แสงแดดยามบ่ายสาดส่องแผดเผาผิวกายของคนที่กำลังทำงานกลางแจ้ง ทว่ากลับไม่ใช่เหว่ยเฟิงกลับที่กำลังรู้สึกเหมือนว่าความร้อนนั้นกำลังแผดเผาไปถึงหัวใจ หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดที่ยังคงกรีดลึกในอก
เหว่ยเฟิงเดินออกมาจากประตูทางออกของท่าอากาศยานนานาชาติต้าหลี่ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลากไปตามพื้นคอนกรีตอย่างเชื่องช้า ราวกับแบกน้ำหนักของความผิดหวังเอาไว้
อาคารสูงระฟ้าผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด รถยนต์คันหรูแล่นไปมาขวักไขว่ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเร่งรีบและวุ่นวาย ต่างจากภาพความทรงจำในวัยเด็กที่ยังคงติดตรึงอยู่ในใจเธอ
“กลับมาแล้วนะ ต้าหลี่” เหว่ยเฟิงพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง เธอเปิดเปลือกตาขึ้น และมองตรงไปยังเบื้องหน้า
ภาพความทรงจำเก่า ๆ ค่อย ๆ ชัดขึ้นในใจของเหว่ยเฟิง...เหว่ยเฟิงเธอเห็นตัวเองในวัยสิบเจ็ดปี กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งใจใต้แสงไฟสลัว ๆ ในห้องเล็ก ๆ ที่แสนอบอุ่น ภายในไร่องุ่นที่พ่อของเธอนั้นทำงานอยู่
แม้ความเหนื่อยล้าจะเกาะกิน แต่แววตาของเหว่ยเฟิงยังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เธอรู้ดีว่าการศึกษาคือหนทางเดียวที่จะพาเธอและครอบครัวออกจากความยากจนได้
และแล้ววันหนึ่งความฝันของเหว่ยเฟิงก็เป็นจริง เธอได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่อเมริกา ดินแดนแห่งโอกาสที่เธอเฝ้ารอคอย เธอเก็บข้าวของใส่กระเป๋าใบเก่าเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังโลกใบใหม่ โลกที่เธอไม่คุ้นเคย
เหว่ยเฟิงเริ่มต้นชีวิตใหม่ในมหาวิทยาลัยชื่อดัง เธอทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัย ใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนและวันหยุดเพื่อหาเงิน ทุกหยาดเหงื่อ ทุกความเหนื่อยล้าที่เธอทุ่มเทลงไป ล้วนเพื่อครอบครัวที่เธอรัก เธออยากให้พ่อของเธอ เหว่ยเซิน ได้พักผ่อนบ้าง ไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป เธออยากให้ท่านได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย แต่เหว่ยเฟิงก็ไม่เคยยอมแพ้ เธอเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่ง เธอจะสามารถสร้างอนาคตที่สดใสให้กับครอบครัวได้อย่างแน่นอน
ท่ามกลางความวุ่นวายและสีสันของชีวิตในมหาวิทยาลัย เหว่ยเฟิงได้พบกับหลิวกู้หย่งชายหนุ่มผู้หนึ่งในวันที่แสนจะธรรมดา รอยยิ้มอบอุ่นและแววตาจริงใจของเขาสะกดเธอไว้ตั้งแต่แรกพบ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน
“ขอโทษนะครับ พอดีผมหาห้องสมุดไม่เจอ ไม่ทราบว่าไปทางไหนเหรอครับ” เสียงทุ้มนุ่มลึกดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนในมหาวิทยาลัย
เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ พบกับรอยยิ้มอบอุ่นของชายหนุ่มตรงหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกำลังจะไปพอดี เดี๋ยวฉันพาไปนะคะ” เหว่ยเฟิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวาน
หลิวกู้หย่งยิ้มรับ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ ทำให้เหว่ยเฟิงรู้สึกว่าหัวใจเธอเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ขอบคุณมากครับ” เขาตอบรับคำอย่างเกรงใจ ก่อนจะเดินตามเธอไป
ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในใจ เธอรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ผลิบานขึ้นในอก
“นี่ค่ะ ห้องสมุด” เหว่ยเฟิงผายมือไปยังอาคารใหญ่โต พร้อมกับรอยยิ้มน่ารักที่ชวนมอง
ทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันคือความสุข เหว่ยเฟิงและหลิวกู้หย่งเดินเคียงข้างกัน ผ่านสนามหญ้าเขียวขจีใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ นั่งอ่านหนังสือด้วยกันในห้องสมุดที่เงียบสงบ หรือแม้แต่เพียงแค่นั่งคุยกันในร้านกาแฟเล็ก ๆ ในมุมหนึ่งของมหาวิทยาลัย ทุกอย่างช่างดูสวยงามและลงตัว
หลิวกู้หย่งเป็นมากกว่าคนรัก เขาคือเพื่อนคู่คิดที่คอยรับฟังทุกเรื่องราวของเหว่ยเฟิง เป็นกำลังใจให้เธอได้พักพิงในวันที่เหนื่อยล้า เขาเข้าใจความฝันและความมุ่งมั่นของเธอด จึงคอยให้กำลังใจและสนับสนุนเธออยู่เสมอ
เหว่ยเฟิงรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้พบกับหลิวกู้หย่ง เขาทำให้เธอรู้จักกับความรักที่แท้จริง ความรักที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และมีความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เธอเชื่อว่าเขาคือคนที่ใช่ คือคนที่เธอจะฝากชีวิตไว้ด้วย
ในขณะที่หน้าที่การงานของเหว่ยเฟิงในฐานะผู้ช่วยนักวิจัยกำลังรุ่งโรจน์ แต่แล้ววันหนึ่ง โลกทั้งใบของเหว่ยเฟิงก็พังทลายลงภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เหว่ยเฟิงแทบหยุดหายใจ หลิวกู้หย่ง...คนที่เธอรัก กำลังกอดจูบกับหยางซิง รูมเมตเก่าของเธอ บนเตียงนอนของเขา“ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้...” เหว่ยเฟิงพึมพำกับตัวเอง ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เธอรักและไว้ใจที่สุด จะทำร้ายเธอได้ถึงเพียงนี้เหว่ยเฟิงพยายามลุกขึ้นยืน ก้าวเท้ากลับห้องพักอย่างเชื่องช้า รู้สึกเหมือนร่างกายไร้ความรู้สึก ภาพของหลิวกู้หย่งและหยางซิงยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เธอพยายามกลั้นน้ำตา แต่ก็ไม่เป็นผล เสียงสะอื้นดังขึ้นในห้องที่เงียบงัน“ทำไม... ทำไมต้องเป็นฉัน...”วันรุ่งขึ้น เหว่ยเฟิงตัดสินใจเผชิญหน้ากับหลิวกู้หย่งและหยางซิง เธอจ้องมองพวกเขาทั้งสองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง“ฉันไม่คิดเลยว่าพวกเธอจะทำกับฉันแบบนี้ หยางซิง กู้หย่ง” น้ำเสียงของเหว่ยเฟิงสั่นเครือ ขณะที่เธอมองเพื่อนรักที่กลายเป็นศัตรู “เธอรู้ไหมว่าฉันไว้ใจพวกเธอมากแค่ไหน”หยางซิงก้มหน้าลง “ฉันขอโทษ เหว่ยเฟิง ฉัน...”“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” เหว่ยเฟิงตัดบท “ฉันไม่อยากได้ยินคำแก้ตัวใด
เช้าวันใหม่ที่ไร่องุ่นหยางกวง เหว่ยเฟิงเริ่มต้นบทบาทใหม่ในชีวิต เธอสวมชุดทำงานเรียบร้อย เดินตรงไปยังห้องทำงานเล็ก ๆ ที่ถูกฉินหลงเจ๋อผู้เป็นเจ้านายของพ่อจัดเตรียมไว้ให้ เธอวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มสำรวจเอกสารกองโตที่รอเธออยู่ระหว่างนี้ก็มีการได้เจอกับพี่ ๆ ในที่ทำงานคนอื่น ๆ อีกหลายคน ซึ่งทุกคนล้วนให้ความเป็นกันเองกับเหว่ยเฟิงเป็นอย่างมาก ทั้งยังคอยชี้แนะสิ่งต่าง ๆ ที่จัดวางอย่างเป็นระบบ ทำให้เธอทำงานได้อย่างไม่ติดขัดด้วยความรู้ด้านสถิติที่ร่ำเรียนมา เหว่ยเฟิงจึงสามารถตรวจสอบบัญชีและเอกสารซื้อขายได้อย่างคล่องแคล่ว เธอทำงานด้วยความตั้งใจ มุ่งมั่นที่จะใช้ความสามารถของเธอช่วยเหลือพ่อและไร่องุ่นแห่งนี้ให้เจริญเติบโตมากกว่านี้แม้ไร่องุ่นแห่งนี้จะมีเงินทุนมากมาย ทว่าก็ไม่ได้มีเงินเข้าตลอด ยิ่งช่วงนี้ผลผลิตน้อย เงินแทบไม่เข้าคลังเลย มีแต่จ่ายออกไป เหว่ยเฟิงศึกษาและตรวจสอบบัญชีดูแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจในช่วงพักกลางวัน หลังกินข้าวเที่ยงแล้ว เหว่ยเฟิงเดินไปหาเหว่ยเซินที่กำลังเดินดูแลสำรวจไร่องุ่นอยู่ เหว่ยเซินยิ้มอย่างภูมิใจเมื่อเห็นลูกสาวทำงานอย่างขยันขันแข็ง“เก่งมากลูกพ่อ” เหว่ยเซินเอ่ย
