“ลุงมู่ครับอยู่ไหมผมมีข่าวดีมาบอก” เสียงผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันหลังจากจอดจักรยานเรียบร้อยรีบตะโกนร้องเรียกคนในบ้านด้วยเสียงดังอย่างตื่นเต้น
ด้านคนในบ้านที่กำลังสนทนากันอยู่เมื่อได้ยินเสียงที่มีคนเรียกจากด้านนอก พวกเขาก็หยุดการสนทนากันเพื่อฟังให้แน่ใจว่าคนที่มาเรียกนั้นใช่มาบ้านของตนหรือไม่
“น้ำเสียงนี้มันฉีเค่อนี่ อาอันลูกไปเปิดประตูที” เจ้าบ้านผู้ชราหันหน้าไปสั่งลูกชายคนเล็ก
“ครับ” มู่อันรีบเดินไปตามคำสั่งของคนเป็นพ่อ เมื่อเขาเดินไปถึงหน้าบ้านและเปิดประตูออกก็เห็นชายวัยเดียวกัน ชูหนังสือพิมพ์ในมือขึ้นก่อนที่ชายคนนี้จะเปิดปาก
“เข้าบ้านก่อนมีอะไรค่อยไปพูดกันด้านใน” ลูกชายเจ้าของบ้านแม้จะแปลกใจที่ผู้มาเยือนพยายามส่งหนังสือพิมพ์ให้กับตนและอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ด้วยความสงสัย มู่อันจึงได้รับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมาแต่ก็ยังไม่ได้อ่านในทันทีเนื่องจากกำลังเดินนำแขกผู้นี้อยู่
“ลุงมู่ผมมีข่าวด่วนมาบอกหลานสาวของลุง ข่าวอยู่ในหนังสือพิมพ์ที่อาอันถืออยู่&rdqu
“พี่ชาย ฉันเป็นห่วงพี่มากเลยพี่อย่าลืมกินข้าวนะ เวลานอนก็อย่าลืมห่มผ้า” น้องสาวเมื่อได้ยินว่าค่าโทรศัพท์แพงหล่อนก็รีบพรั่งพรูความในออกมาทันทีด้วยความใจร้อน“น้องสาวไม่ต้องห่วงนะพี่สบายดี ส่วนน้องก็ตั้งใจทำข้อสอบให้ดีนะไม่ต้องคิดอะไรให้มาก เอาไว้เมื่อไหร่ที่สามารถกลับบ้านได้พี่จะรีบกลับไป แล้วนี่เป็นที่อยู่กับเบอร์โทรศัพท์ของทางนี้น้องจดเอาไว้เมื่อไหร่ที่สอบได้รีบแจ้งพี่ด้วยอีกนานกว่าพี่จะโทรศัพท์หรือส่งจดหมายหาได้อีก เพราะครั้งหน้าพี่จะต้องไปฝึกในป่า ยังไงก็อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดีแค่นี้ก่อนนะคนรอใช้โทรศัพท์เยอะมากแล้ว” คนเป็นพี่ชายกล่าวถ้อยคำออกมาอย่างรวดเร็ว“พี่ชายก็อย่าลืมดูแลตัวเองดี ๆ นะฉันจะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง” คนเป็นน้องหลังจากฟังพี่จบก็รีบพูดขึ้นก่อนที่สัญญาณจะตัดไปมู่ฟางนั่งมองกระดาษลายมือของตนที่จดที่อยู่ตามที่คนเป็นพี่บอกอย่างนิ่งงันเหมือนกำลังใช้ความคิดบางอย่าง หล่อนอยากอยู่กับคนเป็นพี่แต่ก็เป็นห่วงเรื่องกิจการของอาสะใภ้รองว่าจะไม่มีคนช่วยเพราะน้อง ๆ ก็อยากจะไปเรียนตามแต่ที่ตนต้องการเราควรจะตัดสินใจอ
