ปี 1975สถานการณ์ปัจจุบันเริ่มคลี่คลายลงหลายอย่าง ตอนนี้เริ่มเปิดให้ขายของกันได้แล้ว เพียงแต่ยังไม่ค่อยมีใครกล้าเปิดร้านอีกอย่าง หลายคนดูถูกอาชีพการค้าขาย หากทำการค้าขาย บ้านหลังนั้นก็จะถูกนินทา ไม่มีใครอยากคบค้าด้วย และหลายคนมองว่าอาชีพนี้ไม่มั่นคงเหอเสี่ยวหงก็กำลังคิดจะทำการค้าขายเช่นกัน แต่ก่อนเหล่าลูกสาวจะแอบเอาไปขายที่โรงเรียน แต่ครั้งนี้เหอเสี่ยวหงจะเปิดร้านขึ้นมาเอง เธอได้ลงชื่อจองเช่าตึกใกล้ ๆ กับตึกแถวที่เธออยู่ ราคาค่าเช่าเดือนหนึ่งมันไม่ต่ำเลยแต่เหอเสี่ยวหงกลับคิดว่ามันคุ้มกับราคา เพราะมันเป็นที่ ๆ คนอยู่เยอะ และยังไม่มีร้านค้าเปิดแถวนั้น หรือเรียกได้ว่าต่อจากนี้จะเป็นย่านการค้าในอนาคตตึกที่เหอเสี่ยวหงเช่ามีสองชั้น สองคูหาติดกัน ชั้นล่างกับชั้นสองทะลุถึงกันสามารถเดินไปหากันได้ เหอเสี่ยวหงได้มันมาในราคาเช่าเดือนละหนึ่งร้อยยี่สิบหยวน อันที่จริงแล้วเจ้าของตึกต้องการปล่อยเช่าหนึ่งร้อยห้าสิบหยวนต่อเดือน แต่เหอเสี่ยวหงต่อราคามาจึงได้จำนวนนี้ เพราะเธอไม่รู้ว่าธุรกิจจะไปได้ดีไหม ได้ค่าเช่ามาในราคาที่ถูกที่สุดถึงจะดีเนื่องจากไม่ใช่ที่พัก มันจึงไม่มีรั้วและลานหน้าตึก แต่ข้างหลัง
ชาเฮยเซ่อเป็นชาที่คุณย่าของเหอเสี่ยวหงชอบดื่มมาก เป็นใบชาที่มีกลิ่นฉุน มีสีดำที่ไม่น่าดื่ม และยังมีรสชาติขม แต่คุณย่าในตอนที่เหอเสี่ยวหงได้ไปยังอนาคตนั้นกลับชอบดื่มเป็นอย่างมากตอนเด็ก ๆ คุณย่าจะชอบเล่าเรื่องใบชา แล้วก็จะสอนให้เหอเสี่ยวหงชงชา โดยที่ใบชาเฮยเซ่อเป็นชาแรกที่คุณย่าสอน เริ่มตั้งแต่ปลูกต้นชา เก็บใบชา ล้างตากแห้ง หรือแม้กระทั่งวิธีการเก็บ ก่อนจะนำมาชงเป็นน้ำชาเหอเสี่ยวหงที่ชงชาครั้งแรกถูกคุณย่าสอนชงชา เธอจึงอยากจะชิม จิบไปได้หนึ่งอึก เหอเสี่ยวหงถึงกับอ้วกออกมาเธอยังจำตอนที่คุณย่าที่หัวเราะจนน้ำตาไหลได้ พอหัวเราะเสร็จก็ชงให้เธอชิม รสชาติที่คุณย่าชงกับเธอชงนั้นเทียบกันไม่ติดเลยคุณย่าเล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก ๆ ด้วยความที่มีพี่น้องเยอะ ที่บ้านก็ไม่ได้มีเงิน หากอยากกินอะไรต้องอดทนเอา เพราะแค่ซื้อข้าวก็แทบจะไม่เหลือแล้ว ใบชาในอดีตถ้าเป็นชาดีราคาก็แพง แต่ถ้าเป็นชาไม่ดีก็จะราคาถูก วันหนึ่งที่บ้านได้ใบชามาจากคนที่เอาชามาแจก เขาบอกว่าชาชนิดนี้ที่ไร่เขาไม่ต้องการ พี่น้องหลายคนต่างแย่งชิงใบชาที่ได้คนละไม่กี่ใบ ที่เคยเห็นพวกคุณหญิงคุณชายดื่ม พวกเขาอยากจะดื่มด้วยแต่มันก็ทำให้หลายคนทิ้งชาไ
