เจียงหยู่ที่ไม่รู้ว่า น้องชายของตนอีกสองคนที่น่าจะคอยคุ้มครองซูเหยาตามคำสั่งของพ่อบุญธรรม ก็ได้นำคนเข้ามายังที่แห่งนี้ตามที่เขาสืบมาได้
ผลั๊ว!! ตุ๊บ! ในระหว่างที่เจียงเจ๋อซุ่มดูอยู่บนต้นไม่อยู่นั้น เจียงหยู่ที่มากับพวกหอไม้แดง ก็ได้จัดการคนที่เจียงเจ๋อเห็นไปแล้วสาม
“พี่ใหญ่ !!” เจียงเจ๋ออุทานอย่างตกใจ ก่อนที่เขาจะรีบลงจากต้นไม้วิ่งมาหาพี่ชายที่กำลังจะถูกชายที่มีอาวุธร้ายในมือยิง
“ทุกคนหมอบ” เจียงเจ๋อที่มาถึงตัวผู้ร้ายคนนี้ตะโกนขึ้นก่อนที่เขาจะถีบคนร้ายที่เขาเห็นได้ทันเวลา ก่อนที่มันจะใช้อาวุธในมือยิงไปโดนคน
แต่กระสุนก็พุ่งออกจากสิ่งที่มันถือไว้อยู่ดี ทำให้เกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณ ‘ซวยแล้ว’ คำนี้ได้ผุดขึ้นในหัวของทุกคนอย่างพร้อมเพรียง
ทันทีที่สิ้นเสียงกัมปนาท ทหารที่อยู่ด้านนอกก็ได้ถูก เจียงซวนสั่งให้เข้าไปด้านในทันที โดยที่เขาไม่คิดรอสัญญาณจากพี่ชายแล้ว เนื่องจากความเป็นห่วง
พวกทหารห้าสิบนายที่ได้รับคำสั่งให้บุกเข้าบ้านโจรหลังนี้พวกเขาต่างพากันผลักประตูบ้านทุกบานที
“แล้วเธออยากได้อะไรคืนไปบ้างล่ะ ตอนนี้คนพวกนั้นก็ถูกจับไปหมดแล้ว” เจียงหรานหันหน้าไปถามซูเหยาที่น่าจะเป็นคนต้นคิดเรื่องทั้งหมด“อาหารทั้งหมดที่พวกมันไปขนมาจากบ้านยายเจียวจิน คนที่ฉันช่วยไว้ตอนที่เจอพี่ชายกับพี่เจียงหยู่นะจำได้ไหม” ซูเหยาตอบเจียงหรานเจียงหรานนึกอยู่สักครู่จึงได้พยักหน้าออกมาอย่างแสดงท่าทีว่า ตนจำหญิงชราคนนั้นได้“เธออยากได้อะไรก็ให้ทหารช่วยขนออกไปก็แล้วกัน” เจียงหรานพูดขึ้นอย่างตามใจ เป็นพี่ชายต้องตามใจน้อง เขาคิดซูเหยาที่กำลังยืนลุ้นอยู่ว่าจะได้ของกลับคืนไปหรือเปล่า เมื่อได้ยินคำตอบแบบนี้เธอถึงกับยิ้มกว้างออกมาดวงตาเป็นประกายวิบวับทำให้ชายหนุ่มแซ่เจียงที่อยู่ ๆ ก็มีน้องสาวเมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันเจิดจ้าแบบนี้ เขาสองคนก็คิดว่าการมีน้องสาวบางทีก็ดีเหมือนกันนะโดยคนที่ถูกมองว่าเป็นน้องเล็กยังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ที่มีคนมโนว่า เธอเป็นลูกสาวและน้องสาวต่างแซ่ไปนานแล้วทางด้านพี่น้องเจียงอีกสองคนที่อยู่ห้องด้าน
“พี่รู้ แต่ว่าเธอช่วยลองไปดูหน่อยเถอะนะ” เจียงเจ๋อกล่าวด้วยท่าทางวิงวอนร้องขอซูเหยาผู้ที่ถูกผู้ชายตัวใหญ่มองตนด้วยท่าทางแบบนี้ก็อดที่จะรู้สึกเห็นใจขึ้นมาไม่ได้ เธอจึงได้ตัดสินใจพูดออกมา“ไปกันเถอะค่ะ แม้ฉันจะยังไม่รู้ว่าช่วยได้หรือเปล่าแต่ก็ดีกว่าไม่ลองเลย” ซูเหยาพูดขึ้นอย่างกังวล‘ระบบเธอมีความสามารถหาคนหายด้วยหรือเปล่า’ ซูเหยาลองสื่อสารกับระบบในใจ“ท่านผู้ถูกเลือก ระบบไม่มีความสามารถนั้นระบบขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง” ระบบตอบกลับซูเหยาในทันทีเมื่อซูเหยาที่ได้ยินเสียงระบบตอบกลับออกมาอย่างรวดเร็วและเป็นคำตอบที่เธอไม่อยากได้ยิน เธอก็นึกปลงเดินตามเจียงเจ๋ออย่างเศร้า ๆซูเหยาและพี่น้องแซ่เจียงทั้งสามได้เดินมาจนถึงห้องด้านหลังที่ซูเหยาดูแล้วก็เป็นห้องเล็ก ๆ เพียงห้องหนึ่งเท่านั้น แล้วโจรพวกนั้นจะเอาคนไปซ่อนไว้ที่ไหนถ้าไม่ใช่ห้องใต้ดิน“ถ้าอยู่ในนี้จริงฉันว่ามันจะต้องมีห้องลับแน่ ๆ” ซูเหยาพูดตามความคิด ว่าแต่ในนิยายก็ไม่ได้กล่าวละเอียดเสียด้วยว่าทางเข้าห้องลับที่ว่าอยู่ตรงไหน
“เธอคิดจะทำอะไรกว่าพวกเราจะช่วยชีวิตของเธอเอาไว้ได้มันยากนะ แต่ตอนนี้เธอคิดจะมาจบชีวิตตัวเองง่าย ๆ แบบนี้นะเหรอจะบ้าหรือไง” เจียงหรานตะคอกหญิงสาวแรกรุ่นคนหนึ่งด้วยความโมโหหน้าดำหน้าแดง“ฮือ ๆ คุณไม่รู้หรอกฉันไม่มีบ้านให้กลับแล้ว การที่ถูกจับตัวมาแบบนี้ก็เหมือนกับฉันได้ตายลงไปแล้ว” หญิงสาวนางนั้นนั่งลงอยู่กับพื้นกอดเข่าร้องไห้อย่างคนสิ้นหวัง“พี่ชายหรานเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอคะ” ซูเหยาที่วิ่งออกมาจากด้านในถามขึ้นหน้าตาตื่น“ก็ผู้หญิงคนนี้นะสิ หลังจากรู้สึกตัวหล่อนก็ลุกขึ้นคิดจะวิ่งเอาหัวชนเสา” เจียงหรานพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ โดยที่เจ้าตัวชี้นิ้วไปยังหญิงสาวที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่พื้น“ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ล่ะ กว่าพวกเราจะช่วยเธอและทุกคนออกมาได้มันไม่ง่ายเลยนะ” ซูเหยานั่งยอง ๆ ถามผู้หญิงคนนั้นก่อนที่เธอจะช่วยพยุงหล่อนให้ลุกขึ้น โดยมีผู้หญิงหน้าหวานอีกคนเข้ามาช่วย“ใช่ ทำไมเธอถึงคิดสั้นกัน ฉันก็ถูกจับมาเหมือนกับเธอและไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่ไม่มีบ้านให้กลับ เธอลองมองดูรอบ ๆ สิมีอี
ตั้งแต่เล็กจนโตครอบครัวของเธอก็ให้ความสำคัญกับพี่ชาย น้องชายมาตลอด เธอต้องทำงานหนักสารพัดจนฝ่ามือของเธอด้านเป็นปุ่มเต็มไปหมด บางครั้งก็พุพองเป็นหนองแต่พ่อแม่ก็ยังด่าทอเธอเมี่ยวเมี่ยวอย่างนั้นเหรอไม่เคยมีใครเรียกชื่อเธอได้อย่างไพเราะอ่อนหวานแบบนี้มาก่อนเลย“เธอเป็นอะไรร้องไห้ทำไมเจ็บปวดตรงไหนบอกฉันมา” ซูเหยาที่เห็นเพื่อนใหม่ร้องไห้เธอรีบถามออกมาด้วยความเป็นห่วง“มะ...