บ่ายวันหนึ่งที่คุณผู้หญิงมีแขกคนสำคัญมาเยือน เด็กหญิงจึงต้องหลบมุมไปทางสวนหลังบ้านแทน แต่ดูเหมือนมาช้าไป ที่นั่งเล่นประจำของเธอตอนนี้ถูกยึดไปทำเป็นร้านขายข้าวแกง โดยมีแม่ค้าตัวน้อย และลูกค้าเพียงคนเดียวคือลูกชายเจ้าของบ้าน จนทำให้คนเดินผ่านอดหยุดมองอย่างสนใจไม่ได้
“อ้าว...นั่นเด็กคนที่เจอวันก่อนนี่คะพี่เพชร”
“น่ารำคาญชะมัด” พีรภัทรเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าสลด รีบก้มหน้างุดๆ จะเดินหนี
“อ้าว จะรีบไปไหนล่ะ ถ้าไม่มีอะไรทำก็มาเล่นด้วยกันสิ” คำชวนนั้นทำเอาคนถูกชวนถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“น้องเฟื่องไปชวนเขาทำไม” เสียงแข็งๆ ทักท้วง แทบไม่มองหน้าคนที่เอ่ยถึงด้วยซ้ำ
“ทำไมล่ะคะพี่เพชร เราเล่นแค่สองคนไม่สนุกหรอก” เด็กหญิงเฟื่องตะวันประท้วง อันที่จริงเล่นสองคนก็สนุกดีอยู่หรอก ถ้าเพียงแต่คนตัวโตที่รับบทเป็นลูกค้าคนเดียวนั้นจะเต็มใจเล่นด้วย
“ถ้าอยากเล่นกับเขานักก็เล่นไปคนเดียวแล้วกัน พี่จะเข้าบ้านล่ะ” พีรภัทรลุกพรวดพราดจะเดินหนี
“เดี๋ยวสิคะพี่เพชร รอเฟื่องด้วย” เฟื่องตะวันรีบลุกตาม แต่เพราะขาเป็นเหน็บชา ทำให้เธอหงายหลังผึ่งก้นจ้ำเบ้าทันที ด้วยความเจ็บปนตกใจทำให้เจ้าตัวแผดเสียงร้องจ้า คนอยู่ใกล้จึงรีบเข้ามาช่วยด้วยความหวังดี แต่แล้ว...
“หยุดนะ นั่นแกจะทำอะไรคุณเฟื่องน่ะ” เสียงตวาดนั้นทำให้ศุภิสราสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะก็ถูกกระชากจนกระเด็นหงายหลัง ศีรษะไปโขลกกับก้อนหินที่พื้นเข้าอย่างจังจนเลือดซึมออกมาจากขมับ
“พี่แก้วจ๋า น้องเฟื่องจะไปหาคุณแม่”
“ดีค่ะ เดี๋ยวเราไปฟ้องคุณแม่กับคุณป้ากัน คราวนี้แกได้เจ็บตัวสมใจแน่ คอยดู” คนพูดได้ทีหันมาชี้หน้าศุภิสราอย่างหมายมาด ก่อนอุ้มเด็กหญิงอีกคนเข้าบ้านทันที
“โอย...” คนตัวเล็กครางออกมาเบาๆ พยายามจะใช้ชายเสื้อซับเลือดที่ศีรษะตนอย่างทุลักทุเล
“เอ้า ใช้นี่สิ!” คนเจ็บสะดุ้ง มองมือที่ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้อย่างลังเล จนอีกฝ่ายอดไม่ไหวเลยยื่นมือมาช่วยเสียเอง ความอ่อนโยนของอีกฝ่ายนั้นทำให้หัวใจดวงน้อยพองโตจนเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เข้าไปใส่ยาในบ้านดีกว่า อ้าว...ทำไมยิ้มได้ ไม่เจ็บแล้วหรือ” พีรภัทรถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นคนเจ็บมองมาที่ตนก็เริ่มรู้สึกตัว รีบเก๊กท่า “เอาล่ะ ถ้าไม่เจ็บงั้นฉันจะเข้าบ้านล่ะ”
“เดี๋ยวค่ะ คุณเพชร!” เจ้าของชื่อชะงักกึกหันขวับ “ขะ...ขอบคุ...”
