“ทำอะไรกันน่ะ!” เสียงตวาดกึกก้องราวกับเสียงระฆังช่วยชีวิตเด็กน้อย แก้วรีบปล่อยมือจากต้นแขนเล็กๆ ทำให้ร่างเด็กหญิงผู้น่าสงสารทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นทันที
“หนูทราย” คุณไกรภพปราดเข้ามาประคองร่างเล็กนั้นอย่างเวทนา ขาที่ถูกฟาดจนแตกยับมีรอยเลือดไหลซิบๆ ทำให้เต้องขาสะเทือนใจ มือใหญ่ค่อยๆ ลูบไล้ไปที่ต้นแขนเล็กกำรอบที่มีรอยเล็บครบทั้งห้าจนห้อโลหิตด้วยความโมโห
“หนูทรายทำอะไรผิดนักหนาถึงต้องมาเฆี่ยนตีรุนแรงอย่างนี้” คนถูกถามเม้มปากแน่น ดูเอาเถอะ สามีสุดที่รักเข้าข้างคนอื่นต่อหน้าต่อตา
“คุณก็ถามมันเองสิคะ ว่ามาแกล้งหนูเฟื่องทำไม”
“ไม่จริงค่ะ! หนูไม่ได้ทำ ถ้าไม่เชื่อ คุณลุงลองถามคุณเพชรดูก็ได้ค่ะ” คุณไกรภพจ้องลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้นอย่างชั่งใจ
“ใครไปตามตาเพชรมาซิ”
“นี่คุณเชื่อยัยเด็กนี่มากกว่าฉันหรือไง” คุณพราวพิไลตัดพ้อ
“ไม่ได้ยินที่ฉันบอกหรือไง ไปตามตาเพชรมานี่ เดี๋ยวนี้”
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ลูกชายคนเดียวของบ้านก็ก้าวเข้ามาในห้อง คุณพราวพิไลรีบดึงลูกชายเข้ามากอดด้วยความหวงแหน พลางส่งสายตาเคียดแค้นให้สามี
“ไหนลองเล่าให้พ่อฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น หนูทรายแกล้งหนูเฟื่องอย่างที่คุณแม่บอกหรือเปล่า”
พีรภัทรเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ที่ทำปากขมุบขมิบบงการอย่างลำบากใจ หากถ้ายอมทำตามที่แม่ต้องการเด็กนั่นคงไม่แคล้วต้องถูกลงโทษอีกแน่ แม้จะไม่ชอบหน้านัก แต่เขาก็ไม่ชอบเห็นความอยุติธรรมเช่นกัน
"เปล่าครับ ไม่ได้แกล้ง น้องเฟื่องขาเป็นเหน็บเลยล้มไปเองครับ” คำตอบนั้นทำให้จำเลยตัวน้อยพ้นผิดโดยไม่มีข้อโต้แย้ง หากคุณพราวพิไลกลับไม่ยอมให้เรื่องจบลงง่ายๆ
“ถึงยังไงคุณก็ต้องทำโทษเด็กนี่”
“ก็หนูทรายไม่ผิด คุณก็ได้ฟังลูกพูดแล้วนี่” คนเป็นสามีโต้
“คุณขู่ลูก ลูกก็กลัวสิ ไม่รู้ล่ะ ถ้าคุณไม่จัดการเด็กนี่ให้หลาบจำล่ะก็ ฉันไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
“เรื่องคราวนี้ให้แล้วกันไปเถอะ ผมหวังว่าคุณนิภาเองก็คงไม่ติดใจเอาความนะครับ” คุณไกรภพหันไปเอ่ยกับเพื่อนของภรรยา
“นี่คุณเข้าข้างยัยเด็กนี่เหรอคะ คอยดูเหอะต่อไปมันคงแกล้งลูกเราหนักๆ อีก แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะ”
“หนูทรายไม่ใช่เด็กแบบนั้น มีเหตุผลหน่อยสิคุณพราว โตๆ กันแล้วนะ” คุณพราวพิไล เม้มปากแน่น ในใจไม่ยอมลงให้สามีแม้แต่น้อย
“อ๋อ ใช่สิ ฉันมันคนไม่มีเหตุผล ใครจะไปแสนดีเหมือนแม่คนรักเก่าคุณล่ะ”
“หยุดนะพราวพิไล! คุณพูดอะไรคิดถึงเด็กๆ ที่นั่งฟังอยู่บ้างเหอะ”
“ดีสิ มันจะได้รู้ว่าแม่ของมันนิสัยเลวยังไง”
“ศศิลดาไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้” ชื่อที่หลุดจากปากประมุขของบ้านทำให้ศุภิสรานิ่งงัน
“เกี่ยวทุกอย่าง ถ้าไม่เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น วันนี้คุณคงไม่ต้องไปเก็บเด็กนี่มาไว้ตำตาตำใจฉันอย่างนี้หรอก”
