การแข่งขันวันที่สองพวกเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องไปตั้งแต่เช้าเพราะเหลือคนแข่งไม่เยอะ เวลาจึงถูกเลื่อนไปแข่งช่วงบ่าย แต่หมวดคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์เหลือสามสิบโรงเรียนจึงต้องแข่งขันให้เหลือน้อยที่สุด พรุ่งนี้จะแข่งขันตัดออกวันสุดท้ายก่อนจะไปรวมกลุ่มแข่งขันทั้งหมด เพราะจำนวนโรงเรียนที่ผ่านเข้ารอบน้อยกว่าที่คิด บางโรงเรียนตกรอบทั้งหมดตั้งแต่เมื่อวานเลยก็มีถึงจะแข่งกันช่วงบ่ายแต่พวกเฉินเฟิ่นอี้ยังต้องพาอีกสองหมวดมาแข่งขันรวมถึงให้กำลังใจ ยังดีที่เวลาการแข่งขันออกมาอย่างแน่ชัดแล้ว พวกเธอจึงไม่ต้องมาโรงเรียนตั้งแต่เช้า เฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวด้วยชุดที่พร้อมแข่งจะได้ไม่ต้องกลับไปเปลี่ยนชุดอีกเพราะเมื่อวานตัวแทนของโรงเรียนอำเภอจวี่หมวดวิทยาศาสตร์ไม่มีครูที่ปรึกษาเข้าห้องด้วยจึงได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษสามารถให้เพื่อนเข้าไปอยู่ในห้องด้วยหนึ่งคน เฉินเฟิ่นอี้จึงถูกสองพี่น้องบ้านเฉินบังคับให้เข้าไปเป็นที่ปรึกษา ส่วนคนอื่นไปดูเฉินไห่หลิวกับซ่งเวยหลานเฉินเฟิ่นอี้มองการแข่งขันแรกที่ดุเดือดมากกว่าเมื่อวานพร้อมสังเกตถึงจุดที่ควรปรับเปลี่ยน วันนี้ยังไงเฉินตงกับเฉินจางต้องผ่านเข้ารอบไปอย่างแน่นอน แต่พรุ่ง
ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นตามที่เฉินเฟิ่นอี้คาดการณ์เอาไว้ และเมื่อวานพวกเธอก็ยังผ่านเข้ารอบคะแนนนำลิ่ว สูงจนหลายโรงเรียนเทียบไม่ติด และสิบสามโรงเรียนที่แข่งขันไปเมื่อวานวันนี้เหลือเพียงห้าโรงเรียนเท่านั้น จำนวนน้อยกว่าปีที่แล้วจนน่าตกใจทำให้วันนี้เฉินเฟิ่นอี้ไม่มีแข่งและปล่อยให้อีกสี่โรงเรียนที่เหลือหาคนผ่านเข้ารอบอีกสองโรงเรียนเท่านั้น ส่วนอีกสองหมวดที่แข่งยังต้องแข่งขันกันต่อ แต่คะแนนยังนำลิ่วเหมือนเดิม กล่าวได้ว่าพวกเฉินเฟิ่นอี้ถูกจับตาจากทั้งกรรมการและตัวแทนทั้งหลายเฉินเฟิ่นอี้ปล่อยให้น้องของเธอแข่งโดยมีครูที่ปรึกษาจูไห่หลิวกับผู้ช่วยของรักษาการเซียวเข้าไปเป็นที่ปรึกษาของน้องชาย ส่วนคนที่เหลือเดินซื้อของกินเล่นผ่อนคลายในวันที่ไม่มีแข่ง ในขณะที่คนอื่น ๆ ยังต้องแข่ง คงมีเพียงพวกเธอที่ผ่านเข้ารอบไปได้เลย และจากที่ได้ยินหลายโรงเรียนสนทนากัน วันนี้แต่ละหมวดจะคัดเหลือเจ็ดไม่ก็แปดโรงเรียน แต่กลุ่มพวกเธอตอนนี้เหลือเพียงห้าโรงเรียน แต่ยังต้องแข่งกันต่อ โรงเรียนที่มีคะแนนนำจึงผ่านเข้ารอบไปแข่งได้เลยหน้าโรงเรียนเต็มไปด้วยแผงของกินที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาเช่าสถานที่ขายให้กับแขกที่มาแข่งขัน
หลายคนมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ใคร ๆ ก็รู้จักน้องสาวของนักแสดงชื่อดังอย่างเฉินหว่านที่หน้าตาสวยคนหนึ่ง และหลายคนต่างเดากันว่าเมื่อหล่อนเรียนจบก็คงถูกทาบทามไปเป็นนักแสดง แต่คนที่รู้ถึงนิสัยของเฉินหว่านกลับคิดตรงกันว่าหล่อนคงไปเป็นเพียงนักแสดงตัวประกอบเฉินเฟิ่นอี้ลุกขึ้นยืน คนอื่น ๆ ก็ลุกขึ้นตาม ตอนนี้ทุกสายตาจับจ้องมา พวกเธอควรจะย้ายที่นั่งไปมุมอื่น แต่ถ้าไม่จัดการเป้าหมายก็คงไปไม่ได้ เฉินหว่านหันมามองเฉินเฟิ่นอี้ที่ยืนด้านหน้าและบ่งบอกว่าเธอสามารถเป็นผู้นำของกลุ่มได้"พวกเราไม่รู้จักกันนะคะ อย่าสร้างปัญหาเลยค่ะ หากกรรมการปรับแพ้ขึ้นมาจะยุ่งเอา" หมายถึงหากพวกหล่อนสร้างปัญหาอีกเรื่องนี้จะไปถึงหูกองหลางแน่นอน"เมื่อวานไม่ปากเก่งแบบนี้" หล่อนนำเรื่องนี้ไปบอกให้คนที่บ้านจัดการให้ แต่พวกเขากลับให้เธออยู่เฉย ๆ แน่นอนว่าหล่อนยอมไม่ได้ เพื่อนของหล่อนก็ไม่ยอมเหมือนกัน"จำคนผิดหรือเปล่าคะ เมื่อวานฉันมีแข่ง"เฉินเฟิ่นอี้แสดงท่าทางงุนงงและยังคงความสุภาพเอาไว้แม้ไม่อยากจะทำเท่าไร ยิ่งตอนนี้คนเดินมามุง การจะทำอะไรก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก และสิ่งที่ไม่ชอบใจก็คือทุกคนหันมามองเธอไม่ใช่พวกเฉินหว่าน
จากสามสิบโรงเรียน เฉินเฟิ่นอี้พาทุกคนผ่านเข้ามาถึงรอบสุดท้ายและเหลือเพียงสองโรงเรียนสุดท้าย ยิ่งโรงเรียนที่จะแข่งครั้งสุดท้ายเป็นโรงเรียนเจ้าภาพที่คะแนนเท่า ๆ กันในรอบนี้ ยิ่งสร้างความกดดันให้กับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนผ่านมาหลายรอบจนมาถึงรอบสุดท้ายขนาดนี้แล้วย่อมต้องการรางวัลเฉินตงกับเฉินจางผ่านเข้ารอบสุดท้าย แต่คู่แข่งที่เหลือกดดันจนล้มป่วยทำให้ทั้งสองได้อันดับหนึ่งไม่ต้องแข่งรอบสุดท้าย ส่วนการแข่งขันวิชาการหมวดคณิตศาสตร์ของเฉินไห่หลิวกับซ่งเวยหลานยังต้องแข่งและไม่กดดันเท่าของพวกเฉินเฟิ่นอี้วันสุดท้ายของการแข่งขันเฉินเฟิ่นอี้ให้ทุกคนนอนตั้งแต่หัวค่ำ ตื่นมาเช้าอีกวันแต่ละคนมีใบหน้าที่สดชื่น และมีการวางแผนถึงคนที่ต้องแข่งขันรอบสุดท้าย เฉินเหม่ยเย่จะสลับกับมี่หยางหากหยุดพัก เพราะหล่อนกดดันจนอาเจียนเมื่อวานนี้ ส่วนเฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้กดดันตัวเองขนาดนั้นยิ่งการแข่งขันเหลือเพียงวันเดียวตัวแทนแต่ละโรงเรียนก็แทบจะไม่เหลือ ส่วนมากหากอยู่ไกลโรงเรียนแถวนี้การแข่งขันไหนตกรอบก็จะกลับเลย แต่ถ้าอยู่ไกลก็รอกลับเมื่อแข่งขันเสร็จไม่ก็ตกรอบไป ตัวแทนของโรงเรียนอำเภอจวี่เป็นโรงเรียนที่น่ากลัวโรงเรียนหนึ่ง จน
การแข่งขันวิชาการรอบตัดสินเพื่อหาโรงเรียนที่ชนะของหมวดภาษาต่างประเทศหยุดชะงักพร้อมกับการประท้วงของกรรมการหมวดภาษาต่างประเทศของส่วนกลาง รวมถึงกรรมการผู้ช่วยที่เป็นคนของส่วนกลางและครูที่มากจากโรงเรียนรอบข้างการที่จะให้กรรมการผู้ช่วยมาตัดสินผลแพ้ชนะในรอบสุดท้ายหากเกิดปัญหาจริง ๆ ควรให้ผู้ช่วยกรรมการของกรรมการที่ตัดสินมาแทนไม่ใช่ว่าจะเอาใครมาแทนที่ก็ได้ จริงอยู่ที่ว่าเขาสามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้ แต่ไม่เชี่ยวชาญเหมือนกรรมการหมวดภาษาต่างประเทศ และการเอากรรมการหมวดอื่นมาตัดสินย่อมข้ามหน้าข้ามตากรรมการอีกหลายท่าน"จริง ๆ ผมว่ามันไม่น่ามีปัญหาอะไรเลยนะครับ กรรมการเหวินเป็นบุคลากรของที่นี่ เขาย่อมเป็นกลางอยู่แล้ว" รองประธานยังคงยืนยันที่จะให้คนเดิมเป็นกรรมการ"ไม่ใช่เรื่องเป็นกลางไม่เป็นกลาง คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าโรงเรียนที่จะแข่งรอบนี้มีโรงเรียนอะไรบ้าง กรรมการเหวินเป็นบุคลากรของที่นี่ หากผลแพ้ชนะมันค้านสายตาของผู้คน โรงเรียนอาจเสียหายเอาได้" รักษาการเซียวชี้แนะให้กับรองประธานการแข่งขันวิชาการของปีการศึกษานี้หากโรงเรียนของที่นี่ชนะอาจมีคนพูดถึงโรงเรียนในทางที่ไม่ดีได้ หากผลการแข่งไม่ค้าน
การแข่งขันจบลงพร้อมร่างกายของเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นลมล้มต่อหน้าน้องชายและน้องสาว สร้างความตกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เฉินเฟิ่นอี้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบนเตียงพิเศษในโรงพยาบาลและมีน้องสาวนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง เธอพยุงตัวขึ้นนั่งด้วยอาการมึนหัว"ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้"ความทรงจำล่าสุดของเธอก็คือทรุดลงพื้นพร้อมอาการหน้ามืดเพราะหมดห่วงเมื่อได้รับชัยชนะ อีกทั้งการแข่งขันเต็มไปด้วยความกดดันตัวแทนแต่ละฝั่งก็อ่อนแรงกันมาก ยิ่งต้องแข่งขันกันถึงแปดคน ความวุ่นวายย่อมมีอยู่แล้วจึงเหนื่อยมากขึ้น"พี่เป็นลมค่ะ"โชคดีที่รักษาการเซียวรีบพามายังโรงพยาบาลพร้อมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ จึงจองห้องพิเศษที่เหลือห้องเดียว ส่วนตอนนี้เขากลับไปจัดการรางวัลที่ตัวแทนของโรงเรียนอำเภอจวี่ต้องได้ ที่โรงพยาบาลเหลือเพียงเฉินเหม่ยเย่เฝ้าพี่สาว คนอื่น ๆ ต้องรอรับรางวัลก่อนเฉินเฟิ่นอี้มองไปที่ประตูเมื่อเห็นว่ามันล็อกจากด้านในจึงเปิดเผยกระดานใสให้น้องสาวได้เห็น จริง ๆ เฉินเหม่ยเย่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่กลัวว่าหล่อนจะตกใจหากหยิบออกมาจากกลางอากาศ พร้อมหยิบน้ำอุ่นออกมาจิบให้ลำคอที่แห้งผากลื่นคอ อยากจิบน้ำหวานแต่กลัวว่าหมอที่รักษาจะด
ตัวแทนของโรงเรียนอำเภอจวี่เดินทางกลับมาถึงโรงเรียนสิ้นเดือนมกราคมพร้อมกับชัยชนะและเงินสำหรับทุนการศึกษา พวกเฉินเฟิ่นอี้ได้รับเกียรติบัตรกับทุนการศึกษาที่หน้าเสาธงและกล่าวถึงการแข่งที่ผ่านมาก ต่างจากปีก่อน ๆ ที่ต้องขอบคุณครูที่ปรึกษาแต่ปีนี้ทุกคนรู้กันดีว่าเป็นใครที่ฝึกสอนให้ผลตรวจสุขภาพถูกส่งมาตามมาหนึ่งเดือนให้หลัง และได้รับการยืนยันว่าเฉินเฟิ่นอี้ไม่มีปัญหาเรื่องการมีลูก และสุขภาพของเธอก็ดีมาก ส่วนวันนั้นที่หมดสติเป็นเพราะความกดดันที่รับไม่ไหวแล้ว เด็กบ้านเฉินสุขภาพร่างกายดีทั้งหมดเพราะได้รับการบำรุงที่ดีเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านถูกเฉินเฟิ่นอี้พาไปตรวจสุขภาพในมณฑลส่วนพวกผู้ใหญ่ไม่มีใครยอมไป เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้บังคับจึงมีเพียงน้องชายคนเล็กที่ได้ไปตรวจ และเรื่องผลตรวจของเฉินเฟิ่นอี้สร้างความโล่งใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เรื่องที่สำคัญกับผู้หญิงมากที่สุดนั้นก็คือการมีลูกการสอนพิเศษภาษาต่างประเทศเฉินเฟิ่นอี้ถูกคะยั้นคะยอจากรักษาการเซียวให้สอนกับเด็กในโรงเรียนอำเภอจวี่ทุกวันที่มีเรียน และคาบเรียนที่ว่างจะถูกแทนที่ด้วยการสอน พร้อมกับเงินตอบแทนวันละหนึ่งหยวนและเฉินเฟิ่นอี้ตอบรับที่จ