“คุณเพชรคะ คุณเพชร คุณแม่ให้หาค่ะ” ยังไม่ทันที่เด็กหญิงจะได้เอ่ยจบ ก็มีคนเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“รู้แล้ว” เด็กชายทำเสียงหน่าย รีบเข้าบ้านไปโดยไม่เหลียวหลังมามองคนเจ็บอีก
“นี่อย่ามัวมาทำสำออย คุณผู้หญิงก็เรียกเธอเข้าไปเหมือนกัน” ศุภิสราสูดหายใจลึกเตรียมตัวรับศึกหนักอีกตามเคย
แล้วทุกสิ่งก็เป็นไปตามคาด! ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องรับแขก คุณพราวพิไลก็ตวัดมองผู้มาใหม่อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนคนทำตัวเป็นบ่างช่างยุนั่งทำเป็นประคบประหงมใกล้ๆ ลูกสาวของคุณนิภาพรคู่กรณี แต่กลับไร้เงาของผู้อยู่ในเหตุการณ์อีกคน
“เห็นแก้วว่าเราแกล้งผลักคุณเฟื่องล้มจริงหรือ” ดวงตาสีอ่อนแลเห็นคนฟ้องที่ลอยหน้ายั่วโทสะ
“ไม่จริงค่ะ คุณเฟื่องล้มเพราะขาเธอเป็นเหน็บต่างหาก”
“โกหก! แก้วเห็นกับตาค่ะว่ามันผลักคุณหนูเฟื่อง” เรื่องราวถูกบิดเบือนไปโดยสิ้นเชิง หากที่เหลือเชื่อคือคนฟังความกลับคล้อยตามโดยไม่มีการซักถามใดๆ อีก
“แก้วไปหยิบไม้เรียวมาทีซิ” แม่สาวใช้ตัวดีรีบยื่นไม้เรียวที่เตรียมไว้ส่งให้เจ้านายทันที
“ไม่เอาน่า พราว อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ” คุณนิภาพรขอร้อง
“ได้ยังไง คนทำผิดก็ต้องโดนลงโทษ ไม่กำราบไว้แต่ตอนนี้อีกหน่อยมันคงทำร้ายฉันกับคนในบ้านแน่” ศุภิสราเม้มปากแน่น เมื่อเห็นไม้เรียวที่สงวนไว้ลงโทษตัวเธอเองโดยเฉพาะ
“กอดอกเดี๋ยวนี้ แก้วจับไว้ซิ” คนถูกสั่งยิ้มกริ่มสมใจ ก่อนกางนิ้วจิกเล็บไปที่ต้นแขนของเด็กหญิงผู้อาภัพอย่างแรง ศุภิสรากัดฟันแน่น เมื่อได้ยินเสียงหวดไม้เรียวหนักๆ ที่ขาอ่อนของตัวเอง
“เพียะ!” ร่างน้อยสะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บปวด ภายในจิตใจบอบช้ำแสนสาหัส แต่ต้องกัดฟันทน หัวใจต่างหากที่ถูกเฆี่ยนจนเป็นแผลเหวอะหวะ ศุภิสราได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองในใจ อดทนไว้นะ อย่าร้องนะ ทนให้ถึงที่สุด!
“ทำอะไรกันน่ะ!”
“ทำอะไรกันน่ะ!” เสียงตวาดกึกก้องราวกับเสียงระฆังช่วยชีวิตเด็กน้อย แก้วรีบปล่อยมือจากต้นแขนเล็กๆ ทำให้ร่างเด็กหญิงผู้น่าสงสารทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นทันที“หนูทราย” คุณไกรภพปราดเข้ามาประคองร่างเล็กนั้นอย่างเวทนา ขาที่ถูกฟาดจนแตกยับมีรอยเลือดไหลซิบๆ ทำให้เต้องขาสะเทือนใจ มือใหญ่ค่อยๆ ลูบไล้ไปที่ต้นแขนเล็กกำรอบที่มีรอยเล็บครบทั้งห้าจนห้อโลหิตด้วยความโมโห“หนูทรายทำอะไรผิดนักหนาถึงต้องมาเฆี่ยนตีรุนแรงอย่างนี้” คนถูกถามเม้มปากแน่น ดูเอาเถอะ สามีสุดที่รักเข้าข้างคนอื่นต่อหน้าต่อตา“คุณก็ถามมันเองสิคะ ว่ามาแกล้งหนูเฟื่องทำไม”“ไม่จริงค่ะ! หนูไม่ได้ทำ ถ้าไม่เชื่อ คุณลุงลองถามคุณเพชรดูก็ได้ค่ะ” คุณไกรภพจ้องลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้นอย่างชั่งใจ“ใครไปตามตาเพชรมาซิ”“นี่คุณเชื่อยัยเด็กนี่มากกว่าฉันหรือไง” คุณพราวพิไลตัดพ้อ“ไม่ได้ยินที่ฉันบอกหรือไง ไปตามตาเพชรมานี่ เดี๋ยวนี้”เวลาผ่านไปไม่นานนัก ลูกชายคนเดียวของบ้านก็ก้าวเข้ามาในห้อง คุณพราวพิไลรีบดึงลูกชายเข้ามากอดด้วยความหวงแหน พลางส่งสายตาเคียดแค้นให้สามี“ไหนลองเล่าให้พ่อฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น หนูทรายแกล้งหนูเฟื่องอย่างที่คุณแม่บอกหรือเปล่า”พีรภัทร
