บทที่ 41 พบโจร ทางด้านฮวาอิงหลงยังคงเร่งเดินทางต่อไปโดยแทบไม่หยุดพัก เส้นทางที่ทอดยาวสู่เขาหัวฉู่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ท่ามกลางหมอกบางๆ ช่างสงบเงียบอย่างน่าแปลกประหลาดท่ามกลางเสียงลมที่พัดแผ่วเบาในยามเย็น รถม้าเข้าเทียบยังชานเมืองหัวฉู่เขตแดนที่ติดกับเมืองเป่ยซาง พวกเขาจึงได้ตัดสินใจแวะพักยังโรงเตี๊ยมข้างทางเพื่อวางแผนกันต่อไปฮวาอิงหลงและพวกได้เดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมนอกเมืองที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในป่ารกร้าง เสียงเท้าของม้าที่กระทบพื้นดินหยุดลงที่หน้าโรงเตี๊ยม มีเพียงแสงไฟเล็กน้อยที่ส่องออกมาจากหน้าต่างชั้นล่าง เงามืดของต้นไม้ใหญ่พาดทับอาคารราวกับอ้อมกอดของความลึกลับเมื่อฮวาอิงหลงและพวกเดินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยม นางก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเมื่อคนงานในโรงเตี๊ยมดังกล่าวมีแต่เด็กและผู้หญิงแทบทั้งสิ้น“ดูเหมือนจะเป็นที่พักพิงที่ดีในคืนนี้” ซินหยวนจงเอ่ยขึ้นพลางมองไปรอบๆ เขาหันมาสบตากับฮวาอิงหลง ก่อนจะพยักหน้าเชิงขอความเห็นฮวาอิงหลงพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ หากไม่มีที่อื่น นี่ก็คงเป็นทางเลือกเดียวที่เรามี”เมื่อพวกเขาเปิดประตูเข้าไปในโรงเตี๊ยม กลับพบว่ามีแต่ผู้หญิงและเด็กอยู่ภายใน สายตาของฮวา
บทที่ 42 วางแผนหลังจากที่ฮวาอิงหลงและพวกของนางได้จับกุมกลุ่มโจรหญิงในคราบเถ้าแก่เนี้ยได้สำเร็จ ในที่สุดความเงียบสงบก็เข้ามาปกคลุมห้องพักอันเรียบง่าย หลังจากคืนที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดผ่านพ้นไป ฮวาอิงหลงนั่งอยู่ในห้องที่เงียบสงบ ภายในใจของนางยังคงหนักอึ้งด้วยความวิตกกังวลจางหว่านเหอ เถ้าแก่เนี้ยผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มที่คิดจะปล้นชิงพวกนางกำลังนั่งอยู่ตรงหน้า ฮวาอิงหลงจ้องมองจางหว่านเหอด้วยสายตาที่คมกริบ ใบหน้าของจางหว่านเหอเต็มไปด้วยคำถามและความระแวดระวัง แต่ภายในแววตาของหญิงสาวตรงหน้าคู่นั้นยังมีบางสิ่งที่ทำให้จางหว่านเหอรู้สึกว่านางมิใช่คนที่จิตใจต่ำทรามแต่อย่างใดแต่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังดิ้นรนในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันกับนางมากนัก“ข้าน้อยชื่อจางหว่านเหอ พวกข้าไม่มีทางเลือกอื่น...” จางหว่านเหอเอ่ยเบาๆ พลางก้มหน้าลงเหมือนสำนึกผิด “สามีของข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ หลังจากที่สามีของข้าถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ข้าก็ต้องรับหน้าที่ดูแลผู้หญิงและเด็กที่เหลืออยู่ ข้ามิอาจปล่อยให้พวกเขาต้องอดตายได้ จึงต้องทำเช่นนี้…”เมื่อได้สนทนากับจางหว่านเหอ หัวใจที่เคยเหน็บหนาวกลับอุ่นขึ้นมาบ้าง จางหว่าน
