‘เป็นเธอและผู้ชายคนนั้นที่อยู่ในความฝันของเขา อย่างนี้ภรรยาของเขาก็กำลังตกอยู่ในอันตรายนะสิ’ มู่หานคิดอย่างหวาดวิตก
“น้องเขยเป็นอะไรไป” ซูเฉินหลงถามมู่หานที่ยืนอยู่ด้วยกันอย่างสงสัยที่เห็นว่าใบหน้าของมู่หานเต็มไปด้วยความกังวล
“พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สามวันนี้ทุกคนลางานเถอะครับผมมีเรื่องสำคัญจะบอก แต่ก่อนอื่นพี่จะต้องจำหน้ายุวชนชายหญิงสองคนนั้นเอาไว้ให้ดีเรื่องนี้เกี่ยวกับซูเหยา” มู่หานพูดเสียงเบาให้ได้ยินภายในกลุ่มของตน
“ได้ พี่พร้อมทำตาม แต่นายต้องอธิบายให้ละเอียดเข้าใจไหม” พี่ใหญ่ตระกูลซูพูดขึ้นเสียงเข้ม
หลังเสร็จสิ้นที่หัวหน้าคอมมูนได้แนะนำเหล่าวยุวปัญญาชน กลุ่มของมู่หานทั้งกลุ่มก็ขอลางานโดยให้เหตุผลว่ามีธุระด่วนที่บ้าน
ซึ่งแม้ว่าหัวหน้าคอมมูนและผู้ใหญ่บ้านจะแปลกใจแต่พวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยทักท้วง เนื่องจากใครไม่มาทำงานหรือหยุดงานก็แค่ไม่ได้แต้มการทำงานเพียงเท่านั้น
ทั้งสี่คนพากันเดินมาที่บ้านของมู่หาน ซูเหยาที่กำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปตามแม่ของตนที่บ้าน เธอก็แปลกใจที่เห็นพี่ชายสามคนกลับมาพร้อมกับสามี<
ทางด้านซูเหยาผู้ที่ยังไม่รู้ว่า ได้มีคนคิดที่จะเข้ามายุ่งกับสามีก็พาบรรดาสมาชิกในบ้านรวมทั้งเด็ก ๆ ทั้งสี่เดินทางเข้าไปในเมืองกับเธอโดยการจ้างรถไถประจำบ้านให้ไปส่ง‘คนมีเงินอะนะ จะใช้ผีโม่แป้งก็ยังได้ หากไม่มีนี่สิจะร้องขอใครเขาก็ลำบาก’ ซูเหยาคิดก่อนที่เธอจะขึ้นไปนั่งบนรถไถทางด้านสองพี่น้องแซ่เจียงที่วันนี้เขาเห็นว่า น้องสาวมีคนไปเป็นเพื่อนเยอะแล้ว พวกเขาก็เลยตั้งใจจะไปช่วยพ่อบุญธรรมจัดการเรื่องศูนย์สุขภาพให้เสร็จในระหว่างที่สองพี่น้องขับรถไปยังศูนย์สุขภาพ ทั้งสองคนก็ได้ขับผ่านบ้านของยุวปัญญาชนที่เพิ่งได้เข้ามาอยู่ใหม่“นั่นทหารที่ไหนกันช่างดูหล่อเหลาเสียเหลือเกิน” เสียงหนึ่งในหญิงสาวที่เห็นสองพี่น้องเข้าพอดีพูดขึ้นดวงตาเหม่อลอยเหลียนฮวาที่ได้เห็นทหารทั้งสองนายนี้ด้วย หล่อนก็ถึงกับแปลกใจเนื่องจากชาติก่อนไม่เคยมีเหตุการณ์ทหารที่ไหนเข้ามายังหมู่บ้านแห่งนี้นอกจากทหารแดงเธอมองไปทางรถทหารสีเขียวที่วิ่งผ่านไปอย่างครุ่นคิด จนเพื่อนสาวที่เดินอยู่ข้างกันผิดสังเกตจึงได้ทักขึ้นอย่างทีเล่นทีจริง“ฮวาฮวาคนงามตกหลุ
