“ฉันแค่บอกว่าฉันขับรถได้พี่ถึงกับตกใจขนาดนี้ และถ้าหากฉันบอกว่าเป็นผู้หยั่งรู้อนาคตพี่จะไม่ช็อกไปเลยอย่างนั้นเหรอ” ซูเหยาพูดขึ้นโดยไม่คิดอะไร แต่คนฟังทั้งสามกลับคิดอย่างจริงจังไปแล้ว
“พี่/ผม เชื่อ” ชายหนุ่มสามคนที่นั่งอยู่ในรถพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“เชื่ออะไร ฉันพูดประชดค่ะประชด พี่ชายขับรถต่อเถอะ” ซูเหยากรอกตามองบนพูดขึ้นอย่างเหนื่อยใจ อะไรกันแค่บอกว่าขับรถได้ถึงกับตกใจจนเกินเบอร์
พอบอกว่ารู้อนาคตกลับไม่มีอาการตกใจ แต่เชื่อกันง่าย ๆ เสียอย่างนั้น เหยาเป็นงงค่ะ ใครบอกเหยาได้บ้าง
“น้องสาวเธอขับรถได้จริง ๆ อย่างนั้นเหรอ” เจียงเจ๋อถามขึ้นเพื่ออยากให้แน่ใจในคำตอบอีกครั้ง
“พี่เจียงซวนจอดค่ะ เดี๋ยวฉันขับเอง” เจียงซวนเมื่อได้ยินที่น้องสาวบอก เขาก็เคลื่อนรถชิดขอบทางหลังจากนั้นเขาก็เปิดประตูรถเพื่อจะได้สลับที่นั่งกับน้องสาว
“น้องสี่ นายจะตามใจน้องสาวเกินไปแล้ว” เจียงเจ๋อพูดขึ้นเมื่อเห็นการกระทำของน้องชายคนสุดท้องที่มักจะมีเหตุผลมากกว่าตน
“น้องสาวบอ
คนทั้งสี่เมื่อเดินเข้ามาในตึกผู้ป่วยที่เป็นแผนกเด็ก พวกเขาก็พากันมุ่งหน้าเดินตรงไปยังเตียงเป้าหมายของตน ที่มีเด็กเล็กสี่คนที่ไม่มีคนมารับ“พี่สาวคะ ตอนที่หนูถูกอุ้มออกมานะหนูเห็นหน้าพี่ชายคนนั้นด้วยล่ะ แล้วหนูก็บอกให้พี่ชายทหารคนนั้นเข้าไปช่วยพี่” เสียงใส ๆ ของเด็กหญิงดังออกมาจากเตียงที่ตัวเองนอนรักษาตัว“เสี่ยวหรูจำหน้าพี่ชายทหารคนนั้นได้หรือเปล่า” ลี่เซียนถามน้องสาวน้ำเสียงอ่อนโยน พลางเอามือสากจากการทำงานหนักลูบหัวน้องอย่างแผ่วเบา“หนูคิดว่าน่าจะจำได้ถ้าเห็นพี่ชายคนนั้นอีกครั้งนะคะ” ลี่หรูตัวน้อยนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะตอบออกมา“จะจริงอย่างที่พูดหรือเปล่านะพี่ชายอยากรู้จัง” เจียงเจ๋อชายหนุ่มอารมณ์ดีพูดขึ้นในขณะที่เจ้าตัวสาวเท้ายาวเดินเข้าไปยังเตียงผู้ป่วยของหนูน้อยรายนี้ที่เขาเป็นคนอุ้มเธอเองกับมือ“พี่ชาย เป็นพี่ชายจริง ๆ ด้วยที่ช่วยหนู” เด็กหญิงตัวน้อยเบิกตากว้างอย่างไม่แน่ใจว่า เธอจะได้เจอพี่ชายทหารที่เธอเพิ่งจะพูดให้พี่สาวฟังไปเมื่อสักครู่หลังจากที่เธอหันไปตามเสียงที่ได้ย
คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าซูเหยาในตอนนี้ พวกเธอแม้จะรู้สึกมีความหวาดหวั่นแสดงให้เห็นบนใบหน้าบ้าง แต่พวกเธอคิดว่าในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงได้แต่ต้องเชื่อผู้หญิงคนนี้ดูสักครั้ง“ได้สิเธอว่าอย่างไรพวกเราก็จะทำตามนั้น” เมี่ยวเมี่ยวกล่าวแทนทุกคน