“พอกันที ผมไม่อยากฟังคุณพูดอีก ไปกันเถอะหนูทราย อย่าไปฟังคนเพ้อเจ้อเลย” คุณไกรภพไม่ฟัง รีบจูงมือเด็กหญิงเดินหนีขึ้นรถออกไปทันที ทำเอาคุณพราวพิไลแทบกระอักออกมาด้วยความเจ็บใจ
ตั้งแต่ออกจากบ้านมา คุณไกรภพก็ไม่พูดไม่จาใดๆ สีหน้าเคร่งเครียด ทำให้คนถูกฉุดขึ้นรถต้องพลอยเงียบไปด้วย จนกระทั่งรถแล่นเข้ามาจอดสนิทในอาณาเขตของบ้านสวนหลังหนึ่ง
แววตาสีอ่อนสวยมองบรรยากาศรอบๆ ตัวอย่างสนอกสนใจ บ้านเรือนไทยหลังงามรายล้อมด้วยเรือกสวนเขียวครึ้มดูร่มรื่น“ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่าลูก” จู่ๆ คุณไกรภพก็หันมาถาม สายตาอ่อนโยนมองดวงหน้ามอมแมมด้วยความเวทนา
“ไม่ค่ะ หายเจ็บแล้ว” ศุภิสรารีบปดคำโต เพื่อให้คนถามสบายใจขึ้น “ที่นี่ที่ไหนคะ"
“บ้านเพื่อนของลุงเอง” ยังไม่ทันได้ความกระจ่างนัก คุณไกรภพก็ลงจากรถไปเสียก่อน ศุภิสราถอนหายใจเบาๆ ก่อนรีบเดินตามขึ้นบ้านไป โดยที่ไม่ทันสังเกตเห็นสายตาของใครคนหนึ่งที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
รถคันหรูแปลกตาทำให้คนนั่งห้อยโหนอยู่บนกิ่งต้นมะม่วงต้องเหลียวไปมองอย่างสนใจ ร้อยวันพันปีไม่ค่อยมีใครไปมาหาสู่บ้านสวนอันเงียบสงบแห่งนี้ สงสัยวันนี้แขกผู้มาเยือนคงมีฐานะไม่หยอก ร่างผอมเก้งก้างรีบโจนทะยานลงจากกิ่งไม้อย่างชำนิชำนาญ...เห็นท่าคงต้องไปสังเกตการณ์ใกล้ๆ สักหน่อยแล้ว!
“นั่นเสียงใครน่ะ เจ้าโทเรอะ” เสียงร้องถามดังมาจากในบ้าน ทำให้ศุภิสราตกใจรีบหลบเข้าข้างหลังคุณไกรภพทันที“ผมเองครับคุณป้า” คุณป้า หรือ คุณฝนทอง วรรณยุกต์ ขยับแว่นมอง“อ้าว นั่นคุณไกรมิใช่รึ ลมอะไรพัดมาละจ๊ะ มาๆ ขึ้นบ้านก่อนลูก” หญิงสูงวัยยิ้มแย้มเชื้อเชิญเพื่อนกึ่งเจ้านายของลูกชายตน“คุณป้าสบายดีหรือครับ”“โอ้ย ก็สบายตามประสาคนแก่น่ะแหละพ่อคุณ”“แล้วนี่คุณเอกไปไหนล่ะครับ”“พ่อเอกไม่อยู่หรอกจ้า พาแม่ลูกสาวเขาไปเรียนดนตรีอะไรนู่นแน่ะ เดี๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะจ้ะ อ้าว แล้วนั่นเด็กที่ไหนกัน”“หนูทรายไหว้คุณยายสิลูก”“หนูทราย” คุณฝนทองทวนคำ พลางหรี่ตามองร่างเล็กๆ ที่เยี่ยมหน้าออกมาจากด้านหลังเพื่อนของลูกชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ หากเมื่อได้เห็นหน้าเด็กหญิงชัดๆ หญิงสูงวัยก็ถึงกับตบอก อุทานลั่น“คุณพระช่วย... แม่ลดา!”“นี่ ‘หนูทราย’ ครับคุณป้า”“คล้าย... คล้ายกันเหลือเกิน นี่ถ้าคุณไกรไม่บอกว่าเป็นใคร ป้าคงคิดว่าเป็นฝาแฝดแม่ลดาเป็นแน่ ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึงตั้งแต่หนีออกจากบ้านไปคราวนั้นก็ไม่ได้เห็นหน้าอีก ไหนเข้าใกล้ๆ ยายหน่อยซิลูก ขอกอดให้ชื่นใจสักนิดเถอะนะแม่คุณ”ศุภิสราหันไปมองคุณไกรภพที่ยิ้มและพยักหน้า