ฉินป๋อหลิน ทายาทผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลฉิน ก้าวลงจากเครื่องบินที่เพิ่งแตะรันเวย์ของสนามบินต้าหลี่ ใบหน้าคมคายเรียบเฉยภายใต้กรอบแว่นกันแดดราคาแพง แม้จะเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากอังกฤษ แต่แววตาของเขากลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งความยินดีหรือตื่นเต้นใด ๆเพราะการกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยความสมัครใจ หากแต่เป็นเพราะเสียงเรียกหาจากมารดาของเขา ฉินป๋อหลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะสาวเท้าออกจากสนามบิน ทิ้งเมืองผู้ดีไว้เบื้องหลังทันใดนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดรสสีแดงเพลิงก็ปรากฏตัวขึ้น เธอเดินเข้ามาหาฉินป๋อหลินอย่างมั่นใจ พร้อมกับส่งยิ้มหวานเยิ้มให้เขา“สวัสดีค่ะคุณ ดิฉันชื่อ...”“ไม่สนใจ” ฉินป๋อหลินตัดบทเสียงแข็ง พร้อมกับสาวเท้าเดินผ่านเธอไปราวกับเธอเป็นเพียงอากาศธาตุหญิงสาวหน้าชาเล็กน้อยกับท่าทีเย็นชาของเขา แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม เธอรีบสาวเท้าตามเขาไป“คุณคะ ดิฉันแค่อยากจะ...”“ผมบอกว่าไม่สนใจไง!” ฉินป๋อหลินหันกลับมาตวาดใส่เธอเสียงดัง จนคนรอบข้างหันมามองด้วยความตกใจหญิงสาวตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เธอไม่เคยคิดว่าชายหนุ่มที่เพียบพร้อม จะมีท่าทีหยาบคายและเย็นชาได้ถึงเพียงนี้ เธอรีบเ
เช้าวันใหม่ที่ไร่องุ่นหยางกวง ขณะที่เหว่ยเฟิงกำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบคุณภาพองุ่นอย่างตั้งอกตั้งใจ ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าอยู่นั้น ใบหน้าของเธอเปล่งประกายสดใสไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขทันใดนั้นเอง เงาของใครบางคนก็ทาบทับลงมาบนเถาองุ่น เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้น ก็พบกับฉินป๋อหลิน ชายหนุ่มสุดหล่อผู้เป็นลูกชายเจ้าของไร่องุ่นหยางกวงแห่งนี้ คนที่เธอเคยเจอมาก่อนในสมัยเด็ก เธอจำเขาได้ลาง ๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก“อ้าว ทำงานอยู่เหรอ” ฉินป๋อหลินเอ่ยทักเสียงเรียบ พร้อมกับเสมองไปทางอื่น เขาพยายามทำตัวให้ดูไม่สนใจคนตรงหน้า แต่ภายในใจกลับเต้นระรัว ไม่เจอกันนานหลายปี หญิงสาวดูโตขึ้นมากในสายตาของเขาเหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นมองเขา พลางตอบกลับด้วยรอยยิ้มสดใสเช่นเคย “ค่ะ สวัสดีค่ะคุณป๋อหลิน”ฉินป๋อหลินพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านเธอไปอย่างรวดเร็ว แม้จะพยายามเก็บอาการ แต่เขาก็ไม่อาจละสายตาจากเหว่ยเฟิงได้ ความงามและความสดใสของเธอทำให้เขารู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูกเหว่ยเฟิงมองตามแผ่นหลังของฉินป๋อหลินไปจนลับสายตา เธอไม่ได้ใส่ใจท่าทีเย็นชาวางท่าของเขาเท่าไหร่นัก เพราะตอนนี้เธอมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าใ
พอพูดคุยกันแล้ว เหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลินก็เริ่มทำงานร่วมกันทันที ด้วยไม่อยากให้เสียเวลามากไปกว่านี้ โดยที่ช่วงบ่ายพวกเขาลงพื้นที่สำรวจไร่องุ่นทั้งหมด เพื่อเก็บตัวอย่างดินและใบองุ่นไปตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็บ คงจะอีกหลายวันเลยทีเดียวกว่าผลแล็บจะออก“ระหว่างรอผลแล็บ เราต้องทำระบบระบายน้ำและสารชีวภัณฑ์มาระงับการระบาดของโรคค่ะ” เมื่อออกจากห้องแล็บมา เหว่ยเฟิงก็พูดสิ่งที่เธอคิดให้ชายร่างสูงฟัง“ปรับปรุงระบบระบายน้ำ? ใช้สารชีวภัณฑ์?” ฉินป๋อหลินหัวเราะในลำคอ “นี่คุณกำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า? นี่มันไร่องุ่นนะ ไม่ใช่ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ของคุณ”เหว่ยเฟิงกัดฟันแน่น พยายามระงับอารมณ์ “ฉันไม่ได้ล้อเล่นค่ะคุณป๋อหลิน นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจัดการกับเชื้อราชนิดนี้ ฉันมีข้อมูลและงานวิจัยรองรับ”“ข้อมูล? งานวิจัย?” ฉินป๋อหลินแสยะยิ้ม “ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ผมต้องการวิธีที่เห็นผลเร็วและชัดเจน ไม่ใช่วิธีที่อ้อมค้อมแบบนี้”เหว่ยเฟิงพยายามอธิบายอย่างใจเย็น แต่ฉินป๋อหลินไม่ฟังเธอเลย เขาตัดสินใจใช้สารเคมีกำจัดเชื้อราแรง ๆ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญที่เขาจ้างมา แม้เหว่ยเฟิงจะคัดค้านเพียงใด แต่เ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉินป๋อหลินเริ่มเปิดใจรับฟังเหว่ยเฟิงมากขึ้น เขายอมรับว่าเธอมีความรู้ความสามารถ และเริ่มเห็นคุณค่าในตัวเธอ เขาเริ่มเข้าใจว่าการแก้ปัญหาบางครั้งต้องใช้เวลาและความอดทน ไม่ใช่ทุกอย่างจะแก้ไขได้ด้วยเงินหรืออำนาจใด ๆเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ ภายใต้การทำงานอย่างหนักของเหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลิน รวมถึงความร่วมมือของคนงานในไร่ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถควบคุมโรคระบาดได้สำเร็จ ผลผลิตองุ่นเริ่มกลับมาดีขึ้นเรื่อย ๆฉินหลงเจ๋อดีใจมากเมื่อเห็นไร่องุ่นที่ตนสร้างมากับมือกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เขาจึงเรียกลูกชายและเหว่ยเฟิงเข้ามาขอบคุณที่ร่วมมือช่วยกันเพื่อแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ได้สำเร็จ“ขอบใจมากนะเหว่ยเฟิง” ฉินหลงเจ๋อกล่าว “เธอช่วยไร่องุ่นของเราไว้ได้จริง ๆ”เหว่ยเฟิงยิ้มอย่างเขินอาย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณลุง เหว่ยเฟิงก็แค่ทำหน้าที่เท่านั้น”“เอ๊ะ มาเรียกลุงได้ยังไงกัน ครั้งก่อนที่เจอกัน ฉันบอกให้เหว่ยเฟิงเรียกฉันว่าพ่อนิ ใช่ไหม” ฉินหลงเจ๋อเอ็ดเหว่ยเฟิงอย่างไม่จริงจังนัก หากก็มีความไม่พอใจปนอยู่ในประโยคคำพูดอยู่บ้าง“เอ่อ ค่ะ คุณพ่อ”“พ่อขอบใจลูกด้วยนะป๋อหลิน ที่ช่วยกันกับเหว่ยเฟิงทำให้ไร่องุ่นข
เหว่ยเฟิงเงยหน้าจากกองเอกสาร เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นชื่อ 'หลิวกู้หย่ง' บนหน้าจอ ความทรงจำเก่า ๆ ก็หวนกลับมาอีกครั้ง“ฮัลโหล”“เหว่ยเฟิงเหรอ ผมเอง กู้หย่ง” เสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยขึ้น “ผมจะกลับปักกิ่งแล้วนะ แล้วก็...ผมอยากไปหาคุณที่ต้าหลี่”เหว่ยเฟิงกำโทรศัพท์แน่น ความรู้สึกมากมายตีตื้นขึ้นมา เธอพยายามลืมเรื่องราวในอดีต แต่คำพูดของกู้หย่งก็ทำให้เธออดคิดถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่เคยมีร่วมกันไม่ได้เธอจำได้ถึงวันที่เธอกำลังเคร่งเครียดกับงานวิจัย จะคอยมีหลิวกู้อยู่ข้าง ๆ เป็นกำลังใจให้เธอเสมอ เขาจะซื้อกาแฟ ซื้อขนม ซื้อข้าวมาให้เธอตลอด แล้วนั่งคุยกันจนเธอหายเหนื่อย แม้เธอจะตัดขาดกับเขาไปแล้ว แต่ความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้นก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเธอ“อย่ามาเลยค่ะ ฉันไม่สะดวกพบคุณจริง ๆ”เหว่ยเฟิงตัดสินใจวางสาย เธอรู้ว่ายังไม่พร้อมที่จะพบเจอเขาตอนนี้ เธอต้องการเวลา...ในยามเย็นหลังเลิกงาน เหว่ยเฟิงมักจะปั่นจักรยานคู่ใจไปยังร้านกาแฟประจำ เธอสั่งกาแฟแก้วโปรดของหลิวกู้หย่ง แม้จะรู้ว่าไม่เหมาะกับเวลานี้เท่าไหร่ ด้วยรู้ดีว่าหัวใจกำลังอ่อนแอ เธอนั่งจมอยู่กับความคิดนานห
