ฉินป๋อหลิน ทายาทผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลฉิน ก้าวลงจากเครื่องบินที่เพิ่งแตะรันเวย์ของสนามบินต้าหลี่ ใบหน้าคมคายเรียบเฉยภายใต้กรอบแว่นกันแดดราคาแพง แม้จะเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากอังกฤษ แต่แววตาของเขากลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งความยินดีหรือตื่นเต้นใด ๆ
เพราะการกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยความสมัครใจ หากแต่เป็นเพราะเสียงเรียกหาจากมารดาของเขา ฉินป๋อหลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะสาวเท้าออกจากสนามบิน ทิ้งเมืองผู้ดีไว้เบื้องหลัง
ทันใดนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดรสสีแดงเพลิงก็ปรากฏตัวขึ้น เธอเดินเข้ามาหาฉินป๋อหลินอย่างมั่นใจ พร้อมกับส่งยิ้มหวานเยิ้มให้เขา
“สวัสดีค่ะคุณ ดิฉันชื่อ...”
“ไม่สนใจ” ฉินป๋อหลินตัดบทเสียงแข็ง พร้อมกับสาวเท้าเดินผ่านเธอไปราวกับเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ
หญิงสาวหน้าชาเล็กน้อยกับท่าทีเย็นชาของเขา แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม เธอรีบสาวเท้าตามเขาไป
“คุณคะ ดิฉันแค่อยากจะ...”
“ผมบอกว่าไม่สนใจไง!” ฉินป๋อหลินหันกลับมาตวาดใส่เธอเสียงดัง จนคนรอบข้างหันมามองด้วยความตกใจ
หญิงสาวตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เธอไม่เคยคิดว่าชายหนุ่มที่เพียบพร้อม จะมีท่าทีหยาบคายและเย็นชาได้ถึงเพียงนี้ เธอรีบเดินหนีไปทันที
ฉินป๋อหลินถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงพวกนี้ถึงได้ชอบตามตื๊อเขา ทั้ง ๆ ที่เขาก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่สนใจ
“น่ารำคาญเป็นบ้า” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเร่งฝีเท้าออกจากสนามบินโดยเร็วที่สุด เขาอยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ไม่อยากเจอเรื่องวุ่นวายแบบนี้อีกแล้ว
รถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวผ่านประตูทางเข้าไร่องุ่นหยางกวงอย่างเชื่องช้า ฉินป๋อหลินมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์เขียวขจีที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นต่อสายตา แต่กลับไม่สามารถจุดประกายความรู้สึกใด ๆ ในใจเขาได้เลย รถจอดสนิทหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ บ่าวรับใช้รีบกุลีกุจอมาเปิดประตูให้เขา
“คุณชายกลับมาแล้วครับ” เสียงทักทายดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้างของคนรับใช้ แต่ฉินป๋อหลินเพียงพยักหน้ารับรู้เล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในบ้าน
“อาหลินลูกแม่!” เสียงหวังซู่หลินดังมาจากห้องรับแขก เธอรีบลุกขึ้นมาต้อนรับลูกชายด้วยความดีใจ “กลับมาแล้วก็ดีแล้วลูก คิดถึงจะแย่”
ฉินหลงเจ๋อวางหนังสือพิมพ์ลง พลางทักทายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “กลับมาแล้วเหรอลูก”
“ครับ” ฉินป๋อหลินตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยหน่าย
หวังซู่หลินมองลูกชายด้วยความเป็นห่วง “เดินทางเหนื่อยไหมลูก แม่ให้คนเตรียมอาหารไว้ให้แล้วนะ”
“ขอบคุณครับแม่” ฉินป๋อหลินตอบรับ แต่ก็ไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นใด ๆ
ฉินหลงเจ๋อมองภรรยาและลูกชายสลับกันไปมา เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร
“อาหลิน” หวังซู่หลินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แม่มีเรื่องอยากจะคุยกับลูกหน่อย”
ฉินป๋อหลินเงยหน้าขึ้นมองมารดา “เรื่องอะไรครับ?”
“เรื่องอนาคตของลูกน่ะ” หวังซู่หลินเว้นช่วงเล็กน้อย “แม่ว่าถึงเวลาแล้วที่ลูกจะต้อง...”