ต้นปี 1977 รัฐบาลประกาศการค้าเสรี สามารถผลิตสินค้าและซื้อขายได้อย่างอิสระ หลายบ้านเริ่มหาช่องทางการค้าขายและบางบ้านยังคิดว่าพ่อค้าแม่ค้าเป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติจึงไม่ยอมเริ่มต้นที่จะค้าขาย จริง ๆ ข่าวลือเรื่องนี้มีตั้งแต่ปลายปี 1976 แล้ว แต่เพิ่งมีประกาศอย่างเป็นทางการบ้านเฉินซื้อที่ีดินรอบ ๆ บ้านเพื่อเลี้ยงไก่และเป็ดตามคำบอกของเฉินเฟิ่นอี้ตั้งแต่ที่มีข่าวลือ แม้จะกลัวว่าเป็นเพียงข่าวลือแต่บ้านเฉินก็เชื่อใจหลานสาวโดยเฉพาะย่าเฉิน พอมีการประกาศอย่างเป็นทางการไก่และเป็ดก็โตพอที่จะขายออกไปได้แล้วนอกจากเลี้ยงไก่และเป็ดไว้ขายเฉินเฟิ่นอี้ยังหาซื้อพันธุ์ที่ออกไข่โดยเฉพาะให้บ้านเฉินเลี้ยง การทำความสะอาด ขั้นตอนการเลี้ยงไก่และอาหารเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนบอกผู้ใหญ่บ้านเฉิน นอกจากสัตว์ปีกที่เลี้ยงไว้จะไม่ป่วยแล้วพวกมันยังอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นมากระบบหน่วยผลิตถูกยกเลิกไปพร้อมกับการแบ่งที่ดินให้แต่ละคนที่ยังคงทำงานของหมู่บ้าน ซึ่งบ้านเฉินไม่มีใครได้ทำงานในแปลงนาเพราะลุงใหญ่ ลุงรอง และอาสี่ของบ้านเฉินเข้าอำเภอไปทำงานในสถานีตำรวจจากการช่วยเหลือของลุงสามของบ้าน หลายปีมานี้บ้านเฉินจึงมีเงินและเป็นที่อิจฉาขอ
วันที่ 5 เดือน 3 ปี 1984 งานมงคลสมรสของเฉินเฟิ่นอี้และโอวหยางจิงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่ได้รับเชิญต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่น เฉินเฟิ่นอี้ต้องลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ทั้งต้องคอยถามถึงหน้างานเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่รอคอยนั่นคือการแต่งงานสักครั้งในชีวิต ในตอนที่เป็นแป้งร่ำ เธอพลาดโอกาสนั้นแล้ว ครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ย่อมไม่พลาด"พี่สาวสามสวยมาก" เฉินเหม่ยเย่เอ่ยชมพี่สาวด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของตนเองนาน ๆ ที เฉินเฟิ่นอี้จะได้แต่งหน้าและแต่งตัว หากไม่ใช่วันสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มเหมือนวันนี้ ภายใต้ชุดสีแดงมงคล เฉินเฟิ่นอี้เป็นผู้หญิงที่สวยมากในสายตาของน้องสาว"พี่สาวสามของเธอเป็นคนสวยมาตั้งนานแล้ว หล่อนแค่ไม่แต่งตัวเหมือนกับเธอที่ต้องทำงาน" พี่สาวใหญ่เดินเข้ามานั่งใกล้น้องสาวภายในห้องเจ้าสาวตอนนี้ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นเจ้าสาว ทั้งสี่คนเป็นหลานสาวสายหลักของลุงสามที่เป็นผู้นำตระกูล ต่อให้แต่งงานแล้วแต่ยังเป็นคนสำคัญเฉินเฟิ่นอี้แต่งงานแล้วเธอจะเป็นคนของตระกูลโอวหยาง แต่ว่ายังสามารถมีปากเสียงในตระกูลเ