“ผมจำได้ครับ คุณฉิน” เหว่ยเซินพยักหน้าช้า ๆ หัวใจของเขาหนักอึ้งด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความเสียใจต่อเพื่อนรักที่กำลังจะจากไป และความกังวลต่ออนาคตของลูกสาว“ฉันรู้ว่ามันอาจจะดูเห็นแก่ตัว” ฉินหลงเจ๋อกล่าวต่อ “แต่ฉันเป็นห่วงป๋อหลินเหลือเกิน เขาไม่เคยต้องเผชิญความยากลำบากอะไรเลย ฉันกลัวว่าถ้าฉันไม่อยู่แล้ว เขาจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ฉันอยากให้เหว่ยเฟิงช่วยดูแลเขา เธอเป็นเด็กดี มีความสามารถ และฉันเชื่อว่าเธอจะสามารถทำให้ป๋อหลินเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งได้”เหว่ยเซินเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจความรู้สึกของฉินหลงเจ๋อดี เขาเองก็รักและเป็นห่วงลูกสาวของเขามากเช่นกัน แต่เขาก็รู้ว่าเหว่ยเฟิงมีความคิดเป็นของตัวเอง และเขาไม่อยากบังคับให้เธอทำอะไรที่เธอไม่ต้องการ“ผมจะคุยกับเหว่ยเฟิงเองครับ” เหว่ยเซินตอบในที่สุด “แต่ผมไม่สามารถบังคับให้เธอแต่งงานกับใครได้ การตัดสินใจอยู่ที่ตัวเธอเอง”ฉินหลงเจ๋อพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ฉันรู้ ฉันแค่ขอให้เธอพิจารณาเรื่องนี้ด้วยก็พอ”ย้อนกลับไปในวัยหนุ่ม เหว่ยเซินและฉินหลงเจ๋อเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่สมัยเรียน ทั้งคู่มีความฝันร่วมกันที่จะสร้างไร่องุ่นที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่า
ณ โรงพยาบาล บรรยากาศรอบตัวเธอราวกับหยุดนิ่ง ขณะที่เธอรอฟังผลวินิจฉัยจากแพทย์ และคำพูดของหมอเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ“คุณพ่อของคุณเป็นโรคหัวใจครับ เขาเป็นมานานแล้ว” หมอบอกอย่างใจเย็น แต่เหว่ยเฟิงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมา “เราแนะนำให้คุณเหว่ยทำบอลลูนหัวใจเพื่อเปิดเส้นเลือดที่ตีบมาหลายครั้งแล้ว แต่คนไข้กลับบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด”เหว่ยเซินปฏิเสธการรักษาอย่างหนักแน่น แม้แพทย์จะอธิบายถึงความจำเป็น เขาก็ยังคงยืนกรานว่าแค่เหนื่อยเกินไปและอยากพักผ่อนเท่านั้น เบื้องหลังท่าทีดื้อดึงนั้นคือความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยไม่อยากให้ลูก ๆ ต้องลำบากเรื่องค่ารักษาพยาบาล แม้แต่ประกันชีวิตเขาก็ไม่เคยทำ เพราะคิดว่าเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ชายผู้นี้รักและห่วงใยทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่สุขภาพของตนเองเมื่อเหว่ยเฟิงรู้ความจริงว่าพ่อป่วยหนัก เธอรู้สึกเหมือนถูกทุบด้วยค้อนขนาดใหญ่ ความเสียใจและความกลัวถาโถมเข้ามาในใจ เธอไม่สามารถจินตนาการถึงชีวิตที่ไม่มีพ่อได้เลย“พ่อคะ ทำไมพ่อไม่บอกหนูเลย ถ้าพ่อบอกหนูสักคำ หนูจะคอยมาดูแลพ่อ หนูขอโทษนะคะที่ลูกคนนี้ไม่เอาไหนเลย พ่อป่วยเป็นอะไรก็ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจ พ่อช่ว
ฉินป๋อหลินทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงาน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว หลักฐานการยักยอกเงินที่เขาเพิ่งตรวจพบในบัญชีรายรับรายจ่าย ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง“ใครกันที่กล้าทำแบบนี้!” เขาคำรามลั่น ความโกรธทำให้ห้องทำงานที่เคยเงียบสงบสั่นสะเทือนขึ้นมาทันทีความเงียบในห้องทำงานของฉินป๋อหลินถูกทำลายลงด้วยเสียงเคาะประตูแผ่วเบา หวังหลิงเฟย พนักงานบัญชีที่เขาไว้ใจที่สุด ก้าวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ากังวล“นายท่าน” หวังหลิงเฟยพูดเสียงสั่น “ผมมีเรื่องสำคัญจะรายงานครับ”“ว่ามา” ป๋อหลินตอบ น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเครียด“ผมตรวจสอบบัญชีตามที่นายท่านสั่ง...