“นั่นเสียงใครน่ะ เจ้าโทเรอะ” เสียงร้องถามดังมาจากในบ้าน ทำให้ศุภิสราตกใจรีบหลบเข้าข้างหลังคุณไกรภพทันที“ผมเองครับคุณป้า” คุณป้า หรือ คุณฝนทอง วรรณยุกต์ ขยับแว่นมอง“อ้าว นั่นคุณไกรมิใช่รึ ลมอะไรพัดมาละจ๊ะ มาๆ ขึ้นบ้านก่อนลูก” หญิงสูงวัยยิ้มแย้มเชื้อเชิญเพื่อนกึ่งเจ้านายของลูกชายตน“คุณป้าสบายดีหรือครับ”“โอ้ย ก็สบายตามประสาคนแก่น่ะแหละพ่อคุณ”“แล้วนี่คุณเอกไปไหนล่ะครับ”“พ่อเอกไม่อยู่หรอกจ้า พาแม่ลูกสาวเขาไปเรียนดนตรีอะไรนู่นแน่ะ เดี๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะจ้ะ อ้าว แล้วนั่นเด็กที่ไหนกัน”“หนูทรายไหว้คุณยายสิลูก”“หนูทราย” คุณฝนทองทวนคำ พลางหรี่ตามองร่างเล็กๆ ที่เยี่ยมหน้าออกมาจากด้านหลังเพื่อนของลูกชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ หากเมื่อได้เห็นหน้าเด็กหญิงชัดๆ หญิงสูงวัยก็ถึงกับตบอก อุทานลั่น“คุณพระช่วย... แม่ลดา!”“นี่ ‘หนูทราย’ ครับคุณป้า”“คล้าย... คล้ายกันเหลือเกิน นี่ถ้าคุณไกรไม่บอกว่าเป็นใคร ป้าคงคิดว่าเป็นฝาแฝดแม่ลดาเป็นแน่ ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึงตั้งแต่หนีออกจากบ้านไปคราวนั้นก็ไม่ได้เห็นหน้าอีก ไหนเข้าใกล้ๆ ยายหน่อยซิลูก ขอกอดให้ชื่นใจสักนิดเถอะนะแม่คุณ”ศุภิสราหันไปมองคุณไกรภพที่ยิ้มและพยักหน้า
ขณะที่ผู้ใหญ่บนเรือนคุยหารือกันอย่างเคร่งเครียดนั้น เด็กน้อยซึ่งได้รับอนุญาตให้ลงมาเดินเล่นข้างล่างกลับรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศของสวนร่มรื่นไม่น้อย อาณาบริเวณบ้านสวนรายล้อมด้วยต้นไม้นานาพรรณที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ทั้งไม้ดอกและไม้ผล ศุภิสรามองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้บ้านของคุณไกรภพเองจะใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้มากมายเท่านี้ มือน้อยสาละวนเก็บลูกมะยมและมะม่วงที่ร่วงหล่นจากต้นเกลื่อนพื้นอย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นใครคนหนึ่งที่แอบมองมาจากบนที่สูงเงียบๆ “เฟี้ยว!...” เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศเฉี่ยวศีรษะไปเส้นยาแดงผ่าแปด ทำเอาศุภิสราถึงกับผงะด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้รู้ว่าต้นตอของวัตถุดังกล่าวว่ามาจากไหน วัตถุชิ้นที่สองสามสี่ห้าก็ลอยตามมาติดๆ“โอ้ย!” เด็กหญิงร้องลั่นเมื่อกระสุนมะยมลูกหนึ่งลอยมาโดนแผลเก่าที่ศีรษะเข้าอย่างจัง“สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ ฮ่าๆ” เสียงเย้ยเยาะลอยมาจากบนต้นมะยมนั้น ก่อนที่จะมีวัตถุบางอย่างตกลงมาที่พื้นดังตุ้บ วัตถุที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ เด็กชายตัวสูงเก้งก้างที่หน้าตามอมแมมด้วยเศษไม้ใบหญ้า ดวงตาดำขลับวาววับเอาเรื่อง“ยัยเด็กหัวขโมย” เขาตะคอกใส่หน้าอ