ต่อให้เร่งมากแค่ไหน การสร้างบ้านยังต้องใช้เวลาสองเดือน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้เวลาที่ว่างในการช่วยเฉียนลี่เซียนเปิดร้านตัดเย็บ มันเป็นเพียงการตัดเย็บที่ลูกค้าสั่งตัดไม่เกินห้าตัว ปะซ่อมบริเวณที่ขาดกว่าบ้านจะเสร็จ ร้านตัดเย็บเฉียนก็เริ่มเข้าที่แล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอปล่อยให้หล่อนจัดการร้านเอาเอง เพราะมีเฉียนเฟยเข้ามาช่วยจึงไม่ค่อยห่วงนักบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านปูนห้าห้องนอน ล้อมรั้วแข็งแรงไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เฉินเฟิ่นอี้ฝากกุญแจให้ผู้ใหญ่บ้านจ้างคนไปทำความสะอาดข้างนอกบ้านให้ รวมถึงถางหญ้าในที่ดิน ค่าดูแลเดือนละยี่สิบหยวน แน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยอมจ่ายทันทีที่บ้านเสร็จ กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเริ่มงาน พวกผู้หญิงมีงานถ่ายแบบเข้ามาบ้าง เฉินเฟิ่นอี้อนุญาตให้ทำและลดเงินเดือนบางส่วนของพวกหล่อนลงร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ยอีกสองสาขาอยู่ห่างจากสาขาใหญ่พอสมควร แต่เป็นบริเวณที่มีคนเดินผ่าน แน่นอนว่าร้านของเธอพี่ใหญ่เฉินเป็นคนหาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสาขาที่สองเป็นสาขาที่เฉินเฟิ่นอี้สร้างร่วมกับน้องชายน้องสาว ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้มันเป็นเพียงชื่อของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าการ
งานมงคลผ่านไปแล้ว มีแต่คนอิจฉาเจ้าสาวเพราะได้รับสินสอดจำนวนมาก หลังงานมงคลเฉินเฟิ่นอี้เรียกผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้านพร้อมกับสร้างบ้านใหม่ด้วยเวลาอันน้อยนิด เฉินเฟิ่นอี้จ่ายไม่อั้นเพื่อให้บ้านเสร็จก่อนกลับปักกิ่ง แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเธอก็จะรอให้มันเสร็จก่อนอยู่ดี ต่อให้มีคนนินทาและด่าว่าโง่ที่เอาเงินมาทิ้งกับบ้านที่ไม่ได้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้สนใจ"พี่จัดการเรื่องผ้าถุงเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านกันก่อนเถอะครับ" โอวหยางจิงบอกคนรักที่นั่งรออยู่ในโรงงานวันนี้เฉินเฟิ่นอี้เข้ามาจัดการเรื่องที่จะให้โรงงานส่งผ้าถุงเข้าไปในปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยินดีจ่าย ขอแค่ให้ของไปถึงมือส่วนร้านเซี่ยเซี่ยร้านแรกของเธอจะยุติการขาย เรื่องนี้ได้คุยกับลุงเหว่ยเทาไปแล้วตอนที่กลับมาถึงวันแรก แต่ต้องเข้าไปคุยอีกทีเพื่อยกเลิกสัญญาพอมีการประกาศออกไปดูเหมือนว่าทุกคนจะตกใจและรีบมาซื้อเก็บเอาไว้ สินค้าจะมีเหลือให้ขายเพียงห้าพันผืนสุดท้าย หากขายหมดก่อนร้านจะปิดลงทันที"ค่ะ"หากเป็นเมื่อก่อนเฉินเฟิ่นอี้กับโอหยางจิงคงปั่นจักรยานกัน แต่ตอนนี้คุณลุงโอวหยางให้คนรักของเธอนำรถมาใช้งานระหว่างอยู
วันที่เจ็ดเดือนสามปี 1982 กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้เดินทางมาถึงบ้านพักในอำเภอจวี่ที่เป็นบ้านหลังเดิม และเพื่อนของลุงสามเป็นคนจัดพื้นที่เอาไว้ให้แล้วการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินทางมาด้วย มีเพียงผู้ปกครองที่เดินทางกลับบ้าน เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกับน้อง ๆ ต้องการมาเข้าร่วมงานมงคลของเว่ยฟ่งกับเจียวซีถึงได้ตามกันมา ยกเว้นเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านที่ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วเฉินเฟิ่นอี้รับกุญแจจากลุงเหว่ยเทาทันทีที่มาถึง บ้านพักหลังนี้ถือว่าเป็นความทรงจำของเธอก็ว่าได้ อยู่มาตั้งหลายปี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม"คุณลุงเหว่ยไม่ได้ปล่อยบ้านให้คนอื่นเช่าเหรอคะ" เฉินเฟิ่นอี้หันไปถามเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถง และสอบถามเรื่องราวระหว่างที่ไปอยู่ในปักกิ่ง"บ้านหลังนี้หลานบอกว่ามันเป็นความทรงจำไม่ใช่หรือ ถึงลุงไม่ได้ขายให้แต่ก็เก็บเอาไว้รอพวกหลานกลับมา" เหว่ยเทายิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้แต่งงานมีภรรยา สมบัติที่มีอยู่จึงเป็นของเขาและมีรายได้จากการปล่อยเช่าห้องพัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น และเด็กบ้านเฉินก็เหมือนลูกเหมือนหลานของเขา"ขอบคุณค่ะ""ลุงสามฝากบอกว่าถ้ามีเวลาให้ขึ
หลังงานเลี้ยงจบลง ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดไม่พ้นหลานชายหลานสาวของตระกูลเฉินมีคนรักแล้ว หลายคนยังคงต้องการขยับความสัมพันธ์ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาส จึงจ้างกลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ไปร่วมงานอยู่บ่อย ๆช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ต้องทำหลายอย่าง กว่าจะลงตัวก็เปิดภาคเรียนแล้ว ภาคเรียนที่สองเป็นภาคเรียนที่เหนื่อยมาก บ่อยครั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องนอนในหอพักของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนยังคงหนาแน่น ยิ่งที่บ้านย้ายเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเฉิน ทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักทำให้ได้พบเจอหน้ากันทุกวันยิ่งได้อยู่ด้วยกันกับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนต่างลงความเห็นที่จะทำงานกับเพื่อนสาว เว่ยฟ่งถึงขั้นต่อสายมาหาพ่อกับแม่เรื่องที่เขาเรียนจบแล้วจะกลับไปแต่งงานกับเจียวซีแล้วจะกลับมาอยู่ในปักกิ่งคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ผู้ชายเข้าไปช่วยรุ่นพี่โอวหยางจิงทำงาน ผู้หญิงช่วยเฉินเฟิ่นอี้ในร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ย ตอนนี้ได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ถือว่าคุ้มเพราะช่วยอยู่เบื้องหลังแค่มาเรียนปีแรกก็ทำเอาผู้ปกครองปวดหัวแล้ว ปีที่ีสองยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่มีใครกลับบ้านในช่วงปิดภาคเรียน ถ้าอยากเจอก็ให้เดินทางมาหาความสัมพัน