ผนังปูนของร้านค้าทั้งสองตอนนี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นกระจกใสแทนแล้วจากความคิดของซานนี เธอชอบจึงได้ให้พ่อบอกให้ช่างเปลี่ยนให้ กระจกก็ไม่ได้ใสมากนัก แต่ก็พอมองออกไปข้างนอกและมองเข้ามาได้ เวลาปิดร้านค่อยใช้ผ้าม่านปิดให้มิดชิด เพราะที่บ้านก็ทำแบบนี้ ถึงแม้ใช้กระจกใสแล้วต้องใช้เงินมากขึ้น แต่เพื่อลูกสาวแล้วโจวเหวินหลงก็ไม่ปฏิเสธมองไปที่ร้านตอนนี้เหลือเพียงรอใบชาก็สามารถเปิดร้านได้แล้ว พวกอุปกรณ์ในการชงชาเหอเสี่ยวหงไม่ได้ใช้เครื่อง เพราะถึงที่นี่จะมีไฟฟ้าแต่มันก็ยังไม่ได้ทันสมัยนัก พวกเครื่องกรองใบชาที่มีคนเอาใส่ในมิติไว้จึงยังไม่ได้เอาออกมาเหอเสี่ยวหงเย็บผ้าสีขาวใส่กับเหล็กโค้งเป็นวงกลม ต่อเหล็กให้มีด้ามจับอยู่หลายอัน เหอเสี่ยวหงจะแยกใช้กรองใบชาแต่ละชนิดไม่ใช้ซ้ำกัน เพราะกลิ่นและรสชาติจะไม่เหมือนเดิมในร้านน้ำชา เหอเสี่ยวหงยังไม่ได้จะเอาอาหารอย่างอื่นลงในตอนนี้ เพราะอยากจะโฟกัสที่น้ำชามากกว่าของว่างในร้านผ้าตอนนี้กระเป๋าทั้งไหมพรมและผ้าถูกแขวนไว้บนราวเหล็กหลายใบ ไม่ใช่เพียงแต่กระเป๋าผ้า ยังมีหมวก ถุงมือ ถุงเท้า เสื้อแขนยาว ผ้าพันคอ และยังมีอย่างอื่นอีกหลายอย่าง มันถูกเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อ
เหอเสี่ยวหงเตรียมของคาวกับของหวานไว้หลายอย่างในวันนี้ ถึงคนจะไม่ได้เยอะเหมือนร้านข้าง ๆ ที่กำลังทำพิธีวันนี้เหมือนกัน เหอเสี่ยวหงก็ไม่ได้คิดมากอะไร เพราะครอบครัวของสหายก็สิบกว่าคนแล้ว วันนี้ต้านีไม่ได้มาด้วยเพราะต้องอยู่กับครอบครัวอีกฟากของเมือง อีกอย่างได้ข่าวว่ากำลังตั้งท้องอ่อน ๆ เหอเสี่ยวหงจึงไม่ให้มาน้ำชานั้นเหอเสี่ยวหงไม่ได้ชงไว้ ถึงเวลาค่อยชงก็ได้โจวเหวินหลงเชิญซินแสมาทำพิธีต่าง ๆ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงในการเปิดร้านเพราะไม่เคยเปิด เหอเสี่ยวหงก็ไม่รู้เช่นกันพอถึงเวลาทำพิธีทุกคนก็ออกมาช่วยกัน ซินแสทำพิธีต่าง ๆ เสร็จก็เกือบจะเที่ยงแล้ว จากนั้นซินแสก็กลับเพราะเห็นว่าต้องไปที่อื่นต่อทุกคนเข้ามาอวยพรครอบครัวเหอสายรองให้ขายดิบขายดีเหอเสี่ยวหงเชิญทุกคนนั่งโต๊ะ ก่อนจะให้เหล่าลูกสาวเอาอาหารออกมาเสิร์ฟอาหารจานเนื้อจานแรกคือสันนอกหมูย่างเกลือ จานที่สองเป็นเป็ดนึ่ง ไก่ดำตุ๋นแล้วก็ผัดเครื่องในไก่จานผักก็มีผัดผักรวม ผักนึ่งส่วนของหวานเหอเสี่ยวทำขนมไข่ พายผลไม้รวม เค้กไข่ มันเชื่อม โต๊ะในร้านน้ำชาอันที่จริงมันเป็นโต๊ะนั่งสี่คน แต่เหอเสี่ยวหงเอามาต่อกัน โต๊ะแรกเป็นของสามี สหายแล้
โจวเหวินหลงกลับบ้านได้อาทิตย์กว่า ๆ แล้ว อีกไม่กี่วันก็คงจะกลับมา เพราะปกติเขาจะไปไม่กี่วัน เหอเสี่ยวหงปรับเวลาเปิดปิดร้านและติดป้ายติดเอาไว้หน้าร้านอย่างชัดเจนเปิดร้านแปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็นของทุกวัน ส่วนวันหยุดก็คือเปิดร้านหกวันปิดร้านหนึ่งวันสลับกันไปในขณะที่ร้านอื่น ๆ นั้นยังคงเปิดทุกวัน เพราะตอนนี้ที่นี่เป็นย่านการค้าไปแล้ว