“วันนี้ฉันเอามาห้ากลิ่น กลิ่นละสี่สิบก้อน รวมเป็นสองร้อยก้อนค่ะ พวกพี่จะลองแบ่งกันดูก่อนไหมคะ” ซูเหยากล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ ‘คริๆ รายได้กำลังเข้ามาอีกแล้วจ้า’ ในใจเธอกลับเบิกบาน
“แล้วเธอจะมีส่งให้พี่อีกเมื่อไหร่กัน บอกตามตรงนะเธอขายส่งให้พวกพี่แค่ก้อนหนึ่งหยวนห้าเหมานี่มันไม่แพงเลย และไม่ต้องใช้คูปองอุตสาหกรรมอีก ใครๆ ก็เลยอยากได้” อันหลินบอกออกมาอย่างตรงไปตรงมา
เธอเอาไปขายต่อก้อนละสองหยวน เธอยังได้กำไรรวมๆ กันก็หลายหยวน รายได้ดีกว่างานที่ทำอยู่ประจำนี่ด้วยซ้ำ
ซูเหยาที่ได้ฟังอันหลินพูดเธอก็ยืนนิ่งทำเป็นว่าหนักใจอยู่สักพัก แล้วจึงลองถามคู่สนทนาออกมา
“คนที่พี่เอาไปขายจะไม่มีปัญหาตามมาแน่ๆ ใช่ไหมคะ ฉันบอกตามตรงว่าแอบกลัวอยู่เหมือนกัน” ซูเหยากระซิบถามสีหน้าหวาดหวั่น
“เชื่อได้สิ ส่วนใหญ่พี่สามคนขายให้กับหญิงสาวชั้นสูงทั้งนั้นแหละ รับรองปลอดภัย” อันหลินกระซิบตอบ
“ได้ยินพี่ยืนยันแบบนี้ฉันก็เบาใจ ฉันว่าจะมาปรึกษาพวกพี่อยู่ เรื่องว่าฉันจะเอาสินค้าไว้ที่บ้านในตัวอำเภอ<
“เธอมีแบบใหม่อีกแล้วอย่างนั้นเหรอ” สามสาวแทบจะพูดขึ้นพร้อมกัน“พี่คะ อย่าลืมช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อนแล้วนะคะ พี่เห็นเสื้อผ้าที่ฉันใส่อยู่ไหม ถึงจะเป็นสีเหมือนกับทุกคน แต่รูปแบบการตัดเย็บแตกต่างนะคะ” ซูเหยาพูดขึ้นสามสาวชั้นสูงจึงมองไปที่ซูเหยาเป็นตาเดียว แล้วพวกเธอก็เห็นถึงความแตกต่างจริงๆ“ฉันสามารถดัดแปลงให้พวกพี่ได้ แม้ว่าตอนนี้สีเสื้อผ้าจะค่อนข้างจะจำกัดก็เถอะค่ะ หากพี่สนใจเอาไว้วันที่ฉันมาเก็บเงินค่าสบู่ ฉันจะลองเอาแบบมาให้ดูนะคะ” ซูเหยาวางเหยื่อไว้อีกครั้ง“ได้สิ” ทั้งสามตอบรับ“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เรามาคุยเรื่องสบู่กันเถอะค่ะ ฉันทำกระดาษห่อแยกกันมาให้หมดแล้ว พวกพี่ลองไปดูเอาตามรายการที่ฉันเขียนไว้ได้เลย” ซูเหยาพูดขึ้นพร้อมกับยื่นกระดาษที่ระบุว่าสีอะไรไปกลิ่นอะไร“ได้สิพี่รับห้าสิบก้อนนะ เธอใส่รวมมาทุกกลิ่นตามที่พี่บอกในจดหมายแล้วใช่ไหม” หมอเฉินถามย้ำ“เรียบร้อยค่ะ ของพี่สาวมู่เจียวจ่ายมาสามสิบหยวนก็แล้วกันค่ะเป็นค่ามัดจำ” ซูเหยาพูดขึ้นอย่างคนใจกว้า
“อะไรนะ หนึ่งเดือนอย่างนั้นเหรอ” ซิวหลานถามขึ้นเสียงสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อ“ใช่ค่ะ ยาชุดนี้ราคาห้าพันหยวน แต่ถ้าพี่อยากจะได้แค่สมุนไพรสามตัวฉันคิดพี่สามพันหยวนเพราะสูตรที่พี่ได้มาก็ใช้ได้เหมือนกัน แค่มันอาจจะเห็นผลช้า อย่างเร็วก็น่าจะสามเดือน” ซูเหยาพูดขึ้น‘อยากได้แบบไหนเธอก็ยินดีขาย’ ซูเหยานึกพลางมองหน้าคู่สามีภรรยาตรงหน้าไปด้วยยาและสมุนไพรที่อยู่ในมิติเธอก็ต้องใช้เงินซื้อเช่นกัน มันไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรอกจริงไหม ดังนั้นจะหาว่าแพงก็ได้เพราะในมิติก็ขายเธอแพงเหมือนกัน“แล้วน้องสะใภ้ของเธอตอนนี้ท้องหรือยัง” เสียงทุ้มของจ้าวเจียงถามขึ้นอย่างรู้สึกกังขา ถ้ายาดีขนาดนั้นทำไมไม่ให้คนที่เป็นญาติสนิทกินล่ะ“น้องสะใภ้ของฉันเพิ่งจะสิบเจ็ดย่างสิบแปดค่ะ ฉันต้องการให้เธอปรับสมดุลไปก่อน พออายุสิบแปดสิบเก้าค่อยตั้งครรภ์ก็ยังไม่สาย และยังเกิดโอกาสเสี่ยงน้อยในหลายเรื่องด้วย” ซูเหยาอธิบายตามความจริง“ซูเหยาฉันเชื่อเธอ ฉันจะกินยาสูตรนั้น แล้วต้องกินกี่ครั้งยังไงบ้าง” ซิวหลานพูดขึ้
‘เขานะเหรอคนดี คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเพชฌฆาตหน้ายิ้มฆ่าคนไม่กระพริบตาเป็นคนดีอย่างนั้นเหรอ แม่หนูคนนี้จิตใจดีเกินไปแล้ว’ เจียงเฟยยืนคิดอยู่นิ่งๆ“นายท่าน กลับกันเลยไหมครับ” เสียงแหบของชายวัยเดียวกันที่ทำหน้าที่พ่อบ้านพูดขึ้นอย่างนอบน้อม“กลับกันเถอะ ส่งคนคอยไปดูแลเด็กสองคนนั้นด้วย อย่าให้พวกเขาเป็นอันตรายเด็ดขาด" เจียงเฟยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันหนักแน่น พร้อมส่งถุงผ้าที่มีกล่องข้าวกับห่อสมุนไพรให้กับพ่อบ้าน“ครับท่านนายพล ผมจะจัดการให้ด่วนที่สุด” เสียงชายหนุ่มซึ่งเป็นคนคอยคุ้มครองกล่าวรับคำ เจียงเฟยที่ได้ยินคำตอบเขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ“อาฮุ่ยนายจะทำอะไร” เสียงดุของเจียงเฟยที่หันไปเห็นพ่อบ้านของตนที่กำลังหยิบกล่องอาหารออกมาจากถุง“ผมก็จะเอาไป” เสียงพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ยังพูดไม่ทันจบ ของที่อยู่ในมือก็ได้ถูกเจียงเฟยแย่งเอากลับไปถือไว้ดังเดิม“ขึ้นรถกันได้แล้ว ฉันอยากกลับบ้านเต็มที” เจียงเฟยพูดขึ้นกับคนทั้งสองที่ยืนงงกับพฤติกรรมของนายตัวเอง“ครับ” ทั้
“เสี่ยวเหยาที่ลูกถืออยู่มันคืออะไรอย่างนั้นเหรอ” ซูป๋อที่เดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าพอดี ถามออกมาด้วยความแปลกใจเด็กๆ และมู่หานเองก็พากันสงสัยเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่อยากขัดใจ ดังนั้นการที่ซูเหยาบอกให้ยิ้มเขาจึงได้ยิ้ม“เขาเรียกว่ากล้องถ่ายรูปค่ะ แต่ว่าตอนนี้หนูยังไม่สามารถนำรูปออกมาได้ ไว้รออีกสักพักหนูจะนำออกมาให้ดู” ซูเหยาพูดขึ้นพร้อมกับส่งรูปที่เธอถ่ายไว้ให้พ่อดู“นะ..