ไม่เป็นไร ฉันแค่ดีใจที่มีคนบอกอยากเป็นเพื่อนกับฉันเธอรู้ไหมตั้งแต่ฉันเกิดมาไม่เคยมีใครพูดกับฉันดี ๆ เหมือนเธอเลยสักครั้งมีแต่คนรังเกียจฉันที่ฉันตัวผอม ผิวกระด่างกระดำ หน้าตาขี้เหร่” เมี่ยวเมี่ยวพูดในสิ่งที่คนส่วนใหญ่พูดถึงเธอออกมาให้กับซูเหยาฟัง“เธอไม่ต้องเสียใจนะ สักวันชีวิตเธอจะต้องดีขึ้นตอนนี้เธอคนเดิมได้ตายไปแล้ว เธอกำลังจะกลายเป็นคนใหม่ดังนั้นเธอจะต้องหวงแหนชีวิตที่ได้รับมาใหม่ให้ดี ๆเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอรักตัวเองและเห็นคุณค่าในตัวเอง เมื่อนั้นจะมีคนรักและเห็นค่าในตัวเธอ เชื่อฉันนะ” ซูเหยาพูดขึ้
ซูเหยาอยู่เป็นเพื่อนผู้หญิงทั้งเจ็ดจนทุกคนได้รับการตรวจจากคุณหมอเฉิน โชคดีที่พวกเธอยังไม่ได้ถูกคนพวกนั้นล่วงละเมิดในระหว่างที่สลบไปหญิงทั้งเจ็ดเมื่อรู้ว่าสิ่งสำคัญสำหรับลูกผู้หญิงยังอยู่ พวกเธอต่างก็พากันกอดคอร้องไห้อย่างไม่อายใครออกมาทางด้านเด็กน้อยตอนนี้ก็ปลอดภัยกันทุกคนแล้ว แต่ว่าหมอยังไม่อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลรวมถึงน้องสาวของ ลี่เซียนที่ชื่อลี่หรูด้วยเหมือนกัน ดังนั้นลี่เซียนจึงอยู่เฝ้าน้องเด็กน้อยที่มีพ่อแม่มารับมีเพียงสองคนเท่านั้น นอกนั้นเมื่อถามถึงพ่อแม่เด็กน้อยก็ได้แต่พากันส่ายหัว เนื่องจากพวกเขาจำไม่ได้ว่าบ้านของตนอยู่ที่ไหนดังนั้นหญิงสาวอีกหกคนนอกเหนือจากลี่เซียนจึงได้อาสาเฝ้าเด็ก ๆ เอง “ถ้าอย่างนั้นทุกคนเก็บเงินไว้นะ พรุ่งนี้ฉันจะมาหาใหม่หากเด็ก ๆ ออกจากโรงพยาบาลได้ฉันจะพาพวกเธอทุกคนไปดูบ้านที่พวกเธอจะได้อยู่กันเป็นการชั่วคราวไปก่อนรอให้ฉันจัดการอะไรให้เรียบร้อยค่อยมาว่ากันเรื่องที่ฉันได้พูดไว้” ซูเหยาพูดพร้อมกับส่งเงินให้ผู้หญิงทั้งเจ็ด คนละยี่สิบหยวน“นี่มันมากไปแล้ว เธอให้พวกเราแบ่งกันก็ได้
“เสี่ยวซูเธอกลับมาแล้วเหรอ เป็นอย่างไรบ้างเธอปลอดภัยดีไหม” เจียวจินถามหญิงสาวน้ำเสียงแสดงความห่วงใย“ฉันสบายดีค่ะ ได้ของกลับคืนมาแล้วด้วย ส่วนคนพวกนั้นก็ถูกทหารจับตัวไปหมดแล้ว คุณยายอย่าลืมที่ฉันเคยพูดไว้นะคะ” ซูเหยาตอบผู้สูงวัยกว่าก่อนที่จะกล่าวย้ำออกมาอีกครั้ง“ฉันเข็ดแล้วล่ะ ต่อจากนี้ก่อนทำอะไรฉันจะรอปรึกษาเธอก่อน ฉันขอบใจเธอและครอบครัวมากนะที่ไม่คิดทอดทิ้งครอบครัวของฉัน” เจียวจินกล่าวออกมาอย่างสำนึกผิด จริง ๆ“ดีแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้พวกฉันคงต้องขอตัวกลับก่อนตอนนี้ก็มืดมากแล้ว ป่านนี้คนที่บ้านคงจะเป็นห่วงพวกเรามากแน่ ๆ” หว่านชิงเป็นคนพูดแทนลูกสาว“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันเดินออกไปส่งเถอะ” เจียวจินพูด หลังจากนั้นคนทั้งหมดจึงได้พากันเดินออกไปด้านนอก และสวนกลับสองพี่น้องแซ่เจียงที่กำลังเข็นรถที่บรรจุสิ่งของต่าง ๆ นอกจากอาหารเข้ามาพอดี“คุณอาไปรอผมที่รถได้เลยครับ พวกผมขอยกสิ่งของพวกนี้เข้าไปเก็บสักครู่” เจียงซวนพูดขึ้นเมื่อเขาแบกกระสอบข้าวขึ้นบ่าเหมือนไม่หนัก"