ขณะที่ผู้ใหญ่บนเรือนคุยหารือกันอย่างเคร่งเครียดนั้น เด็กน้อยซึ่งได้รับอนุญาตให้ลงมาเดินเล่นข้างล่างกลับรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศของสวนร่มรื่นไม่น้อย อาณาบริเวณบ้านสวนรายล้อมด้วยต้นไม้นานาพรรณที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ทั้งไม้ดอกและไม้ผล ศุภิสรามองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้บ้านของคุณไกรภพเองจะใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้มากมายเท่านี้ มือน้อยสาละวนเก็บลูกมะยมและมะม่วงที่ร่วงหล่นจากต้นเกลื่อนพื้นอย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นใครคนหนึ่งที่แอบมองมาจากบนที่สูงเงียบๆ “เฟี้ยว!...” เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศเฉี่ยวศีรษะไปเส้นยาแดงผ่าแปด ทำเอาศุภิสราถึงกับผงะด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้รู้ว่าต้นตอของวัตถุดังกล่าวว่ามาจากไหน วัตถุชิ้นที่สองสามสี่ห้าก็ลอยตามมาติดๆ“โอ้ย!” เด็กหญิงร้องลั่นเมื่อกระสุนมะยมลูกหนึ่งลอยมาโดนแผลเก่าที่ศีรษะเข้าอย่างจัง“สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ ฮ่าๆ” เสียงเย้ยเยาะลอยมาจากบนต้นมะยมนั้น ก่อนที่จะมีวัตถุบางอย่างตกลงมาที่พื้นดังตุ้บ วัตถุที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ เด็กชายตัวสูงเก้งก้างที่หน้าตามอมแมมด้วยเศษไม้ใบหญ้า ดวงตาดำขลับวาววับเอาเรื่อง“ยัยเด็กหัวขโมย” เขาตะคอกใส่หน้าอ
“แล้ว... มาช่วยเขาไว้ทำไม?”“อ้าว ไม่งั้นเธอก็ได้กลายเป็นผีเฝ้าสระน้ำบ้านฉันน่ะสิ”“อ๋อ ที่แท้ก็กลัวผีนี่เอง”“นี่เธอ! ว่าใครกลัว ผีอย่างเธอน่ะน่ากลัวตาย รู้งี้น่าจะปล่อยให้จะ...”“ขอบคุณนะ” คนกำลังตั้งท่าจะ ‘ใส่ยับ’ อ้าปากค้าง รู้สึกเขินๆ แต่สายตาซุกซนก็ไม่วายอดสำรวจอีกฝ่าย“โห นี่เธอลงไปฟัดกับไอ้เข้ในคลองมาเรอะ ทำไมมันเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ล่ะ เจ็บไหม” คนถูกซักส่ายหน้า “เก่งแฮะ เป็นยัยตรีได้แหกปากบ้านแตก เอาเหอะ เดี๋ยวกลับบ้านให้ย่าทายาให้ แป๊บเดียวก็หายละ แล้วนี่เดินเองไหวไหม”คนเจ็บพยักหน้า หากพยุงตัวลุกปุ้บก็พับลงไปปั้บ ทำเอาคนยืนสังเกตการณ์ส่ายหน้า พลางทรุดลงนั่งหันหลังให้“เอ้า ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นหลังมา จะพาไปส่ง” ฝ่ายนั้นเร่งอีก คนฟังบอกกับตัวเองในใจว่าไม่ได้เกรงคำขู่นั้นสักนิด หากอะไรบางอย่างในน้ำเสียงต่างหากทำให้คนเจ็บต้องตะกายเกาะหลังอีกฝ่ายที่กัดฟันบอก“เกาะดีๆ ล่ะยัยแมวขโมย เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน” ศุภิสราเบะปากหมั่นไส้ หากแขนเรียวก็โอบรอบคอของอีกฝ่ายแน่น“ต๊าย... นั่นแกไปคลุกขี้โคลนที่ไหนมาน่ะ ดู๊... ตัวเปียกมะล่อกมาเชียะ” คุณฝนทองเท้าสะเอวเอ็ดหลานชายคนเดียวเสียงเขียว เมื่อเห
“เด็กที่คุณตามหานั่งอยู่นั่นไงคะ” คนพูดคือหญิงวัยกลางคนผู้เป็นคุณครูใหญ่ของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนั้น และคนที่เจ้าหล่อนเอ่ยถึงคือเด็กหญิงวัยสิบขวบที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ชิงช้าเงียบๆ ผิดกับเด็กคนอื่นที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในบริเวณเดียวกัน“คนที่นั่งชิงช้าตรงนั้นหรือครับ”“ถ้าคุณหมายถึงเด็กที่มาจากสลัมร่วมอารีที่เพิ่งโดนไฟไหม้ล่ะก็ เห็นจะมีแค่เด็กคนนั้นคนเดียวแหละค่ะ” คุณครูสาวใหญ่ตอบ พลางลอบสังเกตอีกฝ่ายเงียบๆบุรุษวัยประมาณสามสิบเศษ ท่าทางภูมิฐาน และน่าจะมีฐานะทางสังคมที่ดี เพราะชื่อบนนามบัตรที่เขายื่นให้ ไกรภพ บุรณากรณ์ ตลอดจนการแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนของมีราคา นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นทอดมองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างหม่นหมองข่าวหน้าหนึ่งที่เคยอ่านแบบผ่านๆ เพราะมีแต่ข่าวร้ายรายวันนั้นคงไม่น่าสนใจ หากไม่บังเอิญสะดุดเข้ากับรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่แสนคุ้นตา บนข่าวพาดหัวใหญ่สุดของวันนั้น ‘เผาไล่ที่ชุมชนแออัดวอด’ เพียงแค่เห็นชื่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตในกองเพลิงอย่างน่าอนาถผู้นั้นกับตา เขาก็แทบล้มทั้งยืน‘ศศิลดา ธนวิจักร’ ภาพกรอบถัดมาคือเด็กหญิงผู้หนึ่งที่กำลังทำท่าคล้ายจะก
เมื่อถึงหน้าตึกใหญ่ รถของเจ้าของบ้านกลับไม่อาจจอดหน้าตึกได้ เพราะมีรถอีกคันจอดขวางอยู่ เด็กรับใช้รีบวิ่งมาเปิดประตูให้ผู้เป็นนาย พลางจ้องมองเด็กน้อยที่ก้าวตามลงมาอย่างสงสัย“เอาล่ะ เข้าบ้านกันดีกว่านะลูก”“ลูก!” คนฟังอุทานเสียงสูง“อ้อ...นี่คือคุณทราย! จะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันนี้” คำบอกกล่าวนั้นทำให้กลุ่มคนที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้านชะงักไปตามๆ กัน“นั่นลูกเต้าเหล่าใครกันคะ คุณพี่” หญิงวัยกลางคนที่เดินนำแผดเสียงถามอย่างดุๆ ไปทางผู้มาใหม่ ทำเอาคนถูกมองถึงกับสะดุ้งโหยงรีบแอบด้านหลังคุณไกรภพด้วยความตกใจ“อ้าว จะกลับแล้วหรือครับคุณนิภา” ผู้เป็นสามีไม่ตอบกลับหันไปทักทายคนที่เดินตามมาแทน “ค่ะ คุณไกร ต้องรีบไปรับคุณพิชิตกับตาฟ้าน่ะค่ะ” คุณนิภาพรมองเด็กหญิงตรงหน้าก่อนเหลือบตามองคนเป็นเพื่อนรักอย่างนึกเป็นห่วง “ยัยเฟื่องมากราบลาคุณลุงสิจ๊ะลูก”เฟื่อง หรือ เฟื่องตะวัน คือเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกับศุภิสรา ผู้มีรูปร่างหน้าตาตลอดจนการแต่งกายก็ดูสะอาดสะอ้านน่ารักราวกับตุ๊กตาแก้วเนื้อดี ต่างกับเด็กหญิงอีกคนราวฟ้ากับดิน เฟื่องตะวันยกมือไหว้ทุกคนอย่างน่ารัก แต่เมื่อแลสบตากับเด็กผู้มาใหม่ก็แอบแลบลิ้นใส่อย่าง
“เหลวไหลน่าคุณ” คุณไกรภพปราม นึกสงสารเด็กหญิงข้างกายไม่น้อย “แก้วพาคุณทรายไปที่ห้องนั่งเล่นก่อน แล้วให้ใครไปทำความสะอาดห้องข้างบนไว้ด้วย หนูทรายเข้าไปในบ้านก่อนนะคะ เดี๋ยวลุงตามไป ขอคุยธุระกับคุณป้าเดี๋ยว”“ใครเป็นป้ามันไม่ทราบ ฉันไม่มีหลาน มีแต่ลูกชายคนเดียวคือลูกเพชรคนนี้ต่างหาก” คนพูดกระชับร่างลูกชายเข้ามากอด“แล้วก็ห้องพักข้างบนน่ะ มีไว้สำหรับคนในครอบครัวฉันเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่ไม่ใช่ ถ้าอยากให้อยู่นักล่ะก็ ไปอยู่ที่ห้องเก็บของหลังบ้านก็แล้วกัน”“คุณพราว!”“อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ บุญเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่ไล่ตะเพิดมันไป คุณเองก็เถอะ จำไม่ได้หรือไงว่าแม่มันทำอะไรไว้บ้าง คอยดูเถอะ อีกหน่อยยัยเด็กนี่ก็ไม่พ้นต้องทำให้พวกเราเดือดร้อนเหมือนแม่มันนั่นแหละ”“หยุดนะ คุณพราว!” คุณไกรภพตวาดอย่างเหลืออด“ฉันไม่หยุด คุณจะทำไม จะฆ่าจะแกงฉันเพราะเด็กคนนี้ก็เอาสิ ให้มันรู้ไปว่าคุณจะเห็นคนอื่นดีกว่าลูกเมียตัวเอง”“พราวพิไล!” คราวนี้ร่างสูงตรงเข้ากระชากแขนของผู้เป็นภรรยาบีบอย่างแรงด้วยความโกรธจัด จนอีกฝ่ายน้ำตาคลอเบ้า แต่ด้วยทิฐิแรงกล้าทำให้คุณพราวพิไลต้องกัดฟันไม่ยอมร้องออกมาสักแอะ“คุณพ่อ ปล่อยคุ