เนื่องจากพวกเขาได้คุยกันถึงเรื่องนี้บ้างแล้วตอนนี้เสียงรอบตัวกลุ่มของซูเหยาเริ่มดังมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเตียงคนไข้รายอื่น และก็เป็นจังหวะที่สองพี่น้องลี่เดินออกมาจากห้องน้ำพวกเขาจึงได้พากันเดินออกจากห้องผู้ป่วยแห่งนี้ หลังจากจัดการขั้นตอนต่าง ๆ ในโรงพยาบาลที่จะนำเด็กน้อยออกจากโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อย เจียงเจ๋อก็พาหญิงสาวทั้งเจ็ดคนไปรอรถรางประจำทางส่วนเด็ก ๆ ก็เป็นซูเหยาที่พาแยกไปขึ้นรถจี๊ปของทหาร โดยมีเจียงซวนเป็นผู้ขับ ยามเมื่อรถที่เด็ก ๆ นั่งวิ่งผ่านที่คนทั้งแปดยืนรอรถรางอยู่ เด็กน้อยลี่หรูก็โบกมือให้พี่สาว“พี่สาวตามมาไว ๆ นะ” เด็กน้อยตะโกนขึ้นน้ำเสียงร่าเริงใบหน้ายิ้มแย้ม“รู้แล้ว อย่าดื้อนะ” ลี่เซียนเองก็ตะโกนตอบน้องสาวเช่นกันคนอื่น ๆ ต่างก็โบกมือให้กับเด็กน้อยเห
หญิงสาวทั้งเจ็ดหลังจากที่ฟังเจียงเจ๋อพูดจบ พวกเธอก็ได้พากันเดินเข้าไปด้านในบ้านเพื่อที่จะช่วยทหารพวกนั้นเก็บหญ้าใส่เข่งไม้ไผ่ใบใหญ่รวมทั้งพวกเธอยังแบ่งงานกันทำ โดยแยกกันไปทำความสะอาดยังห้องแต่ละส่วนที่ต่อไปนี้ที่แห่งนี้จะเป็นบ้านของพวกเธอสองพี่น้องเจียงซึ่งคอยมองการกระทำของพวกเธออยู่ห่าง ๆ ก็รู้สึกพอใจที่ซูเหยาน่าจะช่วยคนไม่ผิด เมื่อพวกเขาทำความสะอาดลานบ้านได้เรียบร้อยแล้วมู่หานที่มองเห็นว่าที่บ้านหลังนี้มีศาลารับลมอยู่ เขาจึงได้เข้าไปทำความสะอาดก่อนที่เขาคิดจะเดินไปตามภรรยาสาวให้พาเด็ก ๆ กลับมา“พี่ชายเดี๋ยวผมมานะครับขอไปตามซูเหยาก่อน” มู่หานพูดขึ้นก่อนที่เขาจะเดินออกจากประตูบ้านไปรับเมียสองพี่น้องเจียงก็ได้แต่อมยิ้มให้กับการกระทำของน้องเขย ที่ไม่รู้ว่าจะรีบอะไรซูเหยาก็อยู่ใกล้แค่นี้เองหลังจากที่มู่หานเดินหายไป พวกเขาเองก็พากันแยกไปตรวจสอบจุดต่าง ๆ ภายในบ้านว่ามีตรงไหนที่จะต้องซ่อมแซมหรือเปล่าเจียงเจ๋อที่ได้เดินเข้าไปยังห้องทางฝั่งขวา เขาได้เห็นว่าหญิงสาวคนหนึ่งที่น่าจะเป็นพี่สาวของเด็กหญิงตัวเล็กที่เขาช่วยได้
“วันนี้ฉันจะเลี้ยงอาหารเย็นทุกคนนะคะเพื่อเป็นการตอบแทนที่ได้มาช่วยทำความสะอาด ทุกคนรอฉันก่อนนะ ฉันจะไปซื้ออาหารที่ร้านอาหารรัฐมาให้ค่ะ”ซูเหยาพูดก่อนที่เธอจะเดินมากระซิบกับมู่หานที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน “คุณไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย”“ได้ครับ” มูหานไม่มีทางปฏิเสธภรรยาอยู่แล้วทั้งสองคนจึงได้เดินออกจากบ้าน ซูเหยาไม่ได้ไปร้านอาหารตามที่บอกกับทุกคน แต่เธอได้พามู่หานแวะเข้าสวนแห่งหนึ่งที่ดูแล้วลับตาคนแทน“คุณพาผมเข้ามาที่นี่ทำไมครับ” มู่หานถามภรรยาสาวด้วยความสงสัย“ก็ฉันจะเอาอาหารออกมายังไงล่ะคะ ถ้าไปร้านอาหารของรัฐจริงป่านนี้จะมีอะไรเหลือหรือเปล่าก็ไม่รู้” ซูเหยาพูดขึ้นหลังจากนั้นเธอก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าผ้าใบใหญ่ก่อนที่จะหยิบอาหารที่ปรุงสุกแล้วออกมามู่หานที่แม้ว่าเขาจะเคยเห็นคนตัวเล็กกว่าหยิบของออกมาจากความว่างเปล่าอยู่หลายครั้งแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังรู้สึกอดทึ่งไม่ได้อยู่ดี ‘เมียของเขาช่างเป็นที่รักของเจ้าแม่จริง ๆ’ในระหว่างที่มู่หานคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ซูเหยาก็ส่งอาหา
“ค่าแรง เสี่ยวซูพวกเราจะได้ค่าแรงด้วยอย่างนั้นเหรอ” เฟยเมี่ยวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ ‘ปกติถ้ามีที่พักและอาหารให้ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ค่าแรงไม่ใช่เหรอหรือถึงได้ก็นาน ๆ จะได้สักครั้ง เธอเคยได้ยินคนที่ไปทำงานในเมืองมักจะพูดกัน ยามที่พวกเขาได้กลับมาเยี่ยมบ้านทุกครั้งว่า แม้จะได้เสื้อผ้าใหม่แต่เงินกลับน้อยนิด ที่ต้องทนทำก็เพียงแค่กลัวอดตาย’ เมี่ยวเมี่ยวนึกถึงเรื่องในอดีตแต่เก่าก่อน“ได้สิคนทำงานก็ต้องได้เงิน ส่วนอาหารกับที่พักถือว่าเป็นสวัสดิการ หากเมื่อไหร่ที่พวกเธอเก็บเงินได้เยอะแล้ว เขาเปิดโอกาสให้มีบ้านเป็นของตัวเองก็ค่อยไปซื้อเอานะ” ซูเหยาพูดพลางมองหน้าทุกคนที่พากันจ้องมาที่เธอ“บ้านอย่างนั้นเหรอ เราจะมีวันมีเป็นของตัวเองใช่ไหม” เสียงสั่นเครือของหญิงสาวนามลี่ถังพูดขึ้นอย่างคนมีความหวังเธอก็เคยมีบ้านแต่ตั้งแต่แม่เธอเสียบ้านสำหรับเธอก็ไม่มีอีกต่อไป“ใช่จ้า ฉันจะให้พวกเธอคนละยี่สิบหยวนต่อเดือน และจะให้เพิ่มจากยอดขายด้วย รับรองว่าเป็นรายได้ที่
แต่จะแสดงอาการออกนอกหน้ามากไม่ได้ เนื่องจากเขากลัวว่าแกะน้อยตัวนี้จะตื่นตกใจหนีไปเสียก่อนที่เขาจะได้ลิ้มรสเนื้ออันโอชะ“ภรรยาครับคุณอยากจะอาบน้ำก่อนไหมวันนี้ทำงานมาทั้งวันแล้ว เราจะได้รีบพักผ่อนพรุ่งนี้ยังมีงานที่ต้องทำอีก” มู่หานพูดขึ้นพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดตัวออกมาจากในตู้เขารู้ดีว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งของที่ภรรยาคนสวยเตรียมเอาไว้ให้ และทุกอย่างก็เป็นของใหม่ทั้งหมด เขาคนนี้ช่างเป็นผู้ชายที่แสนโชคดี มู่หานส่งยิ้มไปทางซูเหยา“เชิญคุณไปอาบก่อนตามสบายเลยค่ะ ฉันรอได้” ซูเหยาเงยหน้าพูดตอบกับมู่หานที่มองเธออย่างไม่วางตาพร้อมรอยยิ้มบาง“ครับถ้าอย่างนั้นผมจะรีบอาบรีบมา หรือว่าเราจะไปอาบด้วยกันดีเพื่อไม่ให้เสียเวลาดีไหม” มู่หานยังไม่วายกล่าวหยอกเย้าภรรยาออกมาอีกซูเหยาเมื่อได้ยินคำพูดของมู่หานเธอก็ถึงกับจ้องหน้าเขาให้แน่ใจว่า ผู้ชายที่อยู่ด้านหน้าของเธอตอนนี้เป็นตัวจริงไม่ใช่คนอื่นปลอมตัวมาไหนคะ ในนิยายบอกว่ามู่หานเป็นคนเงียบขรึม เย็นชา แสดงความรักต่อใครไม่เป็น แล้วคนที่
