นายทหารที่ติดตามหญิงสาวผู้นั้นหลังจากที่เขาหาคนที่เดินตามมาตลอดทางไม่พบ ชายหนุ่มจึงได้แต่รู้สึกโมโหตนเองก่อนที่เขาจะตัดสินใจกลับมารายงาน
ทางด้านร้านอาหารรัฐในเวลานี้ซูเหยาได้เดินกลับเข้ามานั่งที่เดิมภายในร้านอาหารแห่งนี้แล้ว โดยเจียงเจ๋อเองก็เดินกลับมานั่งด้วยเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ” พ่อผู้ชราถามลูกชายคนที่สามเสียงเบาไม่ให้เด็ก ๆ ได้ยิน
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...ตอนนี้ผมกำลังให้คนตามไปอีกสักพักก็น่าจะมาแล้ว” เจียงเจ๋อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกมา
“ถ้าหากคนของลูกกลับมาไปคุยกันข้างนอกนะ ในนี้หลานอยู่กันหลายคนไม่เหมาะที่จะคุยเรื่องแบบนี้” เจียงเทียนกล่าวเตือน
“ครับ” เจียงเฟยรับคำซึ่งเขาก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี
“เด็ก ๆ พวกลูกเอาขนมหวานกันอีกไหม” ซูเหยาถามเด็กวัยเรียนทั้งหมดด้วยความเอาใจใส่
แต่เด็กทั้งเจ็ดยังไม่ทันได้ตอบรับ ซูหลงลุงผู้รักหลานก็นำของหวานออกมายังโต๊ะของน้องสาวตัวเอง เป็นเงาะและลิ้นจี่ในน้ำเชื่อมใส่น้ำแข็งมาให้ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่
ส่วนของหลาน ๆ ชายหญิงเป็น
“สวัสดีสหาย พวกเราต้องการมาเชิญคนผู้หนึ่งซึ่งพวกเราจำเป็นที่จะต้องเข้าไปหาตัวบุคคลนั้นหวังว่าสหายจะให้ความร่วมมือ” อู๋หลางพูดกับยามหน้าโรงงานที่กำลังมองมาที่พวกเขาด้วยความหวาดกลัว“ได้ครับ เชิญสหายทหารเข้าไปได้เลย” ยามหน้าโรงงานรีบพูดเสียงสั่น“ขอบใจมาก” อู๋หลางหลังจากที่ได้ยินในสิ่งที่ตนพอใจกล่าวกับยามร่างผอมผิวคล้ำ ก่อนที่เขาจะเดินนำพรรคพวกที่พามาเข้าไปด้านใน โดยเริ่มจากอาคารที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นแห่งแรก“สวัสดีครับ ผมเป็นผู้จัดการโรงงานแห่งนี้ไม่ทราบว่าสหายทหารต้องการให้ผมช่วยเหลืออะไรหรือไม่” ในระหว่างที่เขาทั้งสี่คนกำลังจะเดินเข้าไปยังห้องที่อยู่ด้านหน้าก็มีเสียงของชายผู้หนึ่งหวีผมเรียบแต่งกายดูดีกว่าพนักงานทั่วไปรีบเดินเข้ามาหาพร้อมกับถามออกมา“ผมต้องการมาหาคน หล่อนเป็นหญิงสาวทำงานที่นี่ผมจำได้แต่หน้า ดังนั้นผมจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าไปดูทุกคนภายในโรงงานของสหาย หวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับเรา” อู๋หลางผู้ได้รับคำสั่งมาโดยตรงก็ยังคงเป็นผู้พูดออกมา 