บ่ายวันหนึ่งที่คุณผู้หญิงมีแขกคนสำคัญมาเยือน เด็กหญิงจึงต้องหลบมุมไปทางสวนหลังบ้านแทน แต่ดูเหมือนมาช้าไป ที่นั่งเล่นประจำของเธอตอนนี้ถูกยึดไปทำเป็นร้านขายข้าวแกง โดยมีแม่ค้าตัวน้อย และลูกค้าเพียงคนเดียวคือลูกชายเจ้าของบ้าน จนทำให้คนเดินผ่านอดหยุดมองอย่างสนใจไม่ได้“อ้าว...นั่นเด็กคนที่เจอวันก่อนนี่คะพี่เพชร”“น่ารำคาญชะมัด” พีรภัทรเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าสลด รีบก้มหน้างุดๆ จะเดินหนี“อ้าว จะรีบไปไหนล่ะ ถ้าไม่มีอะไรทำก็มาเล่นด้วยกันสิ” คำชวนนั้นทำเอาคนถูกชวนถึงกับสะดุ้งสุดตัว“น้องเฟื่องไปชวนเขาทำไม” เสียงแข็งๆ ทักท้วง แทบไม่มองหน้าคนที่เอ่ยถึงด้วยซ้ำ“ทำไมล่ะคะพี่เพชร เราเล่นแค่สองคนไม่สนุกหรอก” เด็กหญิงเฟื่องตะวันประท้วง อันที่จริงเล่นสองคนก็สนุกดีอยู่หรอก ถ้าเพียงแต่คนตัวโตที่รับบทเป็นลูกค้าคนเดียวนั้นจะเต็มใจเล่นด้วย “ถ้าอยากเล่นกับเขานักก็เล่นไปคนเดียวแล้วกัน พี่จะเข้าบ้านล่ะ” พีรภัทรลุกพรวดพราดจะเดินหนี“เดี๋ยวสิคะพี่เพชร รอเฟื่องด้วย” เฟื่องตะวันรีบลุกตาม แต่เพราะขาเป็นเหน็บชา ทำให้เธอหงายหลังผึ่งก้นจ้ำเบ้าทันที ด้วยความเจ็บปนตกใจทำให้เจ้าตัวแผดเสียงร้องจ้า คนอ
“แล้ว... มาช่วยเขาไว้ทำไม?”“อ้าว ไม่งั้นเธอก็ได้กลายเป็นผีเฝ้าสระน้ำบ้านฉันน่ะสิ”“อ๋อ ที่แท้ก็กลัวผีนี่เอง”“นี่เธอ! ว่าใครกลัว ผีอย่างเธอน่ะน่ากลัวตาย รู้งี้น่าจะปล่อยให้จะ...”“ขอบคุณนะ” คนกำลังตั้งท่าจะ ‘ใส่ยับ’ อ้าปากค้าง รู้สึกเขินๆ แต่สายตาซุกซนก็ไม่วายอดสำรวจอีกฝ่าย“โห นี่เธอลงไปฟัดกับไอ้เข้ในคลองมาเรอะ ทำไมมันเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ล่ะ เจ็บไหม” คนถูกซักส่ายหน้า “เก่งแฮะ เป็นยัยตรีได้แหกปากบ้านแตก เอาเหอะ เดี๋ยวกลับบ้านให้ย่าทายาให้ แป๊บเดียวก็หายละ แล้วนี่เดินเองไหวไหม”คนเจ็บพยักหน้า หากพยุงตัวลุกปุ้บก็พับลงไปปั้บ ทำเอาคนยืนสังเกตการณ์ส่ายหน้า พลางทรุดลงนั่งหันหลังให้“เอ้า ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นหลังมา จะพาไปส่ง” ฝ่ายนั้นเร่งอีก คนฟังบอกกับตัวเองในใจว่าไม่ได้เกรงคำขู่นั้นสักนิด หากอะไรบางอย่างในน้ำเสียงต่างหากทำให้คนเจ็บต้องตะกายเกาะหลังอีกฝ่ายที่กัดฟันบอก“เกาะดีๆ ล่ะยัยแมวขโมย เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน” ศุภิสราเบะปากหมั่นไส้ หากแขนเรียวก็โอบรอบคอของอีกฝ่ายแน่น“ต๊าย... นั่นแกไปคลุกขี้โคลนที่ไหนมาน่ะ ดู๊... ตัวเปียกมะล่อกมาเชียะ” คุณฝนทองเท้าสะเอวเอ็ดหลานชายคนเดียวเสียงเขียว เมื่อเห