บทที่ 43 นางระบำคนใหม่ควันไฟจากในกองทัพยังคงคุกรุ่น เสียงบรรเลงดนตรีดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมืองเป่ยซาง ขบวนคณะนางระบำที่เดินทางเข้ามาในเมืองได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งฮวาอิงหลงที่เข้าร่วมกับคณะนางระบำรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่นาง ผ้าปิดหน้าเนื้อเบาบางเผยให้เห็นเฉพาะดวงตาคู่หวานยิ่งขับให้เห็นเสน่ห์อันน่าลึกลับและค้นหา ท่วงท่าสวยสง่าของฮวาอิงหลงดูโดดเด่นและสะดุดตากว่านางระบำของคณะอื่นๆ อย่างมาก บวกกับทักษะการร่ายรำที่นางได้เรียนรู้ในช่วงเวลาสั้นๆ จากจางหว่านเหอทำให้ฮวาอิงหลงกลายเป็นจุดสนใจได้โดยไม่ยากนักจางฟู่เหา หัวหน้าคณะนางระบำซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนที่มากประสบการณ์ สังเกตเห็นความพิเศษของฮวาอิงหลงตั้งแต่แรกพบ นางจึงเริ่มจัดวางตำแหน่งให้ฮวาอิงหลงได้ขึ้นแสดงนำ ซึ่งแต่เดิมนางระบำตัวเอกที่เตรียมไว้คือแม่นางเหม่ยกุ้ย หญิงสาวคนหนึ่งที่มีความสวยและฝีมือในการร่ายระบำจนเป็นที่เลื่องลือ ทว่าระหว่างการเดินทางนางกลับพบรักกับบัณฑิตหนุ่มรูปงามในระหว่างที่คณะนางระบำหยุดพักในเมืองแห่งหนี้ เหม่ยกุ้ยจึงได้แอบหลบหนีตามบัณฑิตหนุ่มคนนั้นไปในที่สุดจางฟู่เหารู้สึกร้อนใจอย่างยิ่ง นางพยายา
บทที่ 44 คนที่ข้าถวิลหาในค่ำคืนที่ลมหนาวแผ่วพัดเข้ามาในห้องโถงใหญ่ กลางแสงไฟสลัวภายในห้องจัดเลี้ยง แสงไฟจากคบเพลิงสะท้อนบนพื้นหินเย็นเยียบ เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงแผ่วเบาราวกับกระซิบ เรียกให้ทุกคนในงานเลี้ยงคืนนี้จดจ่อที่ลานการแสดงกลางห้อง เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางทหารและขุนนางที่ร่วมโต๊ะเลี้ยงอาหารคืนนั้น เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงเป็นจังหวะดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้คนต่างชะงักรอคอยการแสดงที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นฮวาอิงหลงก้าวเท้าเข้าสู่ลานการแสดงพร้อมบรรดาเหล่าสาวงาม นางสวมผ้าบางปิดคลุมใบหน้าสีงาช้างของตน มีเพียงดวงตาคู่คมที่เผยออกมาแสดงถึงความลึกลับและเสน่ห์ที่ดึงดูดสายตาทุกคู่ในที่นั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ฮวาอิงหลง ขณะที่เธอเริ่มการร่ายรำ การเคลื่อนไหวของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนช้อย ลีลาที่สวยสง่าของเธอราวกับลมพัดผ่านผิวน้ำ ผู้คนต่างมองกันนางราวกับกำลังถูกต้องมนต์สะกด“แม่นางคือเหม่ยกุ้ย หญิงงามในคณะนางระบำที่ได้รับความนิยมที่สุดในเมืองหลวง” องค์ชายสามเอ่ยกับฟางซินเย่ที่นั่งอยู่เยื้องเขาด้านข้างด้วยน้ำเสียงเบาหวิว แต่กลับแฝงความหมายที่ยากจะตีความฟางซินเย่ยังคงนั่งเงียบ สายตาจับ
