ธารดารารีบเด้งตัวออกมา แล้ววิ่งลงไปที่ไหล่ถนนห่างจากจุดที่เธอจอดรถพอสมควร จากนั้นเธอก็หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ชายที่เธอก้าวถอยหลังไปชนเมื่อครู่ แต่ในระหว่างนั้นสายตาของธารดาราก็เหลือบไปเห็นผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งกำลังพยายามปลดล็อคประตูรถยนต์ของเธออยู่...
“เฮ้ย! นั่นแก...” ธารดาราที่กำลังจะตะโกนต่อ ต้องหยุดชะงักทันที เพราะเธอสัมผัสได้ถึงความเย็นจากเหล็กแหลมที่จี้เข้ามาตรงบริเวณช่วงเอวข้างขวาของเธอ จากนั้นธารดาราก็ได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาที่ข้างหูซ้ายว่า
“หากยังไม่อยากตายอยู่ตรงนี้ น้องสาวคนสวยก็รีบหุบปากของตัวเองลงไปซะ”
ธารดารารีบหุบปากของตัวเองลงทันที หลังจากนั้นเธอก็พยายามมองรอบกาย เวลานี้ไม่มีใครอยู่ใกล้ตัวเธอเลยสักคนนอกจากโจรสามคนนี้ แล้วก็คงจะด้วยเพราะตอนนี้มันได้เลยเวลาเที่ยงคืนมามากแล้ว คน รถยนต์ หรือแม้แต่รถจักรยานยนต์ที่มักจะขับผ่านเข้ามายังเส้นทางนี้จ
ซึ่งหลังจากที่ธารดาราตะโกน ผู้ชายที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรก็วิ่งเข้ามาแล้วหมายจะใช้มือปิดปากของเธอ ธารดาราจึงรีบก้มตัวหลบพร้อมกับสะบัดแขน จนเธอเป็นอิสระจากมือของผู้ชายร่างใหญ่ จากนั้นธารดาราก็หันมาเตะตัดขา แล้วต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของผู้ชายที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มโจร แต่ด้วยความที่เรี่ยวแรงของเธอมีน้อยกว่าอีกฝ่ายมาก รวมไปถึงความชำนาญในเรื่องของการชกต่อยข้างถนนที่ผู้ชายคนนั้นมีอยู่ ทำให้ในจังหวะที่ธารดาราออกหมัด...ผู้ชายคนนั้นก็ได้ยกมือข้างซ้ายขึ้นมารับหมัดของเธอเอาไว้ จากนั้นอีกฝ่ายก็ใช้มือข้างขวาพุ่งเข้ามาบีบที่ต้นคอของธารดาราพร้อมกับออกแรงผลัก จนทั้งศีรษะและตัวของเธอกระแทกลงไปฟาดกับพื้นอย่างแรง หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็พลิกกลับขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตัวของธารดาราทันที “ถุย! ฤทธิ์เยอะนักนะมึง” อั๊ก!
“น้ำผึ้ง น้ำผึ้ง นี่แม่เองนะลูก เงยหน้าขึ้นมามองแม่ก่อนเร็วลูก แม่อยู่ตรงนี้แล้ว...น้ำผึ้ง คุณคะ...ลูกของเรา ฮึก! ฮือออ...” “น้ำผึ้งลูก น้ำผึ้ง! น้ำผึ้งเงยหน้าขึ้นมามองพ่อแล้วปล่อยตัวเตชินท์ก่อนลูก” หลังจากได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นหูและรับรู้ได้ถึงแรงเขย่าเบา ๆ ซึ่งมันไม่ใช่แรงดึง แรงตบหรือแรงกระชากเหมือนกับที่ผ่านมาเมื่อครู่ ธารดาราจึงเงยหน้ากลับขึ้นมามอง... “พ่อ แม่ พ่อคะ แม่คะช่วยเตด้วยค่ะ ช่วยเตชินท์ด้วยค่ะพ่อ ฮึก...ฮือออ” “ได้ลูก...ได้เดี๋ยวพ่อช่วยเตให้เอง แต่ตอนนี้น้ำผึ้งต้องใจเย็น ๆ แล้วปล่อยตัวเตชินท์ออกมาก่อน เวลานี้รถพยาบาลมาถึงแล้วลูก” ธารดารายอมปล่อยตัวเตชินท์ออกมาจากอ้อมแขน จากนั้นบุรุษพยาบาลก็รีบเข้ามาดูแลบาดแผลตามร่างกายของเธอกับเตชินท์ โดยมีธันวากับสายธารคอย