ขณะที่ผู้ใหญ่บนเรือนคุยหารือกันอย่างเคร่งเครียดนั้น เด็กน้อยซึ่งได้รับอนุญาตให้ลงมาเดินเล่นข้างล่างกลับรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศของสวนร่มรื่นไม่น้อย อาณาบริเวณบ้านสวนรายล้อมด้วยต้นไม้นานาพรรณที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ทั้งไม้ดอกและไม้ผล ศุภิสรามองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้บ้านของคุณไกรภพเองจะใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้มากมายเท่านี้ มือน้อยสาละวนเก็บลูกมะยมและมะม่วงที่ร่วงหล่นจากต้นเกลื่อนพื้นอย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นใครคนหนึ่งที่แอบมองมาจากบนที่สูงเงียบๆ “เฟี้ยว!...” เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศเฉี่ยวศีรษะไปเส้นยาแดงผ่าแปด ทำเอาศุภิสราถึงกับผงะด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้รู้ว่าต้นตอของวัตถุดังกล่าวว่ามาจากไหน วัตถุชิ้นที่สองสามสี่ห้าก็ลอยตามมาติดๆ“โอ้ย!” เด็กหญิงร้องลั่นเมื่อกระสุนมะยมลูกหนึ่งลอยมาโดนแผลเก่าที่ศีรษะเข้าอย่างจัง“สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ ฮ่าๆ” เสียงเย้ยเยาะลอยมาจากบนต้นมะยมนั้น ก่อนที่จะมีวัตถุบางอย่างตกลงมาที่พื้นดังตุ้บ วัตถุที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ เด็กชายตัวสูงเก้งก้างที่หน้าตามอมแมมด้วยเศษไม้ใบหญ้า ดวงตาดำขลับวาววับเอาเรื่อง“ยัยเด็กหัวขโมย” เขาตะคอกใส่หน้าอ
“นั่นเสียงใครน่ะ เจ้าโทเรอะ” เสียงร้องถามดังมาจากในบ้าน ทำให้ศุภิสราตกใจรีบหลบเข้าข้างหลังคุณไกรภพทันที“ผมเองครับคุณป้า” คุณป้า หรือ คุณฝนทอง วรรณยุกต์ ขยับแว่นมอง“อ้าว นั่นคุณไกรมิใช่รึ ลมอะไรพัดมาละจ๊ะ มาๆ ขึ้นบ้านก่อนลูก” หญิงสูงวัยยิ้มแย้มเชื้อเชิญเพื่อนกึ่งเจ้านายของลูกชายตน“คุณป้าสบายดีหรือครับ”“โอ้ย ก็สบายตามประสาคนแก่น่ะแหละพ่อคุณ”“แล้วนี่คุณเอกไปไหนล่ะครับ”“พ่อเอกไม่อยู่หรอกจ้า พาแม่ลูกสาวเขาไปเรียนดนตรีอะไรนู่นแน่ะ เดี๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะจ้ะ อ้าว แล้วนั่นเด็กที่ไหนกัน”“หนูทรายไหว้คุณยายสิลูก”“หนูทราย” คุณฝนทองทวนคำ พลางหรี่ตามองร่างเล็กๆ ที่เยี่ยมหน้าออกมาจากด้านหลังเพื่อนของลูกชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ หากเมื่อได้เห็นหน้าเด็กหญิงชัดๆ หญิงสูงวัยก็ถึงกับตบอก อุทานลั่น“คุณพระช่วย... แม่ลดา!”“นี่ ‘หนูทราย’ ครับคุณป้า”“คล้าย... คล้ายกันเหลือเกิน นี่ถ้าคุณไกรไม่บอกว่าเป็นใคร ป้าคงคิดว่าเป็นฝาแฝดแม่ลดาเป็นแน่ ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึงตั้งแต่หนีออกจากบ้านไปคราวนั้นก็ไม่ได้เห็นหน้าอีก ไหนเข้าใกล้ๆ ยายหน่อยซิลูก ขอกอดให้ชื่นใจสักนิดเถอะนะแม่คุณ”ศุภิสราหันไปมองคุณไกรภพที่ยิ้มและพยักหน้า
“ทำอะไรกันน่ะ!” เสียงตวาดกึกก้องราวกับเสียงระฆังช่วยชีวิตเด็กน้อย แก้วรีบปล่อยมือจากต้นแขนเล็กๆ ทำให้ร่างเด็กหญิงผู้น่าสงสารทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นทันที“หนูทราย” คุณไกรภพปราดเข้ามาประคองร่างเล็กนั้นอย่างเวทนา ขาที่ถูกฟาดจนแตกยับมีรอยเลือดไหลซิบๆ ทำให้เต้องขาสะเทือนใจ มือใหญ่ค่อยๆ ลูบไล้ไปที่ต้นแขนเล็กกำรอบที่มีรอยเล็บครบทั้งห้าจนห้อโลหิตด้วยความโมโห“หนูทรายทำอะไรผิดนักหนาถึงต้องมาเฆี่ยนตีรุนแรงอย่างนี้” คนถูกถามเม้มปากแน่น