แล้วพบว่ามีเงินจำนวนหนึ่งหายไปครับ” หวังหลิงเฟยพูดเสียงเบา “และหลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่...คุณนายเหว่ยเฟิงครับ”คำพูดของหวังหลิงเฟยเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของฉินป๋อหลิน เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เหว่ยเฟิง ภรรยาที่เขารักและเชื่อใจ จะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร“หลักฐานอะไร?” เขาถามเสียงเครียดหวังหลิงเฟยยื่นเอกสารให้ฉินป๋อหลินดู เป็นสำเนาใบเสร็จและรายการโอนเงินที่ถูกแก้ไขอย่างแนบเนียน ฉินป๋อหลินตรวจสอบเอกสารเหล
ดูเหมือนว่าบรรยากาศภายในบ้านเช้านี้ ดูเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งทั้งสองคนที่มีประเด็นกันต่างเก็บตัวเงียบ ไม่พูดคุยกันแม้แต่คำเดียว และความเงียบงันนี้เป็นเหมือนกำแพงหนาที่กั้นกลางระหว่างพวกเขาเอาไว้อย่างชัดเจน ทั้งยังสวนทางกับม่านชิงชิงที่รู้สึกยินดีกับความบาดหมางของคนทั้งคู่ยิ่งนักพอทานข้าวเช้ากับพ่อแม่แล้ว ฉินป๋อหลินก็มาเดินตรวจงานอยู่ที่ไร่คนเดียว เพราะวันนี้เหว่ยเฟิงยืนกรานว่าจะไม่ออกไปทำงานพร้อมกันกับเขา ทว่าขณะที่ฉินป๋อหลินดูองุ่นอยู่นั้นก็ได้ยินคนงานในไร่พูดคุยกันถึงเรื่องที่ม่านชิงชิงจ้างคนงานคนหนึ่งให้เข้าใกล้เหว่ยเฟิง เช่นนั้นแล้วเจ้าตัวจึงหยุดยืนฟัง“ฉันบอกแกแล้วไง ว่าอย่าไปยุ่งกับเมียของนายท่าน เดี๋ยวนายท่านก็เพ่งเล็งจนทำงานที่นี่ไม่ได้พอดี” เสียงคนงานคนหนึ่งดังขึ้น“แต่คุณหนูชิงชิงให้เงินฉันเยอะนี่นา ถึงออกจากที่นี่ไปก็สามารถตั้งตัวได้สบาย ๆ” คนงานที่ชื่อหลี่หมิงตอบกลับฉินป๋อหลินได้ยินอย่างนั้นก็กำหมัดแน่น เขาไม่รอช้า รีบไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้นทันที ภาพที่เขาเห็นทำให้เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ม่านชิงชิงกำลังพูดคุยกับคนงานที่ชื่อว่าหลี่หมิง และยื่
หลังจากร่วมทานข้าวเย็นกับพ่อแม่ และแขกอย่างม่านชิงชิงเสร็จแล้ว เหว่ยเฟิงและป๋อหลินก็เข้าห้องส่วนตัวที่ใช้หลับนอนด้วยกันมาแรมปี“เฟิงเอ๋อร์” เขาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้อ่อนโยนที่สุด “เมื่อวานซืน คุณออกไปไหนมาเหรอ”เหว่ยเฟิงเงยหน้าจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ เธอรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังถามถึงเรื่องอะไร แววตาของเธอฉายแววลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดความจริง“ฉันไปเจอหลิวกู้หย่งมาค่ะ” เธอตอบเสียงเบาหัวใจของป๋อหลินกระตุกวูบ แต่เขาก็ยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉย “ทำไมล่ะ”“เขาขอพบฉันค่ะ” เหว่ยเฟิงอธิบาย “ฉันจึงไปเพื่อบอกกับเขาว่าฉันแต่งงานแล้ว และขอให้เขาเลิกติดต่อฉัน ไม่ต้องมาพบกันอีก”ฉินป๋อหลินเงียบไปครู่หนึ่ง เขาจ้องมองดวงตาของหญิงสาวอย่างพินิจพิจารณา ซึ่งเหว่ยเฟิงไม่ได้มีแววตาที่โกหกแต่อย่างใด“ผมเชื่อใจคุณนะ เฟิงเอ๋อร์”เหว่ยเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางเดินเข้าไปกอดเขาแน่น“ขอบคุณนะคะ ป๋อหลิน”ฉินป๋อหลินโอบกอดเธอตอบ ความรู้สึกผิดที่เคยกัดกินใจเขาเริ่มจางหายไป เขาคิดถึงรูปถ่ายที่ได้รับมา มันก็ตรงกับสิ่งที่เหว่ยเฟิงเล่าทุกอย่าง เขาเริ่มรู้สึกโง่เขลาที่เคยสงสัยในตัวเธอ“อะไรกัน