บทที่ 45 ข้าคิดถึงเจ้า งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปจวบจนจะค่อนคืน เหล่าขุนนางยังคงดื่มกินอิ่มหนำสำราญ บรรดานางระบำต่างแยกย้ายกันไปปรนนิบัติพวกเขาอย่างขันแข็ง พวกนางต่างหวังจะได้รับการโปรดปรานและหลุดพ้นจากความลำบากเสียที เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะดังกลบกันไปมาจนจับต้นชนปลายไม่ถูก เฉินเม่าและจางหว่านเหออาศัยช่วงจังหวะชุลมุน แอบลอบออกจากห้องโถง พวกนางออกไปสมทบกับซินหยวนจงและจ้าวซือหลงที่อยู่ด้านนอก จากนั้นจึงแอบปลอมตัวเป็นนางกำนัลและทหารเพื่อตามหาเบาะแสเกี่ยวกับคนอื่นๆ ที่เหลือต่อไป ทั้งสี่ต่างแยกย้ายกันไปทำตามแผนการ โดยเฉินเม่ากับจ้าวซือหลงแยกตัวไปสืบเส้นทางสำหรับการหลบหนี ส่วนจางหว่านเหอและซินหยวนจงแยกไปตามหาที่กักขังเชลยศึก โดยทั้งสี่ได้นัดแนะกันกลับมาพบฮวาอิงหลงและฟางซินเย่ในช่วงยามรุ่งของวันถัดไปในขณะที่ฮวาอิงหลงยังคงนั่งอยู่เคียงข้างฟางซินเย่ นางยังคงปรนนิบัติฟางซินเย่เฉกเช่นนางระบำคนอื่นอย่างไม่มีผิดสังเกตใดๆ ถึงอย่างนั้นฟางซินเย่ก็ยังคงเอาแต่นั่งทำหน้าเคร่งเครียดอยู่อย่างนั้น เขาพยายามขบคิดถึงสิ่งที่ฮวาอิงหลงและพวกกำลังทำ ฟางซินเย่ปรายตามองฮวาอิงหลงอย่าง
บทที่ 46 ถวิลหา ฟางซินเย่กอดฮวาอิงหลงอยู่สักพัก ก่อนจะขยับร่างบางลงมานั่งที่ตัก สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเข้มขรึม พร้อมจ้องมองฮวาอิงหลงอย่างไม่วางตา“อิงเอ๋อร์ เจ้ามีอะไรจะบอกข้าหรือไม่” ฟางซินเย่เอ่ยออกมาน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงด้วยความดุดันฮวาอิงหลงมองค้อนฟางซินเย่อย่างแง่งอน นางอุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางไกลมาหา แต่เขากลับทำหน้าตาบึ้งตึงใส่นางอย่างนั้นอีก “อิงเอ๋อร์ เจ้ามิรู้หรือว่ามาที่นี่อันตรายมากเพียงใด” ฟางซินเย่เห็นปฏิกิริยาดังกล่าว ก็เริ่มผ่อนคลายใบหน้าลง เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง “เช่นนั้นท่านคงมิรู้ว่าเมืองหลวงเวลานี้อันตรายสำหรับข้ามากเพียงใด” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาอย่างตัดพ้อ ฟางซินเย่ทำสีหน้าสำนึกผิดลง เขาพอจะคาดเดาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เหตุเพราะเขาติดพันอยู่ที่นี่ ทำให้ไม่อาจปกป้องนางได้อย่างปลอดภัย นางถึงต้องดั้นด้นมาหาเขาถึงที่นี่ “อิงเอ๋อร์ ข้าขอโทษ เจ้าเหนื่อยมากไหม” ฟางซินเย่เปลี่ยนท่าทีเป็นออดอ้อนมากขึ้น เขาเอนศีรษะลงซบไหล่บางอย่างโหยหา ฮวาอิงหลงยกมือขึ้นกอดฟางซินเย่ไว้แน่นด้วยความคิดถึง แต่ก่อนที่นาง
บทที่ 47 เงื่อนไขค่ำคืนอันแสนหวานผ่านพ้นไป พร้อมร่างกายเปลือยเปล่าของทั้งสองที่นอนเกยก่ายกันและกันอย่างแนบแน่น เสียงหัวใจที่เต้นระรัวดังสลับกับเสียงลมหายใจที่หอบถี่ เพียงสักครู่ฮวาอิงหลงก็พลิกกายขึ้นมาอยู่เหนือร่างของฟางซินเย่ นางเท้าคางมองใบหน้าของเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย“ท่านพี่” ฮวาอิงหลงเอ่ยออกมาเบาๆ “ท่านคิดจะทำการสิ่งใดต่อไปหรือเจ้าคะ”ฮวาอิงหลงพูดพลางพร้อมยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของฟางซินเย่ไปพลาง นิ้วมือเรียวไล้ไปตามหว่างคิ้วลากยาวลงมาจนถึงปลายจมูกหนาเชิด “ยามรุ่งสาง ข้านัดเฉินเม่าและจางหว่านเหอไว้แล้ว พวกนางแยกย้ายกันตามหาเส้นทางหลบหนีและที่อยู่เชลยเจ้าค่ะ”ฟางซินเย่หัวเราะออกมาเบา