ชายหนุ่มร่างสูงเมื่อเดินเข้าไปยังห้องนอนของพ่อผู้ชราเขาก็ต้องตกใจที่เห็นสิ่งของมากมาย อีกทั้งยังกระเป๋าใบใหญ่อีกสองสามใบวางอยู่บนเตียงนอน“พ่อครับ นี่จะย้ายบ้านหรือครับ” เจียงเจ๋อถามขึ้นหลังจากที่เขากวาดตามองรอบห้องนอนกว้างแห่งนี้“เปล่า แต่ฉันกะว่าจะไปอยู่ที่นั่นจนกว่าหนึ่งในพวกนายจะแต่งงานและมีหลานตัวเล็กมาให้ฉันได้อุ้มชู ก็เลยจะขนไปหมดเพราะดูแล้วน่าจะอยู่นาน” เจียงเฟยกล่าวในขณะที่กำลังหยิบชุดออกมาจากตู้ส่งให้กับพ่อบ้านที่กำลังยืนอยู่ข้างกัน“...” เจียงเจ๋อไร้คำพูดจะกล่าว ถ้าหากว่าพ่อบุญธรรมคิดแบบนี้เขาว่าเฒ่าฮานอาจจะต้องให้พ่อบุญธรรมผู้ดื้อรั้นอยู่ด้วยตลอดชีวิตเป็นแน่“แกก็รีบมาช่วยฉันเร็ว ๆ เข้า” เฒ่าผู้ชราเจ้าบ้านเอ่ยเร่ง“ผมว่าเอาไปแต่พอดีเถอะครับ ที่นั่นก็มีแม่บ้านซักผ้าให้ แล้วอีกอย่างหากพ่ออยากได้อะไรเพิ่มย่อมกลับมาเอาได้ตลอดบ้านก็ไม่ได้อยู่ไกลกันสักเท่าไหร่ผมเกรงว่าถ้าหากพ่อขนของไปหมดนี่จริง ๆ ลุงฮานจะตกใจแล้วอาจจะปฏิเสธไม่ให้พ่อไปอยู่ด้วยเอาได้นะ” เจียงเจ๋อแม้ปากจะกล่าวท
ทางด้านซูเหยาหลังจากทำของว่างเห็ดหูหนูขาวตุ๋นน้ำตาลกรวดเสร็จ เธอก็เดินออกมาจากห้องครัวเพื่อคิดจะบอกพ่อบุญธรรมของสามี“ลุงเจียงมานานแล้วหรือคะ ฉันเพิ่งทำของว่างเสร็จพอดี” หญิงสาวเดินมาก็เจอกับแขกของบ้านจึงได้พูดกับผู้ที่กำลังสนทนาอย่างออกรสกับพ่อบุญธรรมของสามีก่อน“ลุงก็เพิ่งมาถึงนี่แหละ ว่าแต่พวกหลาน ๆ ไปไหนถามสหายเฒ่าก็ไม่ยอมตอบ” เจียงเฟยกล่าวฟ้องออกมากลาย ๆทำให้เฒ่าฮานที่กำลังยกชาขึ้นจิบถึงกับไอออกมาให้กับความหน้าไม่อายของเพื่อน ก็เขาเพิ่งจะบอกไปว่าเด็ก ๆ ไปเล่นกับเสี่ยวไป่‘เจ้าบ้านี่เรียกร้องความสนใจจากลูกสาวช่างน่าไม่อายเกินไปแล้ว’ เฒ่าฮานที่รู้อยู่แล้วว่าสหายเฒ่าของตนยอมรับเสี่ยวเหยาเป็นลูกสาวนานแล้วกล่าวต่อว่าเพื่อนในใจ“อยู่กับเจ้าเสี่ยวไป่นั่นแหละค่ะ ยิ่งตอนนี้มันมีครอบครัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว เด็ก ๆ ก็เลยเห่อกันใหญ่” หญิงสาวหนึ่งเดียวตอบผู้สูงวัยทั้งสามนั่งสนทนากันอยู่ได้ไม่นาน เจียงเจ๋อกับเทียนหานก็เดินเข้ามาสมทบ เจียงเฟยที่เห็นลูกชายบุญธรรมเดินมากับลูกชายบุญธรรมของสหายจึงได้กล่าวออกมา
เจินหลินหลังจากที่ได้ยินถ้อยคำของหญิงสาวตรงหน้าผสมกับการแสดงออกของเจ้าหล่อน จากที่ตัวเองเริ่มคลายความกังวลลงในตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นได้กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง“ฉะ...