หลานชาย หลานสาว รวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทถูกจับแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานสำคัญ อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ทุกคนลงความคิดเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของบ้านเฉินแล้วแขกภายในงานมีหลายคนที่เคยสนิทกับคนในตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพยายามบอกคนอื่นให้หลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้เฉินเฟิ่นอี้มองชุดที่ออกแบบด้วยฝีมือของพี่เยี่ยฉิงจากร้านเยว่ซิน ทันทีที่จะมีการจัดเตรียมงานเธอได้ทำการติดต่อขอตัดเย็บเสื้อผ้าให้ และตระกูลเยี่ยคือหนึ่งในพันธมิตรของปู่เธอ"เสียดายจริง ๆ ที่เธอไม่คิดจะทำงานในวงการบ้างหรือ" เยี่ยฉิงมองชุดบนตัวของเฉินเฟิ่นอี้"ไม่ละค่ะ ฉันชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า" เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธไป ให้ช่วยแต่งหน้าหรือทำอย่างอื่นได้ แต่จะให้ถ่ายแบบเธอทำไม่ได้จริง ๆ"อื้อ ๆ ฉันก็ว่าแบบนั้นดูเป็นเธอมากกว่า" หล่อนหัวเราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นเจ้าของร้านผ้าถุงที่ออกแบบลวดลายเอง เยี่ยฉิงเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ไม่ถ่ายแบบงานตัวเอง จึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเยี่ยฉิงที่ช่วยเฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวแล้วเดินไปช่วยคนอื่นต่อ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้แต่งตัว แน่นอนว่างานส
ข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของหลายวันมานี้จะเป็นข่าวอะไรไปไม่ได้นอกจากข่าวผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูลเฉิน เป็นผู้นำที่หลาย ๆ คนคิดว่าเหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ เฉินจงอี้ หรือปู่เฉินของเด็ก ๆ บ้านเฉิน ที่รับช่วงต่อระหว่างรอลูกชายทั้งสี่เรียนรู้งานเฉินเฟิ่นอี้ให้พี่ใหญ่เฉินส่งคนคอยตามคนตระกูลเฉินไปอย่างลับ ๆ เธอไม่ไว้ใจพวกเขา อย่าลืมว่าเฉินหานกับ เฉินหว่านทั้งสองต่างมีชื่อเสียง เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ และปู่รอง ปู่สามของตระกูลจะไม่มีน้ำยาทำอะไรจริง ๆ น่ะหรือ"ปู่คะ ฉันว่าพวกเราอยู่ที่บ้านนี้สักพักก่อนดีกว่าค่ะ ส่วนบ้านหลังนั้นก็ให้คนเข้าไปเก็บกวาดซ่อมแซมใหม่ก่อน" เฉินเฟิ่นอี้เสนอเมื่อปู่เฉินจะพาทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านตระกูลเฉินบ้านมันเก่ามากแล้วควรทำความสะอาดครั้งใหญ่ อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าข้างในจะมีอะไรที่เป็นอันตรายหรือไม่ และเธอสะดวกใจที่จะอยู่บ้านพักหลังนี้มากกว่า แต่ว่าถ้าปู่เฉินต้องการที่จะย้ายไปเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอเพียงให้มั่นใจก่อนว่ามันจะปลอดภัยจริง ๆช่วงนี้เธอไม่สามารถติดต่อกับระบบได้และมันก็หายไปหลายวันแล้ว ทำให้เฉินเฟิ่นอี้เป็นกังวลและคิดว่าควรรอมากกว่า"ทำไมล่ะ ที่จริงพวกเร