ฉินป๋อหลินรู้ทันทีว่ามารดาต้องการจะพูดเรื่องอะไร เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดสวนขึ้น “ผมเหนื่อยแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ”
เขาตัดบทและรีบเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอน ทิ้งให้หวังซู่หลินและฉินหลงเจ๋อมองตามหลังไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน
ฉินป๋อหลินเหยียดกายลงบนเตียงนุ่มหลังจากอาบน้ำชำระร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางมายาวนาน ความรู้สึกหงุดหงิดยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ เขาไม่ชอบที่ถูกใครมาบงการชีวิต แม้แต่แม่ของเขาเองก็ตาม เธอชอบสั่งให้เขาทำนู่นทำนี่ราวกับว่าเขาเป็นเด็กน้อย ทั้งที่เขาโตพอที่จะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้แล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด ฉินป๋อหลินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่วนพ่อก็ไม่เคยขัดใจแม่ได้เลยสักครั้ง ปล่อยให้แม่ทำตามใจตัวเองทุกอย่าง นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะเขาอยากหนีจากกรงทองที่แสนอึดอัด
ถ้าไม่ใช่เพราะแม่โทรมาบอกว่าพ่อป่วย เขาคงไม่มีวันกลับมาเหยียบที่นี่อีก ฉินป๋อหลินหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน
เช้าวันใหม่ที่ไร่องุ่นหยางกวง ขณะที่เหว่ยเฟิงกำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบคุณภาพองุ่นอย่างตั้งอกตั้งใจ ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าอยู่นั้น ใบหน้าของเธอเปล่งประกายสดใสไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขทันใดนั้นเอง เงาของใครบางคนก็ทาบทับลงมาบนเถาองุ่น เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้น ก็พบกับฉินป๋อหลิน ชายหนุ่มสุดหล่อผู้เป็นลูกชายเจ้าของไร่องุ่นหยางกวงแห่งนี้ คนที่เธอเคยเจอมาก่อนในสมัยเด็ก เธอจำเขาได้ลาง ๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก“อ้าว ทำงานอยู่เหรอ” ฉินป๋อหลินเอ่ยทักเสียงเรียบ พร้อมกับเสมองไปทางอื่น เขาพยายามทำตัวให้ดูไม่สนใจคนตรงหน้า แต่ภายในใจกลับเต้นระรัว ไม่เจอกันนานหลายปี หญิงสาวดูโตขึ้นมากในสายตาของเขาเหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นมองเขา พลางตอบกลับด้วยรอยยิ้มสดใสเช่นเคย “ค่ะ สวัสดีค่ะคุณป๋อหลิน”ฉินป๋อหลินพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านเธอไปอย่างรวดเร็ว แม้จะพยายามเก็บอาการ แต่เขาก็ไม่อาจละสายตาจากเหว่ยเฟิงได้ ความงามและความสดใสของเธอทำให้เขารู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูกเหว่ยเฟิงมองตามแผ่นหลังของฉินป๋อหลินไปจนลับสายตา เธอไม่ได้ใส่ใจท่าทีเย็นชาวางท่าของเขาเท่าไหร่นัก เพราะตอนนี้เธอมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าใ
พอพูดคุยกันแล้ว เหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลินก็เริ่มทำงานร่วมกันทันที ด้วยไม่อยากให้เสียเวลามากไปกว่านี้ โดยที่ช่วงบ่ายพวกเขาลงพื้นที่สำรวจไร่องุ่นทั้งหมด เพื่อเก็บตัวอย่างดินและใบองุ่นไปตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็บ คงจะอีกหลายวันเลยทีเดียวกว่าผลแล็บจะออก“ระหว่างรอผลแล็บ เราต้องทำระบบระบายน้ำและสารชีวภัณฑ์มาระงับการระบาดของโรคค่ะ” เมื่อออกจากห้องแล็บมา เหว่ยเฟิงก็พูดสิ่งที่เธอคิดให้ชายร่างสูงฟัง“ปรับปรุงระบบระบายน้ำ? ใช้สารชีวภัณฑ์?” ฉินป๋อหลินหัวเราะในลำคอ “นี่คุณกำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า? นี่มันไร่องุ่นนะ ไม่ใช่ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ของคุณ”เหว่ยเฟิงกัดฟันแน่น พยายามระงับอารมณ์ “ฉันไม่ได้ล้อเล่นค่ะคุณป๋อหลิน นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจัดการกับเชื้อราชนิดนี้ ฉันมีข้อมูลและงานวิจัยรองรับ”“ข้อมูล? งานวิจัย?” ฉินป๋อหลินแสยะยิ้ม “ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ผมต้องการวิธีที่เห็นผลเร็วและชัดเจน ไม่ใช่วิธีที่อ้อมค้อมแบบนี้”เหว่ยเฟิงพยายามอธิบายอย่างใจเย็น แต่ฉินป๋อหลินไม่ฟังเธอเลย เขาตัดสินใจใช้สารเคมีกำจัดเชื้อราแรง ๆ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญที่เขาจ้างมา แม้เหว่ยเฟิงจะคัดค้านเพียงใด แต่เ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉินป๋อหลินเริ่มเปิดใจรับฟังเหว่ยเฟิงมากขึ้น เขายอมรับว่าเธอมีความรู้ความสามารถ และเริ่มเห็นคุณค่าในตัวเธอ เขาเริ่มเข้าใจว่าการแก้ปัญหาบางครั้งต้องใช้เวลาและความอดทน ไม่ใช่ทุกอย่างจะแก้ไขได้ด้วยเงินหรืออำนาจใด ๆเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ ภายใต้การทำงานอย่างหนักของเหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลิน รวมถึงความร่วมมือของคนงานในไร่ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถควบคุมโรคระบาดได้สำเร็จ ผลผลิตองุ่นเริ่มกลับมาดีขึ้นเรื่อย ๆฉินหลงเจ๋อดีใจมากเมื่อเห็นไร่องุ่นที่ตนสร้างมากับมือกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เขาจึงเรียกลูกชายและเหว่ยเฟิงเข้ามาขอบคุณที่ร่วมมือช่วยกันเพื่อแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ได้สำเร็จ“ขอบใจมากนะเหว่ยเฟิง” ฉินหลงเจ๋อกล่าว “เธอช่วยไร่องุ่นของเราไว้ได้จริง ๆ”เหว่ยเฟิงยิ้มอย่างเขินอาย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณลุง เหว่ยเฟิงก็แค่ทำหน้าที่เท่านั้น”“เอ๊ะ มาเรียกลุงได้ยังไงกัน ครั้งก่อนที่เจอกัน ฉันบอกให้เหว่ยเฟิงเรียกฉันว่าพ่อนิ ใช่ไหม” ฉินหลงเจ๋อเอ็ดเหว่ยเฟิงอย่างไม่จริงจังนัก หากก็มีความไม่พอใจปนอยู่ในประโยคคำพูดอยู่บ้าง“เอ่อ ค่ะ คุณพ่อ”“พ่อขอบใจลูกด้วยนะป๋อหลิน ที่ช่วยกันกับเหว่ยเฟิงทำให้ไร่องุ่นข
เหว่ยเฟิงเงยหน้าจากกองเอกสาร เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นชื่อ 'หลิวกู้หย่ง' บนหน้าจอ ความทรงจำเก่า ๆ ก็หวนกลับมาอีกครั้ง“ฮัลโหล”“เหว่ยเฟิงเหรอ ผมเอง กู้หย่ง” เสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยขึ้น “ผมจะกลับปักกิ่งแล้วนะ แล้วก็...ผมอยากไปหาคุณที่ต้าหลี่”เหว่ยเฟิงกำโทรศัพท์แน่น ความรู้สึกมากมายตีตื้นขึ้นมา เธอพยายามลืมเรื่องราวในอดีต แต่คำพูดของกู้หย่งก็ทำให้เธออดคิดถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่เคยมีร่วมกันไม่ได้เธอจำได้ถึงวันที่เธอกำลังเคร่งเครียดกับงานวิจัย จะคอยมีหลิวกู้อยู่ข้าง ๆ เป็นกำลังใจให้เธอเสมอ เขาจะซื้อกาแฟ ซื้อขนม ซื้อข้าวมาให้เธอตลอด แล้วนั่งคุยกันจนเธอหายเหนื่อย แม้เธอจะตัดขาดกับเขาไปแล้ว แต่ความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้นก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเธอ“อย่ามาเลยค่ะ ฉันไม่สะดวกพบคุณจริง ๆ”เหว่ยเฟิงตัดสินใจวางสาย เธอรู้ว่ายังไม่พร้อมที่จะพบเจอเขาตอนนี้ เธอต้องการเวลา...ในยามเย็นหลังเลิกงาน เหว่ยเฟิงมักจะปั่นจักรยานคู่ใจไปยังร้านกาแฟประจำ เธอสั่งกาแฟแก้วโปรดของหลิวกู้หย่ง แม้จะรู้ว่าไม่เหมาะกับเวลานี้เท่าไหร่ ด้วยรู้ดีว่าหัวใจกำลังอ่อนแอ เธอนั่งจมอยู่กับความคิดนานห
