“ย่าจางหนิวครับ เห็นแม่ของผมบ้างไหมแกหายไปตั้งแต่บ่ายป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย” ชายหนุ่มถามกับสหายของแม่ตนด้วยความร้อนใจ
ชายหนุ่มผู้นี้รู้ดีว่าแม่ของตนเป็นคนยังไง แม่ของเขาเป็นคนปากร้ายชอบว่าร้ายนินทาผู้อื่นไปทั่ว ยิ่งกับลูกสะใภ้คนใหม่ของบ้านจางที่มีลูกติดมาสองคนแม่ของเขาก็มักจะชอบว่าหล่อนอยู่เป็นประจำ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจในการกระทำของแม่ตนว่าทำไปเพื่ออะไร
“ไม่เห็นเหมือนกัน เดี๋ยวหล่อนก็คงกลับมาเองนั่นแหละอาจจะไปคุยอยู่บ้านไหนก็ได้” หญิงชราบ้านจางตอบ
“อาจจะเป็นอย่างที่ป้าว่าก็ได้ครับถ้าอย่างนั้นผมขอตัวลากลับก่อน” ชายผู้เป็นลูกสหายสนิทกล่าวลาทันทีหลังจากที่มาแล้วไม่ได้เรื่องอะไร
ส่วนด้านจิวเหลียนที่กำลังเก็บถ้วยจานชามบนโต๊ะกินข้าวหล่อนไม่ได้ยินบทสนทนาอะไรด้านนอก และถึงแม้ว่าจะได้ยินหล่อนก็ไม่คิดสนใจ
เวลาแต่ละชั่วโมงก็ผ่านไปอย่างที่ควรเป็นจนถึงกลางดึกของคืนนั้น ในช่วงเวลาที่ทุกคนภายในบ้านพากันหลับใหลภายในห้องนอนของคู่สามีภรรยาบ้านจาง หญิงผู้เป็นภรรยาที่เห็นว่าสามีของตนนอนหลับสนิทไปแล้วฟังจากเสียงกรนที่ดังสนั่นหล่อนก็ค่อ
นับจากเหตุการณ์การเกิดเพลิงไหม้ของบ้านจางเวลาก็ผ่านมาได้หนึ่งเดือน ซึ่งวันนี้เป็นวันแจ้งผลการสอบของเด็กวัยประถมทั้งหกคนว่าจะได้เรียนที่เดียวกันหรือไม่“เด็ก ๆ พวกหนูเตรียมตัวกันพร้อมหรือยัง” คุณแม่คนสวยของเด็กชายหญิงสามคนถามทั้งลูกและหลาน“พร้อมครับ/ค่ะ” เด็กวัยประถมทั้งหกขานรับเสียงดัง โดยมีเจ้าผิงตัวน้อยที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับใครขานรับออกมากับพี่ ๆ ด้วย“ลูกสาวของหนูปีหน้านะคะ ปีนี้เป็นของพี่ชายพี่สาวก่อน” ซูเหยาหยอกล้อลูกสาววัยหกขวบพร้อมเอามือลูบหัวของเจ้าตัวน้อยที่ทำผมซาลาเปาคู่อย่างอ่อนโยน“หนูรู้ค่ะแม่ แค่หนูรู้สึกดีใจตามพี่ ๆ เฉย ๆ” เจ้าตัวเล็กยิ้มกว้างตอบผู้เป็นแม่เสียงใสในระหว่างที่แม่และลูกสาวตัวน้อยสนทนากัน มู่ฟางที่ยืนมองอยู่เธอก็อดรู้สึกคิดถึงแม่ผู้ให้กำเนิดของตนไม่ได้จึงได้พูดกับพี่ชายที่ยืนอยู่ข้างกัน“พี่ชายฉันคิดถึงแม่จังเลย นี่มันก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้วนะ ทำไมแม่ถึงไม่กลับมาหาพวกเราบ้างหรือว่าแม่ลืมพวกเราไปแล้ว” เด็กหญิงอายุเก้าขวบถามพี่เสียงเศร้าน้ำตาปริ่ม