หลังจากวันที่หญิงสาวสอบเสร็จเธอก็ยังคงไปทำงานในโรงงานของอาสะใภ้รองเพื่อเก็บเงินไปเรื่อย ๆ หากถามว่าเธอมีความกลัวเรื่องสอบไม่ติดหรือเปล่ามันก็มีเข้ามาบ้างแวบ ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดคิดมากเนื่องจากหากสอบไม่ติดปีหน้าก็ลองสอบใหม่ หรือไม่ก็แค่ไปเรียนการอาชีพช่วงค่ำก็เท่านั้น ในตอนนี้มีงานให้ทำบ้านก็มีให้อยู่ เงินก็มีไม่ได้เดือดร้อนเหมือนแต่ก่อนจะมีก็แต่ความคิดถึงผู้ที่มีสายเลือดเดียวกันอย่างพี่ชายที่หายเงียบไปกับข่าวของผู้เป็นแม่ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าเพียงเท่านั้นทางด้านคนที่หญิงสาวกำลังคิดถึงในยามนี้ก็กำลังคิดว่าคงจะถึงเวลาที่ตัวเองน่าจะเดินทางกลับถิ่นฐานที่จากไปเสียทีเนื่องด้วยแม่สามีเพิ่งจะมาจากไปเมื่อไม่กี่วันก่อนแม้ว่าพี่ชายของเออโถวอยากจะให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม แต่จิวเหลียนคิดว่ามันคงจะไม่สะดวกจากอะไรหลาย ๆ อย่างที่เธอยังคงรั้งรออยู่ทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะหญิงชราผู้ใจดีแม่ของสองพี่น้องเพียงเท่านี้ในยามนี้หลังจากสิ้นหญิงผู้นี้ไปแล้วเธอก็คิดว่าควรจะกลับไปหาลูกของตนบ้าง โดยที่ไม่รู้ว่าคนเป็นลูกจะเกลียดตนหรือเปล่าที่
“ดีใจแล้วร้องไมล่ะ ดีใจต้องหัวเราะแม่บอก” ชายร่างใหญ่หัวใจเด็กแย้ง“ใช่ ๆ เออโถวพูดถูกดีใจต้องหัวเราะ” จิวเหลียนรีบหาผ้าเช็ดน้ำตาก่อนที่จะยิ้มออกมาด้วยดวงหน้าที่มีความสุขมากกว่าทุกวันไม่ใช่แค่คนเป็นแม่ที่ดีใจ แม้แต่พี่ชายที่อยู่ในค่ายทหารหลังจากที่ออกมาจากป่าก็ได้ยินคนกล่าวถึงเรื่องนี้กันเป็นวงกว้าง ทำให้เขาต้องไปหาหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมาดูแล้วเขาก็ยิ้มออกมาพร้อมกับน้ำตาเมื่อเห็นภาพน้องสาวยืนยิ้มให้กับกล้อง ‘น้องทำได้แล้วเสี่ยวฟางของพี่ชายเก่งที่สุด’ เขาคิดในใจพร้อมกับยิ้มเหมือนคนบ้า ทำให้คนที่ยืนมองเขาอยู่สักพักเกิดอาการสงสัยจึงอดที่จะเดินเข้ามาถามทหารในหน่วยที่ตนเป็นครูฝึกออกมาไม่ได้“สหายมู่ไม่ทราบว่าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่” หานจ้านเดินมาถามกับนายทหารหนุ่มที่เป็นต้นกล้าชั้นดีคนนี้ด้วยความเป็นห่วงมู่ซือเมื่อได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของตน ชายหนุ่มจึงหันไปตามเสียงเรียกแล้วก็ได้เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นครูฝึกของตัวเอง“ทำความเคารพ” มู่ซือเอาหลังมือของตนปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ ก่อนที่จะทำควา
“เหลียนถึงแล้ว” ชายร่างใหญ่หัวใจเด็กพูดกับคนที่เดินมาเคียงกัน ซึ่งในมือของชายคนนี้มีขนมแป้งทอดอยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็จับมือคนที่เป็นภรรยาในนามแน่นบริเวณที่คนทั้งสองยืนอยู่นั้นอดีตเคยเป็นร้านขายเนื้อสัตว์ซึ่งปัจจุบันได้ถูกเจ้าของทิ้งร้างทำให้ด้านหน้ายังพอมีที่นั่งหรือยืนหลบแดดได้ อีกทั้งยังอยู่ห่างจากโรงงานลับของ ซูเหยาไม่ไกล หากว่าลูก ๆ ของเธอผ่านมายังไงก็ย่อมมองเห็นจิวเหลียนได้ยึดเอาที่แห่งนี้มารอเพื่อจะได้เจอหน้าลูกทุกวันตั้งแต่วันแรกที่หล่อนมาถึง แต่ความกล้าที่จะไปเผชิญหน้ากับลูกนั้นยังไม่มีหากมองเพียงเผิน ๆ คนที่เดินผ่านไปมาก็จะคิดว่าชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่ฝ่ายหญิงรูปร่างเล็กแม้จะมีผ้าคลุมหน้าแต่งกายมิดชิดคู่นี้อาจจะมาหาญาติหรือใครสักคน แต่คงไม่มีใครคิดว่าหล่อนจะเป็นแม่ของหญิงสาวที่สอบได้อันดับหนึ่งเป็นแน่เวลานี้มู่ฟางเองก็กำลังจะออกมาจากโรงงานเพื่อจะกลับไปดูปู่ที่บ้านด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากพรุ่งนี้อาสะใภ้รองให้เป็นวันหยุดเมื่อหล่อนเปิดประตูออกมาหญิงสาวที่กำลังจูงจักรยานอยู่ในมือ
ทั้งมู่ฟางและจิวเหลียนต่างพากันตกใจกับเสียงที่ได้ยินโดยเฉพาะมู่ฟางที่เห็นสภาพของบุคคลที่แก่กว่าตนสองรอบขึ้นด้วยความตกใจ“เออโถวไม่ร้องนะ พี่สาวจะตกใจหากเธอยังร้องไห้อยู่” จิวเหลียนที่ไม่อยากจะยอมรับความจริงได้หันหน้ามาปลอบคนตัวโต และก็ได้เห็นว่าใบหน้าของลูกสาวที่มีความคล้ายกับตนซีดเผือดหล่อนจึงได้เดินเข้าไปกอดหญิงสาวคนนั้นเอาไว้แน่นอย่างปลอบประโลม มู่ฟางที่ได้เขามาอยู่ในอ้อมกอดของแม่เธอก็สูดจมูกของตนเพื่อหวังกลั้นน้ำตาเอาไว้เออโถวได้หยุดร้องไห้นานแล้วคงเหลือเพียงเสียงสะอื้น เบา ๆ กับตาอันแดงเรื่อที่ยังคงมีน้ำตาคลอหน่วยอยู่เล็กน้อยจ้องมองหญิงสาวทั้งสองไม่วางตา“แม่ขอโทษ แม่ขอโทษที่แม่ทิ้งลูกไป แม่ขอโทษแม่นึกว่าลูกจะเกลียดแม่ไปแล้ว” จิวเหลียนกล่าวออกมาซ้ำ ๆ น้ำตาที่เริ่มแห้งเหือดไปแล้วจึงได้ไหลออกมาจนเปียกเสื้อของคนเป็นลูก“หนูกับพี่ไม่เคยเกลียดแม่เลย อาสะใภ้รองบอกว่าแม่คงมีเหตุจำเป็นสักวันหากแม่ยังมีชีวิตอยู่ยังไงแม่ก็ต้องกลับมาเพราะแม่รักพวกเรามาก” คนเป็นลูกที่ยัง
เมื่อคนเป็นลูกเห็นรอยยิ้มอันเบ่งบานของผู้เป็นแม่ก็ทำให้เธอยิ้มตามบุคคลอันเป็นที่รักด้วยเช่นกัน เออโถวเห็นทั้งสองยิ้มเขาเองก็ยิ้มตามออกมา“แม่คะ แม่มาที่นี่นานหรือยังแล้วตอนนี้แม่ทำอะไรอยู่” หญิงสาววัยยี่สิบถามคนเป็นแม่ด้วยความใคร่รู้“ประมาณอาทิตย์ที่แล้วตอนที่แม่นั่งรถมาแม่ได้ยินข่าวเรื่องที่ลูกสอบได้อันดับหนึ่งด้วย แม่ดีใจด้วยนะลูกของแม่เก่ง จริง ๆ” คนเป็นแม่ตอบพร้อมพูดเรื่องที่ตนได้ยินออกมาคนเป็นลูกที่กำลังจับมือของแม่อยู่ยิ้มเขินพลางแกว่งมือของแม่ไปมาด้วยความอาย จิวเหลียนที่เห็นท่าทางของลูกสาวหล่อนก็ได้แต่หัวเราะน้อย ๆ ด้วยรู้สึกเอ็นดู จากเด็กหญิงในวันวานที่ตอนนี้เติบใหญ่ขึ้นมากแล้ว แต่นิสัยเรื่องขี้อายนี้ยังคงเดิมเออโถวมองสองคนด้วยความไม่เข้าใจเท่าไหร่นักแต่เขาก็มีความสุขตามผู้หญิงด้านหน้าอยู่ดี แต่ตอนนี้เขาหิวมากจึงได้เรียกหญิงสาวที่มากับตนอย่างน่าสงสาร“เหลียนหิวแล้ว” คนที่เหมือนเด็กเอามือลูบท้องปรอย ๆ ทำให้สองแม่ลูกที่กำลังสนทนากันอยู่หยุดชะงักก่อนหันหน้าไปมองชายร่างใหญ่หัวใจเด็กที่ทำห