นี่มันเยี่ยมไปเลย มันชัดมากกว่าภาพถ่ายที่พ่อเคยเห็นอีก” ซูป๋อพูดขึ้นน้ำเสียงตื่นเต้น“เอาไว้พวกเรามาถ่ายรูปครอบครัวกันนะคะ และก็ถ่ายรูปเดี่ยวของแต่ละคนด้วย” ซูเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม“คุณครับสิ่งที่คุณถือเป็นสิ่งที่เจ้าแม่ก็ประทานมาให้ด้วยหรือครับ” มู่หานถามด้วยความอยากรู้“ใช่ค่ะ คุณกับลูกๆ ลองมาดูสิ” ซูเหยาตอบมู่หานใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลางกวักมือให้สี่คนพ่อลูกรวมทั้งเสี่ยวหยางมาดูรูปที่ตนถ่าย“โอ้ อู้ ว้าว” เสียงเด็กทั้งสามต่างร้องขึ้น เมื่อพวกเขาเห็นรูปที่แม่ถ่ายเก็บไว้ เสี่ยวหยางเ
“นายว่าอะไรนะ ได้เปล่าอย่างนั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไงกันหรือว่านายเข้าป่าไปเก็บมาเอง ว่าแต่เป็นป่าแถวไหน รีบบอกมาเร็วเข้า” เสียงของเฒ่าฮานถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“นายช่วยใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว” เสียงเพื่อนเก่าอย่างเจียงเฟยพูดขึ้นอย่างไม่นำพาความตื่นเต้นของเพื่อนเลยสักนิด“ใครจะเป็นพวกไร้อารมณ์แบบนายกัน ว่าแต่รีบบอกมาสักที” เฒ่าฮานก็ยังคงเร่งเพื่อนเสียงดัง“ได้ๆ เล่าแล้ว” เจียงเฟยจึงเล่าเรื่องตั้งแต่ที่ไปเจอกับซูเหยาและมู่หานออกมาด้วยใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่นานๆ ครั้งจะมีใครเห็นรอยยิ้มแบบนี้“โอ้ นายนี่ทำบุญมาด้วยอะไรถึงได้มาเจอกับคนดีๆ แบบนั้นได้ ฉันเองก็หวังว่าจะได้รับข่าวเรื่องหลานชายตัวน้อยในเร็ววัน นี่ก็ผ่านมานานกว่าสามปีแล้วถ้าหลานชายฉันยังอยู่ ปีนี้ก็น่าจะอายุเข้าใกล้หกขวบ” น้ำเสียงเฒ่าฮานจากที่ตื่นเต้นอยู่เมื่อครู่ กลับกลายเป็นน้ำเสียงหดหู่ชวนเศร้าหมองไปเสียแล้ว“นายก็ใจเย็นอดทนรอฟังข่าวอีกสักหน่อยเถอะ ฉันให้เ
“แบบนี้ยังไงล่ะ ฉันถึงคิดหาคนไปคุ้มกันหล่อนอย่างลับๆ เนื่องจากหล่อนมีน้ำใจมากเกินไป ฉันจึงกลัวว่าภัยจะมาหาหล่อนเข้าสักวัน” เจียงเฟยพูดขึ้นหลังจากที่เขากลืนบะหมี่คำสุดท้ายลงคอไปแล้ว“เจียงเฟย ไอ้คนงก ฉันเพิ่งกินไปได้คำเดียวเอง” เสียงของเฒ่าฮานตะโกนดังลั่นด้วยความเจ็บใจทางด้านซูเหยาเธอก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติสุข โดยที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวภายนอกเลยสักนิด ว่าเธอได้มอบสมุนไพรล้ำค่าให้กับคนที่มาเป็นขาทองคำเพิ่มไปอย่างไม่ตั้งใจเช้าวันนี้ซูเหยาและคนในครอบครัวทั้งหมดที่ลางานไว้เรียบร้อยแล้ว ต่างพากันเดินเท้าเข้าตัวอำเภอเพื่อที่พวกเขาจะไปช่วยกันทำความสะอาดบ้านเดิม“ดีนะที่เชื่อลูก บ้านของเราเลยไม่เสียหายมากสักเท่าไหร่ แต่ว่าลูกแน่ใจนะว่าพวกทหารแดงพวกนั้นจะไม่เข้ามายึดบ้านของเรา” ซูป๋อถามลูกสาว“ไม่อย่างแน่นอนค่ะ เรื่องนี้พ่อไว้ใจฉันได้เลย” ซูเหยาพูดขึ้นพลางเอามือตบอกตัวเองเป็นการยืนยัน“วันนี้พวกเราช่วยกันทำทั้งวันก็น่าจะเสร็จ ลูกเอาแบบเสื้อผ้าไปให้กับคุณหมอที่โรงพยาบาลก่อนก็ได้นะ” หว่านชิงบ
