! โอ๊ย! ทำไมฉันถึงต้องมาเจอเรื่องนี้! ตอนอ่านไม่เห็นจะรู้สึกว่าเขาเย็นชาและขวานผ่าซากขนาดนี้เลยนี่นา ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง หญิงสาวที่เดินเข้ามาในลานนั้นส่งเสียงหัวเราะนุ่มๆ ราวกับระฆังเงิน “อวิ๋นเฟยหลง ท่านพูดจาร้ายกาจกับคนอื่นแบบนี้อีกแล้วหรือ?” หลินเข่อซิงหันไปมองต้นเสียง และพบกับภาพที่ทำให้เธอต้องอึ้งค้าง หยางเฟยฮุ่ย นางร้ายของเรื่อง ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ หญิงสาวผู้งดงามในชุดโบราณหรูหรา ดูสวยสง่าราวกับภาพวาด ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและเสน่ห์ เธอก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับแววตาที่ฉายความเป็นเจ้าของทุกอย่างรอบตัว โอ้โห... นางร้ายในเรื่องสวยมากจริงๆ! เข่อซิงคิดในใจ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้ชายทุกคนในนิยายจะถูกเธอดึงดูด... หยางเฟยฮุ่ยเดินมาหยุดยืนข้างอวิ๋นเฟยหลง ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เขา “ข้าได้ยินมาว่าท่านเพิ่งสู้รบกลับมา ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้ารับเล็กน้อย สีหน
“ใช่เจ้าค่ะ! สูตรนี้ข้าเคยใช้มาแล้วกับ…เอ่อ…” เข่อซิงหยุดคิดหาข้ออ้าง โอ๊ย อย่าหาเรื่องยุ่งใส่ตัวนะหลินเข่อซิง! แต่ก็เอาวะ... ลุยแล้วลุยเลย! “กับท่านพ่อข้าเอง! ท่านหายดีภายในสามวันเท่านั้น!” หยางเฟยฮุ่ยหันมามองด้วยสายตาที่บอกชัดว่ากำลังจะจับผิด “แล้วข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?” หลินเข่อซิงยิ้มกว้าง “ท่านไม่ต้องเชื่อก็ได้ แต่ข้าขอลองทำให้ท่านอวิ๋นเฟยหลงลองดูก่อนได้ไหมเล่า?” แล้วเธอก็หันไปมองอวิ๋นเฟยหลง พร้อมกับส่งสายตาที่คิดว่าต้องทำให้เขาคล้อยตามได้บ้าง อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตาเล็กน้อย เหมือนกำลังชั่งใจ “เจ้าบอกว่าเจ้ามีสูตรของเจ้าเองงั้นรึ?” “ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” หลินเข่อซิงยืนยันเสียงดัง จนเธอรู้สึกว่าน้ำเสียงของตัวเองดังเกินไปนิด แต่ก็ต้องเล่นตามเกมนี้ต่อ “ถ้าไม่หาย ท่านก็แค่ลองวิธีของคุณหนูหยางได้ ไม่มีอะไรเสียหายนี่เจ้าคะ!” หยางเฟยฮุ่ยหันมามองหลินเข่อซิงอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร อวิ๋นเฟยหลงมองเธออีกครั้งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ได้ ข้าจะลองดู” โอ้โห! เข่อซิงตื่นเต้นในใจที่อวิ๋นเฟยหลงยอมเล่นตามแผนของเธอได้ เธอรีบฉวยโอกาสนี้และหันไปหาหยางเฟยฮุ่ย “งั้นท่านพักก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลท
ในห้องโถงที่เงียบสงบ หลินเข่อซิงนั่งอยู่หน้าตำรับสมุนไพรโบราณกองโต ซึ่งถูกจัดวางอย่างประณีตบนโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ ด้านหลังของเธอมีหลิงเฉินที่กำลังจัดสมุนไพรต่างๆ ใส่จานเล็กๆ หลายใบ วางเรียงอยู่ตรงหน้า หลินเข่อซิงยืดอก นั่งทำทีราวกับนักปรุงยาผู้เชี่ยวชาญ พยายามทำตัวให้ดูสำรวมและมีสมาธิที่สุด โอเค หลินเข่อซิง! นี่คือแผนของเจ้า แค่ทำเป็นรู้เรื่องพวกนี้มากๆ พูดถึง ‘สูตรลับ’ อะไรสักอย่าง แล้วเจ้าจะรอด! หลิงเฉินขยับเข้าใกล้พร้อมกับกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู “คุณหนูหลินเจ้าคะ สมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรแก้อักเสบเจ้าค่ะ ท่านจำไว้ว่าท่านต้องทำเป็นว่ารู้จักมันอย่างดี” หลินเข่อซิงพยักหน้ารับ โอเค