ระยะเวลาเพียงเดือนกว่า ๆ จากซอยที่เงียบเหงา ตอนนี้รุ่งเรืองคึกคักเป็นอย่างมากร้านของเหอเสี่ยวหงโดดเด่นที่สุดในซอยนี้แล้ว ทั้งเรื่องที่ร้านติดกระจก ความสะอาด น้ำชาที่มีรสกลมกล่อม ร้านผ้าที่มีแต่คนชมชอบช่วงนี้เหอเสี่ยวหงกำลังคิดหนักเพราะโจวเหวินหลงไม่อยู่ สองวันก่อนตึกคูหาร้านโจ๊กที่อยู่ตรงข้ามร้านของเธอปิดตัวลงเพราะไม่มีคนเข้าร้าน เขามาเสนอขายร้านให้กับเธอแน่นอนว่าเหอเสี่ยวหงมีกำลังซื้อมากพอ แต่เหอเสี่ยวหงก็ไม่ได้รู้ราคามากนัก อีกอย่างตอนนี้ก็ยังไม่สามารถซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ได้ แต่ถ้าจำไม่ผิดก็คงจะซื้อได้เร็ว ๆ นี้เหอเสี่ยวหงจึงต้องรอปรึกษากับสามีก่อน โดยระหว่างนี้เจ้าของตึกก็ไปบอกขายให้คนอื่น ๆ เหอเสี่ยวหงได้ยินมาว่าตึกนี้เป็นตึกคูหาบ้านของเขาในอดีต มี
สามสาวกลับเข้ามาพร้อมกับจางเปาหลง เหอเสี่ยวหงจึงแนะนำจางเปาหลงกับเสี่ยวยวี่ให้รู้จักกัน ก่อนจะพากินข้าวมื้อกลางวันกินเสร็จเหอเสี่ยวหงก็ไล่ลุงกับหลานขึ้นไปพัก ส่วนเธอกับลูกสาวแล้วก็ว่าที่ลูกเขยนั่งเล่นกันอยู่ที่โต๊ะ ทุกคนกำลังช่วยกันเช็ดทำความสะอาดกาน้ำชาและจอกน้ำชาจริง ๆ หลังจากเก็บโต๊ะมาก็จะล้างเลยเพราะกลัวจะเป็นคราบ แต่หลังจากปิดร้านเหอเสี่ยวหงก็จะเอาออกมาล้างและเช็ดให้แห้งอีกรอบ เช็ดเสร็จก็จะคว่ำไว้บนโต๊ะ วันต่อมาก็จะเช็ดทำความสะอาดอีกรอบก่อนเปิดร้าน ถึงขั้นตอนจะเยอะเหอเสี่ยวหงก็ยังคงทำตลอด“เป็นยังไงบ้างจ๊ะเปาหลง เราจะทำงานเต็มตัวหรือหางานใหม่” เหอเสี่ยวหงถามว่าที่ลูกเขย“น่าจะต้องหางานใหม่ครับ เพราะเหมือนจะมีคนเข้ามาทำงานแทนไปแล้ว”จางเปาหลงทำงานอยู่ที่บ้าน เขาคัดลอกหนังสือให้กับโรงเรียนหรือบางครั้งก็จะทำแบบฝึกหัดให้ ทำมาตั้งแต่เรียนจบ จนไม่กี่วันก่อนจางเปาหลงเอางานไปส่งทางโรงเรียน ครูใหญ่บอกจะเปิดรับครูอัตราจ้าง เขาสามารถเข้าไปสมัครได้เพราะจะไม่ได้จ้างให้คัดหนังสือแล้วซึ่งจางเปาหลงปฏิเสธ ก่อนหน้านี้เขาทำมาตลอดก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร พอตอนนี้จะเปิดรับก็เปิดโดยไม่ได้บอกอะไรล่
เหอเสี่ยวหงบำรุงเสี่ยวยวี่จนมีร่างกายที่แข็งแรง มีน้ำมีนวลและผิวก็ยังขาวขึ้นมามาก ตั้งแต่วันแรกที่เสี่ยวยวี่มาที่นี่ก็เกือบจะสองปีแล้วตึกที่เธอได้เช่าทำร้านผ้ากับร้านน้ำชาตอนนี้เป็นชื่อของเธอทั้งหมดเมื่อปลายปีที่แล้ว ส่วนตึกที่ปรับปรุงฝั่งตรงข้ามกันนั้นข้างบนมีถึงแปดห้อง ห้องของเหอเสี่ยวหงกับโจวเหวินหลงหนึ่งห้อง ห้องนอนของลูกสาวคนละห้องรวมกันเป็นสี่ห้อง ห้องของเสี่ยวยวี่อีกหนึ่งห้อง อีกสองห้องที่เหลือเหอเสี่ยวหงทำเป็นห้องกินข้าว ส่วนอีกห้องก็เป็นห้องไว้เก็บของส่วนชั้นสองเหอเสี่ยวหงทุบห้องแล้วกั้นใหม่ มันเป็นห้องเล็ก ๆ ที่สามารถเข้าไปอยู่ได้เกือบสิบคนรวมสิบห้อง เหอเสี่ยวหงทำไว้ให้คนที่ต้องการจิบน้ำชานาน ๆ ขึ้นมาเปิดห้อง โดยคิดค่าเปิดเป็นชั่วโมงส่วนชั้นล่างนั้นเหอเสี่ยวหงจะเปิดเป็นร้านน้ำชาอีกร้าน โดยที่ร้านนี้เหอเสี่ยวหงจะให้เหล่าบ้านเหอเข้ามาช่วย ส่วนร้านเดิมก็ยังเปิดอยู่ แต่เนื่องจากสถานที่คับแคบจึงต้องขยายร้านเพิ่ม จากที่ตอนแรกจะขายสบู่แต่ที่เล่ามานั้นเหอเสี่ยวหงยังไม่ได้มาเปิด เพราะการปรับปรุงร้านเพิ่งจะเสร็จไปไม่กี่วันที่แล้วนี่เองร้านผ้าที่ปิดเอาไว้ก่อนเหอเสี่ยวหงก็เปิดเดือน
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในครั้งนี้ เหอเสี่ยวหงมีเวลาติวหนังสือเพิ่มเติมให้เด็ก ๆ เดือนกว่า เพราะฉะนั้นภาษาอังกฤษเหอเสี่ยวหงจึงต้องเข้มงวดมากกว่าวิชาอื่น ๆระหว่างการติวตลอดเดือน ลูกของสหายคนอื่น ๆ ก็เข้ามาติวด้วยในบางครั้ง อาจจะเพราะไม่ได้มาติวตลอดทุกวัน ความรู้จึงขาด ๆ หาย ช่วงจะสอบจึงไม่มีใครมาอีกเลยยกเว้นจางเปาหลงที่ตอนนี้มีร้านเป็นบ้านหลังที่สองเหอเสี่ยวหงย้ายเข้ามาอยู่ตึกใหม่แล้ว เพราะจะได้ไม่ต้องเทียวขึ้นลงหลายครั้ง จางเปาหลงก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่ตึกร้านน้ำชา ที่ตอนนี้ปิดร้านอยู่แทน ซึ่งเหอเสี่ยวหงเป็นคนบอกให้ย้ายเข้ามาพักเอง จริง ๆ ตอนแรกก็จะให้เข้ามาพักตึกเดียวกันก็ได้แหละ แต่ร้านน้ำเต้าหู้ข้าง ๆ จะนินทาเอาได้ เหอเสี่ยวหงขี้เกียจจะฟังอีกประมาณสองอาทิตย์ก็จะให้เข้าไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย หากมีคะแนนที่โดดเด่นอาจได้เข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ยิ่งมีคะแนนดีมหาวิทยาลัยที่หวังจะเข้าก็มีโอกาสมากสอบเสร็จสามารถส่งเอกสารเลือกมหาวิทยาลัยไปทางมหาวิทยาลัยได้เลย หลังจากตรวจสอบเสร็จแล้วสามารถเข้ามหาวิทยาลัยนั้นได้ก็จะมีเอกสารตอบกลับมา เหอเสี่ยวหงไม่ได้บังคับให้เด็ก ๆ ต้องเข้าคณะหรือมหาวิทยาลัยไหน เธอให้
เรื่องราวของหยาดฟ้าที่เหอเสี่ยวหงคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรทั้งนั้นหยาดฟ้าในวัยสิบสองขวบเป็นเด็กสาวที่น่าสงสารคนหนึ่ง ตั้งแต่เด็กจนโตเธอไม่เคยเห็นหน้าผู้เป็นพ่อสักครั้ง แม่ให้เหตุผลว่าเลิกกันก่อนที่เธอจะลืมตาดูโลก และเล่าให้ฟังว่าพ่อติดเหล้าหนักมาก และชอบทุบตีแม่ที่กำลังท้องเธอเกือบห้าเดือน สุดท้ายแม่ทนไม่ไหวก็เลยเก็บเงินที่ซ่อนไว้หนีมาบ้านเกิดผู้เป็นยายและยายของเธอก็เป็นเพื่อนวัยเด็กของคุณย่าเหอ คุณย่าเหอที่สงสารก็เลยรับแม่ของเธอมาเป็นคนสนิท จนกระทั่งเธออายุสิบสองขวบก็เกิดข่าวร้ายแม่ของเธอมีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงหลังจากที่คลอดเธอออกมา