พร้อมยกมือขึ้นลูบไล้แผ่นหลังของฮวาอิงหลง “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าได้วางแผนไว้หมดแล้ว” ฟางซินเย่พูดพร้อมจูบหน้าผากของฮวาอิงหลงอย่างเอ็นดู “เจ้าจงไปบอกให้พวกนางหาทางหลบหนีออกไปก่อน แล้วพวกเราจะไปสมทบกันที่ประตูเมืองซีฉวน”ฮวาอิงหลงเบิกตากว้าง นางมองฟางซินเย่อย่างงุนงง “นี่พวกข้าวางแผนเสียเปล่าหรือนี่” นางเอ่ยออกมาอย่างนึกผิดหวังเล็กๆฟางซินเย่ยิ้มพลางลูบผมของฮวาอิงหลง “อิงเอ๋อร์ เจ้าทำได้ดีมา
บทที่ 48 สถานการณ์พลิกผัน บรรยากาศภายในห้องอักษรเต็มไปด้วยความตึงเครียดจนหายใจแทบไม่ออก ทหารทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากันด้วยสายตาแข็งกร้าวและเย็นชา มือของพวกเขาเกาะกุมดาบไว้มั่นเตรียมพร้อมจะฟาดฟันกันได้ทุกเมื่อฟางซินเย่ยืนสงบนิ่งอยู่กลางห้องอย่างองอาจ เขายังคงจับจ้องมองท่าทีขององค์ชายสามอย่างไม่วางตา สองมือกระชับดาบข้างกายเอาไว้เตรียมรับสถานการณ์อย่างเต็มที่องค์ชายสามกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ ดาบคมกริบที่พาดอยู่บนบ่าของเขา สัมผัสกับผิวเนื้อบริเวณคอจนเกิดเป็นรอยแดง เลือดสีแดงซึมออกมาเป็นริ้วตามรอยฟาดดังกล่าวฟางซินเย่ยิ้มออกมาอย่างเหี้ยม และกล่าวออกมาทำลายความเงียบงันดังกล่าว “องค์ชายสาม เวลานี้ท่านจะเจรจากับข้าได้หรือยังขอรับ”น้ำเสียงที่ดังประหนึ่งท้าทายปนเยาะเย้ย ทำให้องค์ชายสามถึงกับตัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธเกรี้ยว เสียงกรอดของฟันที่กัดกระทบกันดังขึ้น เขาที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากฟางซินเย่มากนัก ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น สองมือขององค์ชายกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดขึ้นมาเป็นริ้วขาวบนผิวเนื้อ “หากข้ารู้ว่าเจ้าเลี้ยงไม่เชื่องเช่นนี้ ข้าคงฆ่าเจ้าไปเสียนานแล้ว”ฟางซินเย่ถึงกับหัวเราะเ
บทที่ 72 เริ่มต้นวันใหม่ค่ำคืนอันเงียบสงบ แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่รอบจวนลอยมาแตะจมูก ภายในห้องนอนใหญ่ท่ามกลางแสงสลัวนั้น ฟางซินเย่นอนมองหน้าฮวาอิงหลงนอนคุดคู้อยู่บนเตียง นางดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้นเมื่อแสงจันทร์ตกกระทบบนใบหน้าที่ผุดผาดฮวาอิงหลงยิ้มยั่วยวนเมื่อเห็นสายตาของฟางซินเย่ที่มองมาด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อนที่ไม่อาจซ่อนเร้น“อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่ยื่นมือขึ้นลูบไล้ไปตามลำแขนขาวก่อนจะไล่ลงมาตามลำตัวจนกระทั่งถึงหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมา “พ่อเจ้าต้องการแม่เจ้าเหลือเกิน เจ้าอนุญาตหรือไม่” ฟางซินเย่เพ้อออกมาด้วยเสียงกระเส่า เขาพูดไปพลางปรายตามองฮวาอิงหลงด้วยสายตากรุ้มกริ่มฮวาอิงหลงยิ้มเขินออกมาอย่างรู้ทัน นางโน้มตัวขึ้นเกยบนร่างหนาของฟางซินเย่ในทันที สองมือของฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นคร่อมตัวเขาอย่างระมัดระวังด้วยเกรงจะกระทบถึงบุตรในท้องฟางซินเย่หยัดกายขึ้นเล็กน้อยพร้อมสองมือที่ยังคงลูบไล้ไปตามหน้าอกอิ่มนูนของฮวาอิงหลงอย่างหลงใหล ลมหายใจเริ่มติดขัดขึ้นมาพร้อมกับปากที่เป่าลมร้อนออกอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ฮว