ปู่เฉิน ย่าเฉิน ลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม พ่อของเธอ พี่ใหญ่เฉิน และเฉินเฟิ่นอี้อยู่บนรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังตระกูลเฉินตามที่เคยบอกเฉินหว่านเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้พูดเล่น ตอนนี้ตระกูลเฉินมีหนี้และอีกไม่นานกิจการค้าขายที่เคยเป็นของปู่เฉินก็จะถูกยึด พี่ใหญ่เฉินกล่าวว่ามีคนจากตระกูลเฉินขอกู้เงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนแลกกับกิจการเฉินเฟิ่นอี้นั่งข้างคนขับซึงก็คือพี่ใหญ่เฉิน นอกจากพวกเธอแล้วยังมีนายทหารอีกสองคันที่พี่ใหญ่เฉินพามาด้วย ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะไม่มีเงินจ้างคนทำความสะอาดทางเข้า เขตบ้านตระกูลเฉินรกมากรถยนต์ดับลงหน้าบ้าน สมาชิกบ้านเฉินลงจากรถ เฉินเฟิ่นอี้เดินไปหาย่าเฉินที่อยู่ในวงล้อมของลูก ๆ เฉินเฟิ่นไม่ได้กลัวแต่ถ้าเกิดมีการลงไม้ลงมือกัน อย่างน้อยอยู่ใกล้ย่าเฉินจะปลอดภัยที่สุด“ที่นี่คือตระกูลเฉินเหรอคะ?”เฉินเฟิ่นอี้มองไปยังบ้านหลายหลังที่อยู่ติดกัน ด้านหน้าทางเข้าพบว่าเป็นบ้านสมัยใหม่ที่ดูดี แต่พอเข้ามาด้านหลังต้องบอกว่ามันทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะหลังที่เป็นเหมือนบ้านรวม ตัวหลังคาหน้าบ้านมันแตกแล้ว“เปลี่ยนไปมากจริง ๆ” ปู่เฉินว่าด้วยความเสียดาย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าจะมีคนดูแลที่นี่เหมือนก
เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดร้านนานหลายวัน เฉินเฟิ่นอี้กลับมาเปิดร้านอีกครั้งและจ้างคนมาเฝ้าหน้าร้านถึงสามคนเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวทายาทของเจ้าของกิจการที่ยกให้น้องชายก่อนที่เขาจะหายตัวไปพร้อมครอบครัว ทำให้ร้านผ้าถุงมีลูกค้าเข้ามาซื้อของมากขึ้น และมีหลายร้านที่มาจ้างให้เฉินเหม่ยเย่ไปถ่ายงาน นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็ยังมีงานตามมาอีกไม่ต่างกันเฉินเฟิ่นอี้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อตรวจสอบบัญชีของเมื่อวานที่ยังไม่ได้จัดการ ข้าง ๆ กันมีโอวหยางจิงที่ตามมาด้วย เห็นบอกว่างานในโรงงานไม่ได้มีอะไรให้ทำและไม่ได้รับลูกค้าเพิ่ม เพียงตัดเย็บให้ร้านของเธอกับตัดเย็บเสื้อผ้าให้ร้านเยว่ซินก็ทำแทบไม่ทันแล้ว"เมื่อวานโจวซิงฉือบอกว่าที่บ้านติดต่อมา มีคนเข้าไปหาพวกเขาสอบถามถึงเรื่องของเธอ แต่ครอบครัวของเขาบอกไปว่าไม่รู้จักเธอ" โอวหยางจิงเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งมองคนรักทำงานทุกคนติดต่อไปยังครอบครัวเพื่อให้บอกว่าไม่รู้จักบ้านเฉินหรือหากพวกเขามีพยานให้ตอบว่าเป็นเพื่อนของลูกเท่านั้นไม่ได้รู้จักสนิทสนม และเป็นคำสั่งของเฉินเฟิ่นอี้เองเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และไม่มีใครถามเนื่องจากเชื่อในตัวของเพื่อน