และไม่ยอมเข้ารักษาอาการป่วยจนเกิดเรื้อรัง สุดท้ายจึงจากเธอไปวันนั้นหยาดฟ้าจำได้ดี เธอร้องไห้แทบใจขาดเมื่อคนที่อยู่กับเธอมาตลอดจากไป และเป็นวันเดียวกันที่มีคนเข้ามาช่วยพยุงเธอเอาไว้ นั่นก็คือคุณย่าเหอกับเหอเสี่ยวหง เพื่อนสนิทสาวพ่วงตำแหน่งเจ้านายของเธอ ถึงคุณย่าเหอกับเหอเสี่ยวหงไม่ได้เจ้ากี้เจ้าการกับตำแหน่ง และเธอก็ถือว่าเป็นหลานบุญธรรมของท่านแล้ว แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าไม่ควรเอาตัวเองไปเทียบกับเหอเสี่ยวหงคุณย่าเหอเ
เหอเสี่ยวหงรู้สึกว่าช่วงนี้ดวงของสามีตกมาก เมื่อได้ที่ดินคืนมาแล้วทั้งโจวเหวินหลงกับพี่ชายใหญ่ก็จะพากันกลับ แต่ก็เกิดเรื่องอีกครั้งโจวกว่างโมโหที่ผู้เป็นพ่อยกบ้านและที่ดินให้กับพี่ชาย จึงลงมือกับคนเป็นแม่ด้วยอาการมึนเมา มีคนเข้าไปช่วยทันแต่อาการนางหลี่ซื่อก็หนักมาก เพราะไม่มีเงินไปหาหมอโจวเหวินหลงรับรู้และเขาก็ยังกลับฉงชิ่งไม่ได้ การกลับบ้านจึงต้องเลื่อนออกไปอีกหลายวัน ถึงนางหลี่ซื่อไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของโจวเหวินหลง โจวจือหยวน และโจวมี่ แต่นางก็เลี้ยงโจวมี่มา โจวมี่เลยมาขอร้องพี่ชายให้พานางหลี่ซื่อไปโรงพยาบาล“ถ้าคุณพานางไป ก็ไม่ต้องกลับมา” เหอเสี่ยวหงกล่าวเสียงเรียบในวันที่เธอแท้งลูก นางหลี่ซื่อไม่มีแม้แต่เชิญหมอมารักษาหรือพาเธอไปหาหมอ ปล่อยให้เธอแท้งลูกซ้ำยังบอกย่าโจวว่าเธอสะดุดขยะในห้องล้มอีก แม้นางหลี่ซื่อตายเธอก็ไม่เสียใจ‘ผมบอกพวกเขาแล้วครับ’มีไม่กี่เรื่องที่เหอเสี่ยวหงจะปฏิเสธสามี และครั้งนี้ต่อให้ใครมาขอร้องเหอเสี่ยวหงก็ไม่ยอม ลูกชายและลูกสะใภ้ หลานของนางก็ยังอยู่ ทำไมถึงต้องมาพึ่งสามีเธอด้วย อีกอย่างก่อนที่พวกเธอจะออกจากหมู่บ้าน นางหลี่ซื่อยังอยู่ในกลุ่มที่มาไล่พวกเธอเลย“ฉัน
เข้าสู่วันที่ห้าของการกลับบ้านของโจวเหวินหลง เหอเสี่ยวหงก็ได้รับข่าวร้าย สกุลโจวได้สิ้นผู้อาวุโวอย่างย่าโจวไปแล้ว นางจากไปด้วยโรคชราที่เป็นปัญหามาหลายปีเหอเสี่ยวหงส่ายหน้าเมื่อวางสายจากสามีไปหลังเขาติดต่อมา ในร้านน้ำชามีโทรศัพท์จึงไม่แปลกที่เหอเสี่ยวหงจะได้รับการติดต่อจากสามี ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาการย่าโจวทรุดหลังจากที่เธอพาครอบครัวกลับ“มีอะไรหรือเปล่าครับ”เป็นผู้จัดการหลงที่เก็บโต๊ะเสร็จถามเหอเสี่ยวหง เขาเห็นเจ้านายนั่งคุยกับปลายสายไม่นาน แต่ตอนนี้หล่อนกลับมีสีหน้าที่เคร่งเครียด“ไม่มีอะไรค่ะ เดี๋ยวถ้าเอาบัญชีร้านขึ้นไปบนห้อง ตามโจวต้านีให้ด้วยนะคะ” เหอเสี่ยวหงส่ายหน้า“ได้ครับ”โจวต้านียังไม่กลับมาทำงาน คงเพราะหลานสาวตัวน้อยของเธอป่วย อันที่จริงเธอก็บอกหล่อนแล้วว่าไม่ต้องมา แต่โจวต้านีก็รั้นมาจนได้“แม่คุยอะไรกับพ่อเหรอคะ”พอผู้จัดการหลงเดินออกจากร้านไป ก็เป็นซานนีที่ประจำร้านอยู่เอ่ยถาม หล่อนรู้แค่ว่ามารดาคุยกับใคร แต่จับใจความไม่ค่อยได้“ย่าโจวเสียแล้ว” เหอเสี่ยวหงถอนหายใจสำหรับเหอเสี่ยวหงแล้วเธอรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วมาก อีกอย่างเรื่องที่เธอแท้งเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ยังไม่ได้บอกย่าโจ
เหอเสี่ยวหงมองหน้าหลานสาวตัวน้อยนามเฟยฮวาวัยห้าเดือนในอ้อมแขนแล้วถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าสกุลเฟยตาบอดหรือยังไง ทำไมถึงมองไม่เห็นความน่ารักของหลานสาวตัวน้อยคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเมื่อมองลูกสาวช่วยคนอื่นขนของโจวต้านีลงจากรถ หรือเพราะเธอไม่บังคับลูกสาวกันนะ ถึงไม่ได้มีหลานให้อุ้มแบบนี้ได้แต่อิจฉาสะใภ้ใหญ่ที่ได้ลูกเขยก่อนคนอื่น แล้วยังได้หลานก่อนคนอื่นอีก ยังดีที่สหายของเธอยังไม่มีหลาน เหอเสี่ยวหงจึงไม่ต้องทนฟังเสียงอวดหลาน“ให้ฉันอุ้มหลานบ้างสิ”สะใภ้ใหญ่เดินเข้ามาหาผู้เป็นน้องสะใภ้และน้องสาว ตั้งแต่ที่ลูกสาวอุ้มหลานสาวลงรถมา นางก็ยังไม่ได้อุ้มหลานเลย มีแต่เหอเสี่ยวหงที่อุ้มหลานแล้วไม่ยอมปล่อยให้ใครอุ้มต่อ“เดี๋ยวพี่ก็ได้อุ้มแล้ว” เหอเสี่ยวหงแย้งอย่างไม่จริงจังนักโจวต้านีขอเข้าทำงานพร้อมสามีในร้านผู้เป็นอากับอาสะใภ้ โดยที่แม่ของหล่อนยินดีที่จะดูแลหลานระหว่างที่พ่อกับแม่ของหลานทำงานแบบไม่เอาเงินสักเฟิน“หลับแล้ว” สะใภ้ใหญ่บอก“อืม”เหอเสี่ยวหงส่งหลานสาวให้ผู้เป็นยายแท้ ๆ อุ้ม แล้วตัวเองก็ออกมาช่วยทุกคนขนของเข้าบ้านตึกแถว ยังไงโจวต้านีก็แต่งออกแล้วจะให้ไปอยู่รวมกับครอบครัวก็ไม่ใช่ อีกอย
จากที่จะกลับไปพักผ่อนอยู่บ้านเกิดในช่วงปิดเทอมตามคำขอของสาว ๆ บ้านรองโจวก็ต้องกลับมาอยู่ที่ฉงชิ่ง เหอเสี่ยวหงเอ่ยขอโทษลูกสาวกับหลานสาวที่ต้องพากลับกระทันหัน ยิ่งกับอาสามแล้วเหอเสี่ยวหงยิ่งเอ่ยขอโทษอยู่หลายครั้งเหอเสี่ยวหงรู้ว่าอาสามอยากอยู่ที่บ้านเหอ แต่พอเหอเสี่ยวหงจะกลับเขาก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้ เป็นห่วงหลาน ๆ หากปล่อยให้มาด้วยกัน“เอาไว้เรียนจบแม่ค่อยพากลับไปดีกว่า” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาวอีกตั้งหลายปีที่เด็ก ๆ จะเรียนจบ ทุกคนในหมู่บ้านก็คงจะลืมไปแล้ว อีกอย่างทุกคนก็รู้กฎหมายกันอย่างดี เหอเสี่ยวหงจึงไม่กลัวที่จะกลับไป แต่ครั้งนี้มันตั้งตัวไม่ทัน“ไม่กลับก็ได้ค่ะ อยู่นี่ก็ดีแล้ว” เอ้อร์นีเอ่ยตอบเป็นคนแรกหล่อนอยากกลับไปที่บ้านเกิดก็จริง แต่หล่อนกลัวเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นอีก ลึก ๆ แล้วหล่อนรู้ว่าแม่ของหล่อนเป็นห่วงเรื่องการบังคับแต่งงาน เอ้อร์นีไม่ใช่คนโง่ หล่อนถูกมารดาเลี้ยงมาอย่างดีแต่ก็ไม่ได้เลี้ยงให้โง่เขลา แม่ของหล่อนไม่ชอบการบังคับ หล่อนก็ไม่ชอบการบังคับเช่นเดียวกัน“ใช่ค่ะ ไม่กลับไปแล้วก็ได้” ลิ่วนีเอ่ยด้วยความหวาดกลัว หล่อนเป็นเด็กที่ตั้งแต่จำความได้ก็เติบโตมาในเมือง จึงไม่ร
เหอเสี่ยวหงเดินนำลูกสาวตามโจวเหวินหลงเข้าไปภายในบ้าน ชาวบ้านที่มามุงแหวกออกให้เข้าไป แต่พอเข้าไปแล้วก็กลับมามุงเหมือนเดิมครั้งก่อนอยู่เพียงนอกบ้าน แต่ครั้งนี้ที่ต้องเข้ามาในบ้านเพราะย่าโจวล้มป่วยอีกแล้ว ภายในบ้านที่ไม่ใหญ่จึงแคบลงถนัดตาเมื่อมีคนล้อมรอบ‘หลานสาวบ้านโจวแน่ ๆ’‘ฉันต้องทาบทามจากย่าโจวแล้ว’‘ฝันอยู่เหรอ บ้านรองโจวอยู่ในมือสะใภ้รองโจว คงจะให้ลูกสาวแต่งมาอยู่ชนบทหรอก!’‘ใครจะไปรู้ อีกอย่างสะใภ้ก็ต้องเชื่อฟังครอบครัวของสามี’‘ไม่ใช่ว่าแต่งงานกันแล้วรึ อายุขนาดนี้แล้ว’‘จริง ถ้ายังไม่แต่งคงจะไม่มีใครเอา’เหอเสี่ยวหงหันไปมองชาวบ้านที่นินทาลูกสาวของเธอ เรื่องที่ลูกสาวจะแต่งกับใครเหอเสี่ยวหงไม่ได้ห้าม ต่อให้ฝ่ายชายไม่มีเงินแต่ง ถ้าลูกสาวจะแต่งเธอก็ให้แต่ง สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่เป็นไร แต่คนอื่นจะเดือดร้อนด้วยทำไม“ลูกสาวฉันไม่แต่งงานแล้วทำไม”ชาวบ้านที่ซุบซิบอยู่หน้าบ้านเงียบปากกันลงทันที เมื่อสะใภ้รองโจวพูดขึ้น ใคร ๆ ก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับเหอเสี่ยวหง“นี่ย่าทวด เป็นย่าของพ่อเรา”เหอเสี่ยวหงแนะนำย่าโจวให้ลูกสาวทำความเคารพ ซึ่งเด็ก ๆ รู้จัก แต่นี่ก็ไม่ได้มาเจอกันนานแล้ว เธอจึง
สาว ๆ ปิดเทอมสองเดือนในภาคเรียนแรก ที่ปิดนานขนาดนี้เพราะเพิ่งเปิดปีแรก จึงต้องปรับเปลี่ยนอะไรหลายอย่างจึงหยุดนานทุกคนมาปรึกษากันดูแล้ว ลูกสาวอยากกลับไปดูบ้านเกิดกันมาก โจวเหวินหลงจึงจะพาไป แต่รถคันเดียวไม่สามารถไปกันได้หมด จึงต้องซื้ออีกคันเพราะถ้าไม่ซื้อก็ไปกันไม่หมดแน่ ลำพังแค่ของก็เต็มรถแล้วแต่ครั้งนี้ต่างออกไป อาสามเหอจะไปด้วย รถที่ซื้ออีกคันก็เป็นเขาขับ ส่วนอาสี่ยังกลับไม่ได้เพราะเดินเรื่องยังไม่เสร็จ ซึ่งอาสี่เศร้ามาก หลายเดือนจนจะปีแล้วการลาออกยังไม่ถึงไหนเลย เหมือนทางกองทัพจะรั้งเขาไว้ด้วย การลาออกจึงถูกสกัดไว้“เดี๋ยวหนูกับซานนีแล้วก็เสี่ยวยวี่จะไปนั่งกับตาสามเอง” เอ้อร์นีบอกเพราะรถมีสองคันจึงต้องแบ่งกันนั่ง อีกอย่างถ้าจะเบียดกันไปก็คงจะไม่ได้“ดีเลยค่ะ หนูอยากนั่งกับแม่” ลิ่วนีพยักหน้าเหอเสี่ยวหงส่ายหัวก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เดินตรวจดูของพอเห็นว่าไม่ขาดอะไร ก็ไปสั่งงานผู้จัดการร้านไว้ “ฉันฝากร้านด้วยนะคะ ไม่มีกำหนดกลับ แต่ก่อนสาว ๆ จะเปิดเทอมแน่นอน” เหอเสี่ยวบอก“ได้ครับ คุณนายโจวไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะจัดการให้” ผู้จัดการหลงพยักหน้า“ส่วนบัญชีส่งให้ดูหลังวันหยุดนะคะ”