บทที่ 71 อำลาเมืองหลวงเสียงกลองและแตรสัญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณลานวังหลวง ขันทียกราชโองการขึ้นประกาศ “ฮ่องเต้มีราชโองการ ด้วยบุญบารมีของราชวงศ์โจวทำให้เชื้อพระวงศ์กลับคืนสู่ราชวงศ์ ข้าขอแต่งตั้งฟางซินเย่เป็นองค์ชายโจวซินเย่ แต่งตั้งฮวาอิงหลงเป็นพระชายาอ๋อง และแต่งตั้งเฉินเม่าเป็นองค์หญิงโจวเหยาหยาง จบราชโองการ” ฟางซินเย่โน้มรับราชโองการด้วยใบหน้าเรียบสงบ เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผยอยู่ในที ในขณะที่ฮวาอิงหลงและเฉินเม่ากลับแสดงสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเกร็งด้วยความตื่นเต้นกังวลกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ จากสาวใช้ในจวนแม่ทัพคนหนึ่งได้เป็นองค์หญิง ส่วนอีกคนได้เป็นพระชายาอ๋องช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักหลังเสร็จสิ้นการประกาศแต่งตั้งเฉินเม่าก็ได้ย้ายไปอยู่ที่จวนโจวหนานเอ๋อร์ ผู้เป็นมารดาของนาง ทว่าสำหรับฟางซินเย่นั้นกลับเลือกที่จะขอพำนักที่จวนแม่ทัพตามเดิมโจวหนานเอ๋อร์แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ไม่ต้องการหักหาญน้ำใจของบุตรชาย นางจึงเพียงกำชับฮวาอิงหลงให้หมั่นไปเยี่ยมเยียนตนที่จวนให้บ่อยครั้งในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ฟางซินเย่และฮวาอิงหลงเดินทางไปยังจวนฉางกงจู่ โจวหนานเอ๋อร์และเฉ
บทที่ 70 ลูกของข้าราชโองการถูกประกาศปล่อยตัวฟางซินเย่ในวันต่อมาโดยทันที ในที่สุดฟางซินเย่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายวันเมื่อฟางซินเย่ได้รับอิสรภาพ เขาก้าวออกจากคุกด้วยความมุ่งมั่นและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงฮวาอิงหลง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความถวิลหานาง ดั่งว่านี่คือการเดินทางที่ยาวนานที่สุดของชีวิตเขา“อิงเอ๋อร์...ข้าไม่ยอมสูญเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” ฟางซินเย่กล่าวกับตนเองขณะที่ก้าวขึ้นม้าด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจวนอ๋องเมื่อฟางซินเย่ถึงจวนอ๋อง เขาปรี่ตรงเข้าไปหาโจวอี้เสวียนในทันที สองมือกุมคอเสื้อของโจวอี้เสวียนอย่างไม่นึกหวั่นเกรงสิ่งใดอีกต่อไป ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่มี พร้อมกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกัดฟันกรอด “อิงเอ๋อร์...อยู่ที่ใด”โจวอี้เสวียนหันมามองเขาด้วยดวงตาเย็นชา ใบหน้าของชายหนุ่มที่พรากหัวใจของหญิงสาวคนรักของตนไปทำให้เขานึกครึ้มอย่างจะกลั่นแกล้งฟางซินเย่อีกสักหน่อย โจวอี้เสวียนยิ้มเยาะขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ...เหตุใดข้าต้องตอบคำถามเจ้าด้วยเล่า”คำพูดยียวนทำเอาฟางซินเย่ถึงกับบันดาลโทสะ เขาง้างมือขึ้นเตรียมจะชกหน้าโจวอี้เสวียน แต่องครักษ์ข้างกายของโจวอ