“ลุงสองคนรอนานหรือเปล่าคะ ฉันอุ่นอาหารมาให้แล้ว เชิญเปิดกินได้ตามสบายเลย หรือจะเอากลับไปกินที่บ้านก็ได้นะคะ ฉันเตรียมเผื่อเอาไว้ให้กล่องละสองชุดค่ะ” ซูเหยาพูดขึ้นพร้อมกับส่งกล่องข้าวให้กับชายชราทั้งสองคน“ขอบใจนะแม่หนู ที่มีน้ำใจให้กับคนแก่อย่างพวกเรา” เสียงเฒ่าฮานพูดขึ้นหลังจากที่เขารับกล่องข้าวมาถือไว้อยู่ในมือ“ว่าแต่กล่องข้าวที่เธอให้ฉันมาครั้งก่อน ฉันถามได้ไหมว่าเธอได้มาจากไหน ฉันรู้สึกว่ามันดีมาก เก็บอาหารให้อุ่นอยู่นานขึ้นด้วย” เจียงเฟยถามออกมาเหมือนคำถามทั่วๆ ไป‘แย่แล้วลุงคนนี้จะคิดว่าเราเป็นสายลับมาจากไหนหรือเปล่า แต่ว่าลุงคนนี้ก็ดูท่าทางธรรมดา คงจะไม่ใช่หน่วยสืบหาสายลับหรอกมั้ง’ ซูเหยาคิดอย่างวุ่นวายใจ“เธออย่ากังวลไปเลย ฉันแค่ถามดูเฉยๆ เผื่ออยากจะหาซื้อเอาไว้ ไม่ได้เป็นหน่วยงานอะไรด้วย อีกอย่างดูเธอก็ไม่เหมือนคนเป็นสายลับเลยสักนิด” เจียงเฟยพูดเหมือนกับอ่านใจซูเหยาได้“คุณลุงมีวิชาอ่านใจได้หรือคะ” ซูเหยาตกใจตาโตถามออกมาเสียงเบาพรืด!! “ฮ่าๆ” เสียงเ
“คุณไปตามทุกคนมากินข้าวเถอะค่ะ หลังจากนั้นคุณกับฉันก็ไปหาหมอเฉินที่โรงพยาบาลกัน วันนี้ฉันเตรียมแบบเสื้อมาสามแบบเอาไว้ให้คุณหมอเลือกด้วย” ซูเหยาพูดขึ้น“ตายแล้ว!” แต่แล้วอยู่ๆ เธอก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจอีกครั้ง ซึ่งมู่หานและเด็กทั้งสี่ต่างหันหน้ามามองเธอเป็นตาเดียว“มีอะไรหรือครับ ใครตายอย่างนั้นเหรอ” มู่หานที่กำลังจะเดินไปตามคนในครอบครัวถามขึ้นด้วยความตกใจ“คุณคะ ตอนที่พี่ซิวหลานมาฉันมัวแต่รับเงินด้วยความดีใจจนลืมเอาแบบชุดให้พี่ซิวหลานดูเลย” ซูเหยาพูดขึ้นอย่างเสียดาย“ผมก็นึกว่าเรื่องอะไร เราก็ไปหาเขาที่บ้านก็ได้นี่ครับ บ้านเขาก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ นั่งรถลากไปสักพักก็ถึง” มู่หานที่ได้ยินภรรยาพูดเขาก็รีบกล่าวออกมา“มันก็จริง แต่ฉันไม่น่าลืมเลยจริงๆ แต่ปกติพี่ซิวหลานก็ไม่เคยลืมเรื่องนี้นะคะ สงสัยคงจะดีใจที่ได้สมุนไพรตัวนั้นไป” ซูเหยาพูดให้สามีฟัง“ภรรยาครับ ผมว่าเราก็ควรเอ่อ..ก็ควร” มู่หานไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ แต่ใบหน้าสีคล้ำของเขาเริ่มจะกลายเป็นสีแดงจางๆ ให้
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