“แล้ว... มาช่วยเขาไว้ทำไม?”“อ้าว ไม่งั้นเธอก็ได้กลายเป็นผีเฝ้าสระน้ำบ้านฉันน่ะสิ”“อ๋อ ที่แท้ก็กลัวผีนี่เอง”“นี่เธอ! ว่าใครกลัว ผีอย่างเธอน่ะน่ากลัวตาย รู้งี้น่าจะปล่อยให้จะ...”“ขอบคุณนะ” คนกำลังตั้งท่าจะ ‘ใส่ยับ’ อ้าปากค้าง รู้สึกเขินๆ แต่สายตาซุกซนก็ไม่วายอดสำรวจอีกฝ่าย“โห นี่เธอลงไปฟัดกับไอ้เข้ในคลองมาเรอะ ทำไมมันเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ล่ะ เจ็บไหม” คนถูกซักส่ายหน้า “เก่งแฮะ เป็นยัยตรีได้แหกปากบ้านแตก เอาเหอะ เดี๋ยวกลับบ้านให้ย่าทายาให้ แป๊บเดียวก็หายละ แล้วนี่เดินเองไหวไหม”คนเจ็บพยักหน้า หากพยุงตัวลุกปุ้บก็พับลงไปปั้บ ทำเอาคนยืนสังเกตการณ์ส่ายหน้า พลางทรุดลงนั่งหันหลังให้“เอ้า ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นหลังมา จะพาไปส่ง” ฝ่ายนั้นเร่งอีก คนฟังบอกกับตัวเองในใจว่าไม่ได้เกรงคำขู่นั้นสักนิด หากอะไรบางอย่างในน้ำเสียงต่างหากทำให้คนเจ็บต้องตะกายเกาะหลังอีกฝ่ายที่กัดฟันบอก“เกาะดีๆ ล่ะยัยแมวขโมย เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน” ศุภิสราเบะปากหมั่นไส้ หากแขนเรียวก็โอบรอบคอของอีกฝ่ายแน่น“ต๊าย... นั่นแกไปคลุกขี้โคลนที่ไหนมาน่ะ ดู๊... ตัวเปียกมะล่อกมาเชียะ” คุณฝนทองเท้าสะเอวเอ็ดหลานชายคนเดียวเสียงเขียว เมื่อเห
“เด็กที่คุณตามหานั่งอยู่นั่นไงคะ” คนพูดคือหญิงวัยกลางคนผู้เป็นคุณครูใหญ่ของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนั้น และคนที่เจ้าหล่อนเอ่ยถึงคือเด็กหญิงวัยสิบขวบที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ชิงช้าเงียบๆ ผิดกับเด็กคนอื่นที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในบริเวณเดียวกัน“คนที่นั่งชิงช้าตรงนั้นหรือครับ”“ถ้าคุณหมายถึงเด็กที่มาจากสลัมร่วมอารีที่เพิ่งโดนไฟไหม้ล่ะก็ เห็นจะมีแค่เด็กคนนั้นคนเดียวแหละค่ะ” คุณครูสาวใหญ่ตอบ พลางลอบสังเกตอีกฝ่ายเงียบๆบุรุษวัยประมาณสามสิบเศษ ท่าทางภูมิฐาน และน่าจะมีฐานะทางสังคมที่ดี เพราะชื่อบนนามบัตรที่เขายื่นให้ ไกรภพ บุรณากรณ์ ตลอดจนการแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนของมีราคา นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นทอดมองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างหม่นหมองข่าวหน้าหนึ่งที่เคยอ่านแบบผ่านๆ เพราะมีแต่ข่าวร้ายรายวันนั้นคงไม่น่าสนใจ หากไม่บังเอิญสะดุดเข้ากับรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่แสนคุ้นตา บนข่าวพาดหัวใหญ่สุดของวันนั้น ‘เผาไล่ที่ชุมชนแออัดวอด’ เพียงแค่เห็นชื่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตในกองเพลิงอย่างน่าอนาถผู้นั้นกับตา เขาก็แทบล้มทั้งยืน‘ศศิลดา ธนวิจักร’ ภาพกรอบถัดมาคือเด็กหญิงผู้หนึ่งที่กำลังทำท่าคล้ายจะก
เมื่อถึงหน้าตึกใหญ่ รถของเจ้าของบ้านกลับไม่อาจจอดหน้าตึกได้ เพราะมีรถอีกคันจอดขวางอยู่ เด็กรับใช้รีบวิ่งมาเปิดประตูให้ผู้เป็นนาย พลางจ้องมองเด็กน้อยที่ก้าวตามลงมาอย่างสงสัย“เอาล่ะ เข้าบ้านกันดีกว่านะลูก”“ลูก!” คนฟังอุทานเสียงสูง“อ้อ...