ดูเอาเถอะ สามีสุดที่รักเข้าข้างคนอื่นต่อหน้าต่อตา“คุณก็ถามมันเองสิคะ ว่ามาแกล้งหนูเฟื่องทำไม”“ไม่จริงค่ะ! หนูไม่ได้ทำ ถ้าไม่เชื่อ คุณลุงลองถามคุณเพชรดูก็ได้ค่ะ” คุณไกรภพจ้องลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้นอย่างชั่งใจ“ใครไปตามตาเพชรมาซิ”“นี่คุณเชื่อยัยเด็กนี่มากกว่าฉันหรือไง” คุณพราวพิไลตัดพ้อ“ไม่ได้ยินที่ฉันบอกหรือไง ไปตามตาเพชรมานี่ เดี๋ยวนี้”เวลาผ่านไปไม่นานนัก ลูกชายคนเดียวของบ้านก็ก้าวเข้ามาในห้อง คุณพราวพิไลรีบดึงลูกชายเข้ามากอดด้วยความหวงแหน พลางส่งสายตาเคียดแค้นให้สามี“ไหนลองเล่าให้พ่อฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น หนูทรายแกล้งหนูเฟื่องอย่างที่คุณแม่บอกหรือเปล่า”พีรภัทร
บ่ายวันหนึ่งที่คุณผู้หญิงมีแขกคนสำคัญมาเยือน เด็กหญิงจึงต้องหลบมุมไปทางสวนหลังบ้านแทน แต่ดูเหมือนมาช้าไป ที่นั่งเล่นประจำของเธอตอนนี้ถูกยึดไปทำเป็นร้านขายข้าวแกง โดยมีแม่ค้าตัวน้อย และลูกค้าเพียงคนเดียวคือลูกชายเจ้าของบ้าน จนทำให้คนเดินผ่านอดหยุดมองอย่างสนใจไม่ได้“อ้าว...นั่นเด็กคนที่เจอวันก่อนนี่คะพี่เพชร”“น่ารำคาญชะมัด” พีรภัทรเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าสลด รีบก้มหน้างุดๆ จะเดินหนี“อ้าว จะรีบไปไหนล่ะ ถ้าไม่มีอะไรทำก็มาเล่นด้วยกันสิ” คำชวนนั้นทำเอาคนถูกชวนถึงกับสะดุ้งสุดตัว“น้องเฟื่องไปชวนเขาทำไม” เสียงแข็งๆ ทักท้วง แทบไม่มองหน้าคนที่เอ่ยถึงด้วยซ้ำ“ทำไมล่ะคะพี่เพชร เราเล่นแค่สองคนไม่สนุกหรอก” เด็กหญิงเฟื่องตะวันประท้วง อันที่จริงเล่นสองคนก็สนุกดีอยู่หรอก ถ้าเพียงแต่คนตัวโตที่รับบทเป็นลูกค้าคนเดียวนั้นจะเต็มใจเล่นด้วย “ถ้าอยากเล่นกับเขานักก็เล่นไปคนเดียวแล้วกัน พี่จะเข้าบ้านล่ะ” พีรภัทรลุกพรวดพราดจะเดินหนี“เดี๋ยวสิคะพี่เพชร รอเฟื่องด้วย” เฟื่องตะวันรีบลุกตาม แต่เพราะขาเป็นเหน็บชา ทำให้เธอหงายหลังผึ่งก้นจ้ำเบ้าทันที ด้วยความเจ็บปนตกใจทำให้เจ้าตัวแผดเสียงร้องจ้า คนอ
“เหลวไหลน่าคุณ” คุณไกรภพปราม นึกสงสารเด็กหญิงข้างกายไม่น้อย “แก้วพาคุณทรายไปที่ห้องนั่งเล่นก่อน แล้วให้ใครไปทำความสะอาดห้องข้างบนไว้ด้วย หนูทรายเข้าไปในบ้านก่อนนะคะ เดี๋ยวลุงตามไป ขอคุยธุระกับคุณป้าเดี๋ยว”“ใครเป็นป้ามันไม่ทราบ ฉันไม่มีหลาน มีแต่ลูกชายคนเดียวคือลูกเพชรคนนี้ต่างหาก” คนพูดกระชับร่างลูกชายเข้ามากอด“แล้วก็ห้องพักข้างบนน่ะ มีไว้สำหรับคนในครอบครัวฉันเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่ไม่ใช่ ถ้าอยากให้อยู่นักล่ะก็ ไปอยู่ที่ห้องเก็บของหลังบ้านก็แล้วกัน”“คุณพราว!”“อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ บุญเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่ไล่ตะเพิดมันไป คุณเองก็เถอะ จำไม่ได้หรือไงว่าแม่มันทำอะไรไว้บ้าง คอยดูเถอะ อีกหน่อยยัยเด็กนี่ก็ไม่พ้นต้องทำให้พวกเราเดือดร้อนเหมือนแม่มันนั่นแหละ”“หยุดนะ คุณพราว!” คุณไกรภพตวาดอย่างเหลืออด“ฉันไม่หยุด คุณจะทำไม จะฆ่าจะแกงฉันเพราะเด็กคนนี้ก็เอาสิ ให้มันรู้ไปว่าคุณจะเห็นคนอื่นดีกว่าลูกเมียตัวเอง”“พราวพิไล!” คราวนี้ร่างสูงตรงเข้ากระชากแขนของผู้เป็นภรรยาบีบอย่างแรงด้วยความโกรธจัด จนอีกฝ่ายน้ำตาคลอเบ้า แต่ด้วยทิฐิแรงกล้าทำให้คุณพราวพิไลต้องกัดฟันไม่ยอมร้องออกมาสักแอะ“คุณพ่อ ปล่อยคุ