ความรักของเขาที่มีต่อเธอนั้นมั่นคง แต่เขาก็ช่างไม่ใส่ใจความรู้สึกของเธอเลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่าแค่การให้คำมั่นสัญญาว่าเธอจะเป็นภรรยาคนเดียวของเขาก็เพียงพอแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอต้องการมากกว่านั้น เธอต้องการให้เขาเข้าใจเธอ ให้เขารับฟังเธอ ให้เขาอยู่เคียงข้างเธอและแล้วค่ำคืนนั้น เหว่ยเฟิงก็พยายามอย่างหนักเพื่อข่มตาให้หลับ แต่ภาพของม่านชิงชิงและคำพูดไร้เยื่อใยของป๋อหลินยังคงตามหลอกหลอน เธอเฝ้าหวังว่าสักวันเขาจะเข้าใจความรู้สึกของเธออย่างแท้จริง ว่าสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดไม่ใช่แค่คำสัญญาว่าเธอจะเป็นภรรยาคนเดียวของเขา แต่คือการปกป้องและความเข้าใจจากเขาต่างหากเหว่ยเฟิงเดินเข้ามาในร้านกาแฟมีชื่อในเมืองต้าหลี่ ซึ่งตกแต่งด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น พลางมองหาคนที่นัดเธอมาพบในวันนี้ พอเห็นแล้วว่านั่งตรงไหน จึงเดินตรงไปยังโต๊ะที่ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งรออยู่ พร้อมกับเอ่ยทักทาย“กู้หย่ง ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรให้ฉันต้องมาพบกับนายอีกงั้นเหรอ” “ผมอยากจะมาขอบคุณเหว่ยเฟิง ที่ให้คำแนะนำเรื่องการลงทุนเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้ผมสามารถจัดการปัญหาทางการเงินได้แล้วนะ” ไม่สิต้องบอกว่ามีคนเสนอเงินก้อนโตให้เขาต่า
บ้านพักคนงานที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากคฤหาสน์ตระกูลฉินราวกับเป็นโลกคนละใบ กลายเป็นที่พักพิงใจของเหว่ยเฟิงในยามนี้ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ตลอดทาง พรั่งพรูออกมาทันทีที่เธอก้าวเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ที่คุ้นเคย เสียงสะอื้นของเธอทำให้เหว่ยเซินที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงสะดุ้ง“เฟิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นลูก?” เหว่ยเซินรีบซ่อนขวดยาที่อยู่ในมือลงใต้เตียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นไปประคองลูกสาวที่กำลังร้องไห้โฮเหว่ยเฟิงโผเข้ากอดบิดาแน่น ราวกับเด็กน้อยที่ต้องการหาที่ปลอดภัยเธอเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนเช้าให้พ่อฟัง เสียงสะอื้นของเธอทำให้เหว่ยเซินรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย เขาไม่เคยเห็นลูกสาวอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน“ไม่เป็นไรนะลูก พ่ออยู่ตรงนี้” เหว่ยเซินลูบผมลูกสาวแผ่วเบา พยายามปลอบโยนเธอด้วยคำพูดที่อบอุ่น“หนูไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้วค่ะพ่อ” เหว่ยเฟิงพูดเสียงสั่นเครือเหว่ยเซินถอนหายใจ เขาเข้าใจความรู้สึกของลูกสาวดีว่าคนในตระกูลฉินนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับลูกสาวของเขา“เฟิงเอ๋อร์ พ่อรู้ว่ามันยากสำหรับลูก แต่ลูกต้องเข้มแข็งไว้นะ” เหว่ยเซินพูดอย่างหนัก“พ่อจะอยู่ข้าง ๆ ลูกเสมอนะ” เหว่ยเซินยิ้มให้ลูกสาวอย่างอ
พอสองสามีภรรยาพยุงฉินหลงเจ๋อเข้าบ้านก็เห็นว่าหวังซู่หลินกำลังนั่งพูดคุยกับแขกสาวอย่างเป็นกันเองเหว่ยเฟิงเองมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เธออดกังวลไม่ได้ว่าการมาของม่านชิงชิงรอบนี้จะนำพาปัญหาอะไรมาสู่ไร่องุ่นแห่งนี้บ้างและความกังวลของเหว่ยเฟิงก็เป็นจริงอย่างรวดเร็ว เมื่อม่านชิงชิงเริ่มแสดงธาตุแท้ออกมาทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในไร่องุ่นในเวลาแค่ไม่กี่วัน โดยที่เธอทำตัวราวกับเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ สั่งคนงานไปทั่วราวกับเป็นนางพญา และที่ร้ายไปกว่านั้น เธอผูกมิตรกับแม่ของฉินป๋อหลินอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งสองร่วมมือกันกลั่นแกล้งเหว่ยเฟิงสารพัด