นี่คือคุณทราย! จะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันนี้” คำบอกกล่าวนั้นทำให้กลุ่มคนที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้านชะงักไปตามๆ กัน“นั่นลูกเต้าเหล่าใครกันคะ คุณพี่” หญิงวัยกลางคนที่เดินนำแผดเสียงถามอย่างดุๆ ไปทางผู้มาใหม่ ทำเอาคนถูกมองถึงกับสะดุ้งโหยงรีบแอบด้านหลังคุณไกรภพด้วยความตกใจ“อ้าว จะกลับแล้วหรือครับคุณนิภา” ผู้เป็นสามีไม่ตอบกลับหันไปทักทายคนที่เดินตามมาแทน “ค่ะ คุณไกร ต้องรีบไปรับคุณพิชิตกับตาฟ้าน่ะค่ะ” คุณนิภาพรมองเด็กหญิงตรงหน้าก่อนเหลือบตามองคนเป็นเพื่อนรักอย่างนึกเป็นห่วง “ยัยเฟื่องมากราบลาคุณลุงสิจ๊ะลูก”เฟื่อง หรือ เฟื่องตะวัน คือเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกับศุภิสรา ผู้มีรูปร่างหน้าตาตลอดจนการแต่งกายก็ดูสะอาดสะอ้านน่ารักราวกับตุ๊กตาแก้วเนื้อดี ต่างกับเด็กหญิงอีกคนราวฟ้ากับดิน เฟื่องตะวันยกมือไหว้ทุกคนอย่างน่ารัก แต่เมื่อแลสบตากับเด็กผู้มาใหม่ก็แอบแลบลิ้นใส่อย่าง
“เหลวไหลน่าคุณ” คุณไกรภพปราม นึกสงสารเด็กหญิงข้างกายไม่น้อย “แก้วพาคุณทรายไปที่ห้องนั่งเล่นก่อน แล้วให้ใครไปทำความสะอาดห้องข้างบนไว้ด้วย หนูทรายเข้าไปในบ้านก่อนนะคะ เดี๋ยวลุงตามไป ขอคุยธุระกับคุณป้าเดี๋ยว”“ใครเป็นป้ามันไม่ทราบ ฉันไม่มีหลาน มีแต่ลูกชายคนเดียวคือลูกเพชรคนนี้ต่างหาก” คนพูดกระชับร่างลูกชายเข้ามากอด“แล้วก็ห้องพักข้างบนน่ะ มีไว้สำหรับคนในครอบครัวฉันเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่ไม่ใช่ ถ้าอยากให้อยู่นักล่ะก็ ไปอยู่ที่ห้องเก็บของหลังบ้านก็แล้วกัน”“คุณพราว!”“อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ บุญเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่ไล่ตะเพิดมันไป คุณเองก็เถอะ จำไม่ได้หรือไงว่าแม่มันทำอะไรไว้บ้าง คอยดูเถอะ อีกหน่อยยัยเด็กนี่ก็ไม่พ้นต้องทำให้พวกเราเดือดร้อนเหมือนแม่มันนั่นแหละ”“หยุดนะ คุณพราว!” คุณไกรภพตวาดอย่างเหลืออด“ฉันไม่หยุด คุณจะทำไม จะฆ่าจะแกงฉันเพราะเด็กคนนี้ก็เอาสิ ให้มันรู้ไปว่าคุณจะเห็นคนอื่นดีกว่าลูกเมียตัวเอง”“พราวพิไล!” คราวนี้ร่างสูงตรงเข้ากระชากแขนของผู้เป็นภรรยาบีบอย่างแรงด้วยความโกรธจัด จนอีกฝ่ายน้ำตาคลอเบ้า แต่ด้วยทิฐิแรงกล้าทำให้คุณพราวพิไลต้องกัดฟันไม่ยอมร้องออกมาสักแอะ“คุณพ่อ ปล่อยคุ
“แล้ว... มาช่วยเขาไว้ทำไม?”“อ้าว ไม่งั้นเธอก็ได้กลายเป็นผีเฝ้าสระน้ำบ้านฉันน่ะสิ”“อ๋อ ที่แท้ก็กลัวผีนี่เอง”“นี่เธอ! ว่าใครกลัว ผีอย่างเธอน่ะน่ากลัวตาย รู้งี้น่าจะปล่อยให้จะ...”“ขอบคุณนะ” คนกำลังตั้งท่าจะ ‘ใส่ยับ’ อ้าปากค้าง รู้สึกเขินๆ แต่สายตาซุกซนก็ไม่วายอดสำรวจอีกฝ่าย“โห นี่เธอลงไปฟัดกับไอ้เข้ในคลองมาเรอะ ทำไมมันเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ล่ะ เจ็บไหม” คนถูกซักส่ายหน้า “เก่งแฮะ เป็นยัยตรีได้แหกปากบ้านแตก เอาเหอะ เดี๋ยวกลับบ้านให้ย่าทายาให้ แป๊บเดียวก็หายละ แล้วนี่เดินเองไหวไหม”คนเจ็บพยักหน้า หากพยุงตัวลุกปุ้บก็พับลงไปปั้บ ทำเอาคนยืนสังเกตการณ์ส่ายหน้า พลางทรุดลงนั่งหันหลังให้“เอ้า ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นหลังมา จะพาไปส่ง” ฝ่ายนั้นเร่งอีก คนฟังบอกกับตัวเองในใจว่าไม่ได้เกรงคำขู่นั้นสักนิด หากอะไรบางอย่างในน้ำเสียงต่างหากทำให้คนเจ็บต้องตะกายเกาะหลังอีกฝ่ายที่กัดฟันบอก“เกาะดีๆ ล่ะยัยแมวขโมย เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน” ศุภิสราเบะปากหมั่นไส้ หากแขนเรียวก็โอบรอบคอของอีกฝ่ายแน่น“ต๊าย... นั่นแกไปคลุกขี้โคลนที่ไหนมาน่ะ ดู๊... ตัวเปียกมะล่อกมาเชียะ” คุณฝนทองเท้าสะเอวเอ็ดหลานชายคนเดียวเสียงเขียว เมื่อเห