“ครับ/ค่ะ” หลังจากที่พวกเขาได้รับกำลังใจเด็กทั้งหกก็พากันเดินไปดูรายชื่อ แต่กว่าพวกเขาจะเบียดเด็กวัยเดียวกันเข้าไปได้ก็ถึงกับมีเหงื่อซึมกันทีเดียว“พี่ตงหยาง เจอชื่อพวกเราไหมครับ” เสี่ยวเฉินตะโกนถามลูกพี่ใหญ่ที่อยู่กันคนละด้านเสียงดังที่เด็กคนเป็นน้องเห็นลูกพี่ใหญ่กำลังหารายชื่ออยู่อย่างตั้งใจ“เสี่ยวเฉินพี่เจอแล้ว ชื่อของพวกเราอยู่อันดับต้นกันหมดเลยมาดูที่นี่กันเร็วเข้า” ตงหยางพี่ใหญ่ของน้อง ๆ ที่นาน ๆ ครั้งจะแสดงอารมณ์อะไรแบบนี้ตะโกนเรียกน้องชายหญิงอย่างตื่นเต้นเด็กทั้งห้าที่กำลังกระจายกันไปยังที่ติดประกาศด้านอื่นเมื่อได้ยินเสียงพี่ชายใหญ่ของพวกตนเรียกพวกเขาก็รีบพากันเดินมารวมตัวกันที่พี่ชายใหญ่อยู่ทันที“นี่มันสุดยอดเลย อันดับหนึ่งพี่ตงหยาง อันดับสองเสี่ยวเฟย อันดับสามพี่ชายหมิ่น อันดับสี่เป็นผม อันดับแปดพี่มู่ซือ อันดับสิบพี่มู่ฟางพวกเราติดอยู่สิบอันดับแรกได้เรียนห้องเดียวกันทั้งหมดนี่มันดีมากเลยครับ” เสี่ยวเฉินเป็นผู้อ่านรายชื่อเสียงดังพูดขึ้นน้ำเสียงดีใจอย่างปิดไม่มิด“พวกเรารีบไป
ทันทีที่เจียงเจ๋อคุยกับพ่อบุญธรรมจบเขาก็เดินเข้ามาหาน้องสาวที่กำลังยืนมองบ้านตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย“เสี่ยวเหยา พี่มีอะไรบางอย่างจะบอกน้อง” เจียงเจ๋อเดินเข้าไปใกล้น้องสาวที่กำลังยืนมองบ้านที่กำลังก่อสร้างค้างไว้ก่อนจะพูดออกมา“เรื่องอะไรหรือคะ พี่ดูมีลับลมคมในแปลก ๆ” หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียกของพี่ชายบุญธรรมพร้อมถามออกมาด้วยความสงสัย“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้...” เจียงเจ๋อเล่าเรื่องที่ตนรู้เกี่ยวกับบ้านหลังด้านหน้าออกมาให้น้องฟังเหมือนกับที่เล่าให้พ่อบุญธรรมผู้ชราของตนฟังอย่างละเอียด“หา! นี่มัน” ผู้เป็นน้องร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ เนื่องจากเธอไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะร้ายแรงแบบนี้จากนั้นเธอก็มองเข้าไปยังบ้านหลังนี้อีกครั้งพร้อมคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งเธอไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงอย่างจิวเหลียนจะจบชีวิตในกองเพลิง‘มันไม่มีทางเป็นไปได้แน่ แต่กลับกันถ้ามีใครบอกว่าหล่อนเป็นผู้ลงมือจุดไฟเผาบ้านหลังนี้เองเรื่องนี้น่าจะมีความเป็นไปได้สูงกับคนประเภทไม่ยอมใครอย่างเธอคนนั้นซะมากกว่า’ ซูเหยาคิด
“ใช่ ฉันล่ะอิจฉานายจริง ๆ เมื่อไหร่ฉันจะได้มีลูกสะใภ้แบบนี้บ้าง ไม่ว่าจะจัดงานดูตัวหรือให้แม่สื่อแนะนำผู้หญิงไม่รู้ตั้งกี่ครั้งเจ้าพวกนี้ก็หลบเลี่ยงไปตลอด” เฒ่าเจียงก็อดที่จะเอ่ยเรื่องแบบนี้ออกมาไม่ได้อีกครั้งตัวเขามีลูกชายบุญธรรมตั้งสี่คนที่อยู่ด้วยกันตลอดแต่กลับไม่มีใครแต่งงาน ไม่รู้ว่าเจ้าพวกนี้จะหวงความโสดไปทำไม โดยที่เฒ่าผู้ชราคนนี้คงจะหลงลืมตัวเองว่าตนก็เป็นคนโสดเหมือนกันเจียงเจ๋อผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังคุยเล่นกับหลานชายหญิงถึงกับสะดุ้งเมื่อเขาได้ยินคำพูดกึ่งตัดพ้อออกมาจากปากพ่ออีกครั้ง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไม่พี่ใหญ่ พี่รอง และเจ้าสี่มักจะหลบเลี่ยงในการไปไหนมาไหนกับพ่อคนนี้สำหรับเขาไม่ใช่ว่าไม่อยากมีครอบครัวแต่เนื่องจากงานที่ทำมันต้องเสี่ยงอันตรายอยู่ตลอด เขาและพี่น้องต่างก็คิดเหมือนกันว่าไม่อยากให้คนที่อยู่ด้านหลังมาคอยห่วงและกังวลดังนั้นจึงได้ไม่คิดมีใคร“อาหารมาแล้วครับ” พนักงานร้านที่ยกอาหารมาพูดขึ้น ทำให้เจียงเจ๋อได้เหมือนหลุดพ้นไปชั่วขณะอาหารคาวหลายอย่างต่างถูกพนักงานของร้านต่างยกทยอยขึ้นโต๊ะ ซึ่งแต่ละจานล้วนเ
ในที่สุดหญิงผู้นี้ก็โป๊ะแตกจนได้ หล่อนเริ่มใบหน้าซีดหันซ้ายขวาเลิ่กลั่กแต่ก็ยังคงความนิ่งเอาไว้อยู่“หล่อนพูดอะไรถึงฉันจะไม่มีหลักฐานมาด้วย แต่ร้านสบู่ที่ขายยังที่แห่งนี้ก็มีแค่ร้านของหล่อนเพียงเท่านั้นนะ อย่างนี้แสดงว่าหล่อนจะปัดความรับผิดชอบอย่างนั้นเหรอ” หญิงวัยกลางคนผู้นี้แสร้งร้องตะโกนเสียงดังหนิงเหอที่ไม่เคยเจอกับคนหน้าด้านซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ก็เริ่มที่จะทำอะไรไม่ถูก เพราะเธออยู่แต่สภาพแวดล้อมที่ผู้คนไม่เคยส่งเสียงเอะอะโวยวายแบบนี้ซือซิงที่อยู่ด้วยเมื่อเห็นว่าหญิงผู้นี้โวยวายเสียงดัง หล่อนก็กำลังจะเอ่ยโต้เถียง แต่เธอก็จำที่พี่สะใภ้สอนเอาไว้ได้ว่าหากยิ่งโต้เถียงกับลูกค้าเรื่องก็ยิ่งบานปลาย ดังนั้นในเมื่อเราจัดการไม่ได้ก็ต้องอาศัยคนที่มีอำนาจเหนือกว่ามาจัดการ“สหายคะ หากคุณยังไม่หยุดโวยวายฉันจะเรียกผู้ดูแลตลาดแห่งนี้ให้เข้ามาจัดการแทนร้านของเรา” ซือซิงพูดเสียงเรียบนิ่งโดยพยายามระงับความตื่นเต้นเอาไว้ภายในและดูเหมือนว่ามันจะได้ผลทันที เมื่อหญิงผู้ร้องตะโกนโหวกเหวกอยู่ได้ยินคำพูดเรียบนิ่งของหญิงสาวรุ่นลูก หล่อนก็หยุดส่งเสี
“ฉะ...ฉันขอโทษอย่าจับฉันเลยนะ มีคนจ้างฉันมาห้าหยวนให้มาใส่ร้ายร้านของเธอ” ทันทีที่หญิงคนนี้ได้ยินสิ่งที่หญิงสาวรุ่นลูกพูด หล่อนก็พูดความจริงออกมาโดยไม่ต้องให้เจ้าของร้านสาวเสียเวลาถามซ้ำ“ใครเป็นคนจ้าง” หญิงสาวผู้ต้องการรู้ถามย้ำทีละคำ“ฉันไม่รู้ เธอปกปิดหน้าตาฉันบอกความจริงหมดแล้วได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ ต่อไปนี้ฉันจะไม่มาที่นี่อีก” หญิงร่างผอมวัยกลางคนผู้นี้ร้องไห้พร้อมคุกเข่าต่อหน้าซูเหยาที่กำลังมองเธออย่างพิจารณา“ครั้งนี้แค่ครั้งเดียว คุณไปซะอย่ากลับมาอีก” ซูเหยาพูดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่งน้ำเสียงเด็ดขาด“ขอบคุณ ขอบคุณ” หญิงวัยกลางคนรีบพยุงตัวเองลุกขึ้นก่อนกล่าวขอบคุณซ้ำ ๆ“พี่ให้ใครสะกดรอยตามหล่อนไปเดี๋ยวเราก็จะได้รู้ว่าใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคนที่ยอมจ่ายเงินห้าหยวนจะไม่รอฟังผล” ซูเหยาพูดกับพี่ชายบุญธรรมเสียงเบา“ได้” เจียงเจ๋อตอบรับคำขอของน้องสาวทันทีหลังจากที่ความวุ่นวายหน้าร้านจบลง คนที่ยังต้องการซื้อของก็ยังเข้าร้านกันตามปก