“น้ำผึ้งปวดแผลหรือลูก?” ธารดาราหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดหลังจากได้ยินคำถามของผู้เป็นแม่ แล้วเมื่อเงยหน้ากลับขึ้นมาเธอก็ได้เห็นสายตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงจากธันวาและสายธาร เธอจึงรีบตอบกลับไปว่า “ผึ้งไม่ได้ปวดแผลค่ะแม่ คือ...เมื่อครู่ผึ้งเผลอคิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ ผึ้งขอโทษที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” “ไม่เป็นไรเลยลูก แต่ถ้าหนูรู้สึกไม่ดี ปวดแผลหรือรู้สึกเจ็บตรงไหนขึ้นมา น้ำผึ้งต้องรีบบอกพ่อกับแม่เลยนะลูก” “ได้ค่ะพ่อ” เพียงไม่นานพวกเธอก็มาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน แล้วที่หน้าประตูห้อง...เวลานี้ก็มีแค่ภัสสรที่นั่งเฝ้ารออยู่ที่หน้าห้องนั้นคนเดียว “ป้าหมิวคะ” “น้ำผึ้ง! ทำ
น้ำผึ้งหรือธารดารา รัตนัน ยืนกดกริ่งประตูหน้าบ้านขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งเพียงไม่นานก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมามองเธอผ่านช่องว่างของซี่รั้วเหล็ก ก่อนจะถามเธอว่า “คุณมาหาใครหรือคะ?” “สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อน้ำหวานค่ะ คุณภัสสรนัดให้ดิฉันเข้ามาพบที่นี่ค่ะ” “คุณคือติวเตอร์น้ำหวานใช่ไหมคะ?” “ใช่ค่ะ” “งั้นรอสักครู่นะคะ” พูดจบ หญิงวัยกลางคนก็ขยับเข้าไปเปิดประตูรั้วเหล็ก เมื่อเห็นดังนั้นธารดาราจึงเดินกลับขึ้นไปนั่งในรถยนต์คู่ใจ ก่อนจะขับเข้าไปจอดที่ลานจอดรถภายในบริเวณบ้านหลังนั้น แล้วในขณะที่เธอกำลังก้มลงไปหยิบกระเป๋าสะพายและกระเป๋าใส่เอกส
โดยในระหว่างที่เตชินท์ก้มลงไปทำแบบทดสอบที่เธอให้ ธารดาราก็ทำเป็นหยิบหนังสือสอนภาษาในกระเป๋าขึ้นมาเปิดอ่าน แต่ความจริงแล้วเธอกำลังแอบใช้ดวงตากลมโตของตนเองลอบมองไปที่เด็กหนุ่มฝั่งตรงข้าม ‘เตชินท์เป็นคนหน้าตาดี ผิวขาว รูปร่างสมส่วนแบบชายไทย แต่ติดตรงที่ใบหน้าของเจ้าตัวออกไปทางหวานมากเกิน ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะริมฝีปากที่มันออกสีชมพูระเรื่อ หรือไม่...ก็อาจจะเป็นเพราะขนตา ก็ขนตาของเตมันทั้งงอนทั้งยาวเลยหนิ!’ธารดาราแอบคิดในใจ แล้วก็นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดในร้านคาราโอเกะเมื่อสามวันก่อน... วันนั้นหลังจากเลิกงานธารดารากับกลุ่มเพื่อนพากันไปกินเลี้ยงที่ร้านคาราโอเกะ เนื่องในโอกาสที่สถาบันสอนภาษายิ้มรับของพวกเธอเริ่มได้รับผลกำไรตอบกลับมาบ้างแล้ว ซึ่งกว่าจะมีวันนี้พวกเธอทั้งสี่คนก็ผ่านความยากลำบากมาไม่น้อยเลย แล้วในระหว่างที่ธารดาราเดินออกมาจากห้องร้องคาราโอเกะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ เธอ