ฉันฮือ ๆ ฉันขอโทษ เธอปล่อยฉันไปเถอะต่อไปนี้ฉันไม่กล้าที่จะทำเรื่องแบบนี้อีกแล้วอย่าลงโทษฉันเลย” หญิงสาวร้องไห้ก่อนเอ่ยออกมาด้วยความกลัว“สหายก็แค่บอกว่าทำไปทำไม หรือมีคนอยู่เบื้องหลัง หากฉันได้ยินคำตอบที่พอใจสหายจะได้ออกจากห้องนี้อย่างแน่นอนแต่ถ้าสหายยังไม่พูดความจริงก็คงจะต้องรับโทษไปตามที่ท่านผู้นำกำหนด หากคำขอโทษทำให้คนที่กระทำผิดไปแล้วถูกปล่อยตัวแล้วจะมีกฎหมายไว้ทำไมสหายคิดว่าฉันกล่าวถูกหรือไม่” ซูเหยาค่อย ๆ เอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างเน้นหนักและชัดเจน‘ตอนทำไม่คิดมาสำนึกตอนถูกจับคนพวกนี้น่าเห็นใจตรง ไหนกัน’ หญิงสาวเจ้าของเรื่องคิดด้วยความเดือดดาลหากเป็นคนอื่นที่ไม่มีเส้นสายแบบเธอป่านนี้คนที่เจอเรื่องแบบนี้อาจจมน้ำลายตายหรือไม่ก็ต้องชดใช้จนหมดตัวไปแล้ว“ฉันบอกแล้วเรื่องมันเป็นแบบนี้...ฉันไม่รู้ว่าหล่อนชื่ออะไร หน้าตาเป็นแบบไหน พวกเราแค่นัดรับสิน
“ใช่ค่ะ ฉันรับสบู่ของหล่อนมาขายตั้งหลายครั้งก็ไม่เคย เห็นหล่อนคิดโจมตีใคร จนมาถึงเรื่องของสหายนี่แหละ” เจินหลินเล่าออกมาตามความจริงเธอถึงได้แปลกใจยังไงล่ะ“ถ้าเป็นอย่างนี้ก็แสดงว่า จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังคนที่นำสบู่มาขายอีกที หากเป็นคนที่ฉันคิดไว้จริง ๆ หล่อนคงจะได้เห็นดีกับฉันแน่” ซูเหยาพูดขึ้นอย่างหมายมาด‘อยู่สุขสบายไม่ชอบ ฉะนั้นก็จงรับกรรมของเธอไปนะแม่ดอกบัวขาว แต่ก่อนจะสาวถึงตัวการใหญ่เพื่อป้องกันไม่ให้ผิดพลาดจะต้องจัดการบุคคลที่ยื่นมือเข้ามาก่อน’ ซูเหยาคิดพร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างมาดร้ายเจินหลินที่มองซูเหยาอยู่ตลอดถึงกับขนลุกซู่ พร้อมคิดว่าผู้หญิงคนนี้ช่างยิ้มได้น่ากลัวเสียเหลือเกิน ต่อไปนี้ก่อนที่เธอจะเชื่อใครคงจะต้องสืบให้ดีเสียก่อนสองสาวอยู่สนทนากันจนซูเหยาคิดว่านี่มันก็มืดมากแล้วเธอคงจะต้องปล่อยตัวหญิงผู้นี้ให้กลับบ้านได้สักที“สหายเจินไม่ทราบว่าสหายพักอยู่ที่ไหน ตอนนี้มืดแล้วฉันจะไปส่ง” ซูเหยาถามกับคนที่กำลังเดินออกจากห้องพร้อมกัน
ด้านบุคคลที่อยู่ภายในห้องน้ำหลังจากที่ได้ยินเสียงของ ซูเหยาหล่อนก็เดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่นพร้อมกับพยายามใช้ความคิดหาหนทางรอดให้ตัวเองเพื่อหวังให้หลุดพ้นออกไปจากสถานการณ์บ้า ๆ ตรงหน้า‘ทำยังไงดี ผู้หญิงคนนั้นรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่’ หญิงสาวรูปร่างเพรียวบางขบคิดอย่างหนักใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตก“คุณจะออกมาเองหรือว่าจะให้คนของฉันไปลากตัวคุณออกมา” ซูเหยาที่ยืนรออยู่นานจนเริ่มหมดความอดทนกล่าวเสียงดัง“สหายคุณต้องการพบใครอย่างนั้นหรือ ภายในห้องน้ำตอนนี้มีฉันอยู่คนเดียวและฉันมั่นใจว่าไม่รู้จักคุณ” หญิงสาวผู้อยู่ในห้องน้ำค่อย ๆ ควบคุมสติของตนก่อนโต้ตอบผู้ที่อยู่ด้านนอก“สหายพูดถูกเราไม่รู้จักกันดังนั้นฉันจึงแค่อยากจะถามคุณว่า ทำไมคุณถึงคิดแผนชั่วมาโจมตีฉันล่ะคะ” ซูเหยาที่หมดความอดทนก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในทีละก้าว ๆเสียงรองเท้ามีส้นแบบยุคสมัยใหม่ที่หญิงงามสวมกระทบกับพื้นห้องน้ำเป็นจังหวะเนิบช้า ซึ่งมันค่อนข้างเป็นการเดินที่กดดันคนที่มีความผิดติดตัวอย่างหญิงสาวที่ซ่อนตัวอยู