ได้! เธอสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกสมุนไพรขึ้นมาดูด้วยท่าทีราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่รู้ทุกอย่าง “อืม... สมุนไพรชนิดนี้เรียกว่า... เอ่อ... เสวี่ยหงชี่” เธอตั้งชื่อขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ พร้อมกับทำท่าพินิจพิจารณาอย่างจริงจัง “มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้ดี ข้าจะใช้มันเป็นส่วนผสมหลักในยาของข้า” อวิ๋นเฟยหลงนั่งมองอยู่จากมุมหนึ่งของห้อง เขามองท่าทางของหลินเข่อซิงอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าของเขาเรียบเ
“แต่ข้าคิดว่าเจ้าเหมาะสมกับมันแล้ว” หลินเข่อซิงตอบพลางยิ้ม “ข้าไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเจอเรื่องบ้าๆ บอๆ อะไรอีก แต่ข้ารู้ว่าถ้ามีเจ้าคอยอยู่ข้างๆ ข้าคงจะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน” หลิงเฉินยิ้มอย่างซาบซึ้ง “ท่านวางใจได้เลยเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ” หลินเข่อซิงฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอีกครั้ง ถึงจะทะลุมิติมาอยู่ในโลกนิยายแบบนี้ แต่ก็ยังดีที่มีหลิงเฉินคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ เธอคิดในใจ ขณะเอนตัวลงบนเตียง รู้สึกได้ถึงความสบายใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน หลิงเฉินนั่งอยู่ข้างเตียงของคุณหนูหลินพลางมองดูเจ้านายของตนเอนตัวลงนอนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ใจของเธออดคิดไม่ได้ว่า ตั้งแต่วันที่คุณหนูหลินฟื้นขึ้นมาจากการตกน้ำ ก็มีอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนไปอย่างมาก คุณหนูหลินคนเดิม ที่เธอเคยรู้จักนั้น เป็นหญิงสาวที่สงบเสงี่ยม อ่อนหวาน และมักจะระมัดระวังทุกกิริยา คำพูดคำจานุ่มนวลเสมอ แต่พอเธอตื่นขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์ตกน้ำ... คุณหนูหลินกลับดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิมจนเกือบจะเป็นคนละคน “คุณหนูหลินที่ข้ารู้จัก กลายเป็นคนใหม่เสียแล้ว...” หลิงเฉินคิดในใจ พลางยิ้มบางๆ “หลิงเฉิน เจ้าคิด
เช้าวันใหม่มาเยือนจวนตระกูลอวิ๋น ลานกว้างหน้าตำหนักใหญ่ดูสงบเงียบแต่แฝงด้วยความสง่า แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวของเหล่าข้ารับใช้ที่รีบเร่งเตรียมงานสำคัญ มีเพียงบุคคลหนึ่งที่เดินด้วยความสง่างามและเป็นที่เกรงขามที่สุดในจวนนี้ อวิ๋นเหอ ท่านโหวแห่งตระกูลอวิ๋น ผู้เป็นบิดาของอวิ๋นเฟยหลงอวิ๋นเหอเป็นชายวัยกลางคนที่ยังคงแข็งแกร่ง สายตาคมและออร่าของเขายังคงทำให้คนในจวนต่างเกรงกลัว เขาเป็นอดีตแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยนำทัพสู้รบในศึกใหญ่หลายครั้ง ปัจจุบันแม้จะเกษียณจากสนามรบแล้ว แต่ความยิ่งใหญ่ของเขายังคงไม่เสื่อมคลายท่านโหวยืนมองออกไปยังลานฝึกซ้อม พลางถอนหายใจยาว "เฟยหลง…เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าต้องคิดถึงอนาคตของตระกูลบ้าง" เขาพึมพำกับตัวเอง---ในลานฝึกซ้อม ท่ามกลางการต่อสู้จำลองของเหล่าทหารฝึกหัด ผู้ที่ดูโดดเด่นที่สุดคือแม่ทัพหนุ่มผู้สง่างาม—อวิ๋นเฟยหลง เขายืนอยู่ท่ามกลางสนามฝึกด้วยท่าทีเยือกเย็น ดาบยาวในมือของเขาเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ แต่ละท่วงท่าดูราวกับเป็นศิลปะที่ทรงพลัง ร่างกายของเขาสมบูรณ์แข็งแรง ฝีมือการต่อสู้ของเขาโดดเด่นจนทหารทุกคนต่างยกย่องว่าไม่มีใครเทีย
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค