“แล้วเรื่องเงินที่คุณว่า เธอพูดถึงมันยังไง”หย่าจือทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนตอบ “ฉันได้ยินเรื่องเงินค่ะ มีถามย้ำด้วยว่าหลิวกู้หย่งกำลังเดือดร้อนเรื่องเงินอยู่จริง ๆ น่ะหรือ ไหนว่าตระกูลหลิวร่ำรวยมากอย่างไรล่ะ แต่ฉันคิดดูแล้วมันเป็นไปได้นะคะ ที่เหว่ยเฟิงอาจจะวางแผนฮุบไร่องุ่นและเอาเงินไปปรนเปรอผู้ชายคนนั้น”ฉินป๋อหลินพยักหน้ารับ “ขอบคุณสำหรับข้อมูล หย่าจือ”หย่าจือยิ้มด้วยความพอใจก่อนจะขอตัวออกไป ทิ้งให้ฉินป๋อหลินนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว เขาไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดของหย่าจือมากแค่ไหน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจ เขาตัดสินใจว่าจะลองสังเกตพฤติกรรมของเหว่ยเฟิงดูขณะที่ป๋อหลินกำลังเดินครุ่นคิดไม่ตกอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเหว่ยเฟิงคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกลจากตรงที่เขานั่งเท่าไหร่“กู้หย่ง...ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่สามารถช่วยอะไรนายได้ ตอนนี้ฉันยังไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น” เสียงของเหว่ยเฟิงแผ่วลง“แต่ถ้าในวันหน้าฉันมีเงินเยอะกว่านี้ก็อาจจะ...” เธอเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ว่าพอมีปัญหาก็กลับมาหาฉัน ว่าแต่ทำไมนายไม่ขอความช่วยเหลือจากหยางซิงล่ะ”ฉินป๋อหลินไม่ได้ยินบทสนทนาที่เหลือ หากก่อนหน้าเขาไม่
อย่างนั้นแล้ว ข่าวการแต่งงานของฉินป๋อหลินกับเหว่ยเฟิงก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักในไร่องุ่นหยางกวงราวกับพายุที่พัดกระหน่ำ ความยินดีปะปนกับเสียงวิจารณ์ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่สำหรับหย่าจือ หญิงสาวที่เฝ้ารอคอยป๋อหลินมาเนิ่นนาน ข่าวนี้นำมาซึ่งความเจ็บปวดแสนสาหัส เหมือนโลกทั้งใบของเธอมืดมิดลงในพริบตาซึ่งข่าวที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วนี้เอง เหว่ยเฟิงเองก็ไม่รอดพ้นจากสายตาและคำพูดของผู้คน เธอได้ยินเสียงซุบซิบนินทาที่ลอยมาเข้าหู หากเธอเลือกที่จะเมินเฉย ด้วยเธอรู้ดีว่าคนพวกนี้แค่ต้องการสร้างเรื่องให้เธอไม่สบายใจ เธอจะไม่ยอมให้คำพูดของใครมาบั่นทอนความสุขของเธอเด็ดขาดทันทีที่เหว่ยเฟิงกำลังเดินผ่านไป หย่าจือก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปหาหญิงสาวด้วยท่าทางแข็งกระด้าง รอยยิ้มที่เคยมีแปรเปลี่ยนเป็นความเหยียดหยัน“กลับมาได้ไม่นานก็มีข่าวว่าจะได้เป็นคุณนายใหญ่แห่งตระกูลฉินแล้วเหรอจ๊ะ” เธอพูดเสียงสูง ก่อนจะหัวเราะเยาะ “ฝันหวานไปหรือเปล่า เธอมันก็แค่ลูกสาวคนงาน ไม่มีทางเหมาะสมกับคุณชายป๋อหลินหรอก”เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นมองหย่าจือที่เดินมาหาเรื่อง อยากจะตอบโต้อยู่เช่นกัน หากไม่ใช่นิสัยของเธอ จึงพยายามระงับอารม
ยิ่งนานวันเข้า อาการของฉินหลงเจ๋อก็ทรุดหนักลงมากกว่าเดิม หากโชคยังดีที่หมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องมะเร็งชื่อดังจากปักกิ่งตอบรับให้การรักษา ฉินหลงเจ๋อและหวังซู่หลินจึงต้องรีบเดินทางไปเมืองปักกิ่งทันที ทำให้พิธีแต่งงานของป๋อหลินและเหว่ยเฟิงต้องถูกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วนก่อนถึงวันสำคัญไม่กี่วัน ทั้งคู่ต้องไปลองชุดแต่งงานด้วยกัน ซึ่งเหว่ยเฟิงรู้สึกประหม่าและกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ปากจะบอกว่าไม่อยากแต่งงาน หากในใจลึก ๆ แล้วผู้หญิงทุกคนก็ต้องดีใจอยู่แล้วที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้แต่งงานระหว่างที่เหว่ยเฟิงลองชุดแต่งงานอยู่นั้น เธอพยายามทำใจให้สงบ แต่เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดันดังขึ้นมาเมื่อเห็นชื่อ 'หลิวกู้หย่ง' ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในใจของเหว่ยเฟิง เธอตัดสินใจไม่รับสายนั้น เพราะต้องการหลีกเลี่ยงความวุ่นวายใจ อีกอย่างเธอก็เกรงใจฉินป๋อหลินที่นั่งอยู่ตรงหน้าเช่นกัน ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลก สายตาของฉินป๋อหลินเหลือบไปเห็นชื่อนั้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของเธอพอดีทำให้บรรยากาศภายในห้องลองชุดแต่งงานหรูหรานั้นเย็นยะเยือกราวกับติดลบ หวั่นไหวไปด้วยคลื่นความไม่พอใจที่แผ่ออกมาจากว่
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ บรรยากาศระหว่างฉินป๋อหลินและเหว่ยเฟิงกลับเย็นชาลงยิ่งกว่าเดิม ราวกับว่าคำสาบานรักที่เพิ่งเอ่ยออกไปเมื่อครู่เป็นเพียงมายาภาพเมื่อทั้งคู่กลับมาถึงคฤหาสน์ของตระกูลฉิน หวังซู่หลินต้อนรับลูกสะใภ้คนใหม่ด้วยรอยยิ้มที่ฝืนทน ขณะที่เหว่ยเซินกลับมองลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงซึ่งตอนนี้พ่อแม่ของบ่าวสาวก็มาส่งทั้งคู่ที่ห้องหอ พอผู้ให้ออกจากห้องไปแล้ว จึงมีเพียงฉินป๋อหลินและเหว่ยเฟิงเท่านั้น“ผมว่าเราแยกห้องนอนกันเถอะ” ฉินป๋อหลินเอ่ยขึ้นในที่สุด เสียงของเขาเรียบนิ่ง ไร้ซึ่งความอบอุ่นใด ๆเหว่ยเฟิงพยักหน้ารับ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับคำขอนี้ เธอรู้ดีว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเพียงพันธะสัญญา ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความรัก“ค่ะ” เธอตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ป๋อหลินยืนอยู่เพียงลำพังในห้องหออันว่างเปล่ารุ่งเช้า หวังซู่หลินรีบร้อนเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางไปปักกิ่งเพื่อดูแลสามีที่ป่วย แต่ก่อนจะจากไป เธอไม่ลืมที่จะให้คนงานไปเรียกลูกชายมาพบเพื่อกำชับเรื่องสำคัญ“แม่ให้คนไปตามผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”“แม่ต้องไปดูแลพ่อที่ปักกิ่ง ระหว่างที่แม่ไม่อยู่ ลูกต้องดูแลไร่องุ่
แสงไฟนีออนจากโคมไฟสุดหรูส่องสว่างบนโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมอย่างหรูหรา ทว่าบรรยากาศกลับเย็นยะเยือกและเงียบงัน ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยของใคร เหว่ยเฟิงนั่งมองจานอาหารตรงหน้าอย่างเหม่อลอย เธอพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างเอาไว้อย่างลึกสุดหัวใจส่วนสามีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาจดจ่ออยู่กับอาหารตรงหน้า ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยซ้ำ“วันนี้คุณเหนื่อยไหมคะ” เหว่ยเฟิงเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา พยายามทำลายความเงียบ“อืม” ฉินป๋อหลินตอบรับสั้น ๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้นจากจานเหว่ยเฟิงถอนหายใจ เธอพยายามชวนเขาคุยอีกหลายครั้ง แต่ก็ได้คำตอบกลับมาเพียงไม่กี่คำ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองนั้นกำลังคุยกับกำแพงเมื่อทานอาหารเสร็จ เหว่ยเฟิงลุกขึ้นเก็บจาน “ฉันไปล้างจานนะคะ”“ไม่ต้อง” ฉินป๋อหลินพูดเสียงเรียบ “ให้คนรับใช้ทำ”“งั้น...ฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ” เธอพูดเสียงแผ่วเบา ไม่รอให้สามีตอบรับหรือปฏิเสธ หญิงสาวก็เดินออกจากห้องอาหารไปก่อนความแตกต่างระหว่างโลกของคนสองคนเริ่มปรากฏชัดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงหลังจากแต่งงาน ชีวิตที่เคยหรูหราของฉินป๋อหลินในคฤหาสน์ใหญ่โต บัดนี้ต้องแบ่งปันกับเหว่ยเฟิง หญิงสาวที่เติบโต
แต่ถึงแม้จะมีปัญหา เหว่ยเฟิงก็ยังคงพยายามปรับตัวเข้าหาฉินป๋อหลิน เธอพยายามทำความเข้าใจเขา และพยายามหาจุดกึ่งกลางที่ทั้งคู่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง ฉินป๋อหลินจะเปิดใจให้เธอ และสามารถสร้างครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกันได้ หรือไม่อย่างน้อยก็อยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น ไม่ใช่ทะเลาะหรือผิดใจกันทุกวันแบบนี้แสงแดดแผดกล้าส่องลงมาบนไร่องุ่นหยางกวง เหว่ยเฟิงยืนอยู่ท่ามกลางเถาองุ่นที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แม้ว่าวันนี้หญิงสาวจะรู้สึกปวดหัวและครั่นเนื่อครั่นตัวมากเพียงใด แต่เหว่ยเฟิงก็ยังมิวายสังเกตเห็นปัญหาบางอย่างที่เกิดกับต้นองุ่นหลายต้นในไร่ และรีบไปรายงานให้ฉินป๋อหลินทราบถึงเรื่องนี้“คุณป๋อหลินคะ เรื่องปัญหาของต้นองุ่น ฉันคิดว่าเราควรจะ...”“ผมตัดสินใจแล้ว” ฉินป๋อหลินพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ “ไม่ต้องมายุ่ง”เหว่ยเฟิงหน้าเสีย เธอพยายามอธิบายเหตุผลของเธอ แต่ฉินป๋อหลินกลับไม่รับฟัง เขาเดินจากไป ทิ้งให้เหว่ยเฟิงยืนอยู่คนเดียวด้วยความรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดคนงานในไร่ที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันส่ายหน้า พวกเขาสงสารเหว่ยเฟิงที่ต้องทนกับท่าทีเย็นชาและเอาแต่ใจของฉินป
“ขอบคุณนะคะ” เธอพูดเสียงแผ่วเบาฉินป๋อหลินคลี่ยิ้มอ่อน ๆ ให้ “ไม่เป็นไร พักผ่อนเยอะ ๆ นะ”เขาเฝ้าดูแลเหว่ยเฟิงจนเธอหลับไป พอเห็นว่าหญิงสาวไข้ลดแล้ว ชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เขาไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่รู้ว่าเขาไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปว่าเขาอาจจะกำลังมีใจให้กับเหว่ยเฟิงหลังจากวันที่เหว่ยเฟิงหายป่วย ฉินป๋อหลินก็พบว่าตัวเองอดไม่ได้ที่จะคอยแอบมองเธออยู่ห่าง ๆ เขาแอบเฝ้ามองเธอทำงาน เฝ้ามองเธอหัวเราะ เฝ้ามองเธอขมวดคิ้วเมื่อพบเจอปัญหาวันหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวกำลังง่วนอยู่กับงานจนลืมเวลา ฉินป๋อหลินสังเกตเห็นว่าแก้มของเธอเริ่มแดงระเรื่อ หน้าผากมีเหงื่อซึมเล็กน้อย เขาจึงตัดสินใจเดินไปหยิบขวดน้ำเย็นจากตู้แล้วเดินไปหาเธออย่างเงียบ ๆ“นี่ครับ” เขาพูดเสียงเบาพลางยื่นขวดน้ำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ“ขอบคุณค่ะ” เธอรับขวดน้ำจากเขา แล้วเปิดดื่มทันทีเหว่ยเฟิงเองก็เริ่มสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในท่าทีของฉินป๋อหลิน จากที่เคยหาเรื่องชวนทะเลาะ หรือแกล้งต่อว่าเธอเรื่องงานอยู่เสมอ บัดนี้กลับกลายเป็นความเอาใจใส่ที่เธ
เช้าวันต่อมา เหว่ยเฟิงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ก็ไม่อาจสลัดความคิดเกี่ยวกับฉินป๋อหลินออกไปได้ เธอเริ่มสังเกตเห็นท่าทีของเขาที่มีต่อเธอมากขึ้น และยิ่งทำให้เธอสับสนมากขึ้นไปอีกเหว่ยเฟิงรู้ว่าเธอต้องหาคำตอบให้กับความรู้สึกของตัวเอง ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยให้เธอเข้าใจความรู้สึกพวกนี้มากขึ้นหวังว่า คงจะมีความสุขในสักวัน...แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องเข้ามาทางหน้าต่าง สาดส่องไปทั่วเคาน์เตอร์ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบสดใหม่ เหว่ยเฟิงในชุดผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อน กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเย็น กลิ่นหอมของเครื่องเทศลอยฟุ้งไปทั่วห้อง บ่งบอกถึงความตั้งใจและความรักที่เธอใส่ลงไปในทุกขั้นตอนวันนี้เหว่ยเฟิงตั้งใจจะทำอาหารจานโปรดของฉินป๋อหลิน อย่าง 'เป็ดพริกไทยดำ' ซึ่งเป็นสูตรลับเฉพาะของตระกูลเหว่ย ที่ใครกินบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หอม นุ่มลิ้น ไม่มีกลิ่นคาว และไม่ได้แม้แต่กลิ่นเหม็นสาบเหว่ยเฟิงจำได้ว่าครั้งหนึ่ง หวังซู่หลินเคยพูดให้ฟังว่านี่คืออาหารที่ลูกชายของเธอโปรดปรานที่สุด เหว่ยเฟิงจึงอยากจะใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อเขา แม้จะเป็นเพียงการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เธ
“คืนนี้เป็นของเรา” ป๋อหลินพูดเบา ๆ ขณะที่เขากอดเธอไว้แน่นเสียงหัวใจของทั้งคู่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน เสียงกระซิบและเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อเกิดเป็นบทเพลงแห่งความรักที่พวกเขาร่วมบรรเลงอย่างสมบูรณ์ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความรักและความสุข ลืมความทุกข์โศกและความสูญเสียในอดีต เหลือเพียงความรักที่แท้จริงและความผูกพันที่ไม่มีวันจางหายเช้าวันหนึ่ง เหว่ยเฟิงรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยสบายตัวนัก เธอมีอาการคลื่นไส้และเวียนศีรษะเล็กน้อย ตอนแรกเธอคิดว่าอาจเป็นเพราะทำงานหนักเกินไป แต่เมื่ออาการไม่ดีขึ้น เธอจึงตัดสินใจไปหาหมอในเมืองเมื่อผลตรวจออกมา เหว่ยเฟิงแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เธอตั้งครรภ์! ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในใจ ทั้งความดีใจ ความตื่นเต้น และความกังวลเล็ก ๆ เธอจะบอกข่าวดีนี้กับฉินป๋อหลินอย่างไรดีนะ?เขาจะตื่นเต้นดีใจกับข่าวดีนี้หรือเปล่าและทันทีที่กลับถึงบ้าน เหว่ยเฟิงก็ตรงไปหาฉินป๋อหลินที่กำลังจัดการเอกสารอยู่ในห้องทำงาน“ป๋อหลินคะ ฉันมีเรื่องจะบอกคุณค่ะ” เหว่ยเฟิงพูดเสียงแผ่วฉินป๋อหลินเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความเป็นห่วง “มีอะไรหรือ เฟิงเอ๋อร์? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”เหว่ยเฟิงสูดหายใจเ
และมาวันนี้ที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นก็มาถึง ในที่สุดฉินหลงเจ๋อก็จากไปอย่างสงบจากโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย แม้ความโศกเศร้าจะเกาะกุมหัวใจ ฉินป๋อหลินและเหว่ยเฟิงก็พยายามยิ้มให้กันพวกเขาเข้าใจดีว่าตอนนี้ฉินหลงเจ๋อจากไปอย่างสงบ ปราศจากความเจ็บปวดทรมาน และที่สำคัญที่สุด ท่านจากไปพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุข“พ่อคงไม่อยากเห็นพวกเราเศร้านักหรอกค่ะ” เหว่ยเฟิงเอ่ยเสียงแผ่ว ปลอบประโลมฉินป๋อหลินที่ยังคงมีน้ำตาคลอหน่วยฉินป๋อหลินพยักหน้ารับ “ใช่แล้วเฟิงเอ๋อร์ พ่อคงอยากให้พวกเรามีความสุข”หลังจากนั้นฉินป๋อหลินก็รับช่วงต่อธุรกิจไร่องุ่นหยางกวงแทนบิดาอย่างเต็มตัว เขาและเหว่ยเฟิงก็ช่วยกันทำงานร่วมกันอย่างมุ่งมั่นและขยันขันแข็งวันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ไร่องุ่นที่เคยเจอปัญหาและความท้าทายกลับเริ่มเติบโตและประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นด้วยความร่วมมือของสองสามีภรรยา ทำให้พวกเขากลายเป็นคู่รักที่แข็งแกร่ง ทั้งในเรื่องงานและชีวิตครอบครัวยามเช้าในไร่องุ่นเต็มไปด้วยความสดชื่น แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านใบไม้เขียวขจี เหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลินเดินเคียงข้างกันท่ามกลางแปลงองุ่นที่กำลังสุกงอม มือของทั้งสองจับกันไว้แน่น สายลมเบา ๆ
เมื่อเหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลินเดินทางมาถึงโรงพยาบาลจิตเวช ภาพของม่านชิงชิงที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เธอแทบจำไม่ได้ หญิงสาวที่เคยงดงามและเย่อหยิ่ง บัดนี้เหลือเพียงร่างกายที่ผ่ายผอมและดวงตาที่ว่างเปล่าหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเหว่ยเฟิงกับฉินป๋อหลินอย่างเลื่อนลอย ไม่มีวี่แววของความเกลียดชังหรือความอาฆาตใด ๆ หลงเหลืออยู่“เธอจำฉันได้หรือไม่” เหว่ยเฟิงเอ่ยถามเสียงเบาม่านชิงชิงส่ายหน้าช้า ๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม “ฉันไม่รู้จักคุณค่ะ ฉันจำอะไรไม่ได้จริง ๆ”เหว่ยเฟิงมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเวทนา นี่คือผลลัพธ์ของความแค้นที่ม่านชิงชิงเคยปลูกฝังไว้ในใจ“ม่านชิงชิง ฉันให้อภัยเธอ” เหว่ยเฟิงเอ่ยออกมาจากใจม่านชิงชิงมองเหว่ยเฟิงด้วยความประหลาดใจ เธอไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำเหล่านี้จากปากของใครสักคน“ขอบคุณ” ม่านชิงชิงกระซิบ ถึงแม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่เหว่ยเฟิงพูดก็ตามที“ฉันสงสารม่านชิงชิงจังค่ะ ป๋อหลิน ถึงเธอจะเคยทำร้ายฉันยังไง ฉันก็ไม่เคยโกรธเธอเลย” เหว่ยเฟิงเอ่ยกับสามี ระหว่างเดินทางกลับบ้านด้วยกัน“ทุกอย่างมันเกิดจากการกระทำของเธอเอง ไม่มีใครทำเธอเลย”“นั่นสิคะ”การไปเยี่ยมม่านชิงชิงครั้งนี้ทำให้เหว่ยเฟิงได้เรียนรู้
ข่าวการจับกุมชายฉกรรจ์ที่บ้านพักท้ายไร่แพร่กระจายไปทั่วเมืองต้าหลี่อย่างรวดเร็ว การสอบปากคำของพวกเขาชี้ชัดไปที่ม่านชิงชิงในฐานะผู้บงการอยู่เบื้องหลังการพยายามลักพาตัวและทำร้ายเหว่ยเฟิง ตำรวจไม่รอช้าออกหมายจับเธอทันทีขณะเดียวกันตำรวจก็มาแจ้งกับฉินป๋อหลิน ถึงการตามตัวหาม่านชิงชิงตามที่อยู่ในทะเบียนราษฎร์แล้ว ก็พบว่าบ้านหลังนั้นถูกธนาคารยึดทรัพย์ และถูกศาลฟ้องล้มละลายพอทุกคนได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจเช่นกัน พร้อมกับปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดหวังซู่หลินเองที่ตอนนี้กำลังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ได้ฟังที่ตำรวจแจ้งก็ร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ ไม่คิดเลยว่าม่านชิงชิงจะหลอกลวงนางได้ในวันเดียวกันนั้น ม่านชิง ๆ ก็ได้ข่าวว่าตำรวจจะนำกำลังมาจับกุม ม่านชิงชิงรู้ตัวทันทีว่าเธอไม่มีทางหนีรอดจากเรื่องนี้ได้อีกต่อไป เธอรู้ว่าไม่สามารถปฏิเสธความผิดที่ตัวเองก่อไว้ได้ ทุกอย่างกำลังพังทลายลงตรงหน้าในห้องที่เงียบงัน ม่านชิงชิงทำการเก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นอย่างลวก ๆ ตอนนี้เธอไม่มีเวลามากนัก เพราะตำรวจอาจมาถึงตัวเธอได้ทุกเมื่อ“ฉันจะทำยังไงดี... ฉันจะหนีไปไหนได้บ้าง?” ม่านชิงชิงพึมพำกับตัวเองเสียงสั่น ขณะเร่งก้าวเด
เหว่ยเฟิงมาถึงบ้านพักท้ายไร่ตามที่ม่านชิงชิงนัดหมายโดยบอกว่าจะขอปรับความเข้าใจ เพราะเธอนั้นจะขอยอมแพ้กับรักครั้งนี้แล้ว ทั้งเจ้าตัวยังบอกอีกว่าจะยอมถอยกลับไปปักกิ่งตอนแรกเหว่ยเฟิงมีความลังเลว่าจะไปตามที่ม่านชิงชิงเอ่ยปากร้องขอดีหรือไม่ แต่ในที่สุดเธอก็ตกลงที่จะไปตามนัดด้วยอยากไปเคลียร์ใจกันให้จบเช่นนั้นเหว่ยเฟิงจึงเดินเข้าไปในบ้านพักท้ายไร่เพียงลำพัง“ม่านชิงชิง ฉันมาแล้ว”แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน เหว่ยเฟิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เธอตัดสินใจผลักประตูเข้าไปช้า ๆภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้เธอแทบหยุดหายใจ ชายฉกรรจ์ร่างกำยำหลายคนยืนออกันอยู่กลางห้อง พวกเขาทั้งหมดจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย“นี่มันอะไรกัน!?” เหว่ยเฟิงอุทานออกมาด้วยความตกใจ เธอพยายามตั้งสติ ถอยหลังไปช้า ๆ แต่ก็สายเกินไป ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพุ่งเข้ามาจับตัวเธอไว้แน่น“ปล่อยฉันนะ! นี่มันเรื่องอะไรกัน!” เหว่ยเฟิงดิ้นรนสุดแรง แต่ก็ไม่อาจสู้แรงของชายฉกรรจ์ได้ เธอรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจ เธอตะโกนสุดเสียง“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันที!”ทว่าเสียงของหญิงสาวจมหายไปในความเงียบงันของบ้านพักท้ายไร่ท
“ม่านชิงชิง พอได้แล้ว!” ฉินป๋อหลินที่เดินเข้ามาในห้องของหญิงสาวพูดเสียงเข้ม “ผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไรโง่ ๆ ผมจะไม่ยอมให้คุณทำร้ายเหว่ยเฟิงอีกแล้ว”ม่านชิงชิงหน้าถอดสี เธอไม่คิดว่าฉินป๋อหลินจะรู้ทันแผนการของเธอ เธอพยายามแก้ตัว “คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันแค่...”“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” ฉินป๋อหลินขัดจังหวะ “ผมรู้จักคุณดีพอ ม่านชิงชิง ผมเคยหลงเชื่อคำพูดของคุณ แต่ตอนนี้ผมตาสว่างแล้ว ผมจะไม่ยอมให้คุณมาทำลายความสุขของผมกับเหว่ยเฟิงอีก”ม่านชิงชิงกำมือแน่นด้วยความโกรธและผิดหวัง เธอไม่คิดว่าฉินป๋อหลินจะปกป้องเหว่ยเฟิงขนาดนี้ เธอรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังพังทลายลงต่อหน้าต่อตา“แล้วคุณจะเสียใจ” เธอพูดเสียงสั่น “เหว่ยเฟิงจะต้องหายไปจากที่นี่...”“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ฉินป๋อหลินตวาดเสียงดังคำพูดของฉินป๋อหลินเหมือนคมมีดกรีดลึกเข้าไปในใจของม่านชิงชิง เธอรู้สึกหวาดกลัวเขาเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องสู้เพื่ออนาคตของตัวเอง ม่านชิงชิงจึงรีบหันหลังวิ่งหนีไป ทิ้งให้ฉินป๋อหลินยืนอยู่คนเดียวฉินป๋อหลินรู้ดีว่าสิ่งต่อไปที่ต้องทำคือการกลับไปพูดกับแม่อย่างจริงจัง เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าเขาจะไม่ยอมให้ม่านชิงชิงอยู่ในบ้านน
ฉินหลงเจ๋อยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เขาดีใจที่ได้เห็นเธออีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน“พ่อดีใจที่ลูกกลับมา ไม่ว่าใครหน้าไหนจะพูดอะไรก็ตาม แต่เธอเป็นลูกสะใภ้คนเดียวที่พ่อยอมรับ” เขาพูดเสียงสั่นเครือเหว่ยเฟิงได้ยินประโยคของท่านแล้วก็ก้มลงจูบมือที่เหี่ยวย่นจนเหลือแต่กระดูก “พ่อไม่ต้องคิดเรื่องของเราสองคนนะคะ หนูจะอยู่ดูแลพ่อที่นี่เองค่ะ”ในเวลานั้น เหว่ยเฟิงไม่สนใจว่าใครในไร่จะคิดอย่างไรกับเธอ เธอรู้แค่ว่าเธอต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยฉินหลงเจ๋อ พ่อสามีที่เธอรักและเคารพ เธอจะอยู่เคียงข้างเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย แม้ว่ามันจะหมายถึงการต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดและความไม่แน่นอนในอนาคตก็ตามฉินป๋อหลินที่เห็นบิดามีเหว่ยเฟิงคอยดูแล ชายหนุ่มจึงได้เดินย้อนกลับไปที่ห้องครัวเพื่อสั่งงานคนรับใช้เกี่ยวกับเรื่องอาหารของบิดาที่จะนำมาเสิร์ฟให้ท่าน ส่วนเหว่ยเฟิงนั้นอาสาดูแลเช็ดตัวให้พ่อสามี ในขณะที่เหว่ยเฟิงเปิดประตูห้องเพื่อออกมาเตรียมของใช้นั่นเอง หวังซู่หลินที่ยืนรออยู่หน้าห้องก็จ้องมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังราวกับจะแผดเผาเธอให้มอดไหม้หวังซู่หลินรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง คนที่เ
ภายในคฤหาสน์ตระกูลฉินอันโอ่อ่า ทุกอย่างดูสงบสุขจากภายนอก แต่ภายในนั้น หวังซู่หลินกำลังเก็บงำความลับเอาไว้เธอปิดบังเรื่องการแยกกันอยู่ของฉินป๋อหลินกับเหว่ยเฟิงจากฉินหลงเจ๋อผู้ซึ่งกำลังต่อสู้กับโรคร้ายอย่างมะเร็งตับระยะสุดท้ายจนกว่าจะแน่ใจว่าป๋อหลินและเหว่ยเฟิงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะยุติชีวิตคู่กันจริง ๆหากทั้งสองคนหย่าขาดจากกันโดยสมบูรณ์ แม้แต่ฉินหลงเจ๋อก็ไม่อาจก้าวก่ายหรือเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของพวกเขาได้อีกต่อไปแต่ความลับมักไม่ถูกเก็บงำไว้ได้นาน ในคฤหาสน์ใหญ่โตเช่นนี้ ข่าวคราวก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว แม้หวังซู่หลินจะพยายามปิดบังความจริงมากเพียงใด แต่เธอก็ไม่อาจควบคุมทุกอย่างได้ความจริงที่ว่าป๋อหลินและเหว่ยเฟิงกำลังจะหย่าร้างกัน ค่อย ๆ เล็ดลอดออกไปทีละน้อย จนในที่สุดก็มาถึงหูของฉินหลงเจ๋อ ผู้ซึ่งกำลังอ่อนแอทั้งกายและใจฉินหลงเจ๋อที่กำลังนอนซมอยู่บนเตียงด้วยโรคร้าย ได้รับรู้ความจริงอันน่าตกใจว่า ภรรยาของเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจากไปของเหว่ยเฟิง ลูกสะใภ้ที่เขารักและเอ็นดู“คุณทำแบบนี้ได้ยังไง ซู่หลิน!” เสียงของฉินหลงเจ๋อดังขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ร่างกายจะอ่อนแอ แ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เหว่ยเฟิงตอบรับพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆหลังจากที่เธอขึ้นรถ ฉินป๋อหลินก็ขับพาเธอไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของหญิงสาวเท่าไหร่ เห็นเธอบอกว่าร้านนี้เป็นร้านโปรดของเหว่ยเฟิงที่เธอมักจะแวะมาทุกเช้าก่อนเข้าออฟฟิศฉินป๋อหลินรู้ดีว่าเหว่ยเฟิงชอบดื่มกาแฟในยามเช้าเพื่อเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดชื่น ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะมุมสงบในร้านกาแฟ กลิ่นหอมของกาแฟอุ่น ๆ ลอยฟุ้งไปทั่วบรรยากาศ“เมื่อคืนหลับสบายดีไหม เฟิงเอ๋อร์?” เขาถามขึ้นหลังจากจิบกาแฟคำแรก แม้คำถามจะฟังดูธรรมดา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้รู้ว่าชีวิตของเธอเป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่ผ่านมาเหว่ยเฟิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “ก็พอได้นอนบ้างค่ะ”การสนทนาดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความจริงใจจากทั้งสองฝ่าย หลังจากดื่มกาแฟเสร็จ ฉินป๋อหลินก็ไปส่งเหว่ยเฟิงที่ออฟฟิศของเธอทั้งสองขึ้นรถพร้อมกันอีกครั้ง เส้นทางจากร้านกาแฟไปยังออฟฟิศก็ไม่ได้ไกลนัก แต่บรรยากาศในรถนั้นเต็มไปด้วยความเงียบงันที่ไม่ได้อึดอัด แต่เป็นความสงบที่ทั้งคู่นั้นใช้เวลาไตร่ตรองถึงสิ่งที่อยู่ในใจเหว่ยเฟิงรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน เธอไม่เคยคิดว่าฉินป๋อหลิ