เหอเสี่ยวหงอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้าเพื่อมารอคุณลุงลี่โจวหูเอาใบชามาส่ง นี่ก็ผ่านมาสามวันตามที่เอ้อร์นีบอกว่าคุณลุงจะเป็นคนมาส่งใบชาเอง และเมื่อวานตอนเย็นคุณลุงติดต่อมาอีกครั้งว่ามาถึงฉงชิ่งแล้ว แต่เพราะมันมืดแล้วจึงจะพักกันก่อน พรุ่งนี้เช้าจึงจะมาส่งส่วนวันนี้โจวเหวินหลงไม่ได้ออกไปคุมช่าง เพราะวันนี้ทำแค่ความสะอาด และวันนี้เป็นวันที่อู๋นีบอกว่าจะกลับบ้านด้วย“ฉันลงไปรอข้างล่างนะคะ” เหอเสี่ยวหงบอกสามีที่แต่งตัวอยู่จริง ๆ เธอไม่ต้องเป็นคนรับของเองก็ได้ จะให้ผู้จัดการหลงรับเหมือนปกติก็ได้ แต่เนื่องจากครั้งนี้คุณลุงมาส่งเอง เหอเสี่ยวหงจึงต้องออกมาต้อนรับ“มากันครบแล้วเหรอ” เหอเสี่ยวหงถามพนักงาน“ครบแล้วค่ะ” เฟยหยางอิงตอบ“ไปทำความสะอาดที่เก็บใบชาเถอะ” เหอเสี่ยวหงพยักหน้าก่อนจะสั่งงาน“ได้ค่ะ”“ได้ครับ”ยังดีที่สามวันที่ผ่านมาลูกค้าที่จองห้องได้เข้าใช้ห้องครบทุกคิว เนื่องจากใบชามีเพียงพอต่อสองวัน และเมื่อวานก็เป็นวันหยุด ทุกคนไม่ได้ทำงานกัน วันนี้เหอเสี่ยวหงจึงต้องให้ทำความสะอาดห้องที่เก็บใบชา เวลาเก็บใบชาจะได้เก็บนาน ๆ อีกอย่างก็จะไม่ได้มีฝุ่นมาเกาะ“แม่!”เหอเสี่ยวหงสะดุ้งตกใจก่อนจะหัน
ตั้งแต่ที่ทำการซื้อขายใบชาจากไร่ชา เหอเสี่ยวหงซื้อใบชามาจากไร่ของคุณลุงลี่โจวหูคนเดียวเท่านั้น เพราะเธอได้เซ็นสัญญาเรื่องการซื้อขายเอาไว้ ปกติก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร คงจะมีแต่ช่วงนี้ที่มีปัญหา และใบชาก็ไม่ได้มาส่งเป็นเวลาสามวัน และคงไม่ถึงสองวันที่ใบชาที่มีจะหมดส่วนเรื่องผ้าผลตอบรับดีมาก ลูกค้าเก่าที่เคยซื้อแทบจะร้องไห้ออกมาเพราะอยากได้อีก บางคนก็ซื้อไปขายที่อื่นแต่เหอเสี่ยวหงก็ให้ราคาเต็ม ไม่ได้ลดราคาให้เพราะเธอไม่ได้ขายส่ง ส่วนจะเอาไปขายที่อื่นเธอก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาซื้อไปแล้วยังดีที่ผ้าปักลายมีมากถึงพันกว่าม้วน จึงไม่ทำให้ของขาดตลาดเท่าไร จะมีก็แต่บางลายเท่านั้นที่เหอเสี่ยวหงให้สหายปักเพิ่ม ในหนึ่งวันจะได้ผ้าปักลายเพียงห้าม้วน หรือบางวันก็มากกว่าสิบม้วน อย่างสามวันที่ผ่านมาก็ปักลายผ้าได้ยี่สิบเก้าม้วน เหอเสี่ยวหงเก็บมันเอาไว้แยกอีกที่หนึ่ง เอาไว้ของในร้านหมดค่อยเอามาเพิ่มตอนนี้ทุกคนพยายามช่วยกันติดต่อไร่ชา เพราะต้องสอบถามเรื่องใบชาแต่ไม่มีใครรับสายเลย ไม่รู้ว่าเพราะรู้ว่าเป็นพวกเธอหรือเปล่าจึงไม่ยอมรับ หรือไม่ก็พวกเขามีปัญหากันจริง ๆ“อย่างนี้เราแย่แน่ ๆ เลยครับ” ผู้จัดการหลงเอ่