แต่ว่าก็มีหมอฮานคอยประจำอยู่ที่นั่น” ฉีอันพูดแนะนำด้วยความปรารถนาดีแต่สำหรับคนฟังอย่างเหลียนฮวาเธอถึงกับตัวเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างกระทันหันกับสิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านของที่นี่บอก‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเรื่องราวถึงได้ผิดเพี้ยนไปจากชาติก่อนกัน หมอฮานที่ว่าคงจะไม่ใช่เทียนฮานที่เธอจะต้องเอาเห็ดหลินจือไปให้ เพื่อให้เขานำไปรักษาเพื่อนรักหรอกใช่ไหมหากว่าใช่เธอควรจะทำอย่างไร เธอจะไปหาผู้ที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุนได้จากที่ไหน’ เหลียนฮวาตอนนี้ใบหน้าเธอได้ซีดขาวจนดูเหมือนคนไม่สบายสมจริงไปแล้ว“ฮวาฮวาหล่อนไม่สบายจริง ๆ เหรอ ตัวเย็นมากเลยหน้าก็ซีดมากด้วย” เฝิ่นลู่ผู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงแสดงความวิตกกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด“เฝิ่นลู่ช่วยพาฉันไปที่ศูนย์สุขภาพหน่อยเถอะ ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย” หญิงสาวพูดขึ้นอย่างคนหมดแรงฉีอันที่เห็นหญิงสาวผู้บอบบางจากเมืองหลวง เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากจะบอกให้เฝิ่นลู่พาสหายของตนไปยังศูนย์สุขภาพโดยเร็วฉีอันได้หันซ้ายมอ
ทางด้านซูเหยากับครอบครัวที่เดินทางมาถึงในตัวอำเภอ เธอได้นำครอบครัวของตนไปยังโรงงานลับอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก“เสี่ยวเหยาที่นี่เป็นโรงงานลับที่ลูกว่าอย่างนั้นเหรอ” หว่านชิงที่มองประตูบ้านบานใหญ่สีแดงและยังมีทหารเดินตรวจตราถามลูกน้ำเสียงหวาดหวั่น“ใช่แล้วค่ะ แม่ไม่ต้องกลัวนะคะทหารพวกนี้เป็นคนของลุงเจียง” ซูเหยาที่เห็นท่าทางหวาดกลัวของคนในครอบครัวได้กล่าวออกมา“ค่อยยังชั่วหน่อย ว่าแต่คุณลุงเจียงให้ความสำคัญกับลูกมากเลย ดังนั้นลูกก็อย่าละเลยในเรื่องที่สามารถตอบแทนเขาได้ล่ะ” ซูป๋อที่ยึดมั่นในความกตัญญูกล่าวเตือนลูกสาว“หนูทราบแล้วค่ะ ทุกคนเข้าบ้านกันดีกว่า” ซูเหยารับปากพ่อ ก่อนที่เธอจะเคาะตัวจับประตูด้านหน้าตัวบ้านเพื่อให้คนด้านในได้ยินเหล่าสาว ๆ ทั้งเจ็ดและเด็กน้อยที่กำลังนั่งเล่นกันอยู่ที่ลานหน้าบ้านที่กำลังรอการมาของซูเหยา เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเคาะประตู“ใครคะ” เมี่ยวเมี่ยวตะโกนถามกับคนที่อยู่ด้านนอก“ฉันเอง เธอเปิดประตูได้” ซูเหยาตะโกนตอบ หลังจากนั้นประตูด้านหน
“น้านางฟ้าสวัสดีครับ/ค่ะ สวัสดีน้ามู่ด้วยครับ/ค่ะ” เด็กน้อยเดินมาโค้งตัวจนก้นโด่งทักทายคนทั้งคู่ ทำให้คู่สามีภรรยายิ้มขำให้กับภาพความน่ารักของเจ้าตัวเล็กด้านหน้า“สวัสดีจ้าเสี่ยวหมิง เสี่ยวเจินกำลังทำอะไรกันอยู่เอ่ย” ซูเหยาถามพลางเอามือลูบหัวเด็กน้อยทีละคนอย่างเอ็นดู“ท่องตัวอักษรครับ/ค่ะ” เจ้าตัวเล็กตอบขึ้นพร้อมกัน ทางด้านเสี่ยวหมิงเมื่อเห็นว่าน้อง