‘แล้วแม่นางดอกบัวทำไมจะต้องมายึดติดอะไรกับสามีชาวบ้านได้ขนาดนี้กัน เหยาไม่เข้าใจ’ หญิงสาวคิดในขณะที่ถูกสามีหนุ่มจับจูงให้เดินออกมาด้านนอกคนของพี่น้องเจียงไม่ต้องรอให้หัวหน้าตัวเองพูดซ้ำพวกเขาก็รีบเดินเข้าไปควบคุมหญิงสาวคนนั้นที่กำลังนิ่งเหมือนสติหลุดอยู่ทันควันทางด้านอดีตสาวโรงงานหลังจากได้รับสบู่จากคนที่ตนนัดแล้ว คนของสองพี่น้องเจียงก็เข้าควบคุมคนที่ส่งสบู่อย่างไม่ทันให้คนผู้นั้นได้ตั้งตัว“นะ...นี่มันอะไรกันสหายพวกคุณมาจับฉันทำไม” น้ำเสียงแสดงความหวาดกลัวดังออกมาจากปากของผู้ที่มีผ้าปิดหน้าปิดตาเหลือแต่ดวงตาโวยวาย“ไปกับเราอย่าขัดขืนไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เตือน” หนึ่งในคนที่เข้ามาควบคุมหญิงผู้นี้พูดข่มขู่เมื่อคนฟังได้ยินแบบนี้หล่อนก็นิ่งเงียบพร้อมมองไปทางผู้หญิงที่ตนเพิ่งจะส่งสินค้าให้ก็เห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ถูกทหารพวกนี้ควบคุมเหมือนกับตนด้วยความสงสัยแม้จะมีความกลัว แต่ความอยากรู้มีมากกว่าทำให้หญิงคนนี้จึงได้ถามกับคนที่คุมตัวเธออยู่ออกมา “สหายทำไมหล่อนคนนั้นถึงไม่โดนจับเหมือนฉัน”
สองพี่น้องเจียงผู้ไม่เคยขัดความต้องการของน้องสาวพวกเขาก็จัดให้คนไปทำตามสิ่งที่น้องต้องการทันที“เรื่องทางนี้เรียบร้อยแล้วพวกเราก็กลับบ้านกันเถอะครับ” เทียนหานพูดกับภรรยาสาวหลังจากดูนาฬิกาที่ข้อมือของตน“ก็ดีค่ะ พี่รอง พี่สาม จะกลับไปด้วยกันไหมคะ” ภรรยาสาวตอบรับกับสามีก่อนที่จะหันหน้าไปถามกับพี่ชายทั้งสอง“ไม่ล่ะน้องเอารถกลับไปได้เลยพรุ่งนี้จะได้มาที่นี่ได้สะดวก” เจียงเจ๋อกล่าวปฏิเสธ“ตกลงค่ะ ถ้าอย่างนั้นเอาไว้พรุ่งนี้พบกันนะคะรับรองว่าทุกคนจะได้กินอิ่มจนพุงกางอย่างแน่นอน” ซูเหยาพูดขึ้นก่อนที่เธอจะเดินเคียงข้างกับสามีออกมายังที่จอดรถ“สหายซู” เจินหลินที่ยืนรออยู่ด้านนอกรีบตะโกนเรียกหญิงสาวชุดแดง“อ้าวทำไมเธอถึงไม่เข้าไปข้างในล่ะฉันก็นึกว่าหล่อนไม่ได้ มาด้วย” ซูเหยาถามกับผู้ที่เรียกตนเอง“ฉันไม่กล้าเข้าไป” ผู้ถูกถามตอบอย่างประหม่าซูเหยาที่ได้ยินคำตอบก็รู้สึกเข้าใจได้ใครจะอยากเข้าไปในสถานที่ตัวเองเคยถูกกักเอาไว้ตั้งหลายชั่วโมงกันจึงไ
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