ขณะที่ผู้ใหญ่บนเรือนคุยหารือกันอย่างเคร่งเครียดนั้น เด็กน้อยซึ่งได้รับอนุญาตให้ลงมาเดินเล่นข้างล่างกลับรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศของสวนร่มรื่นไม่น้อย อาณาบริเวณบ้านสวนรายล้อมด้วยต้นไม้นานาพรรณที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ทั้งไม้ดอกและไม้ผล ศุภิสรามองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้บ้านของคุณไกรภพเองจะใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้มากมายเท่านี้ มือน้อยสาละวนเก็บลูกมะยมและมะม่วงที่ร่วงหล่นจากต้นเกลื่อนพื้นอย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นใครคนหนึ่งที่แอบมองมาจากบนที่สูงเงียบๆ “เฟี้ยว!...” เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศเฉี่ยวศีรษะไปเส้นยาแดงผ่าแปด ทำเอาศุภิสราถึงกับผงะด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้รู้ว่าต้นตอของวัตถุดังกล่าวว่ามาจากไหน วัตถุชิ้นที่สองสามสี่ห้าก็ลอยตามมาติดๆ“โอ้ย!” เด็กหญิงร้องลั่นเมื่อกระสุนมะยมลูกหนึ่งลอยมาโดนแผลเก่าที่ศีรษะเข้าอย่างจัง“สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ ฮ่าๆ” เสียงเย้ยเยาะลอยมาจากบนต้นมะยมนั้น ก่อนที่จะมีวัตถุบางอย่างตกลงมาที่พื้นดังตุ้บ วัตถุที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ เด็กชายตัวสูงเก้งก้างที่หน้าตามอมแมมด้วยเศษไม้ใบหญ้า ดวงตาดำขลับวาววับเอาเรื่อง“ยัยเด็กหัวขโมย” เขาตะคอกใส่หน้าอ
“นั่นเสียงใครน่ะ เจ้าโทเรอะ” เสียงร้องถามดังมาจากในบ้าน ทำให้ศุภิสราตกใจรีบหลบเข้าข้างหลังคุณไกรภพทันที“ผมเองครับคุณป้า” คุณป้า หรือ คุณฝนทอง วรรณยุกต์ ขยับแว่นมอง“อ้าว นั่นคุณไกรมิใช่รึ ลมอะไรพัดมาละจ๊ะ มาๆ ขึ้นบ้านก่อนลูก” หญิงสูงวัยยิ้มแย้มเชื้อเชิญเพื่อนกึ่งเจ้านายของลูกชายตน“คุณป้าสบายดีหรือครับ”“โอ้ย ก็สบายตามประสาคนแก่น่ะแหละพ่อคุณ”“แล้วนี่คุณเอกไปไหนล่ะครับ”“พ่อเอกไม่อยู่หรอกจ้า พาแม่ลูกสาวเขาไปเรียนดนตรีอะไรนู่นแน่ะ เดี๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะจ้ะ อ้าว แล้วนั่นเด็กที่ไหนกัน”“หนูทรายไหว้คุณยายสิลูก”“หนูทราย” คุณฝนทองทวนคำ พลางหรี่ตามองร่างเล็กๆ ที่เยี่ยมหน้าออกมาจากด้านหลังเพื่อนของลูกชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ หากเมื่อได้เห็นหน้าเด็กหญิงชัดๆ หญิงสูงวัยก็ถึงกับตบอก อุทานลั่น“คุณพระช่วย... แม่ลดา!”“นี่ ‘หนูทราย’ ครับคุณป้า”“คล้าย... คล้ายกันเหลือเกิน นี่ถ้าคุณไกรไม่บอกว่าเป็นใคร ป้าคงคิดว่าเป็นฝาแฝดแม่ลดาเป็นแน่ ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึงตั้งแต่หนีออกจากบ้านไปคราวนั้นก็ไม่ได้เห็นหน้าอีก ไหนเข้าใกล้ๆ ยายหน่อยซิลูก ขอกอดให้ชื่นใจสักนิดเถอะนะแม่คุณ”ศุภิสราหันไปมองคุณไกรภพที่ยิ้มและพยักหน้า