“ผมจำได้ครับ คุณฉิน” เหว่ยเซินพยักหน้าช้า ๆ หัวใจของเขาหนักอึ้งด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความเสียใจต่อเพื่อนรักที่กำลังจะจากไป และความกังวลต่ออนาคตของลูกสาว“ฉันรู้ว่ามันอาจจะดูเห็นแก่ตัว” ฉินหลงเจ๋อกล่าวต่อ “แต่ฉันเป็นห่วงป๋อหลินเหลือเกิน เขาไม่เคยต้องเผชิญความยากลำบากอะไรเลย ฉันกลัวว่าถ้าฉันไม่อยู่แล้ว เขาจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ฉันอยากให้เหว่ยเฟิงช่วยดูแลเขา เธอเป็นเด็กดี มีความสามารถ และฉันเชื่อว่าเธอจะสามารถทำให้ป๋อหลินเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งได้”เหว่ยเซินเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจความรู้สึกของฉินหลงเจ๋อดี เขาเองก็รักและเป็นห่วงลูกสาวของเขามากเช่นกัน แต่เขาก็รู้ว่าเหว่ยเฟิงมีความคิดเป็นของตัวเอง และเขาไม่อยากบังคับให้เธอทำอะไรที่เธอไม่ต้องการ“ผมจะคุยกับเหว่ยเฟิงเองครับ” เหว่ยเซินตอบในที่สุด “แต่ผมไม่สามารถบังคับให้เธอแต่งงานกับใครได้ การตัดสินใจอยู่ที่ตัวเธอเอง”ฉินหลงเจ๋อพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ฉันรู้ ฉันแค่ขอให้เธอพิจารณาเรื่องนี้ด้วยก็พอ”ย้อนกลับไปในวัยหนุ่ม เหว่ยเซินและฉินหลงเจ๋อเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่สมัยเรียน ทั้งคู่มีความฝันร่วมกันที่จะสร้างไร่องุ่นที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่า
“พ่อคะ...นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมคุณนายหวังต้องพูดถึงคุณชายป๋อหลินด้วย เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนูเลยสักนิด”เหว่ยเฟิงที่ทนความรู้สึกพวกนี้ไม่ไหวต้องวางมือจากงานในครัว แล้วจูงแขนบิดาให้ไปพูดคุยกับเธอในที่ลับตาคนเหว่ยเซินถอนหายใจยาว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ลำบากใจไม่น้อยเช่นกัน“เฟิงเอ๋อร์ พ่อมีเรื่องต้องบอกลูก...” เขาเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีต ความสัมพันธ์ของเขากับฉินหลงเจ๋อ สัญญาที่เคยให้ไว้ และข้อตกลงเรื่องการแต่งงานของลูก ๆ ทั้งสองยิ่งฟัง เหว่ยเฟิงก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบรัดหัวใจ เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย เธอรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง โกรธที่พ่อไม่เคยบอก และเสียใจที่อนาคตของเธอถูกกำหนดไว้โดยที่เธอไม่รู้ตัวเมื่อเหว่ยเซินเล่าจบ เหว่ยเฟิงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เธอรู้สึกอ่อนแรงไปหมด น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ“พ่อ...ทำไมพ่อไม่เคยบอกหนูเลยล่ะคะ” เธอถามเสียงสั่น “พ่อขอโทษ พ่อแค่...” เหว่ยเซินมองลูกสาวด้วยความรู้สึกผิดและหยุดประโยคที่จะเอ่ยกับเหว่ยเฟิงไปเสียดื้อ ๆ“พ่อแค่ไม่อยากให้หนูลำบาก” เหว่ยเฟิงพูดต่อให้จบประโยค “หนูรู้ค่ะพ่อ แต่หนูก็มีชีวิตของหนู หนูมีสิทธิ์ที่จะเลือกอนาคตของตัวเองนะคะ”ท
“แล้วเรื่องเงินที่คุณว่า เธอพูดถึงมันยังไง”หย่าจือทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนตอบ “ฉันได้ยินเรื่องเงินค่ะ มีถามย้ำด้วยว่าหลิวกู้หย่งกำลังเดือดร้อนเรื่องเงินอยู่จริง ๆ น่ะหรือ ไหนว่าตระกูลหลิวร่ำรวยมากอย่างไรล่ะ แต่ฉันคิดดูแล้วมันเป็นไปได้นะคะ ที่เหว่ยเฟิงอาจจะวางแผนฮุบไร่องุ่นและเอาเงินไปปรนเปรอผู้ชายคนนั้น”ฉินป๋อหลินพยักหน้ารับ “ขอบคุณสำหรับข้อมูล หย่าจือ”หย่าจือยิ้มด้วยความพอใจก่อนจะขอตัวออกไป ทิ้งให้ฉินป๋อหลินนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว เขาไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดของหย่าจือมากแค่ไหน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจ เขาตัดสินใจว่าจะลองสังเกตพฤติกรรมของเหว่ยเฟิงดูขณะที่ป๋อหลินกำลังเดินครุ่นคิดไม่ตกอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเหว่ยเฟิงคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกลจากตรงที่เขานั่งเท่าไหร่“กู้หย่ง...ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่สามารถช่วยอะไรนายได้ ตอนนี้ฉันยังไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น” เสียงของเหว่ยเฟิงแผ่วลง“แต่ถ้าในวันหน้าฉันมีเงินเยอะกว่านี้ก็อาจจะ...” เธอเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ว่าพอมีปัญหาก็กลับมาหาฉัน ว่าแต่ทำไมนายไม่ขอความช่วยเหลือจากหยางซิงล่ะ”ฉินป๋อหลินไม่ได้ยินบทสนทนาที่เหลือ หากก่อนหน้าเขาไม่
อย่างนั้นแล้ว ข่าวการแต่งงานของฉินป๋อหลินกับเหว่ยเฟิงก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักในไร่องุ่นหยางกวงราวกับพายุที่พัดกระหน่ำ ความยินดีปะปนกับเสียงวิจารณ์ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่สำหรับหย่าจือ หญิงสาวที่เฝ้ารอคอยป๋อหลินมาเนิ่นนาน ข่าวนี้นำมาซึ่งความเจ็บปวดแสนสาหัส เหมือนโลกทั้งใบของเธอมืดมิดลงในพริบตาซึ่งข่าวที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วนี้เอง เหว่ยเฟิงเองก็ไม่รอดพ้นจากสายตาและคำพูดของผู้คน เธอได้ยินเสียงซุบซิบนินทาที่ลอยมาเข้าหู หากเธอเลือกที่จะเมินเฉย ด้วยเธอรู้ดีว่าคนพวกนี้แค่ต้องการสร้างเรื่องให้เธอไม่สบายใจ เธอจะไม่ยอมให้คำพูดของใครมาบั่นทอนความสุขของเธอเด็ดขาดทันทีที่เหว่ยเฟิงกำลังเดินผ่านไป หย่าจือก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปหาหญิงสาวด้วยท่าทางแข็งกระด้าง รอยยิ้มที่เคยมีแปรเปลี่ยนเป็นความเหยียดหยัน“กลับมาได้ไม่นานก็มีข่าวว่าจะได้เป็นคุณนายใหญ่แห่งตระกูลฉินแล้วเหรอจ๊ะ” เธอพูดเสียงสูง ก่อนจะหัวเราะเยาะ “ฝันหวานไปหรือเปล่า เธอมันก็แค่ลูกสาวคนงาน ไม่มีทางเหมาะสมกับคุณชายป๋อหลินหรอก”เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นมองหย่าจือที่เดินมาหาเรื่อง อยากจะตอบโต้อยู่เช่นกัน หากไม่ใช่นิสัยของเธอ จึงพยายามระงับอารม
“คืนนี้เป็นของเรา” ป๋อหลินพูดเบา ๆ ขณะที่เขากอดเธอไว้แน่นเสียงหัวใจของทั้งคู่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน เสียงกระซิบและเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อเกิดเป็นบทเพลงแห่งความรักที่พวกเขาร่วมบรรเลงอย่างสมบูรณ์ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความรักและความสุข ลืมความทุกข์โศกและความสูญเสียในอดีต เหลือเพียงความรักที่แท้จริงและความผูกพันที่ไม่มีวันจางหายเช้าวันหนึ่ง เหว่ยเฟิงรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยสบายตัวนัก เธอมีอาการคลื่นไส้และเวียนศีรษะเล็กน้อย ตอนแรกเธอคิดว่าอาจเป็นเพราะทำงานหนักเกินไป แต่เมื่ออาการไม่ดีขึ้น เธอจึงตัดสินใจไปหาหมอในเมืองเมื่อผลตรวจออกมา เหว่ยเฟิงแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เธอตั้งครรภ์! ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในใจ ทั้งความดีใจ ความตื่นเต้น และความกังวลเล็ก ๆ เธอจะบอกข่าวดีนี้กับฉินป๋อหลินอย่างไรดีนะ?เขาจะตื่นเต้นดีใจกับข่าวดีนี้หรือเปล่าและทันทีที่กลับถึงบ้าน เหว่ยเฟิงก็ตรงไปหาฉินป๋อหลินที่กำลังจัดการเอกสารอยู่ในห้องทำงาน“ป๋อหลินคะ ฉันมีเรื่องจะบอกคุณค่ะ” เหว่ยเฟิงพูดเสียงแผ่วฉินป๋อหลินเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความเป็นห่วง “มีอะไรหรือ เฟิงเอ๋อร์? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”เหว่ยเฟิงสูดหายใจเ