บทที่ 69 ฝืนยอมรับในท้องพระโรงที่โอ่โถง บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน โจวจางเย่วประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โจวอี้เสวียนที่ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านข้าง ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอย่างดุดัน“อี้เสวียน...เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพื่อสตรีนางเดียวอย่างนั้นหรือ” โจวจางเย่วชี้นิ้วไปยังโจวอี้เสวียนด้วยความเกรี้ยวกราดโจวอี้เสวียนยืนนิ่งเงียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ข้าไม่มีทางเลือก ในเมื่อเสด็จพ่อมิทรงทำสิ่งใด เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องหาทางของข้าเอง”“เจ้านี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก” โจวจางเย่วแค่นเสียงออกมาด้วยความขัดเคืองใจ “ความรักของเจ้าทำให้เจ้าลืมเลือนความเป็นบุตรหลานแห่งราชวงศ์แล้วหรือ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้ามีสถานะเช่นใด เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้วันหน้าต้องเป็นของเจ้า เจ้ากลับผิดแผนชั่วเพื่อแย่งชิงภรรยาผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปจะมีผู้ใดในแคว้นเคารพและนับถือเจ้า จะมีผู้ใดยอมรับใช้ถวายหัวให้กับเจ้า แม่ทัพฟางเป็นเสาหลักของแคว้น หากเจ้ากำจัดเขาทิ้ง เจ้าคิดหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้จะมั่นคงอยู่ได้”โจวอี้เสวียนกัด
บทที่ 68 พบพานภายในห้องขังที่แสนอับชื้นและเหน็บหนาว เสียงกุญแจที่บานประตูคุกหลวงสะท้อนเสียงดังไปทั่ว ฟางซินเย่ที่นั่งพิงผนังหินเย็นเฉียบตาแดงก่ำมองดูหนังสือหย่าที่เพิ่งได้รับ มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ริมฝีปากแห้งผากเผยอเบาๆ ออกมาราวกับจะกล่าวคำใด แต่ทุกคำกลายเป็นเพียงเสียงหายใจที่ตัดรอน “อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่พร่ำเอ่ยชื่อของฮวาอิงหลงออกมาด้วยดวงตาสั่นไหวที่คงความขมขื่นไว้ในห้วงแห่งความโศกเศร้า“อิงเอ๋อร์...เหตุใดต้องทำเช่นนี้เพื่อข้า” ฟางซินเย่คร่ำครวญออกมา ใบหน้าเปลี่ยนสีแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงร้อนรุ่ม “เจ้ายอมแต่งงานกับโจวอี้เสวียนเพียงเพื่อรักษาชีวิตข้า...ข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าเพียงนี้เชียวหรือ...” เขาหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ขาดหายราวกับจะกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ความรันทดอดสูใจทำให้เขาถึงกับกุมหมัดขึ้นทุบผนังหิน เลือดไหลซึมออกมาหยดลงเป็นทางยาว ความเจ็บปวดของร่างกายกลับไม่อาจเทียบความเจ็บปวดภายในใจที่มีได้ในขณะที่บรรยากาศคุกขังอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ภายในเฉินเม่าและเสี่ยวม่านกลับไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ความทุกข์ร้อนของพี่น้องร่วมสาบานเช่นฮวาอิง