ธารดาราหลังจากตรวจคำตอบในแบบทดสอบข้อสุดท้ายเสร็จ เธอก็นั่งไล่นับคะแนนไปพร้อมกับไล่ตรวจทานคำตอบในแบบทดสอบฉบับนั้นอีกครั้ง ‘แปลกแฮะ! ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมเตชินท์เป็นเด็กที่เรียนเก่งมากคนหนึ่งเลยไม่ใช่หรือ? ถ้าจำไม่ผิดผลสอบออกมาแต่ละครั้งหากเตไม่ได้ลำดับที่หนึ่งก็ไม่เคยตกลงมาเกินลำดับสามของห้อง แล้วทำไมตอนนี้ถึง...’ “ผมทำคะแนนได้เท่าไหร่หรือครับ...สามสิบแปดส่วนหนึ่งร้อย!” ธารดารามองเตชินท์ที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอ แล้วเมื่อได้เห็นสายตาและสีหน้าราวกับลูกหมากำลังจะถูกทิ้งของอีกฝ่าย เธอจึงกล่าวว่า “คะแนนเท่านี้มันก็ไม่ได้ถือว่าแย่มากนะ” “แต่ผม...อีกไม่กี่เดือนผมก็อาจจะต้องเดินทางไปหาที่เรียนต่อในประเทศอังกฤษแล้วนะครับ แต่ถ้าหากว่าภาษาของผมยังใช้การไม่ได้ แล้วผมจะไปติดต่อสื่
“น้ำผึ้ง! ทำไมวันนี้...หนูถึงแต่งตัวแบบนี้ล่ะลูก?” ธันวามองบุตรสาวคนเดียวของเขาที่กำลังเดินเข้ามานั่งยังโต๊ะกินข้าว เนื่องจากวันนี้อีกฝ่ายสวมแว่นตาหนาเตอะ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็ไม่ใช่คนสายตาสั้น แล้วไหนจะชุดสูทกระโปรงยาวสีน้ำตาลกับทรงผมแสกกลางที่มัดเป็นหางม้าเอาไว้ต่ำ ๆ ตรงกลางหลังนั่นอีก “ตอนบ่ายฉันก็ตกใจแบบคุณเลยค่ะ นึกว่ามนุษย์ป้าที่ไหนแอบเข้ามาเดินอยู่ในบ้านของเรา” “แม่อะ...นี่ผึ้งเอง น้ำผึ้งลูกสาวคนสวยของแม่ไงคะ” “แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะวันนี้ โดนสองคนนั้นจับได้ไหม?” สายธารเอ่ยถามพร้อมกับตักเต้าหู้ไข่ในแกงจืดไปวางลงบนจานข้าวของสามีและบุตรสาวคนละชิ้น “ไม่ค่ะ ป้าหมิวกับเตไม่มีใครจำผึ้งได้เลยสักคน” &nbs
แล้ววันแรกของการสอนภาษาให้กับเตชินท์ก็มาถึง หลังจากที่อาทิตย์ก่อนธารดาราได้เข้ามานั่งพูดคุยตกลงเรื่องวัน เวลา และสถานที่สำหรับการเรียนการสอน ซึ่งวันนี้เธอก็มาด้วยการแต่งกายแบบที่ดูน่าเชื่อถือในความคิดของตนเองเหมือนเดิม แต่จะต่างกันก็เพียงแค่สีของชุดเท่านั้น เพราะเธอได้เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองด้วยชุดสูทกระโปรงยาวสีเทา แล้วหลังจากนี้เธอก็ตั้งใจจะแต่งกายแบบนี้มาสอนพิเศษให้กับเตชินท์ทุกครั้ง ซึ่งเมื่อธารดาราขับรถมาถึงหน้าบ้านของเตชินท์ เธอก็เดินลงมาจากรถแล้วไปกดกริ่ง รอเพียงไม่นานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูรั้วให้กับเธอ แล้วหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็เดินตามมาหาเธอที่ลานจอดรถ “สวัสดีค่ะ หนูชื่อจ๋าเป็นลูกสาวของแม่บ้านจีน ถ้าคุณต้องการอะไรสามารถเรียกใช้จ๋าได้เลยนะคะ” “สวัสดีค่ะจ๋า อย่างนั้นสองเดือนหลังจากนี้ น้ำหวานก็ขอรบกวนด้วยนะคะ” ธารดาราตอบกลับ ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในตัวบ้าน