ๆ ของตนคงไม่สร้างความลำบากใจให้กับแขก จึงได้แยกตัวเดินเข้าไปด้านในเด็กชายหายไปสักพักก็ออกมาพร้อมกับผู้เฒ่าสองคน “เสี่ยวซู” เสียงแหบของชายชราเอ่ยเรียกหญิงสาวที่กำลังเล่นกับหลานแฝดของตน“สวัสดีค่ะ/ครับ ตาฮุ่ยซิ่ว ยายเจียวจิน” คู่สามีภรรยายืนทักทายผู้สูงวัย“นั่งลงเถอะ ว่าแต่พวกเธอมาที่บ้านเรามีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ชายชราที่หายดีแล้วถามเด็กสาวที่มีพระคุณต่อครอบครัวตนเอง“ฉันจะมาชวนคนที่บ้านคุณตาให้ไปที่โรงงานลับของฉันค่ะ ที่นั่นฉันแอบรับจ้างตัดเสื้อผ้ากับทำสบู่ ไ
“อ้าวฉันนึกว่าเธอรู้แล้วซะอีกเห็นเดินเข้ามาที่นี่ อีกสองวันเธอเตรียมของมาขายได้เลยโดยเฉพาะอาหาร” ชายร่างอ้วนแนะนำหญิงสาวอย่างใจดี“แล้วคนพวกนั้นจะเข้ามาวอแวหรือเปล่าคะ” ซูเหยาถามขึ้นโดยที่ฮุ่ยเฟินรู้ดีว่าคนพวกนั้นคือใคร“ไม่หรอกคนพวกนั้นเองก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน เขาแค่ขอความร่วมมือในช่วงเวลาที่นายใหญ่มาตรวจเพียงเท่านั้น ซึ่งนาน ๆ ถึงจะมา” ชายอ้วนผู้มีส่วนร่วมในการสร้างตลาดกล่าวข้อมูลให้หญิงสาวฟัง“แล้วที่แห่งนั้นพอจะมีเป็นร้านให้เช่าไหมคะ ฉันจะได้เอาของไว้ที่ร้านได้เลย” ซูเหยาถามอย่างสงสัย“เรื่องนี้เธอไม่ต้องห่วงฉันเตรียมร้านไว้ให้เธอแล้ว เธอแค่ตอบแทนเป็นของอร่อย ๆ ให้ฉันกินทุกวันก็พอถือว่าเป็นค่าเช่า” ฮุ่ยเฟินผู้เห็นแก่ของอร่อยหัวเราะขึ้นด้วยความชอบใจ“คุณอารู้ได้ยังไงว่าฉันต้องการร้าน ” ซูเหยาถามขึ้นอย่างกังขา“ฉันเดาเอานะสิคนงกแบบเธอมีหรือที่จะไม่ต้องการร้านค้า” ฮุ่ยเฟินพูดสิ่งที่คิด ทำไมเขาจะเดาเรื่องง่าย ๆ แบบนี้ไม่ออกกันแล้วอีกอย่างเขา
ซูเหยาที่เห็นความสนิทสนมของเด็กชายทั้งสาม เธอจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสามหนุ่มถึงได้เป็นตัวร้ายที่รักและช่วยเหลือเกื้อกูลกันถึงขนาดยอมตายเพื่อกันได้‘ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉันจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของพวกเธอเอง ฉันจะสนับสนุนสร้างเส้นทางที่ดี ๆ ให้กับพวกเธอเด็กน้อยผู้น่าสงสาร’ ซูเหยากล่าวอย่างมุ่งมั่นที่เธอเท่านั้นได้ยินเพียงคนเดียวคนทุกคนที่ซูเหยาพามาต่างทำหน้าที่ของตนด้วยความตั้งใจ และพูดคุยกันอย่างสนิทสนมจนลืมเวลา“ทุกคนกินข้าวกลางวันได้แล้วค่ะ” ซูเหยาที่รับหน้าที่แม่ครัวพูดขึ้นหลังจากที่เธอได้เด็ก ๆ ช่วยจัดโต๊ะอาหารการทานอาหารก็ดำเนินไปอย่างอบอุ่น หลังมื้อกลางวันจบลง ฮุ่ยซิ่วที่ได้ห้องสอนหนังสือก็เริ่มทำหน้าที่ของตนทันทีเหล่าเด็กตัวน้อยก็ตั้งใจเรียนกันทุกคน โดยมีเสี่ยวหยางและเสี่ยวหมิ่นคอยช่วยผู้สูงวัยกว่า ก่อนที่เขาทั้งสองจะทำแบบฝึกหัดที่ซูเหยานำมาให้หากมีบทเรียนไหนที่เขาไม่เข้าใจเด็กชายทั้งสองก็จะถาม ซูเหยา เมื่อฮุ่ยซิ่วได้ยินสิ่งที่ซูเหยาสอนให้กับเด็กอายุสิบสองเขาก็ลูบเครายาวสีเงินยวงของตนอย่างครุ่
เหลียนฮวาคนงามหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของมู่หานซึ่งเป็นอดีตผู้เคยใช้ชีวิตร่วมกับตน หล่อนก็ได้แสดงสีหน้าบิดเบี้ยวโกรธขึ้งอย่างไม่ยินดี‘ภรรยาอย่างนั้นเหรอ ผู้หญิงที่ร้ายกาจนางนั้นนะหรือที่คุณว่ารักมันมาก ถ้าอย่างนั้นฉันก็แค่ยุยงให้มันหายไปตามเดิมเหมือนชาติก่อนก็สิ้นเรื่อง’ เธอคิดอย่างหมายมาดขึ้นในใจทางด้านซูเหยาผู้ยังไม่รู้ว่าบัดนี้ได้มีคนคิดร้ายกับตน เธอก็เดินไปเรียกลูกน้อยที่หายไปหลังบ้านเพื่อที่จะพาเด็กน้อยตัวกลมไปสมทบกับทุกคนที่บ้านพ่อสามี“เด็ก ๆ ไปหาตายายที่บ้านปู่จางกันค่ะ” ซูเหยาเรียกเด็กน้อยเสียงหวาน เมื่อเธอเดินมาถึงแล้วเห็นว่าเด็กตัวกลมกำลังสนใจเจ้ากระต่ายตัวขาวที่มันพยายามส่ายหน้าปฏิเสธหญ้าที่เด็ก ๆ ป้อน“แม่ว่าเสี่ยวไป๋คงจะอิ่มแล้ว พวกหนูก็อย่าพยายามยัดเยียดให้เจ้าตัวน้อยอีกเลย ตอนนี้พวกหนูวางมือจากหญ้าไปล้างมือแล้วก็ไปบ้านปู่จางกับแม่เถอะ” ซูเหยาที่เห็นว่า เจ้ากระต่ายที่พยายามหลบเลี่ยงหญ้าจากเด็ก ๆ พูดขึ้น“ครับ/ค่ะ พวกเราไปก่อนนะเสี่ยวไป๋ ไว้พวกเราจะมาเล่นด้วยใหม่” เจ้าลูกชิ้นตัวกลมโบกมือล
ส่วนเด็กน้อยทั้งสี่ก็วิ่งบ้างเดินบ้างสลับกัน เดินไปเล่นไปอย่างเพลิดเพลินจนตอนนี้ทุกคนก็มาถึงหน้าคอมมูนกันแล้ว“สวัสดีสหายลู่ไม่ทราบว่าวันนี้รถไถว่างหรือเปล่าและเข้าเมืองไหม” ซูเหยาถามชายวัยกลางคนรูปร่างผอมผิวคล้ำแดดจากการทำงานหนักน้ำเสียงสุภาพ“สหายซูจะเข้าเมืองอย่างนั้นเหรอ วันนี้รถไถยังไม่มีกำหนดการเข้าเมืองเสียด้วย” ลู่คงบอกกล่าวหญิงสาวที่มักจะให้ของกำนัลอย่างเสียดาย ที่คิดว่าวันนี้ตนน่าจะไม่ได้ของตอบแทน“ถ้าฉันจ่ายค่าจ้างแบบเหมาเพื่อให้ไปส่งและรอรับมันจะเป็นไปได้ไหมคะ” ซูเหยาลองถามหยั่งเชิง เนื่องจากแต่ก่อนที่เธอจ่ายเหมานั้นเป็นช่วงเวลาที่รถไถได้เข้าไปทำธุระในเมืองเธอจึงถือโอกาสมัดมือชกแต่ว่าในยามนี้รถไถไม่มีกำหนดการเธอจึงไม่แน่ใจว่าจะจ้างได้ไหม จึงได้ลองถามขึ้นมา ลู่คงเองเขาก็ไม่แน่ใจเช่นกันจึงยืนลังเลอยู่สักพัก“เอาอย่างนี้แล้วกันสหายซูรอผมสักครู่ ผมขอไปถามหัวหน้าก่อนว่าสามารถทำได้หรือเปล่า หากทำได้จะคิดราคายังไง” ลู่คงผู้ที่ไม่สามารถตัดสินใจได้เองโดยพลการตอบแบ่งรับแบ่งสู้“ฉันรอได
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