บทที่ 67 แผนร้ายภายในโถงใหญ่ในจวนอ๋อง โจวอี้เสวียนที่หน้าตาเคร่งเครียดยืนอยู่อย่างหัวเสีย ความหงุดหงิดก่อตัวภายในใจที่นึกไว้ใจคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นเฉินเฉียวเหยา หากนางไม่ไร้ความสามารถเช่นนี้โอกาสที่เขาจะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจอย่างฟางซินเย่ย่อมเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น ข้าวของถูกปาแตกกระจายด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เขาก้าวเดินวนไปมาอย่างต้องการใช้ความคิดสักครู่หนึ่งโจวอี้เสวียนตะโกนเรียกองครักษ์คนสนิทเข้ามา “พวกเจ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้” โจวอี้เสวียนออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มขรึม ดวงตาคมเข้มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่รู้จักพ่ายแพ้องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่งทันที “ขอรับท่านอ๋อง”โจวอี้เสวียนเหม่อมองออกไปภายนอกห้องด้วยความคิดอันแยบยล หากแผนการแรกผิดพลาด เขาย่อมต้องมีแผนที่สองเตรียมรับมือไว้เป็นแน่ผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือน กองกำลังทหารของโจวอี้เสวียนก็เข้าปิดล้อมจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่เดินอย่างอาจหาญออกมาเผชิญหน้าเหล่าทหารของโจวอี้เสวียน โดยมีเหล่าทหารกองทัพของฟางซินเย่ยืนประจัญบานเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี“แม่ทัพฟางซินเย่ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นจวนของท่าน โปรดใ
บทที่ 66 กำจัดทิ้งภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของจวนสกุลเฉิน เสียงแผดคำรามของเฉินเซียวหยงดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง พ่อบ้านได้แต่ยืนตัวสั่นเทาด้วยกลัวแรงโทสะของนายท่านที่มี มือของเฉินเซียวหยงกำขยุ้มกระดาษรายงานที่เพิ่งส่งข่าวมาให้เขารับรู้ หัวใจเต้นเร็วแรงด้วยความโกรธแค้น เขาขบฟันแน่นจนสันกรามขึ้นเป็นริ้ว ดวงตาแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต"พวกมันช่างอาจหาญยิ่งนัก กล้าข่มเหงรังแกบุตรสาวของข้า ทำเช่นนี้มิเท่ากับกล้าลบหลู่ข้าอย่างนั้นหรือ" เฉินเซียวหยงสบถออกมา เมื่อได้รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของเฉินเฉียวเหยา ทั้งยังเรื่องที่นางถูกละเลยและถูกลบหลู่สารพัดจากคนในจวนแม่ทัพ“พ่อบ้านเตรียมรถม้าข้าจะไปพบแม่ทัพฟางที่จวนแม่ทัพ เร็วเข้า” คำสั่งดังก้องด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ พ่อบ้านลนลานรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจัดการในทันทีขณะที่เฉินเซียวหยงกำลังจะก้าวออกจากห้องโถง ฉับพลันพ่อบ้านก็รีบเดินปรี่เข้ามาแจ้ง “เรียนนายท่าน ท่านอ๋องโจวอี้เสวียนมาขอพบขอรับ”เฉินเซียวหยงได้ฟังก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที เขาเร่งเดินออกมาต้อนรับโจวอี้เสวียนในทันที ใบหน้าของเขายิ้มกว้างออกมา ดวงตาทอประกายความยินดีอย่างยิ่ง“ค