และมาวันนี้ที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นก็มาถึง ในที่สุดฉินหลงเจ๋อก็จากไปอย่างสงบจากโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย แม้ความโศกเศร้าจะเกาะกุมหัวใจ ฉินป๋อหลินและเหว่ยเฟิงก็พยายามยิ้มให้กันพวกเขาเข้าใจดีว่าตอนนี้ฉินหลงเจ๋อจากไปอย่างสงบ ปราศจากความเจ็บปวดทรมาน และที่สำคัญที่สุด ท่านจากไปพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุข“พ่อคงไม่อยากเห็นพวกเราเศร้านักหรอกค่ะ” เหว่ยเฟิงเอ่ยเสียงแผ่ว ปลอบประโลมฉินป๋อหลินที่ยังคงมีน้ำตาคลอหน่วยฉินป๋อหลินพยักหน้ารับ “ใช่แล้วเฟิงเอ๋อร์ พ่อคงอยากให้พวกเรามีความสุข”หลังจากนั้นฉินป๋อหลินก็รับช่วงต่อธุรกิจไร่องุ่นหยางกวงแทนบิดาอย่างเต็มตัว เขาและเหว่ยเฟิงก็ช่วยกันทำงานร่วมกันอย่างมุ่งมั่นและขยันขันแข็งวันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ไร่องุ่นที่เคยเจอปัญหาและความท้าทายกลับเริ่มเติบโตและประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นด้วยความร่วมมือของสองสามีภรรยา ทำให้พวกเขากลายเป็นคู่รักที่แข็งแกร่ง ทั้งในเรื่องงานและชีวิตครอบครัวยามเช้าในไร่องุ่นเต็มไปด้วยความสดชื่น แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านใบไม้เขียวขจี เหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลินเดินเคียงข้างกันท่ามกลางแปลงองุ่นที่กำลังสุกงอม มือของทั้งสองจับกันไว้แน่น สายลมเบา ๆ
เมื่อเหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลินเดินทางมาถึงโรงพยาบาลจิตเวช ภาพของม่านชิงชิงที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เธอแทบจำไม่ได้ หญิงสาวที่เคยงดงามและเย่อหยิ่ง บัดนี้เหลือเพียงร่างกายที่ผ่ายผอมและดวงตาที่ว่างเปล่าหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเหว่ยเฟิงกับฉินป๋อหลินอย่างเลื่อนลอย ไม่มีวี่แววของความเกลียดชังหรือความอาฆาตใด ๆ หลงเหลืออยู่“เธอจำฉันได้หรือไม่” เหว่ยเฟิงเอ่ยถามเสียงเบาม่านชิงชิงส่ายหน้าช้า ๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม “ฉันไม่รู้จักคุณค่ะ ฉันจำอะไรไม่ได้จริง ๆ”เหว่ยเฟิงมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเวทนา นี่คือผลลัพธ์ของความแค้นที่ม่านชิงชิงเคยปลูกฝังไว้ในใจ“ม่านชิงชิง ฉันให้อภัยเธอ” เหว่ยเฟิงเอ่ยออกมาจากใจม่านชิงชิงมองเหว่ยเฟิงด้วยความประหลาดใจ เธอไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำเหล่านี้จากปากของใครสักคน“ขอบคุณ” ม่านชิงชิงกระซิบ ถึงแม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่เหว่ยเฟิงพูดก็ตามที“ฉันสงสารม่านชิงชิงจังค่ะ ป๋อหลิน ถึงเธอจะเคยทำร้ายฉันยังไง ฉันก็ไม่เคยโกรธเธอเลย” เหว่ยเฟิงเอ่ยกับสามี ระหว่างเดินทางกลับบ้านด้วยกัน“ทุกอย่างมันเกิดจากการกระทำของเธอเอง ไม่มีใครทำเธอเลย”“นั่นสิคะ”การไปเยี่ยมม่านชิงชิงครั้งนี้ทำให้เหว่ยเฟิงได้เรียนรู้
ข่าวการจับกุมชายฉกรรจ์ที่บ้านพักท้ายไร่แพร่กระจายไปทั่วเมืองต้าหลี่อย่างรวดเร็ว การสอบปากคำของพวกเขาชี้ชัดไปที่ม่านชิงชิงในฐานะผู้บงการอยู่เบื้องหลังการพยายามลักพาตัวและทำร้ายเหว่ยเฟิง ตำรวจไม่รอช้าออกหมายจับเธอทันทีขณะเดียวกันตำรวจก็มาแจ้งกับฉินป๋อหลิน ถึงการตามตัวหาม่านชิงชิงตามที่อยู่ในทะเบียนราษฎร์แล้ว ก็พบว่าบ้านหลังนั้นถูกธนาคารยึดทรัพย์ และถูกศาลฟ้องล้มละลายพอทุกคนได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจเช่นกัน พร้อมกับปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดหวังซู่หลินเองที่ตอนนี้กำลังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ได้ฟังที่ตำรวจแจ้งก็ร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ ไม่คิดเลยว่าม่านชิงชิงจะหลอกลวงนางได้ในวันเดียวกันนั้น ม่านชิง ๆ ก็ได้ข่าวว่าตำรวจจะนำกำลังมาจับกุม ม่านชิงชิงรู้ตัวทันทีว่าเธอไม่มีทางหนีรอดจากเรื่องนี้ได้อีกต่อไป เธอรู้ว่าไม่สามารถปฏิเสธความผิดที่ตัวเองก่อไว้ได้ ทุกอย่างกำลังพังทลายลงตรงหน้าในห้องที่เงียบงัน ม่านชิงชิงทำการเก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นอย่างลวก ๆ ตอนนี้เธอไม่มีเวลามากนัก เพราะตำรวจอาจมาถึงตัวเธอได้ทุกเมื่อ“ฉันจะทำยังไงดี... ฉันจะหนีไปไหนได้บ้าง?” ม่านชิงชิงพึมพำกับตัวเองเสียงสั่น ขณะเร่งก้าวเด