เมื่อถึงหน้าตึกใหญ่ รถของเจ้าของบ้านกลับไม่อาจจอดหน้าตึกได้ เพราะมีรถอีกคันจอดขวางอยู่ เด็กรับใช้รีบวิ่งมาเปิดประตูให้ผู้เป็นนาย พลางจ้องมองเด็กน้อยที่ก้าวตามลงมาอย่างสงสัย“เอาล่ะ เข้าบ้านกันดีกว่านะลูก”“ลูก!” คนฟังอุทานเสียงสูง“อ้อ...นี่คือคุณทราย! จะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันนี้” คำบอกกล่าวนั้นทำให้กลุ่มคนที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้านชะงักไปตามๆ กัน“นั่นลูกเต้าเหล่าใครกันคะ คุณพี่” หญิงวัยกลางคนที่เดินนำแผดเสียงถามอย่างดุๆ ไปทางผู้มาใหม่ ทำเอาคนถูกมองถึงกับสะดุ้งโหยงรีบแอบด้านหลังคุณไกรภพด้วยความตกใจ“อ้าว จะกลับแล้วหรือครับคุณนิภา” ผู้เป็นสามีไม่ตอบกลับหันไปทักทายคนที่เดินตามมาแทน “ค่ะ คุณไกร ต้องรีบไปรับคุณพิชิตกับตาฟ้าน่ะค่ะ” คุณนิภาพรมองเด็กหญิงตรงหน้าก่อนเหลือบตามองคนเป็นเพื่อนรักอย่างนึกเป็นห่วง “ยัยเฟื่องมากราบลาคุณลุงสิจ๊ะลูก”เฟื่อง หรือ เฟื่องตะวัน คือเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกับศุภิสรา ผู้มีรูปร่างหน้าตาตลอดจนการแต่งกายก็ดูสะอาดสะอ้านน่ารักราวกับตุ๊กตาแก้วเนื้อดี ต่างกับเด็กหญิงอีกคนราวฟ้ากับดิน เฟื่องตะวันยกมือไหว้ทุกคนอย่างน่ารัก แต่เมื่อแลสบตากับเด็กผู้มาใหม่ก็แอบแลบลิ้นใส่อย่าง
“เด็กที่คุณตามหานั่งอยู่นั่นไงคะ” คนพูดคือหญิงวัยกลางคนผู้เป็นคุณครูใหญ่ของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนั้น และคนที่เจ้าหล่อนเอ่ยถึงคือเด็กหญิงวัยสิบขวบที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ชิงช้าเงียบๆ ผิดกับเด็กคนอื่นที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในบริเวณเดียวกัน“คนที่นั่งชิงช้าตรงนั้นหรือครับ”“ถ้าคุณหมายถึงเด็กที่มาจากสลัมร่วมอารีที่เพิ่งโดนไฟไหม้ล่ะก็ เห็นจะมีแค่เด็กคนนั้นคนเดียวแหละค่ะ” คุณครูสาวใหญ่ตอบ พลางลอบสังเกตอีกฝ่ายเงียบๆบุรุษวัยประมาณสามสิบเศษ ท่าทางภูมิฐาน และน่าจะมีฐานะทางสังคมที่ดี เพราะชื่อบนนามบัตรที่เขายื่นให้ ไกรภพ บุรณากรณ์ ตลอดจนการแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนของมีราคา นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นทอดมองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างหม่นหมองข่าวหน้าหนึ่งที่เคยอ่านแบบผ่านๆ เพราะมีแต่ข่าวร้ายรายวันนั้นคงไม่น่าสนใจ หากไม่บังเอิญสะดุดเข้ากับรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่แสนคุ้นตา บนข่าวพาดหัวใหญ่สุดของวันนั้น ‘เผาไล่ที่ชุมชนแออัดวอด’ เพียงแค่เห็นชื่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตในกองเพลิงอย่างน่าอนาถผู้นั้นกับตา เขาก็แทบล้มทั้งยืน‘ศศิลดา ธนวิจักร’ ภาพกรอบถัดมาคือเด็กหญิงผู้หนึ่งที่กำลังทำท่าคล้ายจะก