“ทำอะไรกันน่ะ!” เสียงตวาดกึกก้องราวกับเสียงระฆังช่วยชีวิตเด็กน้อย แก้วรีบปล่อยมือจากต้นแขนเล็กๆ ทำให้ร่างเด็กหญิงผู้น่าสงสารทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นทันที“หนูทราย” คุณไกรภพปราดเข้ามาประคองร่างเล็กนั้นอย่างเวทนา ขาที่ถูกฟาดจนแตกยับมีรอยเลือดไหลซิบๆ ทำให้เต้องขาสะเทือนใจ มือใหญ่ค่อยๆ ลูบไล้ไปที่ต้นแขนเล็กกำรอบที่มีรอยเล็บครบทั้งห้าจนห้อโลหิตด้วยความโมโห“หนูทรายทำอะไรผิดนักหนาถึงต้องมาเฆี่ยนตีรุนแรงอย่างนี้” คนถูกถามเม้มปากแน่น ดูเอาเถอะ สามีสุดที่รักเข้าข้างคนอื่นต่อหน้าต่อตา“คุณก็ถามมันเองสิคะ ว่ามาแกล้งหนูเฟื่องทำไม”“ไม่จริงค่ะ! หนูไม่ได้ทำ ถ้าไม่เชื่อ คุณลุงลองถามคุณเพชรดูก็ได้ค่ะ” คุณไกรภพจ้องลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้นอย่างชั่งใจ“ใครไปตามตาเพชรมาซิ”“นี่คุณเชื่อยัยเด็กนี่มากกว่าฉันหรือไง” คุณพราวพิไลตัดพ้อ“ไม่ได้ยินที่ฉันบอกหรือไง ไปตามตาเพชรมานี่ เดี๋ยวนี้”เวลาผ่านไปไม่นานนัก ลูกชายคนเดียวของบ้านก็ก้าวเข้ามาในห้อง คุณพราวพิไลรีบดึงลูกชายเข้ามากอดด้วยความหวงแหน พลางส่งสายตาเคียดแค้นให้สามี“ไหนลองเล่าให้พ่อฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น หนูทรายแกล้งหนูเฟื่องอย่างที่คุณแม่บอกหรือเปล่า”พีรภัทร
บ่ายวันหนึ่งที่คุณผู้หญิงมีแขกคนสำคัญมาเยือน เด็กหญิงจึงต้องหลบมุมไปทางสวนหลังบ้านแทน แต่ดูเหมือนมาช้าไป ที่นั่งเล่นประจำของเธอตอนนี้ถูกยึดไปทำเป็นร้านขายข้าวแกง โดยมีแม่ค้าตัวน้อย และลูกค้าเพียงคนเดียวคือลูกชายเจ้าของบ้าน จนทำให้คนเดินผ่านอดหยุดมองอย่างสนใจไม่ได้“อ้าว...นั่นเด็กคนที่เจอวันก่อนนี่คะพี่เพชร”“น่ารำคาญชะมัด” พีรภัทรเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าสลด รีบก้มหน้างุดๆ จะเดินหนี“อ้าว จะรีบไปไหนล่ะ ถ้าไม่มีอะไรทำก็มาเล่นด้วยกันสิ” คำชวนนั้นทำเอาคนถูกชวนถึงกับสะดุ้งสุดตัว“น้องเฟื่องไปชวนเขาทำไม” เสียงแข็งๆ ทักท้วง แทบไม่มองหน้าคนที่เอ่ยถึงด้วยซ้ำ“ทำไมล่ะคะพี่เพชร เราเล่นแค่สองคนไม่สนุกหรอก” เด็กหญิงเฟื่องตะวันประท้วง อันที่จริงเล่นสองคนก็สนุกดีอยู่หรอก ถ้าเพียงแต่คนตัวโตที่รับบทเป็นลูกค้าคนเดียวนั้นจะเต็มใจเล่นด้วย “ถ้าอยากเล่นกับเขานักก็เล่นไปคนเดียวแล้วกัน พี่จะเข้าบ้านล่ะ” พีรภัทรลุกพรวดพราดจะเดินหนี“เดี๋ยวสิคะพี่เพชร รอเฟื่องด้วย” เฟื่องตะวันรีบลุกตาม แต่เพราะขาเป็นเหน็บชา ทำให้เธอหงายหลังผึ่งก้นจ้ำเบ้าทันที ด้วยความเจ็บปนตกใจทำให้เจ้าตัวแผดเสียงร้องจ้า คนอ
“เหลวไหลน่าคุณ” คุณไกรภพปราม นึกสงสารเด็กหญิงข้างกายไม่น้อย “แก้วพาคุณทรายไปที่ห้องนั่งเล่นก่อน แล้วให้ใครไปทำความสะอาดห้องข้างบนไว้ด้วย หนูทรายเข้าไปในบ้านก่อนนะคะ เดี๋ยวลุงตามไป ขอคุยธุระกับคุณป้าเดี๋ยว”“ใครเป็นป้ามันไม่ทราบ ฉันไม่มีหลาน มีแต่ลูกชายคนเดียวคือลูกเพชรคนนี้ต่างหาก” คนพูดกระชับร่างลูกชายเข้ามากอด“แล้วก็ห้องพักข้างบนน่ะ มีไว้สำหรับคนในครอบครัวฉันเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่ไม่ใช่ ถ้าอยากให้อยู่นักล่ะก็ ไปอยู่ที่ห้องเก็บของหลังบ้านก็แล้วกัน”“คุณพราว!”“อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ บุญเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่ไล่ตะเพิดมันไป คุณเองก็เถอะ จำไม่ได้หรือไงว่าแม่มันทำอะไรไว้บ้าง คอยดูเถอะ อีกหน่อยยัยเด็กนี่ก็ไม่พ้นต้องทำให้พวกเราเดือดร้อนเหมือนแม่มันนั่นแหละ”“หยุดนะ คุณพราว!” คุณไกรภพตวาดอย่างเหลืออด“ฉันไม่หยุด คุณจะทำไม จะฆ่าจะแกงฉันเพราะเด็กคนนี้ก็เอาสิ ให้มันรู้ไปว่าคุณจะเห็นคนอื่นดีกว่าลูกเมียตัวเอง”“พราวพิไล!” คราวนี้ร่างสูงตรงเข้ากระชากแขนของผู้เป็นภรรยาบีบอย่างแรงด้วยความโกรธจัด จนอีกฝ่ายน้ำตาคลอเบ้า แต่ด้วยทิฐิแรงกล้าทำให้คุณพราวพิไลต้องกัดฟันไม่ยอมร้องออกมาสักแอะ“คุณพ่อ ปล่อยคุ