“น้ำผึ้งปวดแผลหรือลูก?” ธารดาราหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดหลังจากได้ยินคำถามของผู้เป็นแม่ แล้วเมื่อเงยหน้ากลับขึ้นมาเธอก็ได้เห็นสายตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงจากธันวาและสายธาร เธอจึงรีบตอบกลับไปว่า “ผึ้งไม่ได้ปวดแผลค่ะแม่ คือ...เมื่อครู่ผึ้งเผลอคิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ ผึ้งขอโทษที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” “ไม่เป็นไรเลยลูก แต่ถ้าหนูรู้สึกไม่ดี ปวดแผลหรือรู้สึกเจ็บตรงไหนขึ้นมา น้ำผึ้งต้องรีบบอกพ่อกับแม่เลยนะลูก” “ได้ค่ะพ่อ” เพียงไม่นานพวกเธอก็มาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน แล้วที่หน้าประตูห้อง...เวลานี้ก็มีแค่ภัสสรที่นั่งเฝ้ารออยู่ที่หน้าห้องนั้นคนเดียว “ป้าหมิวคะ” “น้ำผึ้ง! ทำ
“น้ำผึ้ง น้ำผึ้ง นี่แม่เองนะลูก เงยหน้าขึ้นมามองแม่ก่อนเร็วลูก แม่อยู่ตรงนี้แล้ว...น้ำผึ้ง คุณคะ...ลูกของเรา ฮึก! ฮือออ...” “น้ำผึ้งลูก น้ำผึ้ง! น้ำผึ้งเงยหน้าขึ้นมามองพ่อแล้วปล่อยตัวเตชินท์ก่อนลูก” หลังจากได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นหูและรับรู้ได้ถึงแรงเขย่าเบา ๆ ซึ่งมันไม่ใช่แรงดึง แรงตบหรือแรงกระชากเหมือนกับที่ผ่านมาเมื่อครู่ ธารดาราจึงเงยหน้ากลับขึ้นมามอง... “พ่อ แม่ พ่อคะ แม่คะช่วยเตด้วยค่ะ ช่วยเตชินท์ด้วยค่ะพ่อ ฮึก...ฮือออ” “ได้ลูก...ได้เดี๋ยวพ่อช่วยเตให้เอง แต่ตอนนี้น้ำผึ้งต้องใจเย็น ๆ แล้วปล่อยตัวเตชินท์ออกมาก่อน เวลานี้รถพยาบาลมาถึงแล้วลูก” ธารดารายอมปล่อยตัวเตชินท์ออกมาจากอ้อมแขน จากนั้นบุรุษพยาบาลก็รีบเข้ามาดูแลบาดแผลตามร่างกายของเธอกับเตชินท์ โดยมีธันวากับสายธารคอย
ซึ่งหลังจากที่ธารดาราตะโกน ผู้ชายที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรก็วิ่งเข้ามาแล้วหมายจะใช้มือปิดปากของเธอ ธารดาราจึงรีบก้มตัวหลบพร้อมกับสะบัดแขน จนเธอเป็นอิสระจากมือของผู้ชายร่างใหญ่ จากนั้นธารดาราก็หันมาเตะตัดขา แล้วต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของผู้ชายที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มโจร แต่ด้วยความที่เรี่ยวแรงของเธอมีน้อยกว่าอีกฝ่ายมาก รวมไปถึงความชำนาญในเรื่องของการชกต่อยข้างถนนที่ผู้ชายคนนั้นมีอยู่ ทำให้ในจังหวะที่ธารดาราออกหมัด...ผู้ชายคนนั้นก็ได้ยกมือข้างซ้ายขึ้นมารับหมัดของเธอเอาไว้ จากนั้นอีกฝ่ายก็ใช้มือข้างขวาพุ่งเข้ามาบีบที่ต้นคอของธารดาราพร้อมกับออกแรงผลัก จนทั้งศีรษะและตัวของเธอกระแทกลงไปฟาดกับพื้นอย่างแรง หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็พลิกกลับขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตัวของธารดาราทันที “ถุย! ฤทธิ์เยอะนักนะมึง” อั๊ก!