ซูเหยาหลังจากที่ได้ยินคำพูดของสามี เธอก็ยังคงยืนงงอยู่อย่างคนตัดสินใจไม่ได้ ‘เอายังไงดีจะไปซ้ายหรือขวา เอาวะห้องเขาก็ห้องเขาจะกลัวอะไร’ในระหว่างที่เธอถามตัวเองอยู่มู่หานก็ได้เดินออกมาจากห้องครัว เขายืนกอดอกมองด้านหลังของภรรยาสาวที่หันซ้ายขวาเหมือนกับกำลังคิดตัดสินใจไม่ถูก มู่หานจึงได้ ค่อย ๆ เดินเข้าไปซ้อนหลังของร่างบางหมับ! มู่หานเอามือของเขาสวมกอดเอวบางของซูเหยา พร้อมกระซิบข้างหูถามภรรยาน้ำเสียงแผ่วเบา “คุณรอผมอยู่หรือครับภรรยา”ซูเหยาที่ตัวแข็งทื่อตั้งแต่ถูกจู่โจมกอดอย่างกะทันหันจนเธอเกือบจะส่งเสียงกรีดร้อง แต่เมื่อได้มีลมอุ่นร้อนตามมาด้วยเสียงกระซิบที่ข้างหู ทำให้เธอยิ่งตื่นเต้นมากกว่าเดิม ใจเต้นโครมครามเหมือนกลองศึกมู่หานที่ตอนนี้เขากำลังพยายามอดทนกับกลิ่นกายหอมกรุ่นของคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอด เมื่อเขาสัมผัสได้ว่าภรรยาตัวสั่นนิด ๆ เขาก็เหมือนจะชอบใจจึงคิดอยากเย้าแหย่คนร่างบางต่อ โดยการที่เขาเริ่มใช้ปากหนาของตนขบเม้มไปที่ใบหูเล็กสีขาวที่ตัดกับผมสีดำขลับนั้นอย่างอ่อนโยนเขาค่อย ๆ ขบเม้มชิมรสเหมือนก
“หากคุณคิดว่าจะมีฉันเพียงคนเดียวได้ ฉันก็พร้อมจะเป็นของคุณ” ซูเหยาตัดสินใจพูดออกมาทั้ง ๆ ที่เธอก็ยังคงกลัวเรื่องของอนาคตอยู่“ผมสัญญาจะมีคุณคนเดียวตลอดชีวิต” มู่หานที่เห็นแววตากังวลลังเลเขาจึงได้เอ่ยถ้อยคำสัญญาออกมาอย่างหนักแน่นก่อนที่เขาจะไม่เก็บอาการใด ๆ อีกต่อไปเขาค่อย ๆ โน้มตัวลงต่ำไปที่ภรรยาคนสวย โดยครั้งนี้ซูเหยาก็เอามือเรียวยาวของตนโอบรอบคอของชายหนุ่มให้โน้มเข้ามาหาตนอย่าง ช้า ๆ เช่นกันริมฝีปากหยักหนาของชายหนุ่มยกมุมปากสูงด้วยความพึงใจการกระทำของคนตัวเล็ก หลังจากนั้นเขาก็ทาบริมฝีปากของตนปิดปากอวบอิ่มของคนด้านล่างเขาค่อย ๆ จุมพิตอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ค่อย ๆ เคลื่อนริมฝีปากหนามาที่ลำคอระหงของร่างบาง ก่อนที่จะรุกล้ำไปเรื่อย ๆ จนกดคนที่นั่งอยู่ให้นอนลงราบบนเตียงคนใต้ร่างที่รู้สึกเหมือนกับกำลังล่องลอย สมองขาวโพลนจากการกระทำที่รุนแรงผสมกับความอ่อนโยนเผลอเปลือกตามองเขาอย่างเขินอายมู่หานแม้ในใจกำลังจะถูกแผดเผาจากความต้องการมากสักเท่าไหร่ แต่เขารู้ดีว่าจะบุ่มบ่ามมากกว่านี้ไม่ได้ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกของภรรยาสาว
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