กว่าซูเหยาจะรู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไรก็ได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะตะโกนเรียกเธอเสียงดัง“แม่คะ” เสียงลูกชิ้นลูกเล็กเรียกก่อนที่จะตามมาด้วยลูกชิ้นลูกใหญ่อีกสอง “แม่ครับ” เสียงทั้งสองประสานกัน“เด็ก ๆ มาอยู่กับลุงก่อนครับ เมื่อคืนแม่กับพ่อของหนูกลับดึกปล่อยให้เขานอนไปก่อน วันนี้ลุงทำแป้งทอดมันฝรั่ง มีไข่คนมะเขือเทศและซุปปลาหอม ๆ ด้วยนะ พวกหนูไม่อยากกินอย่างนั้นเหรอ”ซูหลงแฝดพี่ของซูเหยาหลังจากที่ทำอาหารเสร็จเขาก็ได้มาตามเด็ก ๆ ที่กำลังตะโกนเรียกน้องสาวและน้องเขยแต่ในระหว่างที่เขากำลังหลอกล่อหลาน ๆ ตัวน้อยอยู่ ก็ได้มีเสียงเรียกคนในบ้านจากด้านนอก เขาจึงได้พาเจ้าลูกชิ้นตัวกลมทั้งสามมายังโต๊ะกินข้าวหลังจากนั้นเขาจึงเดินออกไปหน้าบ้านโดยลืมถอดผ้ากันเปื้อนสีชมพูหวานของน้องสาวออก“มาแล้วครับไม่ทราบว่ามาหาใครครับ” ซูหลงที่เปิดประตูบ้านของน้องสาวออกแล้วเห็นว่าเป็นชายสองคนที่แต่งกายด้วยชุดทหาร แต่ไม่มีแถบแดงคาดแขนเขาก็ค่อยรู้สึกผ่อนคลายลง“เสี่ยวเหยา” เจียงซว
‘เป็นเธอและผู้ชายคนนั้นที่อยู่ในความฝันของเขา อย่างนี้ภรรยาของเขาก็กำลังตกอยู่ในอันตรายนะสิ’ มู่หานคิดอย่างหวาดวิตก“น้องเขยเป็นอะไรไป” ซูเฉินหลงถามมู่หานที่ยืนอยู่ด้วยกันอย่างสงสัยที่เห็นว่าใบหน้าของมู่หานเต็มไปด้วยความกังวล“พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สามวันนี้ทุกคนลางานเถอะครับผมมีเรื่องสำคัญจะบอก แต่ก่อนอื่นพี่จะต้องจำหน้ายุวชนชายหญิงสองคนนั้นเอาไว้ให้ดีเรื่องนี้เกี่ยวกับซูเหยา” มู่หานพูดเสียงเบาให้ได้ยินภายในกลุ่มของตน“ได้ พี่พร้อมทำตาม แต่นายต้องอธิบายให้ละเอียดเข้าใจไหม” พี่ใหญ่ตระกูลซูพูดขึ้นเสียงเข้มหลังเสร็จสิ้นที่หัวหน้าคอมมูนได้แนะนำเหล่าวยุวปัญญาชน กลุ่มของมู่หานทั้งกลุ่มก็ขอลางานโดยให้เหตุผลว่ามีธุระด่วนที่บ้านซึ่งแม้ว่าหัวหน้าคอมมูนและผู้ใหญ่บ้านจะแปลกใจแต่พวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยทักท้วง เนื่องจากใครไม่มาทำงานหรือหยุดงานก็แค่ไม่ได้แต้มการทำงานเพียงเท่านั้นทั้งสี่คนพากันเดินมาที่บ้านของมู่หาน ซูเหยาที่กำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปตามแม่ของตนที่บ้าน เธอก็แปลกใจที่เห็นพี่ชายสามคนกลับมาพร้อมกับสามี
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