ธารดารารีบเด้งตัวออกมา แล้ววิ่งลงไปที่ไหล่ถนนห่างจากจุดที่เธอจอดรถพอสมควร จากนั้นเธอก็หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ชายที่เธอก้าวถอยหลังไปชนเมื่อครู่ แต่ในระหว่างนั้นสายตาของธารดาราก็เหลือบไปเห็นผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งกำลังพยายามปลดล็อคประตูรถยนต์ของเธออยู่... “เฮ้ย! นั่นแก...” ธารดาราที่กำลังจะตะโกนต่อ ต้องหยุดชะงักทันที เพราะเธอสัมผัสได้ถึงความเย็นจากเหล็กแหลมที่จี้เข้ามาตรงบริเวณช่วงเอวข้างขวาของเธอ จากนั้นธารดาราก็ได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาที่ข้างหูซ้ายว่า “หากยังไม่อยากตายอยู่ตรงนี้ น้องสาวคนสวยก็รีบหุบปากของตัวเองลงไปซะ” ธารดารารีบหุบปากของตัวเองลงทันที หลังจากนั้นเธอก็พยายามมองรอบกาย เวลานี้ไม่มีใครอยู่ใกล้ตัวเธอเลยสักคนนอกจากโจรสามคนนี้ แล้วก็คงจะด้วยเพราะตอนนี้มันได้เลยเวลาเที่ยงคืนมามากแล้ว คน รถยนต์ หรือแม้แต่รถจักรยานยนต์ที่มักจะขับผ่านเข้ามายังเส้นทางนี้จ
“ครับ พี่ส่งข้อความมาบอกว่า ‘พี่ขอเวลา’ แต่เวลาที่พี่ขอมันกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปีกันล่ะครับ ก็พี่ไม่ยอมบอกว่า...พี่จะขอเวลาจากผมนานเท่าไหร่? ผมก็เลยไม่รู้ว่าตนเองจะต้องรอพี่อีกนานแค่ไหน?” เตชินท์พยายามสงบใจของตัวเองลง ก่อนจะพูดต่อ “พี่ผึ้งครับ ผมรู้ว่าที่ผ่านมา...ผมทำผิดต่อพี่ ผมขอโทษพี่จริง ๆ นะครับ แต่พี่...พี่อย่าเฉยชากับผมแบบนี้ได้ไหมครับ? แล้วพี่ก็อย่าหายไปจากชีวิตของผมแบบนี้อีกเลย! ผมโทรเข้าไปหาพี่กี่ครั้ง พี่ก็ไม่เคยรับ ผมส่งข้อความไปหาพี่หลังจากวันนั้น พี่ก็ไม่เคยเข้าไปเปิดอ่านข้อความของผมอีกเลย ผมพยายามใช้ช่องทางอื่นติดต่อเข้าไปหาพี่ แต่พี่ก็ไม่เคยสนใจ ถึงผมจะรอวันที่พี่ให้อภัยและให้คำตอบกับผมได้ แต่ผมก็...” “อย่างนั้นก็ไม่ต้องรอ” “พี่ผึ้ง!”&
ธารดารารู้ว่าตอนนี้เพื่อนสนิททั้งสามคนกำลังรู้สึกเป็นห่วงเธอ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวพวกเธอไม่เคยมีเรื่องอะไรปิดบังกัน แล้วก็ด้วยเพราะเวลานี้พวกเธออยู่ในห้องทำงานของผู้บริหาร ซึ่งก็มีเพียงแค่พวกเธอสี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าออกห้องนี้ได้ ธารดาราจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างเธอกับเตชินท์ให้คนทั้งสามฟัง... แล้วหลังจากที่ธารดาราเล่าจบ ซูซี่ก็ออกความเห็นขึ้นมาทันทีว่า “โอ้ย! แก...เด็กแกน่ารักอ่ะ ออกแนวใส ๆ ผึ้งแกมีรูปของน้องเตชินท์แบบที่อัปเดตแล้วให้ดูไหม?” เนื่องจากพวกซูซี่เคยเห็นแต่รูปในวัยเด็กของเตชินท์ที่ถ่ายคู่กับธารดาราเท่านั้น “มี” ธารดาราเปิดรูปโปรไฟล์ของเตชินท์ในโปรแกรมส่งข้อความ ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือไปทางซูซี่ “แต่ฉันว่าเด็กคนนี้ออกแนวเจ้าเล่ห์มากกว่าใสซื่อนะ” วิวรดาพูดพร้อมกับยื่น
“แล้วกูจะรู้ไหมเนี่ยว่าบ้านพี่ผึ้งของมึงอยู่ที่ไหน?” อัศวินก้มมองเตชินท์ ตั้งแต่ทำความรู้จักจนคบหาเป็นเพื่อนสนิทกับมันมา เขาก็เพิ่งเคยเห็นมันอยู่ในสภาพนี้เป็นครั้งแรก “ไม่รู้ก็ปล่อยกูไว้ที่นี่ กูจะกินเหล้าต่อ...พวกมึงจะไปที่ไหนก็ไป!” “ไอ้เต กูถามจริง ๆ ทำไมมึงถึงรักคนที่... เออ...กูขอพูดตรง ๆ นะ พี่ผึ้งของมึงเขาก็ยังไม่ได้รักมึงตอบเลยด้วยซ้ำ แล้วไม่แน่ว่า...ที่ผ่านมาเขาก็อาจจะมองมึงเป็นเพียงแค่อดีตน้องชายข้างบ้านเท่านั้นเอง” “กูก็ไม่รู้ แต่ที่กูรู้ก็คือ...ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาไม่มีวันไหนเลยที่กูไม่คิดถึงพี่ผึ้ง และไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ คนที่กูมักจะคิดถึงเป็นคนแรกก็คือพี่ผึ้ง แล้วที่สำคัญพี่ผึ้งคือแรงบันดาลใจของกู เพราะมีพี่ผึ้งอยู่...กูถึงได้พยายามทำตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมในทุก ๆ วัน” “แล้วจากนี้มึงจะทำยังไงต่อ?”