บทที่ 65 ข่าวดีภายในเรือนหนิงหลง เฉินเฉียวเหยากำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง มือบางทั้งสองข้างบวมขึ้นจนน่าตกใจ ผิวที่เคยขาวซีดของนางบัดนี้แดงก่ำจากการถูกน้ำร้อนลวก เฉินเฉียวเหยาเจ็บแสบจนแทบทนไม่ไหว นางนึกเคืองแค้นจนเผลอตัวกำหมัดแต่เพราะผิวที่เป่งตึงทำให้นางถึงกับร้องครางออกมา เฉินเฉียวเหยาได้แต่ขบฟันแน่น ใบหน้าบูดบึ้งจนทำให้หน้าที่เคยสวยหวานกลับดูน่าเกลียดขึ้นมาหว่านหลงรีบเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบให้นายหญิงของตนด้วยความทะนุถนอม นางเช็ดไปพลางเป่าไปพลางเพื่อให้เฉินเฉียวเหยาคลายความเจ็บลงไป “คุณหนู เจ็บมาหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะต้องรายงานใต้เท้าแล้วนะเจ้าคะ บ่าวทนเห็นคุณหนูถูกรังแกเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”ยังไม่ทันที่เฉินเฉียวเหยาจะตอบกลับอันใดออกมา พ่อบ้านก็พาตัวหมอเข้ามาดูอาการ เฉินเฉียวเหยาจึงได้แต่เม้มปากก่อนจะตีสีหน้าเศร้าหมองออกไปหมอรีบเข้ามาดูอาการของเฉินเฉียวเหยาในทันที ความเจ็บปวดเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทันทีที่หมอแตะต้องบริเวณที่บวมแดง เฉินเฉียวเหยาก็ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดทางกายที่นางได้รับยังไม่ถึงเศษเสี้ยวความรู้สึกเจ็บปวดทางใจที่มี ดวงตาสั่นไหวระริกไปด้วยค
บทที่ 64 เล่ห์กลนี้ใช้กับข้าไม่ได้ช่วงบ่ายของวันฮวาอิงหลงกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาภายในสวนโดยมีเสี่ยวม่านคอยปรนนิบัติอย่างรู้ใจ นางนึกย้อนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง“คุณหนูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” เสี่ยวม่านถามออกมาด้วยความห่วงใย“ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย “เจ้าค่ะ” เสี่ยวม่านรีบย่อกายพร้อมถอยหลังออกไปอย่างไม่ต้องการรบกวนนายหญิงของตนอีกฮวาอิงหลงนั่งปล่อยความคิดได้เพียงสักครู่หนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงหวานดังขึ้นมา “เหยาเอ๋อร์คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินเฉียวเหยาเดินเข้ามาหาภายในศาลาพร้อมย่อกายคำนับฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นางก็มิได้คิดจะหนีหน้าแต่อย่างใด“เชิญนั่งสิ แม่นางเฉิน”" ฮวาอิงหลงเอ่ยเบาๆ พร้อมผายมือให้เฉินเฉียวเหยานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเฉินเฉียวเหยาปั้นหน้ายิ้มหวาน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญ “ข้ามาอยู่ที่นี่รู้สึกเหงายิ่งนัก หากได้พูดคุยกับสหายเก่าเช่นท่านคงคลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง” เฉินเฉียวเหยากล่าวออกมาอย่างสนิทสนมดั่งเช่นพวก