เมื่อถึงหน้าตึกใหญ่ รถของเจ้าของบ้านกลับไม่อาจจอดหน้าตึกได้ เพราะมีรถอีกคันจอดขวางอยู่ เด็กรับใช้รีบวิ่งมาเปิดประตูให้ผู้เป็นนาย พลางจ้องมองเด็กน้อยที่ก้าวตามลงมาอย่างสงสัย“เอาล่ะ เข้าบ้านกันดีกว่านะลูก”“ลูก!” คนฟังอุทานเสียงสูง“อ้อ...นี่คือคุณทราย! จะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันนี้” คำบอกกล่าวนั้นทำให้กลุ่มคนที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้านชะงักไปตามๆ กัน“นั่นลูกเต้าเหล่าใครกันคะ คุณพี่” หญิงวัยกลางคนที่เดินนำแผดเสียงถามอย่างดุๆ ไปทางผู้มาใหม่ ทำเอาคนถูกมองถึงกับสะดุ้งโหยงรีบแอบด้านหลังคุณไกรภพด้วยความตกใจ“อ้าว จะกลับแล้วหรือครับคุณนิภา” ผู้เป็นสามีไม่ตอบกลับหันไปทักทายคนที่เดินตามมาแทน “ค่ะ คุณไกร ต้องรีบไปรับคุณพิชิตกับตาฟ้าน่ะค่ะ” คุณนิภาพรมองเด็กหญิงตรงหน้าก่อนเหลือบตามองคนเป็นเพื่อนรักอย่างนึกเป็นห่วง “ยัยเฟื่องมากราบลาคุณลุงสิจ๊ะลูก”เฟื่อง หรือ เฟื่องตะวัน คือเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกับศุภิสรา ผู้มีรูปร่างหน้าตาตลอดจนการแต่งกายก็ดูสะอาดสะอ้านน่ารักราวกับตุ๊กตาแก้วเนื้อดี ต่างกับเด็กหญิงอีกคนราวฟ้ากับดิน เฟื่องตะวันยกมือไหว้ทุกคนอย่างน่ารัก แต่เมื่อแลสบตากับเด็กผู้มาใหม่ก็แอบแลบลิ้นใส่อย่าง
“เด็กที่คุณตามหานั่งอยู่นั่นไงคะ” คนพูดคือหญิงวัยกลางคนผู้เป็นคุณครูใหญ่ของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนั้น และคนที่เจ้าหล่อนเอ่ยถึงคือเด็กหญิงวัยสิบขวบที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ชิงช้าเงียบๆ ผิดกับเด็กคนอื่นที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในบริเวณเดียวกัน“คนที่นั่งชิงช้าตรงนั้นหรือครับ”“ถ้าคุณหมายถึงเด็กที่มาจากสลัมร่วมอารีที่เพิ่งโดนไฟไหม้ล่ะก็ เห็นจะมีแค่เด็กคนนั้นคนเดียวแหละค่ะ” คุณครูสาวใหญ่ตอบ พลางลอบสังเกตอีกฝ่ายเงียบๆบุรุษวัยประมาณสามสิบเศษ ท่าทางภูมิฐาน และน่าจะมีฐานะทางสังคมที่ดี เพราะชื่อบนนามบัตรที่เขายื่นให้ ไกรภพ บุรณากรณ์ ตลอดจนการแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนของมีราคา นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นทอดมองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างหม่นหมองข่าวหน้าหนึ่งที่เคยอ่านแบบผ่านๆ เพราะมีแต่ข่าวร้ายรายวันนั้นคงไม่น่าสนใจ หากไม่บังเอิญสะดุดเข้ากับรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่แสนคุ้นตา บนข่าวพาดหัวใหญ่สุดของวันนั้น ‘เผาไล่ที่ชุมชนแออัดวอด’ เพียงแค่เห็นชื่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตในกองเพลิงอย่างน่าอนาถผู้นั้นกับตา เขาก็แทบล้มทั้งยืน‘ศศิลดา ธนวิจักร’ ภาพกรอบถัดมาคือเด็กหญิงผู้หนึ่งที่กำลังทำท่าคล้ายจะก