ในระหว่างที่เตชินท์ทำแบบทดสอบที่ได้รับมาจากธารดารา เขาก็คิดขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองต้องการเวลาและความใกล้ชิด เพื่อที่เขาจะได้กลับไปสนิทกับหญิงสาวให้ได้เหมือนเดิมก่อน เตชินท์จึงตัดสินใจทำแบบทดสอบให้มันผิดพลาดมากที่สุด เพื่อเรียกคะแนนสงสารจากธารดารา จนอีกฝ่ายยินยอมเพิ่มระยะเวลาในการเข้ามาสอน จากนั้นเขาจึงรีบเสนอให้ใช้ห้องนอนของตัวเองเป็นห้องเรียนแทนห้องรับแขก แล้วเมื่อธารดาราตอบตกลง หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา...เตชินท์จึงเริ่มทำตามแผนการที่เขาแอบคิดไว้ต่อทันที โดยในช่วงแรก ๆ เตชินท์ก็แอบเป็นกังวล เพราะธารดาราเลือกเดินกลับเข้ามาในชีวิตของเขาด้วยการเป็นคนอื่น ซึ่งมันอาจจะกระทบกับแผนที่เขาได้เตรียมการเอาไว้ แต่เมื่อเตชินท์ลองปรับเปลี่ยนแผน...แล้วเริ่มเดินเกมส์รุก หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับธารดารา มันก็เริ่มกลับมาใกล้ชิด และเริ่มสนิทกันยิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ด้วยซ้ำ คงด้วยเพราะในตอนแรกเตชิน
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าด้วยเพราะฤทธิ์ของสุราที่ยังคงเหลืออยู่ในร่างกายหรือด้วยเพราะอะไร หลังจากนั้นเตชินท์ถึงได้กล้าเล่าเรื่องระหว่างเขากับธารดารา ตั้งแต่ในวัยเด็ก...มาจนถึงสถานการณ์ล่าสุดของพวกเขาให้อัศวินฟัง แล้วเมื่ออีกฝ่ายฟังจบ เจ้าตัวก็หันกลับมาถามว่า “แล้วมึง...จะมานั่งดักรอเจอพี่ผึ้งของมึงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เลยหรือ?” “กูไม่ได้มาดักเจอ กูก็แค่มาแอบมอง แต่...ถ้าได้เข้าไปทักทายหรือพูดคุยกันบ้างก็คงดี” พูดจบ เตชินท์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงหนึ่งครั้ง คงเพราะสามปีกว่า ๆ ที่ผ่านมาเขาเอาแต่เฝ้ามองธารดาราอยู่ห่าง ๆ มาโดยตลอด แล้วการที่วันนี้เขาบังเอิญได้เข้าไปอยู่ในสายตา และได้สบตากับคนที่เขาแอบรัก มันจึงทำให้เขาเกือบเผลอเดินตามเธอไปเสียอย่างนั้น จนผ่านไปได้สักพักเตชินท์กับอัศวินก็กลับเข้าไปหาเพื่อน ๆ ที่รออยู่ในห้องร้องคาราโอเกะ จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับบ้าน