นายทหารที่ติดตามหญิงสาวผู้นั้นหลังจากที่เขาหาคนที่เดินตามมาตลอดทางไม่พบ ชายหนุ่มจึงได้แต่รู้สึกโมโหตนเองก่อนที่เขาจะตัดสินใจกลับมารายงานทางด้านร้านอาหารรัฐในเวลานี้ซูเหยาได้เดินกลับเข้ามานั่งที่เดิมภายในร้านอาหารแห่งนี้แล้ว โดยเจียงเจ๋อเองก็เดินกลับมานั่งด้วยเช่นกัน“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ” พ่อผู้ชราถามลูกชายคนที่สามเสียงเบาไม่ให้เด็ก ๆ ได้ยิน“เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...ตอนนี้ผมกำลังให้คนตามไปอีกสักพักก็น่าจะมาแล้ว” เจียงเจ๋อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกมา“ถ้าหากคนของลูกกลับมาไปคุยกันข้างนอกนะ ในนี้หลานอยู่กันหลายคนไม่เหมาะที่จะคุยเรื่องแบบนี้” เจียงเทียนกล่าวเตือน“ครับ” เจียงเฟยรับคำซึ่งเขาก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“เด็ก ๆ พวกลูกเอาขนมหวานกันอีกไหม” ซูเหยาถามเด็กวัยเรียนทั้งหมดด้วยความเอาใจใส่แต่เด็กทั้งเจ็ดยังไม่ทันได้ตอบรับ ซูหลงลุงผู้รักหลานก็นำของหวานออกมายังโต๊ะของน้องสาวตัวเอง เป็นเงาะและลิ้นจี่ในน้ำเชื่อมใส่น้ำแข็งมาให้ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ส่วนของหลาน ๆ ชายหญิงเป็น
“สวัสดีสหาย พวกเราต้องการมาเชิญคนผู้หนึ่งซึ่งพวกเราจำเป็นที่จะต้องเข้าไปหาตัวบุคคลนั้นหวังว่าสหายจะให้ความร่วมมือ” อู๋หลางพูดกับยามหน้าโรงงานที่กำลังมองมาที่พวกเขาด้วยความหวาดกลัว“ได้ครับ เชิญสหายทหารเข้าไปได้เลย” ยามหน้าโรงงานรีบพูดเสียงสั่น“ขอบใจมาก” อู๋หลางหลังจากที่ได้ยินในสิ่งที่ตนพอใจกล่าวกับยามร่างผอมผิวคล้ำ ก่อนที่เขาจะเดินนำพรรคพวกที่พามาเข้าไปด้านใน โดยเริ่มจากอาคารที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นแห่งแรก“สวัสดีครับ ผมเป็นผู้จัดการโรงงานแห่งนี้ไม่ทราบว่าสหายทหารต้องการให้ผมช่วยเหลืออะไรหรือไม่” ในระหว่างที่เขาทั้งสี่คนกำลังจะเดินเข้าไปยังห้องที่อยู่ด้านหน้าก็มีเสียงของชายผู้หนึ่งหวีผมเรียบแต่งกายดูดีกว่าพนักงานทั่วไปรีบเดินเข้ามาหาพร้อมกับถามออกมา“ผมต้องการมาหาคน หล่อนเป็นหญิงสาวทำงานที่นี่ผมจำได้แต่หน้า ดังนั้นผมจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าไปดูทุกคนภายในโรงงานของสหาย หวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับเรา” อู๋หลางผู้ได้รับคำสั่งมาโดยตรงก็ยังคงเป็นผู้พูดออกมา 
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