หากหญิงสาวก็ไม่ได้ปริปากบ่นหรือเล่าให้ฉินป๋อหลินฟัง เพราะแค่งานในไร่ก็ปวดหัวมากพอแล้ว เธอจึงพยายามเก็บความรู้สึกอึดอัดเอาไว้ในใจเฮ้อ ไม่รู้ว่าจะทนได้อีกนานแค่ไหนวันหนึ่ง ขณะที่เหว่ยเฟิงกำลังเก็บองุ่นอยู่ ม่านชิงชิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับแม่ของฉินป๋อหลิน“นี่เธอ ทำงานให้มันดี ๆ หน่อยสิ เก็บองุ่นแบบนี้เดี๋ยวก็ทำองุ่นเสียหายหมดหรอก” ม่านชิงชิงพูดเสียงดัง ทำให้คนงานคนอื่น ๆ หันมามองเหว่ยเฟิงรู้สึกโกรธ แต่พยายามข่มอารมณ์ไว้ “ฉันทำอย่างระมัดระวั
เวลาผ่านไปเกือบปี นับตั้งแต่วันที่เขาแต่งงานกับเหว่ยเฟิง ฉินป๋อหลินได้ใช้เวลากับเหว่ยเฟิงมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาได้เห็นด้านต่าง ๆ ของเธอที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเหว่ยเฟิงไม่ใช่แค่หญิงสาวที่ฉลาดและมีไหวพริบ เธอเป็นคนจริงใจ ตรงไปตรงมา และมีความเข้มแข็งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางอ่อนโยนยิ่งเขาได้รู้จักเธอมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้เธอ เหว่ยเฟิงเป็นคนที่หัวแข็งก็จริงแต่เธอเป็นคนว่าง่าย ไม่เคยเรียกร้องความสนใจจากเขา ไม่งี่เง่าโดยไร้เหตุผล และนั่นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเมื่ออยู่กับเธอ“ผมมีความสุขที่สุดเลย”แสงจันทร์สาดผ่านม่านโปร่งบางเข้ามาในห้องนอน สาดส่องผิวเนื้อเปลือยเปล่าของฉินป๋อหลินและเหว่ยเฟิงที่กำลังนอนกอดกันกลมบนเตียงกว้าง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่และไออุ่นจากร่างกายของทั้งคู่ผสมผสานกันจนอบอวลไปทั่วทั้งห้อง“ฉันก็รู้สึกมีความสุขอย่างที่คุณกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ค่ะ”เหว่ยเฟิงซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างของฉินป๋อหลิน ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มือเรียวลูบไล้แผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขาอย่างแผ่วเบาฉินป๋อหลินกระชับอ
วันหนึ่ง ขณะที่ป๋อหลินกำลังตรวจดูผลผลิตในไร่องุ่น ร่างบอบบางหนึ่งที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าคนคนนั้นคือม่านชิงชิง อดีตคนรักที่ทิ้งเขาไปอย่างไร้เยื่อใยเมื่อหลายปีก่อนม่านชิงชิงยังคงสวยสง่าราวกับภาพวาด เธอสวมชุดเดรสสีขาวที่พลิ้วไหวไปตามสายลม ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นอย่างหลวม ๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามหมดจด ดวงตากลมโตยังคงเป็นประกายสดใส แต่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยบางอย่าง“หลินหลิน” เธอเอ่ยชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาป๋อหลินรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง เขาไม่เคยคิดว่าจะได้พบเธออีกครั้ง“ชิงชิง” เขาตอบรับเสียงแหบพร่า “คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”ม่านชิงชิงเดินเข้ามาใกล้ “ฉันมาเพื่อขอโทษคุณ สำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต”ป๋อหลินมองเธออย่างไม่เข้าใจ “ทำไมคุณถึงมาขอโทษผมเอาตอนนี้?”“ฉันรู้ว่ามันสายเกินไป” ม่านชิงชิงก้มหน้าลง “แต่ฉันอยากให้คุณรู้ว่า ฉันเสียใจจริง ๆ นะ หลินหลิน”ฉินป๋อหลินไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี เขาเคยโกรธเธอที่ทิ้งเขาไป แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงฝันถึงเธออยู่บ่อย ๆ“ไม่หรอก ผมขอไม่เชื่อในสิ่งพูดเหรอ” ฉินป๋อหลินคล้ายกับพูดกับตัวเอง “ผมขอตัวก่อนนะ”“ยังไงคุณก็หนีฉันไปไหนไม่ได้หรอก ห