“ตกลงแม่เองก็อยากจะไปขอบคุณซูเหยาเรื่องของลูกด้วย แม่ติดค้างหล่อนมากเหลือเกิน” คนเป็นแม่ตอบรับอย่างรวดเร็วดังนั้นหลังมื้ออาหารเย็นจบลงมู่ฟางจึงได้พาแม่กับเออโถวจูงจักรยานไปเก็บไว้ที่โรงงานก่อน และทั้งสามก็พากันมาเดินขึ้นรถรางเพื่อจะไปยังบ้านเทียนที่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงปิดภาคเรียนของพี่น้องทั้งสาม แม้จะปิดเรียนแต่พวกเขาก็ยงคงตั้งใจทำแบบฝึกหัดที่แม่หามาให้อย่างตั้งใจใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งคนทั้งสามก็ได้มายืนอยู่หน้าประตูบ้านเทียน ในเวลานี้อากาศเริ่มเย็นมากขึ้นทำให้ จิวเหลียนห่อไหล่ของตนเอามือกอดอกยามที่ลมพัดมาทหารยามที่เห็นหน้ามู่ฟางชัดเจนจึงได้ปล่อยให้หญิงสาวเข้ามาด้านใน แม้จะแปลกใจในการที่หลานเจ้าบ้านนำพาคนแปลกหน้ามาด้วยอีกสองคน แต่พวกเขาคิดว่าอาจจะเป็นคนงานใหม่ของนายหญิงก็เป็นได้ อีกทั้งท่าทีของทั้งสองก็ดูไม่ได้มีพิรุธ“โอ้โหสวย” ทันทีที่เดินผ่านประตูรั้วบ้านเข้ามายังด้านในผู้ใหญ่หัวใจเด็กถึงกับตะโกนที่เห็นสภาพตัวบ้านและลานด้านหน้า“เออโถวเบา ๆ” จิวเหล
“พี่ทำอะไร เดี๋ยวฉันก็อายุสั้นกันพอดีขอบใจแต่ปากก็พอแล้วจะยืนโค้งตัวทำไมกัน” ซูเหยาที่ยังไม่ชินกับอะไรแบบนี้รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะมาจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของผู้หญิงที่ผอมกว่าตนให้หล่อนเลิกคำนับ“ได้ต่อไปฉันจะไม่โค้งแบบนี้อีก” จิวเหลียนพูดเมื่อเธอยืนตัวตรงแล้ว“ดีแล้วกลับไปนั่งลงเถอะเราจะได้คุยกันต่อ” คนที่อายุน้อยกว่าพูดก่อนที่เธอจะกลับมานั่งที่เดิมของตัวเอง“ว่าแต่ที่พี่มาหาฉันวันนี้มีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่าพูดออกมาเถอะหากฉันช่วยได้จะได้ช่วย” เจ้าบ้านสาวที่เห็นว่าสองแม่ลูกยังไม่พูดอะไรอีกจึงได้เป็นฝ่ายเปิดปากของตนก่อน“คือว่าฉันอยากขอความช่วยเหลือจากอาสะใภ้รองเรื่องอาชีพให้แม่ค่ะ และก็เรื่องที่อยู่ด้วยแม่ของฉันหล่อนไม่ยอมกลับไปอยู่บ้านมู่เนื่องจากกลัวคนนินทาเรื่องเออโถว” คนเป็นทั้งลูกและหลานพูดออกมาด้วยความรู้สึกลำบากใจหญิงสาววัยเข้าเลขสามนิ่งคิดตามที่หลานสาวบอกพลางเอานิ้วชี้เคาะไปที่พนักเก้าอี้อย่างที่ตนชอบทำในช่วงเวลาที่กำลังใช้ความคิด‘ฉันต้องการทำร้านสำหรับขายสินค้าทุกอย่างอย
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