เหว่ยเฟิงมาถึงบ้านพักท้ายไร่ตามที่ม่านชิงชิงนัดหมายโดยบอกว่าจะขอปรับความเข้าใจ เพราะเธอนั้นจะขอยอมแพ้กับรักครั้งนี้แล้ว ทั้งเจ้าตัวยังบอกอีกว่าจะยอมถอยกลับไปปักกิ่งตอนแรกเหว่ยเฟิงมีความลังเลว่าจะไปตามที่ม่านชิงชิงเอ่ยปากร้องขอดีหรือไม่ แต่ในที่สุดเธอก็ตกลงที่จะไปตามนัดด้วยอยากไปเคลียร์ใจกันให้จบเช่นนั้นเหว่ยเฟิงจึงเดินเข้าไปในบ้านพักท้ายไร่เพียงลำพัง“ม่านชิงชิง ฉันมาแล้ว”แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน เหว่ยเฟิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เธอตัดสินใจผลักประตูเข้าไปช้า ๆภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้เธอแทบหยุดหายใจ ชายฉกรรจ์ร่างกำยำหลายคนยืนออกันอยู่กลางห้อง พวกเขาทั้งหมดจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย“นี่มันอะไรกัน!?” เหว่ยเฟิงอุทานออกมาด้วยความตกใจ เธอพยายามตั้งสติ ถอยหลังไปช้า ๆ แต่ก็สายเกินไป ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพุ่งเข้ามาจับตัวเธอไว้แน่น“ปล่อยฉันนะ! นี่มันเรื่องอะไรกัน!” เหว่ยเฟิงดิ้นรนสุดแรง แต่ก็ไม่อาจสู้แรงของชายฉกรรจ์ได้ เธอรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจ เธอตะโกนสุดเสียง“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันที!”ทว่าเสียงของหญิงสาวจมหายไปในความเงียบงันของบ้านพักท้ายไร่ท
“ม่านชิงชิง พอได้แล้ว!” ฉินป๋อหลินที่เดินเข้ามาในห้องของหญิงสาวพูดเสียงเข้ม “ผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไรโง่ ๆ ผมจะไม่ยอมให้คุณทำร้ายเหว่ยเฟิงอีกแล้ว”ม่านชิงชิงหน้าถอดสี เธอไม่คิดว่าฉินป๋อหลินจะรู้ทันแผนการของเธอ เธอพยายามแก้ตัว “คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันแค่...”“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” ฉินป๋อหลินขัดจังหวะ “ผมรู้จักคุณดีพอ ม่านชิงชิง ผมเคยหลงเชื่อคำพูดของคุณ แต่ตอนนี้ผมตาสว่างแล้ว ผมจะไม่ยอมให้คุณมาทำลายความสุขของผมกับเหว่ยเฟิงอีก”ม่านชิงชิงกำมือแน่นด้วยความโกรธและผิดหวัง เธอไม่คิดว่าฉินป๋อหลินจะปกป้องเหว่ยเฟิงขนาดนี้ เธอรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังพังทลายลงต่อหน้าต่อตา“แล้วคุณจะเสียใจ” เธอพูดเสียงสั่น “เหว่ยเฟิงจะต้องหายไปจากที่นี่...”“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ฉินป๋อหลินตวาดเสียงดังคำพูดของฉินป๋อหลินเหมือนคมมีดกรีดลึกเข้าไปในใจของม่านชิงชิง เธอรู้สึกหวาดกลัวเขาเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องสู้เพื่ออนาคตของตัวเอง ม่านชิงชิงจึงรีบหันหลังวิ่งหนีไป ทิ้งให้ฉินป๋อหลินยืนอยู่คนเดียวฉินป๋อหลินรู้ดีว่าสิ่งต่อไปที่ต้องทำคือการกลับไปพูดกับแม่อย่างจริงจัง เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าเขาจะไม่ยอมให้ม่านชิงชิงอยู่ในบ้านน
ฉินหลงเจ๋อยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เขาดีใจที่ได้เห็นเธออีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน“พ่อดีใจที่ลูกกลับมา ไม่ว่าใครหน้าไหนจะพูดอะไรก็ตาม แต่เธอเป็นลูกสะใภ้คนเดียวที่พ่อยอมรับ” เขาพูดเสียงสั่นเครือเหว่ยเฟิงได้ยินประโยคของท่านแล้วก็ก้มลงจูบมือที่เหี่ยวย่นจนเหลือแต่กระดูก “พ่อไม่ต้องคิดเรื่องของเราสองคนนะคะ หนูจะอยู่ดูแลพ่อที่นี่เองค่ะ”ในเวลานั้น เหว่ยเฟิงไม่สนใจว่าใครในไร่จะคิดอย่างไรกับเธอ เธอรู้แค่ว่าเธอต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยฉินหลงเจ๋อ พ่อสามีที่เธอรักและเคารพ เธอจะอยู่เคียงข้างเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย แม้ว่ามันจะหมายถึงการต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดและความไม่แน่นอนในอนาคตก็ตามฉินป๋อหลินที่เห็นบิดามีเหว่ยเฟิงคอยดูแล ชายหนุ่มจึงได้เดินย้อนกลับไปที่ห้องครัวเพื่อสั่งงานคนรับใช้เกี่ยวกับเรื่องอาหารของบิดาที่จะนำมาเสิร์ฟให้ท่าน ส่วนเหว่ยเฟิงนั้นอาสาดูแลเช็ดตัวให้พ่อสามี ในขณะที่เหว่ยเฟิงเปิดประตูห้องเพื่อออกมาเตรียมของใช้นั่นเอง หวังซู่หลินที่ยืนรออยู่หน้าห้องก็จ้องมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังราวกับจะแผดเผาเธอให้มอดไหม้หวังซู่หลินรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง คนที่เ
ภายในคฤหาสน์ตระกูลฉินอันโอ่อ่า ทุกอย่างดูสงบสุขจากภายนอก แต่ภายในนั้น หวังซู่หลินกำลังเก็บงำความลับเอาไว้เธอปิดบังเรื่องการแยกกันอยู่ของฉินป๋อหลินกับเหว่ยเฟิงจากฉินหลงเจ๋อผู้ซึ่งกำลังต่อสู้กับโรคร้ายอย่างมะเร็งตับระยะสุดท้ายจนกว่าจะแน่ใจว่าป๋อหลินและเหว่ยเฟิงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะยุติชีวิตคู่กันจริง ๆหากทั้งสองคนหย่าขาดจากกันโดยสมบูรณ์ แม้แต่ฉินหลงเจ๋อก็ไม่อาจก้าวก่ายหรือเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของพวกเขาได้อีกต่อไปแต่ความลับมักไม่ถูกเก็บงำไว้ได้นาน ในคฤหาสน์ใหญ่โตเช่นนี้ ข่าวคราวก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว แม้หวังซู่หลินจะพยายามปิดบังความจริงมากเพียงใด แต่เธอก็ไม่อาจควบคุมทุกอย่างได้ความจริงที่ว่าป๋อหลินและเหว่ยเฟิงกำลังจะหย่าร้างกัน ค่อย ๆ เล็ดลอดออกไปทีละน้อย จนในที่สุดก็มาถึงหูของฉินหลงเจ๋อ ผู้ซึ่งกำลังอ่อนแอทั้งกายและใจฉินหลงเจ๋อที่กำลังนอนซมอยู่บนเตียงด้วยโรคร้าย ได้รับรู้ความจริงอันน่าตกใจว่า ภรรยาของเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจากไปของเหว่ยเฟิง ลูกสะใภ้ที่เขารักและเอ็นดู“คุณทำแบบนี้ได้ยังไง ซู่หลิน!” เสียงของฉินหลงเจ๋อดังขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ร่างกายจะอ่อนแอ แ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เหว่ยเฟิงตอบรับพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆหลังจากที่เธอขึ้นรถ ฉินป๋อหลินก็ขับพาเธอไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของหญิงสาวเท่าไหร่ เห็นเธอบอกว่าร้านนี้เป็นร้านโปรดของเหว่ยเฟิงที่เธอมักจะแวะมาทุกเช้าก่อนเข้าออฟฟิศฉินป๋อหลินรู้ดีว่าเหว่ยเฟิงชอบดื่มกาแฟในยามเช้าเพื่อเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดชื่น ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะมุมสงบในร้านกาแฟ กลิ่นหอมของกาแฟอุ่น ๆ ลอยฟุ้งไปทั่วบรรยากาศ“เมื่อคืนหลับสบายดีไหม เฟิงเอ๋อร์?” เขาถามขึ้นหลังจากจิบกาแฟคำแรก แม้คำถามจะฟังดูธรรมดา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้รู้ว่าชีวิตของเธอเป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่ผ่านมาเหว่ยเฟิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “ก็พอได้นอนบ้างค่ะ”การสนทนาดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความจริงใจจากทั้งสองฝ่าย หลังจากดื่มกาแฟเสร็จ ฉินป๋อหลินก็ไปส่งเหว่ยเฟิงที่ออฟฟิศของเธอทั้งสองขึ้นรถพร้อมกันอีกครั้ง เส้นทางจากร้านกาแฟไปยังออฟฟิศก็ไม่ได้ไกลนัก แต่บรรยากาศในรถนั้นเต็มไปด้วยความเงียบงันที่ไม่ได้อึดอัด แต่เป็นความสงบที่ทั้งคู่นั้นใช้เวลาไตร่ตรองถึงสิ่งที่อยู่ในใจเหว่ยเฟิงรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน เธอไม่เคยคิดว่าฉินป๋อหลิ